12

ตอนที่ 12


 

12

ภายในห้องนั่งเล่นของบ้านโภคินอภิวัฒน์

สี่เสือกำลังวิ่งไล่จับกับเจ้าเสือน้อยวัยสิบเอ็ดเดือน ซึ่งกำลังอยู่ในวัยหัดเดินหัดพูด ทำให้บรรดาอาๆ ต้องจัดตารางชีวิตของตนเองใหม่ ปรับเวลาเลิกงานให้ไวขึ้น เพื่อจะได้รีบกลับมาเล่นและเฝ้าดูพัฒนาการของทายาทคนแรกคนนี้

“เต เต เต้ เดิน เดิน เดิ้น” เสียงคุณใหญ่ที่นั่งอยู่ทางฝั่งขวาของห้อง ร้องเรียกให้เจ้าตัวเล็กเดินเข้าไปหา

“ใบบุญ เดินมาหาอารองเร็ว” เสียงคุณรองที่นั่งอยู่อีกฝั่งของคุณใหญ่ร้องเรียก

“มาหาอาเล็กดีกว่าครับ อามีขนมนะ นี่ไง” คุณเล็กปรบมือเพื่อให้เจ้าเสือน้อยหันมาสนใจตนเอง ก่อนจะชูขนมขึ้นมาเพื่อหลอกล่อ

“เสือน้อย อากลางมีตุ๊กตาพี่หมีตัวใหญ่เลย นี่ไงครับ” คุณหมอกลางเรียกหลานชายให้หันกลับมามองตนเองบ้าง พร้อมกับโชว์ตุ๊กตาหมีตัวโตให้ดู

เจ้าเสือน้อยใบบุญที่นั่งอยู่ในวงล้อม หันไปมองทางโน้นทีทางนี้ที  คล้ายกับกำลังชั่งใจว่าจะไปทางไหนก่อนดี แต่เมื่อยากที่จะตัดสินใจ เสือน้อยเจ้าเล่ห์จึงทิ้งตัวลงนอนก่อนจะกลิ้งตัววนไปวนมา พร้อมกับส่งเสียงอ้อแอ้

“ไม่รู้จะเลือกใคร เลยเลือกสภาวะทิ้งตัว เลือดพ่อแรงจริงๆ” คุณใหญ่ส่ายหน้าให้แก่ความเจ้าเล่ห์ของบุตรชายตัวน้อย

“เจ้าเล่ห์เหมือนพ่อ แต่หล่อเหมือนคุณอา เนอะเสือน้อยเนอะ” คุณเล็กขยับตัวเข้าไปใกล้ ก่อนจะล้มตัวลงนอนตะแคง เท้าแขนมองหลานรักที่กำลังยกแข้งยกขาเล่นอยู่กับบิดา

“ป้ะ” ใบบุญมองหน้าคุณใหญ่ ร้องเรียกเสียงสั้นๆ

“อา ไหนลองเรียกซิ” คุณรองโน้มใบหน้าลง แล้วสอนให้เจ้าเสือน้อยพูดตาม

“อะ” ใบบุญพยายามออกเสียงตาม

“เก่งมากครับ” คุณหมอกลาง ก้มตัวลงหอมหน้าผากหลานชายเพื่อให้รางวัล

“ทีคำว่า ‘แม่’ กับ ‘มิน’ ออกเสียงชัดเชียว” คุณใหญ่เอ่ยอย่างอารมณ์ดี

“ไหน ใครเรียกคุณแม่เอ่ย” เสียงของคุณแม่ลูกสองดังขึ้น บัวบูชาเดินนำมินตราและแวว ยกถาดขนมเข้ามาวางในห้อง คุณใหญ่รีบลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปประคองภรรยาพาไปนั่งบนโซฟา

“คืนนี้มีขนมอะไรครับ” คุณใหญ่เอ่ยถามภรรยา

“คืนนี้น้องมินทำลูกชุบ แล้วก็มีผลไม้รวมกับน้ำเต้าหู้ค่ะ” บัวบูชารายงานเมนูของว่างก่อนนอน

“เธอโชว์ฝีมืออีกแล้วหรือมินตรา” คุณรองอุ้มเจ้าเสือน้อยขึ้นมา ก่อนจะเดินไปนั่งบนโซฟาอีกตัว

“หนูเห็นว่าที่ครัวมีถั่วอยู่ เลยอยากทำขนมค่ะ” มินตราตอบ

“ช่วงนี้บัวจะให้น้องมินแสดงฝีมือเยอะหน่อยนะคะ เพราะถ้าเปิดเทอมแล้ว คงต้องให้ใช้เวลากับหนังสือมากกว่างานครัว” บัวบูชาเอ่ย พลางมองหน้าน้องสาวบุญธรรมด้วยแววตาอ่อนโยน มินตราส่งยิ้มหวานพร้อมกับพยักหน้ารับทราบ

“จริงสิ ใกล้เปิดเทอมแล้ว ตื่นเต้นหรือเปล่า” คุณหมอกลางเอ่ยถามมินตรา

“ตอนนี้ยังเฉยๆ ค่ะ แต่พอถึงวันเปิดเทอมจริงๆ หนูคงทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน ไม่รู้จักใครสักคน”

“ไม่ต้องกังวลหรอก นิสิตปีหนึ่งหน้าตาคมสวย แถมพ่วงตำแหน่งเด็กในปกครองของท่านรองประธานบริหาร บริษัทในเครือโภคินอภิวัฒน์เข้าไปอีก รับรองว่าจะมีหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่คอยตามดูแลเธอไม่ขาดแน่ๆ” เสือเล็กกระแอมเสียงดัง ก่อนจะให้กำลังใจเด็กน้อยของพี่ชายคนรอง แต่การให้กำลังใจแบบนี้คงมีแต่เสือเล็กคนเดียวเท่านั้นที่ทำได้

“พอทีเจ้าเล็ก อย่าไร้สาระ” ผู้ปกครองนิสิตใหม่ปรามน้องชาย แล้วจึงหันไปเอ่ยกับเด็กในปกครองโดยตรง “มินตราทำธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ขึ้นไปหาฉันที่ห้องทำงานชั้นสองด้วย” และแล้วผลที่ได้รับกลับมาจากประโยคให้กำลังใจของเสือเล็ก ก็ทำให้สามเสืออมยิ้ม เมื่อเสือรองกำลังแยกเขี้ยวแสดงความไม่พอใจอย่างชัดเจน

 

ภายในห้องทำงานส่วนตัวของท่านรองประธานบริหารที่ตั้งอยู่บนชั้นสองของตัวบ้าน เจ้าของห้องกำลังนั่งอ่านเอกสารที่เพิ่งร่างเสร็จใหม่อีกรอบ เพื่อตรวจทานความถูกต้องของเนื้อหา

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะประตูห้องทำงานดังขึ้น

“เข้ามาสิ” กฤตภาสลุกขึ้นไปเปิดประตู พร้อมกับผายมือเชิญหญิงสาวให้เข้ามาในห้อง

มินตราก้มตัวเดินผ่านร่างสูงใหญ่ของผู้ปกครองเข้าไปในห้องทำงานอย่างสงบเสงี่ยม

“นั่งลงก่อน” กฤตภาสเลื่อนเก้าอี้ให้มินตรานั่งลง ก่อนที่ตัวเขาเองจะเดินกลับไปนั่งยังเก้าอี้ประจำตัว อีกฝั่งหนึ่งของโต๊ะทำงานตัวใหญ่

“ขอบคุณค่ะ” มินตรานั่งลงพร้อมกับประนมมือไหว้และเอ่ยคำขอบคุณ

“เอาละ ฉันจะไม่อ้อมค้อม เพราะนี่ก็ดึกมากแล้ว เธอเองก็คงอยากจะพักผ่อนเต็มที” กฤตภาสยกมือขึ้นกอดอก ก่อนจะเริ่มพูดเข้าประเด็นที่เรียกเด็กสาวขึ้นมาพบในคืนนี้

“ไหนเธอลองบอกฉันมาซิมินตรา ว่าหน้าที่ของเธอตอนนี้คืออะไร”

“คือตั้งใจเรียนให้จบค่ะ” มินตราตอบเสียงอ้อมแอ้มอยู่ในลำคอ

“ดี ขอให้เธอระลึกไว้เสมอ ว่าความฝันของคุณย่าเธอ คืออยากเห็นเธอได้เรียนจนจบและมีอนาคตที่ดี” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงอ่อนโยน “ที่ฉันต้องพูดกับเธอเรื่องย่า ฉันไม่ได้ต้องการจะตอกย้ำให้เธอต้องเสียใจในความสูญเสียที่ผ่านมา แต่ฉันอยากเตือนสติเธอก่อนที่เธอจะออกไปท่องโลกกว้าง” กฤตภาสเว้นจังหวะ หญิงสาวพยักหน้ารับช้าๆ

“สังคมที่เธอกำลังจะไปเจอไม่ได้สวยหรูและปลอดภัยเหมือนที่เธออยู่ในบ้านหลังนี้ แต่สังคมใหม่ที่เธอจะต้องไปเจอ มีทั้งการแก่งแย่งชิงดีทั้งต่อหน้าและลับหลัง บางคนอาจจะมาทำดีกับเธอ แต่ลึกๆ แล้วเขาอาจจะกำลังหวังผลประโยชน์จากเธอก็ได้ ที่ฉันต้องพูดแบบนี้ ฉันไม่ได้อยากให้เธอมองโลกในแง่ร้ายหรอกนะ แค่ไม่อยากให้เธอไว้ใจใครจนเกินไป ก็เท่านั้นเอง เธอเข้าใจในสิ่งที่ฉันกำลังเตือนหรือเปล่า”

“เข้าใจค่ะ” เด็กสาวพยักหน้ารับ น้ำตาคลอเบ้า

                “แต่เธอไม่ต้องกลัวนะ ฉันจะอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน จะคอยดูแลและปกป้องเธอตลอดเวลา ขอแค่อย่าปิดบังฉัน มีอะไรไม่สบายใจหรือไม่เข้าใจก็ให้เข้ามาหา อย่ากลัวฉัน อย่าเกรงใจฉัน ให้ไว้ใจฉันเหมือนที่เธอไว้ใจย่าของเธอ ทำได้หรือเปล่า” ชายหนุ่มหยุดพูดเพื่อให้เด็กในปกครองตอบคำถาม

“ค่ะ หนูจะไว้ใจและเคารพคุณรอง เหมือนที่หนูรักและเคารพพ่อของหนูค่ะ” มินตราตอบเสียงเจือสะอื้น หากแต่ดังชัดเจนในหัวใจคนที่ถูกรักและเคารพเหลือเกิน

กฤตภาสเบิกตากว้าง แทบสำลักน้ำลายตัวเอง “เอ่อ ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเบา คล้ายพูดกับตัวเองมากกว่า

“ฉันจะให้ธีระจัดรถคอยรับ-ส่ง และดูแลเธอเป็นหลัก” กฤตภาสกล่าว ใจจริงเขาก็ค่อนข้างสับสนอยู่ไม่น้อยว่าเหตุใดถึงได้ห่วงเด็กคนนี้ถึงขั้นต้องส่งคนสนิทไปคอยดูแลตลอดเวลาด้วย

“ขอบคุณ คุณรองมากเลยนะคะ ที่เมตตาหนู” มินตราประนมมือไหว้อย่างนอบน้อม

                กฤตภาสอมยิ้ม แล้วเปิดลิ้นชักหยิบซองเอกสารมายื่นให้คนฝั่งตรงข้าม

“ซองอะไรหรือคะ” มินตรารับซองมาถือไว้ก่อนจะเอ่ยถาม

“เปิดดูสิ”

หญิงสาวเปิดซองออกด้วยความระมัดระวัง แล้วจึงหยิบของที่อยู่ในซองนั้นออกมา ได้แก่ บัตรเครดิต สมุดเงินฝาก และบัตรเอทีเอ็ม

“นี่คือเงินเดือนของเธอในแต่ละเดือน ถ้าเธอดูที่ยอดเงินในสมุด เธอจะเห็นว่ามันมากพอที่จะใช้จ่ายจนเธอเรียนจบ ที่ฉันให้เธอถือเงินจำนวนมาก เพราะอยากจะให้เธอหัดเรียนรู้และลองวางแผนการใช้เงินดู ในแต่ละเดือนเธอต้องทำบัญชีรายรับรายจ่ายอย่างละเอียด เพื่อจะได้รู้ว่าเธอหมดเงินไปกับเรื่องอะไรมากที่สุด ส่วนบัตรเครดิตเป็นบัตรเสริมที่ฉันทำให้เธอไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน ไม่ต้องตั้งท่าจะปฏิเสธ ฉันให้อะไรก็รับไว้ เข้าใจหรือเปล่า” กฤตภาสดักคอ เมื่อเห็นเธอตั้งท่าจะปฏิเสธ

เมื่อถูกดักคอด้วยความรู้ทัน เธอจึงเก็บของทุกอย่างใส่ไว้ในซองดังเดิม พร้อมกับยกมือไหว้ขอบคุณผู้ปกครองของเธออีกครั้ง

“ดึกแล้ว เธอไปพักผ่อนเถอะ” คุณรองเอ่ยขึ้นในที่สุด มินตราจึงลุกขึ้นเดินไปยังประตู

...

ภายในห้องนอนของกฤตภาส ชายหนุ่มนอนอมยิ้มเมื่อนึกถึงคำสัญญาต่างๆ ที่เด็กสาวในปกครองได้ให้ไว้ ก่อนจะยกมือขึ้นก่ายหน้าผากเมื่อนึกถึงคำว่า ‘รักเหมือนพ่อ’

“นี่เราแก่จนเป็นพ่อคนได้แล้วหรือเนี่ย  เด็กน้อยเอ๊ย  ถ้าฉันเป็นพ่อเธอ ฉันต้องมีลูกตั้งแต่อายุเท่าไหร่กัน”  คุณรองบ่นพึมพำกับภาพถ่ายของมินตราที่เขาแอบบันทึกไว้เมื่อตอนงานวันเปิดห้าง เขามักจะเปิดดูภาพนี้เสมอหากมีเวลาว่าง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะรอยยิ้มของคนในภาพหรือความรู้สึกเป็นเจ้าของที่แอบซ่อนอยู่ในใจลึกๆ เขาจึงรู้สึกผูกพันกับเด็กคนนี้เหลือเกิน

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น