5

5

 

5

 

                หญิงสาวที่วิ่งพรวดพราดเข้ามายังมีรอยยิ้มค้างอยู่บนใบหน้า แต่พอเห็นว่าคนที่ยืนอยู่ไม่ใช่แม่ เธอยืนนิ่งขมวดคิ้วมองอย่างสงสัย 

                สีหน้างุนงงของเธอเป็นสิ่งแรกที่ปวินท์หันกลับมาเจอหลังละสายตาจากรูปภาพลูกสาวตัวน้อยของเจ๊หวี สองสายตาประสานกันไม่มีใครยอมหลบ ชายหนุ่มมองเห็นแววระแวดระวังไม่ไว้ใจจากนัยน์ตาคู่สวย รู้สึกคุ้นๆ กับดวงตาคู่นี้ ปวินท์หมุนร่างกลับมาเผชิญหน้ากันอย่างเต็มตัว 

                “คุณเป็นใคร” เธอยิงคำถามพร้อมนิ่วหน้าใส่ น้ำเสียงไม่ห้วน ไม่แข็ง แต่ก็ไม่แสดงความเป็นมิตรนัก

                “แล้วเธอล่ะเป็นใคร” เขาย้อนกลับ ทันได้เห็นหัวคิ้วของเธอย่นเข้าหากันนิดหนึ่งก่อนคลายออก ใบหน้าเนียนใสเชิดขึ้นเล็กน้อย รอยยิ้มของเธอมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม ตอบกลับมาอย่างฉะฉาน

                “ฉันก็เป็นเจ้าของบ้านที่คุณกำลังยืนอยู่นี่ไง”

                “อ่อ...งั้นเหรอ” มุมปากปวินท์ยกขึ้นช้าๆ เขาไม่ได้หวาดหวั่นกับสายตามหาอำนาจของเธอหรอก เพราะถือว่าตัวเขาเองก็ไม่ได้บุกรุกเข้ามา เจ้าของบ้านอีกคนน่ะแทบจะอุ้มเขาเข้ามาด้วยซ้ำ

                ดวงตาคมกวาดตามองหญิงสาวตั้งแต่หัวจดเท้า มองทรวงสาวชูชันพุ่งดันเสื้อยืดสีขาวจนเห็นเด่นชัด มองกางเกงยีนสีซีดแนบกระชับไปตามแนวโค้งสะโพกเรื่อยลงไปตลอดเรียวขา ไหล่ข้างหนึ่งของเธอสะพายกระเป๋าเป้ ผมยาวถูกรวบจับขมวดเป็นจุกหลวมๆ กลางศีรษะ มีบางส่วนหลุดลุ่ยลงมาเคลียลำคอระหง ไม่ได้ดูเกะกะน่ารำคาญตาจนเกินไปนัก แต่ปวินท์ก็นึกอยากช่วยเสยเก็บให้มันเข้าที่ 

                โดยภาพรวมก็นับเป็นผู้หญิงที่มองแล้วเพลินตาดี มีชีวิตชีวา คล่องแคล่ว ปราดเปรียวสมเป็นสาวมั่นไม่เกรงกลัวใคร อันที่จริงเขาก็ไม่ต้องการให้เธอศิโรราบกราบกรานอะไรหรอก แต่หน้าตาสุดแสนจะมั่นของเธอมันน่าหมั่นไส้ชะมัด

                “เท่าที่ฉันรู้มา ถ้าแม่เธอทำตามเงื่อนไขที่ฉันต้องการไม่ได้ บางทีบ้านหลังนี้อาจจะต้องเปลี่ยนเจ้าของ”

                “อย่าบอกนะว่าคุณคือลูกชายเจ๊ปิ๋ม”

                “อื้อ...มีวิธีทักทายเจ้าหนี้ที่ดีกว่านี้ไหมล่ะ” ชายหนุ่มเลิกคิ้วมองเธออย่างท้าทาย

                ตุ้บ!

                กรวีร์ทิ้งกระเป๋าเป้ลงบนพื้นพร้อมฉีกยิ้มกว้างหวานจับใจ สองมือพนมก้มไหว้ ย่อกายจนเข่าติดพื้น ท่วงท่างดงามราวกับนางนพมาศ

                “สวัสดีค่ะเสี่ยขา”

                “อันนี้ก็นอบน้อมเกินไป๊ ช่วยทำให้มันดูจริงใจหน่อยสิ” ปวินท์กอดอก หรี่ตามองเธออย่างรู้ทัน ซ่อนรอยยิ้มขบขันเอาไว้ภายใต้สีหน้าเรียบเฉย ลูกสาวเจ๊หวีนี่อยู่เป็นจริงๆ แค่รู้ว่าเขาเป็นเจ้าหนี้ คุณเธอก็เปลี่ยนสีเร็วยิ่งกว่าจิ้งจก

                “แหม...ระดับเสี่ยจะให้ทักทายธรรมดาแบบตาสีตาสาได้ไงละคะ นี่ถ้าไม่เกรงใจฉันจะนั่งลงคลานเข่าเข้าไปกราบแล้ว”

                “ฉันไม่ใช่พระ ไม่ต้องมา อัญชลี วันทา อภิวาท”

                “รู้ค่ะว่าเสี่ยไม่ใช่พระ ไม่งั้นจะมาตะแง้วๆ เร่งให้แม่ฉันหาเมียให้หรอกเหรอ”

                “เธอรู้ด้วยเหรอ” ปวินท์จับได้ทันทีว่าเจ๊หวีผิดคำพูด ไหนวันนั้นบอกจะรูดซิปปากเป็นอย่างดีไงล่ะ

                “รู้สิ เรื่องแบบนี้เสี่ยไม่ต้องเขินหรอก เออ แล้วนี่แม่ฉันหาเมียให้เสี่ยได้หรือยัง”

                ชั่ววินาทีที่จ้องหน้าเธอ ความหมั่นไส้ไม่รู้มาจากไหนเต็มไปหมด ปวินท์มองหญิงสาวด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก น้ำเสียงหนักแน่นจริงจังดังเรียกความสนใจจนคนฟังยังรู้สึกสะดุดหูแปลกๆ 

                “คิดว่าได้แล้ว”

                ยังไม่ทันจะได้วัดฝีปากกันต่อ คุณกัญญาก็เดินถือแก้วน้ำออกมา พอเห็นว่าใครเป็นใครดวงตาของแม่สื่อเบิกกว้าง ตอนได้ยินเสียงคุยก็ไม่นึกเอะใจคิดว่าคนที่นัดไว้คงมาแล้ว ทำไมกีวี่ถึงโผล่มาได้เหมาะเจาะอย่างนี้

                “กะ...กีวี่มายังไงลูก”

                “ก็แม่บอกอยากเจอหนูไม่ใช่เหรอ ถือโอกาสมาดูหน้าเจ้าหนี้ของแม่ด้วยไง” แม้หญิงสาวพูดกับแม่ แต่สายตายังตรึงอยู่กับใบหน้าของชายหนุ่มหนึ่งเดียวที่ยืนเด่นอยู่กลางห้องรับแขก

                “ฉันหล่อโดนใจเธอไหมล่ะ” ปวินท์เอ่ยถามหญิงสาว มีรอยยิ้มประดับมุมปาก

                “พอควงไปวัดตอนสายๆ ได้ เห็นหน้าแล้วก็ไม่นึกเสียดายค่าน้ำมันที่ฉันอุตส่าห์ดั้นด้นขับรถกลับมา” กรวีร์หยิบเป้ขึ้นมาสะพายตามเดิมแล้วเดินไปหาแม่ “เห็นเสี่ยบอกว่าแม่หาเมียให้เขาได้แล้ว”

                “แม่กิ่งอ้อมาถึงแล้วเหรอ” คุณกัญญากวาดตาหาคนที่นัดไว้ ไม่ยักเห็น ได้ยินแต่เสียงเจ้าหนี้สั่ง

                “เจ๊โทร. ไปยกเลิกคนที่นัดไว้ได้เลยครับ ผมคิดว่าเจอผู้หญิงที่เหมาะจะมาเป็นเมียผมแล้ว”

                “สะ...สะ เสี่ยเจอใครที่ถูกใจแล้วเหรอคะ” เห็นสายตาเจ้าหนี้ที่จ้องลูกสาวแล้ว คุณกัญญานึกเสียวสันหลังวาบ พูดไม่ออกบอกไม่ถูก กว่าจะเค้นออกมาได้แต่ละคำก็แสนยากเย็น

                ปวินท์ทำปากบุ้ยใบ้ไปทางกรวีร์ แล้วว่า “ลูกสาวเจ๊ไหว้สวยดี แม่ผมคงชอบลูกสะใภ้มารยาทงามแบบนี้”

                “นะ...นะ...นี่เสี่ยคงไม่ได้หมายความว่า”

                คุณกัญญามองชายหนุ่มตาค้างราวกับเห็นผีนางตะเคียนมาตามทวงแค้น ขนแขนลุกซู่ซ่า ยิ่งเห็นสายตามุ่งมั่นตั้งใจจะเอาให้ได้ของเสี่ยก็ยิ่งผวา

                “ผมจะเอาคนนี้”

                “เอ่อ...เสี่ยจ๋า เจ๊ว่าค่อยๆ พูดจากันดีกว่าเนาะ ถ้าเมื่อกี้ลูกสาวเจ๊ล่วงเกินอะไรเสี่ยไป เจ๊ขอโทษแทนด้วย ลูกสาวเจ๊ก็แบบนี้กระโดกกระเดกไม่ค่อยเรียบร้อย คงลืมตัวล้อเล่นกับเสี่ยแรงไปหน่อย อย่าถือสาเลยนะ เอางี้ดีกว่าเสี่ยอย่าเพิ่งใจร้อนด่วนสรุป กินน้ำกินท่าให้ใจร่มๆ คนน่ะเจ๊นัดไว้ให้แล้ว อีกสักประเดี๋ยวคงจะมาถึง” 

                ใบหน้าแม่สื่อซีดเผือด พูดตะกุกตะกักไม่เป็นคำ พยายามประคับประคองสถานการณ์ไม่ให้มันแย่ลงกว่าที่เป็นอยู่ ในใจเฝ้าภาวนาให้แม่กิ่งอ้อมาถึงไวๆ ดูจากสายตาเสี่ยไปป์กับลูกสาวที่ต่างคนต่างจ้องไม่มีใครยอมหลบ ทรงนี้เสี่ยน่าจะขอกีวี่ไปซ้อมมากกว่าจะเอาไปทำเมีย

                “เสี่ยชอบฉันเหรอ”

                “ฉันประทับใจ ท่าไหว้เธอสวยดี”

                คุณกัญญาได้ยินหนุ่มสาวตอบโต้กันแล้วอยากจะเป็นลม นี่ไม่ใช่คำถามของคู่รักที่กำลังจะแต่งงานอยู่กินกันสักหน่อย ไม่ได้เฉียดใกล้เลยด้วยซ้ำ

                “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว แม่อย่าขัดใจเสี่ยเลย ในเมื่อเสี่ยอยากได้ก็จัดให้เขาตามนั้นเถอะ หนูไม่ติดขัดตรงไหน จะให้ทำอะไรก็บอกมา”

                กรวีร์ประกาศเสียงดังฟังชัด กวนๆ แบบเสี่ยต้องได้เมียทันกันอย่างเธอนี่แหละ จ้างให้ก็ไม่เชื่อหรอกว่าเขาต้องการผู้หญิงไปสร้างครอบครัวจริงๆ เขาจะต้องได้รับประโยชน์อะไรสักอย่างจากการมีเมียครั้งนี้ ไหนๆ แม่เธอก็เป็นหนี้เขาแล้ว กรวีร์ถือโอกาสเอาตัวล้างหนี้ให้แม่ซะเลยไม่ดีหรอกเหรอแต่งกันแล้ว อยู่กินกันแล้ว ค่อยหาทางเอาตัวรอดทีหลัง ตกลงเงื่อนไขกันอีกที เรื่องนี้ไม่น่าจะยากเกินความสามารถเธอ

                หญิงสาวคิดทบทวนผลได้ผลเสีย ก่อนจะหันไปทางเจ้าหนี้ของแม่ที่ยืนมองเธอยิ้มๆ คิ้วเขาเลิกสูง หน้าตาดูท้าทายกันเหลือเกิน คงคิดว่าเธอไม่กล้าสินะ เล่นผิดคนแล้วค่ะเสี่ย

                “ขอถามอีกที เธอรู้ใช่ไหมว่าฉันให้แม่เธอหาคนไปทำอะไร” ปวินท์ถามซ้ำ อย่างน้อยลูกสาวเจ๊หวีก็ดูเป็นคนจิตแข็ง ไม่ใช่สาวน้อยโลกสวย เขาหวังว่าเธอจะดูแลตัวเองได้ดีในระดับหนึ่ง ซึ่งแน่นอนว่าเขาจะต้องดูแลในเรื่องความปลอดภัยให้เธอเป็นอย่างดีไม่มีบกพร่อง

                “แล้วฉันเหมือนอะไรที่เสี่ยต้องการหรือเปล่าล่ะ”

                “ก็ตรงสเปกประมาณสามในสี่ส่วน ถือว่าพอใช้แก้ขัดไปก่อนได้ ส่วนหน้าตาก็ควงเข้าวัดเข้าวาไม่อายใคร บอกว่าเป็นเมียเสี่ยไปป์คนเขาคงเชื่ออยู่บ้าง” ปวินท์ลูบคางมองอย่างพิจารณา แกล้งเอาคำพูดของเธอมาย้อน ก่อนจะถามหญิงสาวอย่างจริงจัง “สนใจอยากเป็นเมียฉันไหมล่ะ”

                “ถือว่าเป็นคำขอแต่งงานที่ฟังดูฮาร์ดคอดี เอาสิ เป็นก็เป็นไม่เห็นจะยาก ฉันกำลังอยากได้เสี่ยเลี้ยงพอดี แบบว่าหนี้ฉันเยอะน่ะค่ะ”

                “กีวี่! นี่ไม่ใช่เรื่องจะมาพูดล้อเล่นกันนะ แม่เตรียมผู้หญิงไว้ให้เสี่ยแล้ว” 

                หนุ่มสาวตกลงกันได้ แต่คนเดือดเนื้อร้อนใจกลับเป็นแม่สื่อ เพราะรู้ดีว่านี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ตั้งแต่เสี่ยเร่งให้หาเมียก็รู้สึกไม่ชอบมาพากลแล้ว คุณกัญญารีบหันไปดุลูกสาวจับแขนเขย่าเรียกสติ

                “ไม่เอาน่าแม่” กรวีร์ตบหลังมือแม่เบาๆ พลางยิ้มปลอบ

                มาถึงขั้นนี้เธอไม่ยอมถอยแน่ กรวีร์ไม่รู้หรอกว่าแท้จริงแล้วเสี่ยต้องการเมียไปทำอะไร แต่ถ้าเขาอยากได้เธอ เขาก็ต้องเตรียมตัวรับผลที่จะตามมาด้วย คนอย่างเธอกล้าได้กล้าเสีย ลองเป็นเมียเสี่ยสักทีน่าตื่นเต้นดีเหมือนกัน ใช่ว่าเธอจะเสียประโยชน์อยู่ฝ่ายเดียวซะที่ไหน เขาได้เมีย ส่วนเธอได้ใช้หนี้ให้แม่ วินๆ ทั้งสองฝ่าย

                “หนูไม่ได้ล้อเล่นสักหน่อย แม่ก็เห็นว่าเสี่ยกับหนูเข้ากันได้ดีแค่ไหน ไม่มีวาสนาไม่อาจพานพบ เบื้องบนคงกำหนดมาแล้ว แม่ก็อย่าทำให้ฟ้าผิดหวังเลยนะ ดูท่าหนูนี่แหละน่าจะเป็นคนที่ฟ้าส่งมาให้เสี่ย” หญิงสาวฉีกยิ้มหวานไปยังว่าที่สามี “คราวนี้เรามาตกลงเรื่องสินสอดกันดีกว่า”

                “เอาสิ ไหนๆ ฟ้าก็เป็นใจให้เรามาเจอกันแล้ว เธอคิดจะเรียกสินสอดฉันสักเท่าไหร่ดีล่ะ แต่ต้องบอกก่อนนะว่าเราสองคนคงจะยังไม่จัดงานแต่งงานกันในเร็วๆ นี้ เพราะแม่กับน้องฉันยังรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล หากจัดงานคงไม่สะดวกนัก แต่เธอไม่ต้องกลัว ฉันจะชดเชยเรื่องนี้ให้ คนทั้งจังหวัดจะต้องรู้ว่าเธอเป็นเมียของฉัน”

                “เอาแค่ไม่ให้ใครนินทาแม่ฉันว่าลูกสาวหนีตามผู้ชายไป ฉันก็โอเคแล้ว เสี่ยจัดการได้เลย ส่วนเรื่องสินสอด...” กรวีร์หยุดเพื่อหันไปมองเจ๊หวีที่เอาแต่ส่ายหน้าส่งสายตาห้าม หญิงสาวยิ้มปลอบ วางมือทาบลงไปบนหลังมือของแม่ที่ยังเกาะแขนอยู่ เธอตัดสินใจบอกกับสามีในอนาคตอันใกล้อย่างตรงไปตรงมา “ในชีวิตของฉันเหลือแม่แค่คนเดียว ฉันรู้ว่าเสี่ยไม่เดือดร้อนเรื่องเงิน แต่บังเอิญว่าฉันกับเจ๊หวีเดือดร้อนมาก”

                “แจ้งยอดมาได้เลย”

                “เฮ้อ...อย่างน้อยว่าที่สามีหนูก็สปอร์ตอยู่นะแม่ ใจถึงแบบนี้เหมาะสมกับการเป็นลูกเขยเจ๊หวีที่สุดแล้ว ไปค่ะ ไปนั่งสวยๆ เรียกค่าตัวหนูดีกว่า” กรวีร์ยิ้มกว้างโอบเอวพาแม่ไปนั่งเป็นประธาน “เชิญนั่งค่ะเสี่ย”

                ทั้งสามนั่งเผชิญหน้ากันด้วยความรู้สึกที่ยากเกินจะบรรยาย ความเงียบปกคลุมห้องกว้าง ความเคร่งเครียดครอบงำจิตใจ มีเพียงไอน้ำเม็ดเล็กๆ ที่เกาะพราวข้างแก้วเท่านั้นที่ยังเคลื่อนไหวไหลลงสู่เบื้องล่างจนเปียกชื้นเป็นวง

                หากจะมีการทาบทามสู่ขอที่ลำบากใจที่สุดในชีวิตของแม่สื่อก็เห็นจะเป็นครั้งนี้ องค์ประธานอย่างเจ๊หวีเหมือนนั่งอยู่บนปากเหว จะยิ้มก็ไม่ใช่ จะร้องไห้ก็ไม่มีน้ำตา ครั้นจะห้ามลูกสาวก็ดูว่าเรื่องราวมันข้ามขั้นบานปลายมาไกลเกินกว่าจะถอยหลังกลับ เสี่ยไปป์ไม่ยอมปล่อยและกีวี่ไม่ถอยแน่

                “อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิแม่ หนูกำลังจะเป็นฝั่งเป็นฝา ได้สามีที่ฟ้าประทานมาให้ ไม่ใช่จะไปรบราฆ่าฟันกับใครสักหน่อย”

                กรวีร์ปลอบใจแม่และตัวเองไปด้วย ลึกๆ เธอไม่ได้มั่นอกมั่นใจอย่างที่แสดงออกมาหรอก ต่อให้จิตแข็งสักแค่ไหนก็ต้องแอบหวั่นไหวกันบ้าง เธอกำลังจะต้องพลีกายไปเป็นเมียขัดดอกใช้หนี้แทนแม่ โอ้โห...นี่มันชีวิตรันทดของนางเอกนิยายชัดๆ เธอรู้ว่านี่เป็นการตัดสินใจชั่ววูบและค่อนข้างบ้าระห่ำ แต่มันก็เป็นวิธีเดียวที่จะช่วยล้างหนี้ของแม่ได้อย่างหมดจด ไม่ยืดเยื้อ เธอหวังว่าแม่จะเข็ดขยาดไม่ก่อหนี้สินใหม่อีก

                สุดท้ายแล้วกรวีร์อยากให้เรื่องนี้เป็นบทเรียนเตือนสติแม่ จะรักใครชอบใครเธอไม่เคยว่า แต่อย่าไปทุ่มเทเปย์หมดหน้าตักเสียจนตัวเองต้องเดือดร้อน เมื่อปัญหามันเกิดไม่ใช่แค่แม่คนเดียว แต่มันลามมาถึงตัวเธอด้วย ความรักบางครั้งต้องมีขอบเขต แม่จะต้องพึงระลึกไว้เสมอ เป็นเพราะน้ำพริกสามพันกระปุกนั่นทำให้ลูกสาวคนเดียวต้องยอมแลกความสุข ยอมเป็นเมียขัดดอกของเสี่ยกระหายสวาทคนหนึ่ง

                วุ้ย...ขนลุก! คิดแล้วน้ำเน่าชะมัด 

                ถ้าหากไม่มีหนี้สามแสนทุกอย่างก็จะไม่เป็นแบบนี้ กรวีร์คงไลฟ์ขายหม้อสวยๆ ในโลกออนไลน์ของเธอต่อไป ไม่ต้องกลับมาพลีกายแลกกับการใช้หนี้ก้อนโต ในเมื่อเธอเตือนดีๆ แล้วแม่ไม่หยุดเปย์อีกระต่ายผีนั่นสักที เธอจึงต้องสวมบทโหดเลือกใช้วิธีรุนแรงเชือดตัวเองให้แม่ดูแบบนี้แหละ

                หลังจากนี้ก็เป็นหน้าที่ของเธอที่จะต้องจับเข่าคุยกับเสี่ยให้ชัดเจน ไอ้เรื่องจะเปลื้องผ้าเดินขึ้นเตียงน่ะไม่มีในหัวสักนิด ก่อนอื่นต้องรู้ให้ได้ว่าเสี่ยจะรีบมีเมียไปทำไม เธอไม่เชื่อเด็ดขาดว่าเสี่ยอยากมีเมียโดยไม่มีเบื้องลึกเบื้องหลัง เธอกับเขาต้องคุยกันให้ชัดเจนทั้งสองฝ่าย เพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน รอให้อยู่กันตามลำพังก่อนเถอะ แม่จะเค้นความลับออกมาให้หมด เรื่องสกิลความเผือกน่ะบอกเลย กีวี่ไม่เป็นรองใคร

                กรวีร์กระแอมกระไอทำลายความเงียบด้วยการมุ่งประเด็นเข้าสู่ใจความสำคัญ หญิงสาวรวบรวมกำลังใจแล้วเอ่ยขึ้นว่า

                “เรื่องค่าสินสอด”

                “กีวี่...แม่ว่า”

                “ปล่อยให้เขาพูดไปเถอะครับเจ๊ เขามีสิทธิ์เรียกร้องเท่าๆ กับผม”

                “จะเป็นไรไหมคะถ้าฉันขอให้เสี่ยยกหนี้ทั้งหมดให้แม่”

                “หนี้สามแสนนั่นน่ะเหรอ” ปวินท์ทำท่าคิด ทอดเวลาให้คนรอลุ้นระทึก ก่อนจะยิ้มออกมา “ได้สิ หลังจากเราจดทะเบียนสมรสกันเรียบร้อยแล้ว ฉันจะคืนสัญญาเงินกู้ให้”

                นั่นไงเรื่องลำบากใจแรกมาแล้ว

                “เอ๊ะ! เราต้องจดทะเบียนกันด้วยเหรอ” เจอเงื่อนไขนี้ทำกรวีร์อึ้งไปเหมือนกัน อะไรที่ต้องผูกพันด้วยกฎหมาย ตอนจบมันมักจะจบไม่ง่ายอย่างใจนึก

                “ฉันตั้งใจยกเธอเป็นเมียออกหน้าออกตา แล้วเราก็ไม่ได้จัดงานแต่ง ถ้าไม่จดทะเบียนสมรสให้ถูกต้อง เธอกับแม่คงเป็นขี้ปากชาวบ้านให้เขานินทากันสนุก ซึ่งฉันไม่ชอบให้ใครมาว่าเมียกับแม่ยายของตัวเองลับหลัง สู้ทำให้มันถูกต้องซะตั้งแต่แรกเลยดีกว่า และหลังจากที่เธอกลายเป็นสะใภ้ปรานต์ปราณนต์อย่างสมบูรณ์แล้ว ฉันจะจ่ายค่าน้ำนมที่เจ๊หวีเลี้ยงดูเธอมาอย่างดีหนึ่งล้านบาท หากวันใดวันหนึ่งที่เราสองคนหมดวาสนาต่อกันต้องจบความสัมพันธ์ด้วยการหย่าร้าง ฉันจะไม่ให้เธอเดินออกจากบ้านตัวเปล่า เธอจะได้เงินตั้งต้นชีวิตใหม่อีกหนึ่งล้านบาท เธอว่าเป็นไง มีข้อไหนที่ไม่โอเคหรือเปล่า”

                “ข้อหลังนี่ดีสุด ฉันจดแล้วหย่าเลยได้ไหมอะ ล้านหนึ่งเหนาะๆ”

                “ตลกมากไหม เราไม่ได้คุยเรื่องจริงจังกันอยู่หรอกเหรอ” ปวินท์ย้อนถาม ทำหน้าตาเหมือนอยากจับเธอทำปุ๋ย 

กรวีร์ยักไหล่ยิ้มกว้าง

                “แหม...ผ่อนคลายหน่อยสิเสี่ย เมียก็นั่งอยู่นี่ ไม่ได้หนีไปไหน ขำๆ น่า”

                ขณะที่ลูกสาวกับว่าที่ลูกเขยถกเถียงกัน เจ๊หวีกลับนั่งพึมพำนับนิ้วตามจำนวนเงินที่ปวินท์บอก แล้วรีบเอามือปิดปาก เบิกตากว้างมองว่าที่ลูกเขยตาไม่กะพริบ

                “หนี้สามแสน สินสอดหนึ่งล้าน ขวัญถุงอีกล้าน รวมแล้วสองล้านสาม!”

                “ครับ รวมๆ แล้วก็สองล้านสามแสนบาทถ้วน”

                “ตกใจอะไรล่ะแม่ สองรายการหลังนี่เสี่ยเต็มใจเปย์ให้โดยที่หนูไม่ได้ร้องขอเลยนะ”

                “มันค่อนข้างฉุกละหุกไปหน่อย แต่ผมก็อยากให้แฟร์ๆ กันตั้งแต่เริ่มต้น ผมไม่คิดเอาเปรียบเจ๊หวีกับลูกสาว ถ้าตกลงตามนี้และเจ๊ไม่มีปัญหา พรุ่งนี้เช้าเก้าโมงตรง เราไปเจอกันหน้าอำเภอ”

                โอ้โห...กรวีร์มองผู้ชายตรงหน้าอย่างทึ่งจัด หลงคิดว่าตัวเองร้อนเงินจนหน้ามืดอยู่คนเดียว ที่ไหนได้ล่ะเสี่ยนี่ก็วอนต์เมียใจจะขาดเหมือนกัน เขาพร้อมถึงขนาดที่จัดสรรปันส่วนเงินไว้หมดแล้ว คิดเผื่อไปถึงชีวิตหลังการหย่าร้าง เธอยิ่งมั่นใจว่าเขาไม่ได้ต้องการเมียที่จะเอาไปเป็นเมียจริงๆ แล้วอย่างนี้จะไม่ให้เธอสงสัยได้ไง 

                ช่วงเวลาแห่งการตัดสินใจมาถึง หัวใจของกรวีร์เต้นระทึกราวกับมีมือกลองมานั่งกระหน่ำตีอยู่ข้างในนั้น เธอรู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แต่พอคิดถึงค่าตอบแทนหักลบกลบหนี้กันแล้วก็ถือว่าโคตรคุ้ม สองล้านสามเชียวนะกีวี่ เธอจะต้องไลฟ์ขายหม้ออีกกี่ทีถึงจะได้ หญิงสาวสูดลมหายใจลึกยาวรวบรวมพลัง ก่อนฉีกยิ้มกว้าง

                “ตกลงค่ะ พรุ่งนี้เจอกันหน้าอำเภอ”

                กรวีร์สบตากับปวินท์ ดวงตาของเขาราวกับมีแรงดึงดูดบางอย่าง มันมีทั้งความท้าทาย ยั่วเย้าและอันตรายซุกซ่อนอยู่ ไม่ว่าเสี่ยคนนี้จะมีอะไรปกปิดไว้ เธอจะได้รู้ความจริงภายในเร็ววันนี้แหละ

                “ลูกสาวเจ๊หวีไม่ทำให้ผมผิดหวังจริงๆ” ชายหนุ่มออกปากชมพร้อมรอยยิ้มพร่างพราว ว่าที่เมียของเขาก็ยิ้มตอบกลับมาอย่างไม่ยอมลดราวาศอก

                “เจ้าหนี้ของแม่ก็ไม่ทำให้หนูผิดหวังเหมือนกัน”

 

                หลังการเจรจาสู่ขอผ่านไปในที่สุดกรวีร์ก็มีโอกาสได้อยู่ตามลำพังกับว่าที่สามีของตัวเอง ตอนที่เขาบอกว่าจะกลับแล้ว เธอรีบเสนอตัวออกมาส่ง คุณกัญญาได้แต่นั่งมองตาปริบๆ เพราะห้ามไม่ทัน หรือถึงจะห้ามทันลูกสาวก็คงไม่ฟัง

                หนุ่มสาวเดินเคียงคู่กัน ปวินท์ลดระยะก้าวเท้าให้สั้นลงเล็กน้อยเพื่อให้คนข้างๆ เดินตามทัน ดูเหมือนว่าลูกสาวเจ๊หวีจะยังไม่หมดข้อกังขา และเรื่องที่เธอยังค้างคาใจอยู่ก็ค่อนข้างเป็นส่วนตัวเสียด้วยสิ ชายหนุ่มสอดมือล้วงกระเป๋ากางเกงเดินไปเรื่อยๆ รอคอยอย่างใจเย็นเพราะเขาเองก็มีเรื่องอยากตกลงกับเธอเช่นกัน

                “นี่เสี่ย ไหนๆ เราสองคนจะร่วมหอลงโรงกันแล้ว เสี่ยไม่คิดจะถามชื่อหรือทำความรู้จักกันอย่างเป็นทางการหน่อยเหรอ”

                “เราก็รู้จักกันแล้วนี่”

                กรวีร์ทำหน้าเบื่อหน่าย “รู้จักกันอย่างนี้มันแค่ผิวเผิน นี่เราจะต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันนะเสี่ย”

                “แสดงว่าเธอเริ่มสนใจฉันแล้วสิกีวี่” ปวินท์ยิ้ม เขาไม่จำเป็นต้องถามเพราะได้ยินเจ๊หวีเรียกชื่อลูกสาวบ่อยจนจำได้ขึ้นใจ ส่วนชื่อจริงเดี๋ยวตอนจดทะเบียนก็ได้รู้อยู่ดี ไม่เห็นต้องรีบร้อน “เธออยากรู้อะไรเกี่ยวกับฉันล่ะ”

                “เสี่ยจะตอบจริงดิ”

                “ขึ้นอยู่กับคำถามว่าตอบได้หรือเปล่า”

                “ฉันไม่ถามสมการพีทาโกรัสเสี่ยหรอกน่า รู้...ว่าคำนวณเก่ง” หญิงสาวก้าวไปยืนขวางหน้าทำให้ปวินท์ต้องหยุดเดินโดยอัตโนมัติ แล้วเธอก็โพล่งออกมา “เสี่ยต้องการเมียไปทำไม”

                คำถามนี้ตอบยากกว่าสมการพีทาโกรัสซะอีก

                “เอาไปส่งชิงโชคล่ะมั้ง” ปวินท์กลบเกลื่อนด้วยเสียงหัวเราะ แล้วย้อนถาม “เธอคิดว่าเป็นเพราะอะไรล่ะที่ทำให้ผู้ชายคนหนึ่งถึงอยากมีเมียขึ้นมา อย่าคิดซับซ้อนเลยน่า ฉันก็เป็นคนธรรมดาๆ อยากจะมีครอบครัวอบอุ่นเหมือนคนอื่นเขาบ้าง”

                กรวีร์เดินวนรอบตัวว่าที่สามี ก่อนหยุดยืนตรงหน้าเขาแล้วจ้องตาไม่กะพริบ 

                “บอกตรงๆ เชื่อไม่ลงจริงๆ ท่าทางของเสี่ยมันไม่เหมือนคนอยากมีครอบครัวไง ฉันถึงได้ถาม คนอยากสร้างครอบครัวเขาไม่เร่งแม่สื่อแบบเสี่ยหรอก มันร้อนรนเกินไป เหมือนต้องรีบใช้งาน”

                “อันที่จริงก็รีบใช้ในระดับหนึ่ง” 

                “รีบใช้”

                “ก็...ถ้าไม่มีเมีย ครอบครัวจะสมบูรณ์ได้ไงล่ะ” ปวินท์เห็นเธอขมวดคิ้ว “ทำไม หรือเกิดอยากเปลี่ยนใจขึ้นมาแล้ว”

                “ถ้าฉันเปลี่ยนใจขึ้นมาจริงๆ เสี่ยจะทำไง”

                “ไม่ใช่ฉัน แต่เป็นแม่เธอต่างหากที่ต้องทำ” 

                ดวงตาที่เคยเป็นประกายขบขันบัดนี้สงบราบเรียบราวกับทะเลกำลังก่อคลื่นลมพร้อมพัดกระหน่ำพายุใหญ่ ไม่มีรอยยิ้มรื่นรมย์บนใบหน้าหล่อเหลา ช่างเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ทำเอาคนเห็นรู้สึกเย็นยะเยือก

                “คิดดูดีๆ นะ หนึ่งล้านหลังหย่าก็จะไม่ได้ ค่าสินสอดอีกล้านก็กลายเป็นศูนย์ และถ้าเธอไม่อยากเป็นเมียฉันจริงๆ ก็เตรียมหาเงินสามแสนมาคืนกันแค่นั้นเอง ฉันไม่บังคับฝืนใจใครหรอก เธอก็เห็นว่าฉันแฟร์แค่ไหน เธอยังมีโอกาสเปลี่ยนใจ ตราบใดที่เรายังไม่จดทะเบียนสมรสกัน”

                กรวีร์แกล้งถอนใจร้องเฮ้อออกมาดังๆ “ก็ถ้ามีเงินสามแสน ฉันคงไม่ต้องอุทิศตัวไปขัดดอกหรอกค่ะคุณว่าที่สามี”

                “งั้นเราควรจบเรื่องนี้ ในเมื่อฉันให้เลือก เธอก็ยังเลือกฉันเหมือนเดิม”

                กรวีร์ค้อนขวับกับคำพูดนั้น เธอเลือกเขาที่ไหนกันล่ะ “แหม...เสี่ยนี่ใจกว้างเนอะ ทำอย่างกับว่าฉันมีทางให้เลือกเยอะแยะ”

                ปวินท์เห็นหญิงสาวเม้มปาก เมินหน้าหนีไปทางอื่น เขาอยากรู้ว่าอะไรกันที่คนกล้าบ้าบิ่นอย่างลูกสาวเจ๊หวีเป็นกังวล ในเมื่อตอนคุยกันสามคนก็ดูมั่นใจมาก ต่อปากต่อคำไม่ลดละ 

                “เรามาแนะนำตัว สร้างความคุ้นเคยกันหน่อยดีไหม ฉันเริ่มก่อนก็ได้” ชายหนุ่มชักชวนและแกล้งพาดแขนโอบไหล่ บังคับให้เธอเดินไปพร้อมกัน 

                นี่เป็นครั้งแรกที่รอมาเนิ่นนาน เฮ้ย! ไม่ใช่สิ เป็นครั้งแรกที่ถูกเขาบุกเข้าถึงตัว กรวีร์สะดุ้งโหยง ตัวแข็งทื่อ ก้าวขาไม่ออก แต่วินาทีต่อมาก็ยอมโอนอ่อนเดินตามแรงดึง ปวินท์ยิ้มค่อนข้างพอใจกับปฏิกิริยาของเธอ ชายหนุ่มเริ่มต้นเล่า

                “ปวินท์ ปรานต์ปราณนต์ เป็นชื่อสกุลจริงของฉัน ใครๆ ก็เรียกฉันว่าเสี่ยไปป์ ซึ่งฉันไม่ซีเรียสหากเธอจะเรียกฉันว่าเสี่ยไปป์ หรือพี่ไปป์ตามน้องสาวฉันก็ได้ แต่อย่าจิกหัวเรียกผัวว่าไอ้ไปป์แล้วกัน เสี่ยขาแบบเมื่อกี้ก็ไม่เอานะ ถือว่าฉันขอ ได้ยินแล้ว...บรื๋อ ขนลุก”

                เสี่ยขาของกรวีร์แสร้งทำท่าแขยงแขงขน หญิงสาวอมยิ้มนิ่งฟังเขาเล่าต่อ

                “ฐานะหน้าที่การงานของฉันมั่นคงแล้ว สามารถเลี้ยงเมียให้อยู่สบายๆ ได้ เธอไม่ต้องไปหิ้วถังปูนตากแดดหัวแดงเป็นแรงงานต่างด้าว เหมือนสมัยที่แม่กับพ่อฉันบุกเบิกปองพลคอนสตรักชัน” 

                “โห...เฮียปองเคยใช้เจ๊ปิ๋มหิ้วถังปูนด้วยเหรอ” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองเขาตาโตพอเห็นประกายขบขันในแววตาก็รู้ตัวว่าโดนเสี่ยบ้านี่แกล้งเข้าแล้ว

                “เปล่า ฉันพูดให้มันดูเวอร์ไปงั้นแหละ”

                “ฮื้อ...” กรวีร์จิ๊ปากทำเสียงขัดใจ นึกอยากจะฟาดหน้ายิ้มๆ นั่นสักผัวะ

                “ไม่เอาน่า ฉันเห็นเธอเครียดๆ ก็เลยอยากให้ผ่อนคลาย เป็นเมียเสี่ยไปป์ต้องสดใสร่าเริง” ปวินท์ยิ้มเจ้าชู้ใส่หญิงสาว และเขาชอบมากที่เธอหลบตา “ฉันดูแลปองพลคอนสตรักชันกับทัชพล เพื่อนรักที่ฉันไว้ใจมากที่สุด ไว้เจอกันแล้วจะแนะนำให้รู้จักนะ ปองพลคอนสตรักชันเป็นแหล่งสร้างรายได้หลักของครอบครัวเรา...

“ ฉันเป็นโรคกระเพาะ มันเป็นๆ หายๆ น่ะ อย่างอื่นก็ถือว่าสุขภาพแข็งแรงใช้ได้ ไม่เสี่ยงโรคติดต่อร้ายแรงหรือกามโรค ถ้าเผื่อเธอจะติดใจเรื่องนี้ก็สบายใจได้ ฉันค่อนข้างจะหวงแหนความเป็นชายในระดับหนึ่ง ฉันไม่เล่นการพนัน ไม่สูบบุหรี่ ส่วนเหล้ามีบ้างเวลาที่ต้องออกงาน หรือวาระพิเศษ คร่าวๆ ก็มีเท่านี้ ส่วนรายละเอียดอย่างอื่นคิดว่าเราน่าจะต้องค่อยๆ เรียนรู้ศึกษากันไป คราวนี้ตาเธอเล่าบ้าง”

                กรวีร์อ้าปากค้าง “ฉันเหรอ”

                “งั้นสิ ฉันไม่ยอมให้เธอล้วงความลับฝ่ายเดียวหรอก”

                หญิงสาวพบว่าว่าที่สามีของเธอเป็นคนเบี่ยงประเด็นเก่ง เขาสามารถพาตัวเองออกจากจุดวิกฤตและพลิกสถานการณ์กลับมาเป็นฝ่ายไล่ต้อนเธอแทน ถ้าจำไม่ผิดก็ไม่ใช่ว่าเธอเพิ่งถามเขาหรอกเหรอว่าอยากมีเมียไปทำไม แต่เขากลับพูดโยกไปเรื่องนั้นเรื่องนี้ หลบหลีกได้อย่างชาญฉลาดและกำลังจะล้วงความลับของเธอในขั้นต่อไป

                เสี่ยไปป์คนนี้ร้ายกาจชะมัด แต่สิ่งหนึ่งที่สังเกตได้คือทุกครั้งที่เขาพูดถึงปองพลคอนสตรักชัน น้ำเสียงจะเต็มไปด้วยความรักและภาคภูมิใจ

                “ฉันชื่อกรวีร์ ชื่อเล่นเสี่ยรู้แล้วนี่ ฉันก็เหมือนๆ เสี่ยนั่นแหละ ต่างแค่ตกงานกับร้อนเงินนิดหน่อยเท่านั้น ช่วงนี้ก็อาศัยกำไรจากการขายหม้อทอดออนไลน์ประทังชีวิต นอกนั้นก็ไม่มีอะไรแล้ว” หญิงสาวจบประวัติส่วนตัวอย่างรวดเร็ว

                “แค่นี้เองเหรอ”

                “อื้อ” เธอพยักหน้า “ฉันมันโลว์โพรไฟล์ จะเอาอะไรมาเล่าเยอะแยะแบบเสี่ยล่ะ”

                “มีแฟนไหม”

                “สวยๆ แบบนี้จะโกหกว่าไม่เคยมีก็กลัวบาป แต่เสี่ยสบายใจได้ เพราะแฟนเก่าฉันตอนนี้มีลูกสองคนแล้ว”

                “สวยๆ แบบนี้ ไม่น่าเชื่อว่ายังมีใครกล้าทิ้ง เธอก็ดูฉลาด ทำไมถึงเลือกผู้ชายโง่ๆ มาเป็นแฟน แล้วยังโดนมันทิ้งอีก”

                กรวีร์หัวเราะคิกคักที่เขาเลียนแบบคำพูดของเธอ เสี่ยนี่ปากคอเราะรายไม่เบา 

                “เสี่ยต้องขอบคุณความโง่ของเขานะ ถ้าแฟนเก่าฉันฉลาดขึ้นมา เสี่ยก็พลาดได้ฉันเป็นเมียนะสิ คือ...จะนินทาแฟนเก่ายังไงไม่ให้เราดูร้ายดีล่ะ เป็นเพราะว่าฉันจนเลยโดนทิ้ง ไม่มีใครอยากได้ลูกสาวช่างทำผมไปเชิดหน้าชูตาหรอก มันไม่ส่งเสริมหน้าที่การงานสักเท่าไร โม้ข่มใครก็ไม่ได้ ความคิดโบราณเนาะ” 

                กระแสเสียงประชดประชันทำให้ปวินท์อมยิ้ม ความโสดของเธอทำเขาสบายใจอย่างบอกไม่ถูก ส่วนเรื่องฐานะไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขาอยู่แล้ว

                “โชคดีที่ฉันมั่นคงแล้ว รับรองว่าเรื่องเงินๆ ทองๆ จะไม่เป็นปัญหากับชีวิตคู่ของเราแน่นอน และเพื่อความสะใจเล็กๆ ฉันอยากแนะนำว่าต่อไปถ้าเธอเจอใครที่คิดดูถูกลูกสาวช่างทำผมอีกละก็ เชิดใส่คนพวกนั้นได้เลยเพราะว่าสามีของเธอรวยมาก”

                “ฉันชักจะชอบเสี่ยขึ้นมาแล้วสิ สามีรวยมาก”

                กรวีร์หัวเราะชอบใจ ก่อนจะยิ้มอวดฟันขาวสะอาดเรียงตัวเป็นระเบียบสวยงาม เออเนาะ เป็นเมียเสี่ยมันดีแบบนี้นี่เอง แถมเสี่ยของเธอยังโสด ไม่ต้องไปเป็นเมียเก็บ เมียลับให้เมียหลวงมาลวงสังหารด้วย

                “แต่ฉันมีอีกเรื่องที่อยากเตือนเธอ”

                “เรื่องอะไร”

                “ก่อนหน้านี้ครอบครัวฉันประสบอุบัติเหตุ แฟนน้องสาวฉันตาย ส่วนแม่กับน้องของฉันยังอยู่โรงพยาบาล ตำรวจบอกว่ามันไม่ใช่อุบัติเหตุ ให้ฉันระวังตัวเอาไว้บ้าง ในฐานะที่เธอจะมาเป็นเมียฉันเวลาจะไปไหนมาไหนก็ให้ระวังตัวเอาไว้บ้าง ฉันไม่อยากให้เธอประมาทเรื่องนี้ แต่ฉันสัญญาว่าจะดูแลเธอให้ดีที่สุด”

                “โอ๊ย...ฉันก็แค่แม่ค้าขายหม้อทอดถึงจะอัปเกรดเป็นเมียเสี่ยก็คงไม่มีใครสนใจหรอก เอางี้ไหม นอกจากเป็นเมียเสี่ยแล้ว ฉันสามารถรับเป็นบอดีการ์ดเสี่ยได้อีกงานนะ เสี่ยก็ให้ค่าขนมฉันเพิ่มอีกสักหน่อย” กรวีร์ฉีกยิ้มกว้าง ไม่ได้ตระหนกตกใจกับคำเตือนของว่าที่สามี

                “เธอนี่นะ” ปวินท์นึกกังวลขึ้นมา นี่แหละที่เขาไม่อยากดึงใครเข้ามาเกี่ยวข้องอีก จากที่ห่วงแม่กับน้อง คราวนี้ก็ต้องมาห่วงเมียเพิ่มด้วย เขาต้องกำชับเรื่องนี้กับสารวัตร กรวีร์จะต้องมีคนตามดูแลความปลอดภัยให้ หากเกิดเหตุการณ์อะไรจะได้ช่วยเหลือเธอทันท่วงที

                “แล้วนี่ฉันต้องกังวลกับผู้หญิงของเสี่ยไหม” ถึงเขาจะอยากได้เมีย แต่กรวีร์ก็ต้องย้ำถามให้แน่ใจอีกสักรอบ

                “ฉันเลิกกับแฟนเก่านานแล้ว และถ้าไม่ขาดแคลนผู้หญิงจริงๆ ฉันคงไม่ต้องพึ่งแม่เธอ”

                “งั้นฉันขออะไรเสี่ยอย่างหนึ่ง”

                “หลายอย่างก็ได้”

                หญิงสาวไม่อาจเก็บรอยยิ้มพอใจในความใจป้ำของเขา แต่ยังมีเรื่องสำคัญที่ต้องตกลงกันให้รู้เรื่อง

                “ตลอดเวลาที่ฉันยังเป็นเมียเสี่ย ถ้าเสี่ยอยากมีเมียเล็กเมียน้อย เสี่ยบอกฉันนะ อย่าทำหลบๆ ซ่อนๆ ฉันจะหย่าให้...พร้อมเงินชดเชยจากเสี่ยอีกหนึ่งล้าน”

                “โธ่เอ๊ย นึกว่าจะใจกว้าง”

                “แหม...ก็คิดซะว่าเป็นค่าสึกหรอ”

                คำพูดของหญิงสาวทำให้ปวินท์กวาดตามองทั่วเรือนร่างอย่างมีความหมาย ดวงตาชายหนุ่มฉายแววกรุ้มกริ่มชนิดที่คนถูกมองต้องรีบผลักมือที่กำลังเขี่ยหัวไหล่เธอเล่นออกไปให้พ้น ขยับกายหนีไปยืนห่างๆ ทั้งคู่เดินมาถึงรถแล้ว

                “อย่าห่วงเลย ฉันใช้ของถนอมมือ รับรองว่าเธอจะไม่สึกหรอเพราะฉันแน่นอน” ชายหนุ่มกล่าวยิ้มๆ ก้มศีรษะลงเล็กน้อยเป็นการอำลา “หลับฝันดีนะครับว่าที่ภรรยา พรุ่งนี้เจอกันหน้าอำเภอ อย่าหลอกฉันไปรอเก้อละ”

                พูดจบปวินท์ก็เปิดประตูขึ้นรถ ขับออกไป ทิ้งให้หญิงสาวยืนมองสุดสายตา

 

                ชายผู้กำลังจะเป็นฝั่งเป็นฝาขับรถออกจากบ้านว่าที่แม่ยายก็ตรงไปยังโรงพยาบาลซึ่งใช้เวลาไม่นานนัก ปกติเลิกงานแล้วเขาจะแวะมาเยี่ยมแม่กับน้องก่อนเข้าบ้าน แต่เพราะวันนี้มีธุระสำคัญกับเจ๊หวีเลยมาช้ากว่าทุกวัน 

                ประตูลิฟต์เลื่อนออก ปวินท์เดินตรงไปห้องของแม่กับน้อง เคาะเบาๆ แล้วเปิดเข้าไป ในห้องมีทัชพลยืนเกาะเตียงของประภามนท์ ขณะที่เตียงของแม่มีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งหันหลังให้ พอได้ยินเสียงเปิดประตูเธอก็หันมามอง 

                ปวินท์ชะงักไปนิด ไม่คิดว่าจะเห็นคนรักเก่ามาเยี่ยมแม่กับน้อง ตั้งแต่นลินตัดสินใจคบหากับธนชิต เขาก็ไม่เคยเห็นเธอไปไหนมาไหนโดยปราศจากเงาลูกชายนายกเลย พอเห็นเธอฉายเดี่ยวแบบนี้นึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย

                “หลิน” ชายหนุ่มยิ้มทัก “มาคนเดียวเหรอ”

                “ค่ะ” เจ้าของชื่อยิ้มตอบกลับมาอย่างอ่อนหวาน “หลินมาเยี่ยมปาล์มกับป้าปิ๋ม เห็นพี่ทัชบอกว่าพี่ไปป์ไปธุระ”

                “อ๋อ...ครับ”

                “เรียบร้อยดีไหม” ทัชพลถาม ปวินท์พยักหน้าอย่างรู้กัน

                “นัดเซ็นสัญญากันพรุ่งนี้ แกคงต้องเข้าบริษัทไปประชุมแทนฉันช่วงเช้า”

                “ได้สิ ว่าแต่ไม่มีปัญหาเลยเหรอ”

                “ราบรื่นกว่าที่คิด” ปวินท์ยิ้มอย่างสบายใจพลางเดินเข้าไปนั่งตรงกลางระหว่างเตียงแม่กับน้อง ชายหนุ่มจับมือแม่ขึ้นมาแนบแก้ม “คุณนายปรารถนาอาการเป็นไงบ้างครับวันนี้”

                “อยากกลับบ้านแล้ว วันๆ เอาแต่นอนๆๆ น่าเบื่อ” คุณปรารถนาบ่นกับลูกชาย

                “ไม่เอาน่าแม่ รอให้หมอไล่ก่อนค่อยกลับ ขนาดปาล์มเกือบจะเป็นปกติแล้วหมอยังไม่ยอมเลย”

                “เพราะพี่ไปป์สั่งหมอให้คุมตัวหนูกับแม่ไว้ต่างหาก”

                ปวินท์ยิ้มเฉยไม่ตอบ ที่ประภามนท์พูดมามันก็ใช่ อยู่โรงพยาบาลไม่ได้ไปไหน อึดอัดหน่อยแต่ปลอดภัย ขืนกลับบ้านไปก็ต้องออกไปไหนมาไหนให้เป็นห่วงอีก รอให้เมียเขามาเบี่ยงเบนความสนใจคนร้ายก่อน แม่กับปาล์มน่าจะขยับตัวทำอะไรได้ง่ายกว่าตอนนี้ที่ยังหน้าสิ่วหน้าขวาน

                “หลินมานานหรือยัง” ปวินท์ถามคนที่นั่งอยู่อีกฟากหนึ่งของเตียงแม่

                “นานแล้ว แม่บอกให้กลับอยู่นี่ เดี๋ยวคุณชิตจะเป็นห่วง” ประภามนท์ตอบแทน ขณะที่นลินหน้าเจื่อนลง

                “ตั้งแต่เกิดเรื่องหลินไม่เคยมาเยี่ยมป้าปิ๋มเลย มาแล้วก็อยากอยู่คุยด้วยนานๆ ค่ะ”

                “ไม่ได้หรอก” คุณปรารถนารีบขัดคออดีตคนรักของลูกชาย “ครูมาอยู่นานๆ คนอื่นเขาจะว่าเอา วันหลังก็ชวนคุณชิตมาด้วยกันสิ จะอยู่นานเท่าไรก็ได้”

                “ช่วงนี้เขาไม่ค่อยว่างค่ะ” นลินสีหน้าไม่ดีนักเมื่อถูกถามถึงคนรักปัจจุบัน ครูสาวฝืนยิ้มและขอตัวกลับทันที “พี่ไปป์มาแล้วพี่ทัชก็มีเพื่อน งั้นหลินกลับก่อนดีกว่าค่ะ แล้วจะมาเยี่ยมใหม่นะคะป้าปิ๋ม ปาล์ม”

                “จ้ะ ขอบใจมากนะที่ยังอุตส่าห์นึกถึงกัน” คุณปรารถนายิ้มส่ง รอให้ครูสาวออกไปพ้นจากห้องจึงระบายลมหายใจออกมายาวเหยียดจนประภามนท์ที่นอนอีกเตียงอดเย้าไม่ได้

                “เมื่อก่อนไม่เห็นแม่อึดอัดกับครูหลินขนาดนี้”

                “ก็ตอนนั้นเขาคบกับพี่แก ไม่เหมือนตอนนี้ เขาไปเป็นลูกสะใภ้คนอื่นแล้ว ยิ่งเห็นหน้าฉันก็ยิ่งเจ็บใจแทน ลูกชายฉันก็ไม่ได้ด้อยกว่าลูกชายนายก แค่เราเป็นตระกูลพ่อค้าไม่ใช่คหบดีก็เท่านั้น” คนพูดใส่อารมณ์เป็นเดือดเป็นแค้น

                “คนไม่ใช่ทำยังไงมันก็ไม่ใช่นะแม่”ลูกสาวปลอบ และลูกชายพยักหน้าเห็นด้วย

                “ไม่มีวาสนา ไม่อาจพานพบ ผมกับหลินคงทำบุญกันมาเท่านั้น เลยหมดวาสนาต่อกันง่ายๆ” พูดแล้วปวินท์ก็นึกแปลกใจที่เขาจดจำคำพูดของว่าที่ภรรยาได้อย่างแม่นยำ

                “แล้วฉันจะได้เจอผู้หญิงที่มีวาสนากับลูกชายของฉันวันไหน”

                ดวงตาของปวินท์อ่อนแสงลง นึกถึงภาพหญิงสาวคนหนึ่งที่ไหว้ย่อจนเข่าติดพื้นแถมยังต่อปากต่อคำกับเขาอย่างไม่ยอมแพ้ กรวีร์ดูไม่น่าจะใกล้เคียงกับคำว่าวาสนาพามาเจอ แต่พอคิดถึงเธอ เขาก็เผลอยิ้มกว้างตอบกลับแม่ไปอย่างไม่ลังเล

                “พรุ่งนี้ครับ”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น