กลวิธีที่ 6
ละลายพฤติกรรม
เหมรัชต์ดูนาฬิกาข้อมือ กว่าจะคุยรายละเอียดโครงการวิจัยกับเหล่าผู้อำนวยการเสร็จก็กินเวลาไปเกือบบ่ายสอง เขากลับไปที่ห้องรับรองชั่วคราวเพื่อนำข้าวของที่ไม่จำเป็นกลับไปไว้โรงแรม ทว่าเมื่อเปิดประตู...หัวคิ้วที่ไม่ค่อยแสดงอารมณ์พลันกระตุกขึ้นมาทันควัน
ทำไมถึง…ยังอยู่ที่นี่อีก
“คุณเหม มาแล้วเหรอคะ” เมลิซซาช้อนตามอง เมื่อเห็นว่าเป็นคนที่กำลังรออยู่ก็พลิกข้อมือปิดแฟ้มข้อมูลย้อนหลังของสาขาประเทศไทยทันที ก่อนเดินไปหยุดเบื้องหน้าคนตัวสูง
“หิวไหมคะ พวกเราออกไปหาอะไรกินกันเถอะ” เธอวาดรอยยิ้มหวานหยดย้อยขณะเอ่ยถามอย่างกระตือรือร้น
“...”
“ฉันรู้จักร้านเด็ดที่ไม่ไกลจากที่นี่ อร่อยมากๆ เลยค่ะ ช่วงบ่ายแบบนี้คนคงไม่เยอะ พวกเราไม่ต้องรอนาน”
“ขอบคุณมากครับ แต่ผมมีนัดหลังจากนี้ คงไปกับคุณไม่ได้” เหมรัชต์ปฏิเสธอย่างสุภาพ พยายามไม่ให้กระทบกระเทือนความรู้สึกของ ‘เพื่อนร่วมงาน’ มากนัก
จริงอยู่ที่การได้มาพบกันอีกครั้งเป็นเรื่องบังเอิญน่าเหลือเชื่อ เขาเองก็ตกใจไม่น้อย แต่พอตั้งสติได้ก็กลับมาทำตัวตามปกติ ไม่ได้พิเศษไปกว่าเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ
แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่คิดเช่นนั้น…
ตั้งแต่เช้าหญิงสาวเอาแต่ตามเขาไม่หยุด ไม่ว่าจะเดินไปไหนมาไหนก็เข้ามากระทบไหล่ชวนคุยเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับงาน ซึ่งเขาเองก็ไม่เข้าใจว่าจะอยากรู้เกี่ยวกับตัวเขาไปทำไม หรือหากอีกฝ่ายต้องอยู่ข้างหลัง แทบไม่มีสักวินาทีที่เขาจะไม่รู้สึกเย็นวาบที่ท้ายทอย
ในชีวิตเหมรัชต์ไม่เคยพบเจอใครแปลกเท่านี้มาก่อน มองให้รู้ว่ามอง พุ่งชนให้รู้ว่าพุ่งชน ตรงไปตรงมาเสียจนไม่รู้จะหลบเลี่ยงอย่างไรดี
“แต่คุณยังไม่ได้พักเลยนะคะ อย่างน้อยก็น่าจะกินอะไรสักหน่อย ใช้เวลาไม่นานหรอกค่ะ”
“ขอบคุณที่ใส่ใจนะครับ แต่ผมมีนัดแล้วจริงๆ” คนถูกชวนยังยืนยันคำเดิม การออกไปกินมื้อกลางวันด้วยกันออกจะเกินขอบเขตการทำงานมากเกินไป โดยเฉพาะกับคนที่ไม่รู้ว่าจะมาไม้ไหน ป้องกันไว้ก่อนย่อมดีกว่าการมาตามแก้ปัญหาจุกจิกทีหลัง
เมลิซซาสบแววตาห่างเหิน ปวดแปล๊บราวกับโดนคนกระโดดถีบกลางอกด้านซ้ายสองครั้งติด ซึ่งความเป็นจริงหากมีใครกล้าทำแบบนั้นกับเธอ เธอจะตีให้ขาหักทั้งสองข้างไปเลย
“โอเคค่ะ” ต่อให้ไม่อยากยอมรับก็ต้องยอมรับ ตั้งแต่ได้เจอกันดูเหมือนจะมีแค่เธอที่ลิงโลดอยู่ฝ่ายเดียว ส่วนเขาไม่ได้ปฏิบัติต่อเธอแตกต่างจากคนอื่นเลยสักนิด พอค้นพบความจริงข้อนี้ก็อดรู้สึกหน้าชาไม่ได้
ใช่ว่าจะไม่มีประสบการณ์ด้านความรักมาก่อน ด้วยหน้าตาและโปรไฟล์ ปกติมีแต่ผู้ชายมาตามจีบจนปฏิเสธไม่หวาดไม่ไหว หากเซ้าซี้มากๆ มีหรือจะไม่สร้างความรำคาญ ดังนั้นบอกได้เลยว่าหากเธอยังฝืนดึงดันไม่เลิก รังแต่จะทำให้คะแนนอันน้อยนิดติดลบเพิ่มขึ้นอีก วินาทีนี้มีแต่ต้องถอยเท่านั้น
ซุนวูกล่าวไว้ว่า ‘ถอยเพื่อรุก’ หากไม่เชื่อปรมาจารย์แห่งตำราพิชัยสงครามแล้วจะให้เชื่อใคร ดังนั้นการถอยไปตั้งหลักครั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าเธอถอดใจยอมแพ้
“งั้น…ถ้าคุณเหมมีอะไรขาดเหลือก็โทร. หาฉันได้ตลอดเวลา ไม่ต้องเกรงใจนะคะ ผู้อำนวยการเหวินคงบอกคุณแล้วว่าฉันได้รับมอบหมายให้มาดูแลคุณ” เมลิซซาพยักหน้าเข้าอกเข้าใจ รอยยิ้มบนใบหน้ากลับมาสดใสซาบซ่าดังเดิม
นี่นับว่าเขายังคงความเป็นสุภาพบุรุษ แสดงว่าเธอยังมีโอกาสเหลืออยู่ หากเขาใช้คำพูดเชือดเฉือนตบหน้าคนฟังรัวๆ เหมือนตอนอยู่ในห้องประชุม นั่นสิถึงค่อยน่ากังวล
การโดนปฏิเสธสำหรับเธอแล้วเสียใจแต่ไม่เสียดาย ชีวิตคนเราใช่ว่าจะมีมื้อเที่ยงอย่างเดียว ยังมีมื้อเช้า มื้อสาย มื้อว่างยามบ่าย มื้อเย็น มื้อดึก มื้อก่อนนอน หรือแม้กระทั่งมื้อนั่งจิบนมอุ่นบนเตียงนุ่ม เยอะแยะขนาดนี้มันต้องมีสักครั้งที่เขาตอบตกลง เอาเป็นว่าพรุ่งนี้ค่อยเริ่มต้นทุกอย่างใหม่ก็ยังไม่สาย
“เจอกันพรุ่งนี้นะคุณเหม”
เหมรัชต์มองตามร่างบาง อีกฝ่ายเก็บของบนโต๊ะอย่างรวดเร็ว แขนขวาหอบแฟ้มเอกสาร ส่วนแขนซ้ายถือกระเป๋าสะพายใบเล็ก ตอนเดินผ่านก็ยังไม่วายหันมามอบรอยยิ้มสดใสยอมรับตามตรงว่าเกือบเผลอใจลอยไปแล้วถ้าไม่มีเสียงแปลกประหลาดทำลายความเงียบขึ้นมา
โครก คราก
“...”
“...”
ทั้งสองคนนิ่งอึ้ง ต่างฝ่ายต่างไม่มั่นใจว่าเสียงน่าเกลียดนั่นมาจากตนเองรึเปล่า จึงได้แต่ยืนมองหน้ากันเพื่อค้นหาคำตอบ
โครกกก
ครั้งนี้เสียงน่าเกลียดคำรามดังกว่าเดิม ประกาศศักดาราวกับถูกวิญญาณเจ้าป่าเข้าสิงกระเพาะ
ดวงตาสีน้ำตาลเข้มหลุบมองกลางลำตัวของคนตัวสูง ค่อนข้างจะชัดเจนแล้วว่าต้นตอมาจากใคร เธอพลันแสดงความเห็นอกเห็นใจด้วยการระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น
“คุณเหมไม่ได้กินข้าวมากี่วันแล้วคะ ฮ่าๆๆ”
เหมรัชต์หน้าแดงแปร๊ด ใช้นิ้วเรียวยาวดันแว่นขึ้นดั้งจมูกพลางกระแอมกระไอเสียงดังยิ่งกว่าเพื่อกลบเกลื่อน รีบเบี่ยงกายหนีไปอีกทางเพื่อกวาดข้าวของใส่กระเป๋า ทั้งยังสวดภาวนาให้คนหูดีรีบออกจากห้องไปไวๆ
“ฮ่าๆๆ”
ผู้ชายก็เป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง มีอับอาย มีขวยเขินตามธรรมชาติ เสียงหัวเราะแบบไม่เกรงใจยิ่งทำให้คนสุขุมมาโดยตลอดวางตัวไม่ถูก จากที่แดงแค่ใบหน้า สักพักก็แผ่ลามไปยันใบหูและต้นคอ
เมื่อวานเขามัวแต่เร่งทำงานด่วนที่ส่งมาจากบริษัทที่ไทยทั้งวัน ไหนจะตรวจเช็กเอกสารลากยาวมาถึงตอนเช้า นึกย้อนไปแล้วนอกจากกาแฟก็ไม่มีของหนักตกถึงท้องเลย ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะหิวโหยขนาดนี้
แม้เหมรัชต์จะไม่ต้องการ แต่เสียงประท้วงจากร่างกายก็ทำลายระยะห่างระหว่างคนทั้งสองได้อย่างคาดไม่ถึง
“ขอโทษที่เสียมารยาทนะคะ ฉันจะไม่หัวเราะอีกแล้ว”
“รบกวนถอยไปด้วยครับ” ชายหนุ่มไม่แม้แต่จะหยุดฟัง หาวิธีหนีจากสถานการณ์กระอักกระอ่วนด้วยการคว้ากระเป๋าเตรียมพุ่งตัวออกจากห้อง แต่ยังช้าไปกว่าเจ้าของร่างบางที่วิ่งไปขวางประตู ยกแขนขากันไว้ราวกับปกป้องสิ่งหวงแหน
“คุณเหม พวกเราไปกินข้าวกันเถอะค่ะ ฉันเองก็หิวจนหน้ามืดตาลายไปหมด เชื่อฉัน พวกเราใช้เวลาไม่นานหรอก” ครั้งนี้เมลิซซาตั้งปณิธานไว้ว่าจะไม่ยอมถูกปฏิเสธเป็นครั้งที่สาม หากเขาคิดจะฝ่าเธอออกไปได้ก็ลองดู
“หรือไม่พวกเรายืนมองหน้ากันแบบนี้ก็ได้ค่ะ มองนานๆ เข้าคงอิ่มท้องไปเอง ถ้าคุณเหมไม่เชื่อจะลองพิสูจน์ดูก็ได้นะคะ ฉันชอบให้คุณมองฉันอยู่แล้ว”
“…”
รถเช่ากลางเก่ากลางใหม่แล่นไปบนถนนสายหลัก โดยมีชายหนุ่มจากประเทศไทยรับบทเป็นสารถี ส่วนคนพื้นที่อย่างสาวฮ่องกงรับบทเป็นเนวิเกเตอร์บอกทาง โชคดีที่ตอนบ่ายรถไม่ติดมากนัก ไม่นานทั้งสองก็มาถึงร้านอาหารอันเป็นจุดหมาย
“คุณเหมถือเรื่องการแชร์อาหารไหมคะ” เมลิซซาเอ่ยถามโดยไม่ละสายตาออกจากเมนู
เหมรัชต์ไม่รู้จะตอบยังไง วัฒนธรรมไทยแชร์อาหารกันเป็นเรื่องปกติ แต่ย่อมไม่ใช่กับคนแปลกหน้า กับหญิงสาวที่พึ่งเจอกันเป็นครั้งที่สองจะเรียกว่าคนรู้จักก็คงเร็วไป แต่จะบอกว่าไม่รู้จักเลยก็ไม่ใช่ มันจึงเป็นความรู้สึกก้ำกึ่งระหว่างพยักหน้ารับกับส่ายหน้าปฏิเสธ
“ฉันเลือกไม่ถูกเลยค่ะ นั่นก็ของชอบ นี่ก็ของโปรด ถ้าสั่งมาเต็มโต๊ะคงกินคนเดียวไม่ไหว แต่ถ้าพวกเราแชร์กันก็จะได้ลองชิมอะไรหลายอย่างมากขึ้น คุณเหมคิดเห็นว่ายังไงคะ”
ชายหนุ่มสบแววตากระจ่างใส สุดท้ายก็ถอนหายใจกล่าว “แบบนั้นก็ดีเหมือนกันครับ”
เขาไม่เคยมาร้านนี้มาก่อน ไม่รู้ว่าของขึ้นชื่อของที่นี่คืออะไร อีกอย่างเขาไม่อยากมานั่งเดารสนิยมในการกินของเพื่อนร่วมโต๊ะ ด้วยราคาขนาดนี้จะเหลือทิ้งก็เสียดาย จึงเป็นฝ่ายดันเมนูให้คนนั่งฝั่งตรงข้ามเป็นคนเลือกทั้งหมด
“รบกวนด้วยนะครับ คุณเลือกได้เลย”
“เอ๋…คุณเหมไม่มีเมนูที่อยากกินเป็นพิเศษเหรอคะ”
“ผมกินอะไรก็ได้ครับ”
“อะไรก็ได้ไม่มีหรอกค่ะ มีแค่ชอบหรือไม่ชอบ” คนถูกโยนหน้าที่ยิ้มมุมปาก ปกติถ้าออกมาข้างนอกกับเพื่อนต่างเพศ เธอมักจะได้รับการดูแลเอาใจใส่ประดุจเจ้าหญิง แต่วันนี้เหตุการณ์กลับตาลปัตรส่วนเธอเองก็บ้าบอใช้ได้ อยู่ดีไม่ว่าดี ดันยอมลดฐานะมาเป็นฝ่ายเอาอกเอาใจคนอื่นซะอย่างนั้น แถมยังเป็นคนที่พยายามวิ่งหนีเธออีกด้วย
“งั้นคุณมีอาหารที่แพ้ไหมคะ”
“ไม่ครับ”
“ชอบทานรสชาติแบบไหนคะ”
“ได้หมดครับ”
“ชอบกินเนื้อหรือกินผักคะ”
“ได้หมดครับ”
“แหม ดูแลง่ายมากเลยค่ะ กลับกันถ้าเป็นคุณถามคำถามประเภทนี้กับฉัน ไม่วายต้องเอากระดาษขึ้นมาจด ไม่ใช่แค่แผ่นเดียวด้วยนะคะ ต้องยกมาทั้งเล่ม”
เมลิซซาหัวเราะท่าทางมุ่นหัวคิ้วของเขา พลางกดกริ่งเรียกพนักงานมารับเมนู เธอสั่งเป็ดพะโล้ กระเพาะปลา หมูแดงเนื้อนุ่มที่เป็นอาหารขึ้นชื่อ ติ่มซำจำพวกฮะเก๋ากุ้งตัวโต ขนมจีบหอยเชลล์ ซาลาเปา และอาหารจำพวกผักอีกสองจาน กะว่าน่าจะพอสำหรับสองคน
“ได้ยินผู้อำนวยการเหวินบอกว่าคุณพึ่งย้ายมาทำงานที่ซุนเป่ากรุ๊ปเป็นอาทิตย์แรก” เหมรัชต์เป็นฝ่ายชวนคุย นัยน์ตาสีสนิมลอบพิจารณาคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามอีกครั้ง
หญิงสาวในวันนี้แตกต่างจากคืนนั้นลิบลับ ใบหน้าสะสวยปราศจากคราบน้ำตา ดูสดใสมีชีวิตชีวามากขึ้นหลายสิบเท่า ตามเนื้อตัวก็ไม่มีร่องรอยของการถูกทำร้าย อีกทั้งยังแต่งตัวดูดีมาก ทรงผมก็เรียบร้อยมาก ไม่ว่าจะทำอะไรล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยความมั่นใจ เดาได้ไม่ยากว่าหลายเดือนที่ผ่านมาเธอคงมีชีวิตที่ไม่เลว
ทั้งที่เขากับคนตรงหน้าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันสักนิด น่าแปลกที่ในใจแอบแสดงความยินดีอยู่ลึกๆ ที่อีกฝ่ายสามารถก้าวออกจากสถานที่อโคจรได้
“ใช่ค่ะ ฉันย้ายมาจากหย่งคังกรุ๊ป เจ้านายเก่าของฉันคือคุณหนูเฉิน…เลลาห์ เฉิน น่ะค่ะ คุณน่าจะเคยได้ยินชื่อมาบ้าง” เมลิซซาย่อมไม่รู้ว่าคู่สนทนาคิดอะไรในหัว เธอให้คำตอบไหลลื่น ทำได้ดีจนเกือบจะหลงเชื่อเรื่องแต่งของตัวเอง
“ครับ เคยบังเอิญพบอยู่ครั้งหนึ่ง” เหมรัชต์หลุบตานึก ใบหน้าของคุณหนูเฉินและคุณเฉินปรากฏขึ้นในความทรงจำ และเหมือนว่าวันนั้นจะได้พบคนแปลกๆ อีกคนด้วย
“ที่สนามบินวันนั้น…ใช่คุณรึเปล่า”
คนถูกจับได้หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ คิดว่าปิดบังไปก็เท่านั้น สุดท้ายจึงพยักหน้ารับ “ใช่ค่ะ เป็นฉันเอง ฉันไปรับคุณหนูเฉินที่สนามบิน เธอกลับมากะทันหันฉันเลยไม่มีเวลาเตรียมตัว ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอคุณ”
“สองวันต่อมาคุณก็ย้ายจากหย่งคังกรุ๊ปมาซุนเป่ากรุ๊ปพอดี ไม่คิดว่าจะบังเอิญไปหน่อยเหรอครับ” เมื่อเรียบเรียงเหตุการณ์ต่างๆ ในหัว คนที่เจอเรื่องบังเอิญซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็อดขมวดคิ้วอีกรอบไม่ได้
“เหมือนว่าไม่ใช่แค่คุณที่จะถูกโฉลกกับเรื่องบังเอิญนะคะ ฉันเองก็เหมือนกัน” หญิงสาวพยักหน้าเห็นด้วย รอยยิ้มบนมุมปากแฝงเลศนัย ก่อนจะผายมือเชิญชวนให้เริ่มต้นจัดการอาหารหลากหลายบนโต๊ะ
“เป็นยังไงบ้างคะ รสชาติถูกปากไหม”
บทสนทนาที่ถูกเปลี่ยนดื้อๆ ทำเอาเหมรัชต์ถอนหายใจ แต่คิดว่าสอบปากคำไปก็เท่านั้น ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็มานั่งอยู่ตรงหน้าเป็นที่เรียบร้อย นั่นเป็นความจริงที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้
“อร่อยครับ” ชายหนุ่มไม่ปฏิเสธแววตาคาดหวัง พยักหน้ารับเชื่องช้า พอตอบเช่นนั้นอีกฝ่ายก็ยิ่งยิ้มกว้างจนดวงตากลมโตหรี่โค้งรีบหยิบตะเกียบกลางมาคีบหมูแดงเนื้อนุ่มให้เขาอีกหลายชิ้น
“ถ้าอร่อยก็กินให้เยอะๆ นะคะ ปกติร้านนี้คนแน่นมากเลย”
นับว่าเมลิซซาคิดถูก การกินอาหารช่วยสร้างปฏิสัมพันธ์ด้านบวก เขาไม่ได้ตั้งกำแพงสูงเทียมฟ้าหรือพยายามหลบเลี่ยงเหมือนอย่างตอนแรก บรรยากาศจึงผ่อนคลายลงมาก
“คุณเองก็กินเถอะครับ ผมดูแลตัวเองได้”
คนได้รับการดูแลอยู่ฝ่ายเดียวลอบสังเกตอาหารในจานของเพื่อนร่วมโต๊ะมาตั้งแต่ต้น ดูเหมือนว่าหญิงสาวจะชอบอาหารทะเลเป็นพิเศษ ดังนั้นเขาจึงดันจานที่เป็นอาหารทะเลให้อีกฝ่ายทั้งหมด
“ขอบคุณมากค่ะ” หญิงสาวหลุบตามองอาหารพวกนั้น เลือดลมสูบฉีดขึ้นใบหน้าจนแก้มเปลี่ยนเป็นชมพูระเรื่อ เธอไม่ปฏิเสธความใส่ใจของเขา คีบฮะเก๋ากุ้งสีขาวกลมเข้าปากในคำเดียว ตั้งใจดื่มด่ำรสชาติที่พิเศษกว่าทุกวัน
รสชาติที่ซึมซาบเข้าลิ้นที่มันอะไรกัน…เธอควรสั่งกลับบ้านไปนั่งละเลียดสักสองกล่องดีไหมนะ
“อาทิตย์นี้ฉันจะพาคุณตระเวนหาของอร่อยกินทีละร้าน พาไปกินของหวานด้วยค่ะ ฉันเชื่อว่าคนกินง่ายอยู่ง่ายแบบคุณต้องชอบแน่ๆ”
“ขอบคุณมากครับ แต่อย่าลำบากเลย ผู้อำนวยการเหวินให้คุณคอยช่วยเหลือผมที่บริษัท เรื่องนอกเวลางานก็ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณแล้ว” ชายหนุ่มส่ายหน้าปฏิเสธ ตั้งใจอธิบายขอบเขตหน้าที่ของงาน เผื่อว่าอีกฝ่ายจะยังไม่กระจ่างแจ้ง
“ฉันก็ไม่ได้คิดว่ามันเกี่ยวอะไรกับงานนี่คะ ฉันแค่อยากมากินข้าวกับคุณ” ดวงตาสีน้ำตาลเข้มกะพริบปริบๆ มีอะไรที่เธอทำไม่ถูกงั้นเหรอ เข้าใกล้ทีไรเขาถึงต้องพยายามดีดเธอออกห่างทุกรอบ
“ผมเคยบอกคุณแล้วว่าไม่จำเป็นต้องขอบคุณหรือรู้สึกผิดกับเรื่องคืนนั้น คุณไม่จำเป็นต้องตอบแทนอะไร”
“คุณเหม คุณน่ะกินง่ายอยู่ง่าย แต่ทำไมคุณถึงเป็นคนเข้าใจอะไรยากแบบนี้ ฉันก็บอกอยู่นี่ไงคะว่าแค่อยากมากินข้าวกับคุณ ไม่ได้เกี่ยวกับงาน ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องคืนนั้น” พอต้องพูดอะไรเดิมๆ เมลิซซาพลันเริ่มหัวเสีย เผลอเน้นย้ำเสียงดังขึ้นสองระดับโดยไม่ได้ตั้งใจ
หญิงสาวคิดว่าความแตกต่างด้านภาษาจะทำให้เขาตีความไปอีกแบบ จึงพูดประโยคเดิมทวนซ้ำสี่รอบ จีนกวางตุ้งหนึ่งรอบ จีนกลางหนึ่งรอบ ภาษาอังกฤษหนึ่งรอบ และภาษาฝรั่งเศสอีกหนึ่งรอบ ทว่าไม่จบแค่นั้น เธอยังหยิบโทรศัพท์มือถือมากดเข้าแอปพลิเคชันแปลภาษา พิมพ์ประโยคเดิมไม่ผิดเพี้ยนให้แปลเป็นตัวอักษรไทย ก่อนหันหน้าจอให้คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามอ่าน
‘คุณกินง่าย ใช้ชีวิตง่าย ทำไมยากที่จะเข้าใจ ฉันกำลังบอกว่าอยากกินกับคุณ ไม่เกี่ยวกับงาน ไม่เกี่ยวกับเรื่องคืนนั้น’
อยากกินกับคุณ…
“แค็ก!” เหมรัชต์สำลัก ไอโขลก สีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง
เขา…ไม่ค่อยคลุกคลีกับผู้หญิง แต่ใช่ว่าจะไม่รู้จักผู้หญิง ย่อมรู้แน่นอนว่าคนทั่วไปรู้สึกกับเขาอย่างไร หรือลอบหัวเราะเยาะภาพลักษณ์ภายนอกของเขาอย่างไร แต่กลับไม่เคยเจอใครที่เป็นแบบนี้ ดังนั้นจึงปราศจากวิธีรับมือโดยสิ้นเชิง
“ทีนี้เข้าใจรึยังคะ หรือว่าฉันต้องพูดสเปนเพิ่มอีกภาษา”
ชายหนุ่มสบแววตาจริงจังคู่นั้นอยู่นาน ก่อนที่ตนเองจะเป็นฝ่ายเบือนหน้าหนี
“คุณรู้รึเปล่าว่าโปรแกรมแปลภาษามันมักจะให้ความหมายไปคนละเรื่อง แล้วอีกอย่างอย่าว่าแต่พูดสเปนเลย ผมฟังไม่ออกตั้งแต่ภาษาสุดท้ายที่คุณพูดแล้วครับ”
“Je suis tombée amoureuse de toi (ฉันตกหลุมรักคุณเข้าซะแล้ว)”
“...”
“ภาษาฝรั่งเศสน่ะค่ะ แปลว่า…ของอร่อยอยู่ตรงหน้าต้องรีบกิน” เมลิซซาแปลให้เสร็จสรรพ แต่เมื่อสบแววตาระแวดระวังที่จ้องมองมา ก็ได้แต่เอามือจับแก้มแก้เขิน
ตายแล้วนี่เธอเผลอพูดอะไรออกไป ถ้าเขาเกิดเข้าใจความหมายแฝงที่เธอต้องการจะสื่อ เขาจะคิดว่าเธอ ‘รุก’ แรงเกินไปรึเปล่านะ ดูจากความสุภาพบุรุษปนใสซื่อของเขา เธอต้องทำตัวเรียบร้อยหน่อยถึงจะดี
“สีหน้าคุณ…ดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือเท่าไหร่เลยนะครับ”
“อย่ามัวแต่เถียงกันเลยค่ะ คุณเองก็กินเยอะๆ นะคะ คงไม่อยากท้องร้องต่อหน้าคนอื่นอีกใช่ไหม” ผู้พูดกลับมายิ้มหวาน ท่าทางหัวเสียเมื่อครู่หายวับไปเหมือนไม่เคยเกิดขึ้น เธอกระตือรือร้นคีบนั่นนี่ให้เขา พลางนั่งเท้าคางมองคนที่ก้มหน้ากินเงียบๆ อย่างมีความสุข
อย่างน้อยเขาก็ไม่ปฏิเสธเธอละนะ
ถึงเขาจะฟังไม่ออกก็เถอะ...
สตูดิโอเฟล์ ชา โซ่ แบรนด์เสื้อผ้าดาวรุ่งที่กำลังเป็นที่นิยมในกลุ่มแวดวงชั้นสูงถูกเปลี่ยนให้เป็นสถานที่ปรับทุกข์ชั่วคราว โดยมีสองสาวต่างสไตล์นั่งกันคนละมุม เลลาห์ เฉิน…เจ้าของสีหน้าสงบนิ่งรับบทเป็นคุณหมอผู้ฟังที่ดี ส่วนร่างระหงที่นอนเอกเขนกอยู่บนโซฟาหนัง…รับบทเป็นคนไข้ หัวใจไม่แข็งแรง
“ก็อย่างที่เล่านั่นแหละ เป็นฝ่ายตามตื๊อคนอื่นนี่เจ็บจี๊ดๆ จังเลยเนอะ” เมลิซซาย่นจมูก เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนี้ทั้งหมดอย่างไม่ปิดบัง รวมถึงเรื่องที่เธอถูกผู้ชายปฏิเสธสองรอบติด “นี่ยายตัวแสบ ถ้าเธอเป็นฉันจะทำยังไง”
“ทำทุกทางเพื่อให้ได้มา” เลลาห์ให้คำตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แทบไม่เสียเวลาคิดเลยด้วยซ้ำ
ในฐานะ ‘กามเทพ’ แบบไม่ได้ตั้งใจ เธอรู้เรื่องราวระหว่างเมลิซซากับผู้ชายที่ชื่อเหมรัชต์เป็นอย่างดี เหตุการณ์วุ่นวายที่คลับคืนนั้นเกี่ยวข้องกับเธอโดยตรง แต่หลังจากนั้นดันมีเรื่องน่าโมโหมาคั่นจังหวะเสียก่อน กว่าทุกอย่างจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติก็เสียเวลาไปมาก ดังนั้นการพยายามพลิกแผ่นฟ้าตามหาตัวชายหนุ่มคนนั้นจึงแทบเป็นไปไม่ได้
นึกย้อนไปถึงความบ้าคลั่งของเพื่อนก็ได้แต่ยิ้ม รู้จักกันมายี่สิบปี…เธอไม่เคยเห็นเมลิซซาทุ่มเทกับอะไรเท่าครั้งนี้มาก่อน ทั้งตามหาภาพจากกล้องวงจรปิด แต่ผ่านไปเป็นเดือนขนาดนั้นจึงไม่มีไฟล์สำรองเหลืออยู่ ทั้งตามเช็กบริษัทเช่ารถ โชคร้ายที่พลเมืองดีผู้นั้นมาฮ่องกงช่วงปีใหม่พอดี ต่อให้มีตาร้อยคู่ก็คงไม่อาจตรวจสอบลิสต์รายชื่อลูกค้าได้ทั้งหมด ทั้งจ้างบริษัทนักสืบ แต่เพราะไม่มีรูปถ่ายและไม่มีชื่อ ต่อให้เป็นเชอร์ล็อก โฮล์มส์ ก็ไม่แน่ว่าจะตามหาคนจากอากาศได้ หลังจากลองทุกวิถีทาง สุดท้ายเมลิซซาก็ถอดใจ ยอมวางมือจากชายหนุ่มปริศนาอย่างไม่มีทางเลือก
แต่ใครจะไปคิดว่าอยู่มาวันหนึ่งผู้ชายคนนั้นจะมาปรากฏตัวต่อหน้า แถมยังทำงานให้ซุนเป่ากรุ๊ปอีกด้วย ไม่แปลกที่เมลิซซาจะตื่นเต้นดีใจขนาดนั้น โทร. ตามเธอให้ออกมาพบตั้งแต่บ่าย ลากยาวมาจนหัวค่ำก็ยังไม่ปล่อยเธอไป
เป็นผู้ชายที่ไม่ธรรมดาจริงๆ หากมีโอกาสได้พบอีกครั้งคงต้องทำความรู้จักให้มากขึ้นสักหน่อย
“ฉันก็เข้าใจความรู้สึกของคุณเหมนะ เจอกันไม่กี่ครั้งจะมาพิศวาสอะไรนักหนา แต่ฉันไม่รู้จะอธิบายยังไง คืนนั้นฉันใจเต้นเพราะเขา ผ่านมานานขนาดนี้ก็ยังใจเต้นแรงเหมือนเก่า คือมันไม่ปกติแล้ว” คนไข้โรคหัวใจลุกขึ้นกุมหน้าอก ยืนยันอาการเจ็บป่วยกับคุณหมอด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“นี่…ฉันไม่อยากให้เธอเข้าใจคุณเหมผิด จริงอยู่ที่เขาดูเป็นผู้ชายเชยๆ แต่ความจริงแล้วเขาเท่มากเลยนะ ฉลาดด้วย แถมยังเป็นคนอบอุ่นมากๆ ถ้าเธอได้ลองคุยกับเขายาวๆ จะต้องเข้าใจความรู้สึกของฉันแน่”
“คุณหนูอู๋ เธอย้ำเป็นรอบที่สิบแล้ว”
“คนอื่นจะคิดว่าฉันเป็นพวกใจง่ายรึเปล่า แต่เธอก็รู้ว่าฉันไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อน”
“ไม่สมกับเป็นเธอเลยนะเมลิซซา คนอย่างเธอจำเป็นต้องหาเหตุผลมาอธิบายทุกการกระทำกับใครด้วยเหรอ” เลลาห์ยกยิ้มมุมปาก เอื้อมมือไปลูบศีรษะได้รูปแผ่วเบา
“ฉันทำดีขนาดนี้แล้ว แต่เขาดูเหมือนจะไม่เข้าใจฉันเลย หรือว่าฉันยังแสดงความจริงใจไม่มากพอ” เมลิซซาอดตัดพ้อไม่ได้ แววตาเป็นประกายเมื่อครู่หม่นหมองลงแทบจะทันที
“ให้ฉันลักพาตัวเขามาให้เธอดีไหม”
“อย่าล้อเล่นน่า ทำเหมือนกับว่าถ้าฉันพยักหน้าตกลงแล้วเธอจะสั่งคนไปอุ้มคุณเหมมาอยู่ตรงหน้าฉันได้อย่างนั้นแหละ”
“มันก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรนี่” คนยื่นข้อเสนอคลี่ยิ้มอ่อนหวาน ให้คำตอบประหนึ่งพูดเรื่องดินฟ้าอากาศ ไม่ใช่การวางแผนลักพาตัวใครสักคน
“เธอเตรียมเซฟเฮาส์ไว้ให้เขามาพักหรือยัง ถ้ายังไม่มี...หย่งคังกรุ๊ปมีให้เช่านะ ในฐานะที่เธอเป็นคนพิเศษของฉัน ฉันลดให้ห้าสิบเปอร์เซ็นต์ รับรองว่าแม้แต่คุณลุงอู๋ก็สืบเรื่องนี้ไม่ได้”
“ใจเย็นๆ นะคะคุณหนูเฉิน ขืนทำแบบนั้นเขาต้องคิดว่าฉันเป็นพวกโรคจิตแน่ๆ ทีนี้อย่าว่าแต่ให้เขาตอบรับความรู้สึกของฉันเลย แค่ให้เขาไม่เกลียดฉันก็เป็นพระคุณแล้ว”
เลลาห์ เฉิน เป็นพวกพูดจริงทำจริง หากไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับคู่หมั้นสุดที่รัก ไม่เคยมีเรื่องไหนที่อีกฝ่ายไม่กล้าลงมือ ดังนั้นเพื่อปกป้องสวัสดิภาพของเหมรัชต์ เมลิซซาได้แต่หาเรื่องมาเบี่ยงเบนความสนใจ รีบดึงแขนเพื่อนสนิทให้ตามไปที่ห้องลองชุดด้วยกัน ซึ่งเมื่อเหล่าพนักงานเห็นผู้เป็นเจ้านายเข้ามาพร้อมแขกประจำก็ออกไปรอข้างนอกอย่างรู้หน้าที่
“เดี๋ยวเธอต้องออกงานสังคมกับรุ่นพี่ลีออนใช่ไหม นี่คอลเล็กชันใหม่ของฉัน ฝากโพสท่าดีๆ ด้วยล่ะ” เธอเลือกชุดเดรสออกงานสีเหลืองแดนดิไลออนออกมาจากราว ก่อนยื่นให้ไม้แขวนเสื้อกิตติมศักดิ์ของแบรนด์ไปลองสวม
เลลาห์มองสีสันแสบตาอย่างนึกขยาด ชี้ไปอีกตัวที่อยู่ใกล้ๆ กัน “เปลี่ยนเป็นตัวสีน้ำตาลนั่นได้ไหม”
“ไม่ได้ ผิวสวยๆ แบบนี้ต้องโชว์ ยิ่งถ้าชุดนี้ได้อยู่บนร่างเธอนะ รับรองเด่นจนพระอาทิตย์ยังอาย เอ้า! หันหลังมานี่ ฉันจะช่วยเธอลองชุด ถ้าตรงไหนหลวมไปจะได้แก้ให้เลย” เมื่อวิญญาณดีไซเนอร์ประทับร่าง เรื่องวุ่นวายในสมองก็ถูกพักไว้ชั่วคราว เธอจับบ่าคนที่ตัวเตี้ยกว่าหมุนไปอีกด้าน ก่อนรูดซิปชุดเดรสเข้ารูปลงมาจนสุด
แควก
“รวบผมขึ้นหน่อย”
ไม้แขวนเสื้อสาวไม่อิดออด ทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย และเมื่อผมดำขลับถูกมือเล็กๆ รวบขึ้นไป แผ่นหลังขาวเนียนปานหิมะจึงปรากฏสู่สายตา
เมลิซซาจุ๊ปาก ปฏิเสธไม่ได้ว่านี่ช่างดูบอบบางน่าทะนุถนอมเสียจริง แต่ดูเหมือนว่าความหวังในการนำเสนอชุดคอลเล็กชันใหม่จะถูกสกัดดาวรุ่ง เมื่อผิวละเอียดดันปรากฏจุดแดงๆ ไล่ตั้งแต่กลางหลังลงไปถึงสะโพก กวาดตามองคร่าวๆ น่าจะเกินยี่สิบจุด ซึ่งถ้าต้องใช้รองพื้นปกปิดร่องรอยเยอะขนาดนี้ ความสวยงามตามธรรมชาติก็จะไม่เหลือ
“นี่เธอแพ้ครีมอาบน้ำเหรอ ทำไมผื่นขึ้นเต็มหลังเลย” เมลิซซาถามด้วยความสงสัย ใช้ปลายนิ้วลูบไปตามรอยผื่นเบาๆ “เอ๊ะ! แต่ทำไมไม่บวมล่ะ แบบนี้มันจะฝังอยู่ในผิวรึเปล่า”
“ผื่นเหรอ?” เลลาห์ตัวแข็งทื่อ ก่อนจะเดินไปเอี้ยวตัวดูหน้ากระจก
“แพ้หนักไม่ใช่เล่น ฉันโทร. นัดหมอผิวหนังให้เธอดีกว่า ปล่อยไว้นานๆ เดี๋ยวจะเกิดแผลเป็น”
“มะ...ไม่ต้องหรอก คงเพราะอากาศเปลี่ยนน่ะ ฮ่องกงร้อนกว่านิวยอร์กตั้งเยอะ ทิ้งไว้สักพักเดี๋ยวก็หาย” เลลาห์ละล่ำละลักปฏิเสธ ใบหน้าที่เคยนิ่งสงบแปรเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ รีบรูดซิปขึ้นปิดรอยผื่นทันที
เพราะเมื่อเช้าเธอไม่ได้แต่งตัวเอง ร่องรอยพวกนี้จึงหลุดรอดสายตา ไม่เช่นนั้นมีหรือจะปล่อยให้คนเห็น และพอนึกถึงสาเหตุของการเกิดผื่นก็ได้แต่กัดฟันกรอด คาดโทษคนเล่นไม่รู้เรื่องอยู่ในใจ
“ปีที่แล้วฉันผิวลอกตอนกลับจากเล่นสกีที่สวิต แต่หาหมอแป๊บเดียวก็หาย เชื่อฉันเถอะ ไม่ยุ่งยากหรอก ไม่เจ็บด้วย” เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลเข้มมองด้วยความเป็นห่วง แต่ดูเหมือนว่ายิ่งพูด คนฟังจะยิ่งกลัว เพราะตอนแรกแค่หน้าแดง แต่ตอนนี้ลามไปยันหู ต้นคอ เอาไปเอามากลายเป็นแดงไปทั้งตัวเหมือนมะเขือเทศสุกไม่มีผิด
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“คุณหนูอู๋คะ คุณเฉินขอเข้าไปข้างในค่ะ”
เมลิซซาเข้าไปช่วยเพื่อนแต่งตัวให้เรียบร้อย ก่อนให้คำตอบกับพนักงานที่อยู่ด้านนอก “ให้เข้ามาเลย”
ร่างในชุดสูทของ ลีออน เฉิน ก้าวยาวๆ ตรงดิ่งไปหาคู่หมั้น โอบเอวบางเข้ามาชิด ก้มหอมกลุ่มผมนุ่มสลวยฟอดใหญ่ ไม่แคร์สายตาบุคคลที่สามเลยแม้แต่น้อย
“ไหนว่าจะไปรับเฮีย รอตั้งนานก็ไม่เห็นมา”
เจ้าของสถานที่กลอกตาหนีความหวานเชื่อม เอาอีกแล้ว...สตูดิโอก็สตูดิโอของเธอแท้ๆ เหตุใดถึงถูกดันออกมาอยู่รอบนอกอีกจนได้ อย่าให้เธอมีบ้างก็แล้วกัน น้ำตาลก็น้ำตาลเถอะ เจอคู่เธอเมื่อไหร่จะทำให้จืดเป็นน้ำเปล่าเลย
“งั้นเอาชุดนี้ไป ตอนใส่ก็ไขว้ทับกันแบบนี้นะ ทิ้งปลายเชือกให้ยาวๆ พลิ้วๆ จะได้ดูสมเป็นฤดูใบไม้ผลิ” เมลิซซาอธิบายขณะทำให้ดูเป็นตัวอย่าง ก่อนจะหยิบชุดตัวใหม่ส่งให้ ซึ่งรุ่นพี่ลีออนก็ช่วยรับไปถือแทน
“แล้วตัวสีเหลืองนั่นล่ะ ให้พี่เอากลับพร้อมกันเลยรึเปล่า”
“พอรุ่นพี่พูดถึง ฉันเองก็นึกเสียดายไม่หาย” ดีไซเนอร์สาวถอนหายใจ มองชุดด้วยแววตาละห้อย
“เลลาห์ใส่ชุดนั้นไม่ได้ค่ะผื่นขึ้นเต็มหลังไปหมด เยอะจนใช้รองพื้นทั้งขวดก็คงกลบรอยแดงไม่มิด” หญิงสาวบ่นกระปอดกระแปด ไม่ทันได้สังเกตเลยว่าคนฟังทั้งสองตัวแข็งทื่อไปเรียบร้อย
“ฉันจะโทร. นัดหมอผิวหนังให้ก็ไม่ยอม ดื้อไม่เข้าเรื่องเลยจริงๆ รุ่นพี่ต้องช่วยฉันจัดการนะคะ จะปล่อยให้ไม้แขวนเสื้ออันดับหนึ่งของฉันมีแผลเป็นไม่ได้”
“พี่…จะช่วยระวังให้” ลีออนตอบไม่เต็มเสียง ทั้งยังเบือนหน้าหนีไปอีกทางแก้เก้อ ซึ่งถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นว่าเขาหน้าแดงไม่ต่างกัน โดยเฉพาะเมื่อได้ยินประโยคถัดมา
“ฉันฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่รุ่นพี่นะคะ แต่ถ้าครั้งหน้าผื่นยังไม่หายดีละก็ ฉันคงได้แต่ถ่ายรูปไปขอรับยากับหมอผิวหนังด้วยตัวเองแล้ว”
ความคิดเห็น |
---|