7

กลวิธีที่ 7 น้ำหยดลงหิน

กลวิธีที่ 7

น้ำหยดลงหิน

 

แอ๊ด! 

รถบัสประจำทางจอดเทียบป้าย ไม่มีผู้โดยสารคนไหนไม่หันมองสาวสวยในชุดสูทสีครีมเข้าคู่กับรองเท้าส้นเข็มสีชมพูแปร๊ด ร่างระหงยืนตัวตรงอยู่ข้างเสาไฟ มือหนึ่งถือกระเป๋าเอกสาร ส่วนอีกมือหิ้วถุงกระดาษจากร้านกาแฟชื่อดัง ทั้งยังใส่หูฟังไร้สายและโยกศีรษะเบาๆ ไปตามจังหวะเพลง

ในช่วงเช้าที่คนส่วนใหญ่เผชิญกับความเร่งรีบ เหน็ดเหนื่อยจากการต้องเบียดเสียดไปทำงาน ไหนจะเฝ้ารอว่าเมื่อไหร่จะถึงวันหยุดสุดสัปดาห์ ท่าทางอารมณ์ดีของหญิงสาวจึงได้รับความสนใจอย่างมาก หนุ่มโสดหลายคนอาศัยความกล้าเดินเฉียดเข้าไปใกล้ หากคนสวยสบตาสักเล็กน้อยก็พร้อมเอ่ยปากขอทำความรู้จักทันที แต่ทุกคนล้วนพบกับความผิดหวัง ดวงตากลมโตเป็นประกายเพียงมองตรงไปข้างหน้า ไม่เหลือบแลสิ่งแวดล้อมรอบตัวเลยสักนิด 

ไม่นานรถยนต์คันหนึ่งก็เข้ามาจอดเทียบ คนสวยยิ้มกว้างมากกว่าเดิมขณะก้าวยาวๆ ไปที่รถคันนั้น แต่เพราะถือของสองมือออกจะทุลักทุเลอยู่บ้าง สารถีหนุ่มจึงลงจากรถมาเปิดประตูให้ และเมื่อร่างสูงกลับเข้าไปนั่งข้างใน ยานพาหนะก็เคลื่อนตัวออกไปทันที

หลายคนมองตามอย่างนึกเสียดาย

ดูเหมือนว่าคนสวยจะมีเจ้าของซะแล้ว...

 

“ขอบคุณมากนะคะที่แวะมารับ ฉันซื้อกาแฟมาฝากด้วยค่ะ”

ชีวิตพนักงานออฟฟิศของเมลิซซาตื่นเต้นมากกว่าปกติ เพราะวันนี้เธอไม่ต้องเข้าบริษัท แต่ได้ออกไปทำงานนอกสถานที่อย่างศูนย์วิจัยซุนเป่ากรุ๊ป แน่นอนว่าเธอไม่รู้ว่ามันตั้งอยู่ที่ไหน หรือต่อให้รู้ก็จะบอกว่าไม่รู้ อาศัยฐานะพนักงานใหม่ขอติดรถไปกับตัวแทนหุ้นส่วนจากประเทศไทยที่ต้องไปสถานที่เดียวกัน 

“ไม่เป็นไรครับ ไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรงอะไร แล้วก็ขอบคุณสำหรับกาแฟนะครับ” เหมรัชต์ไม่อิดออด รับกาแฟไปดูดหลายอึกเพิ่มความสดชื่น ก่อนวางไว้ที่ช่องใส่แก้วด้านข้าง 

“เท่าไหร่ครับ เดี๋ยวผมหยิบเงินให้” 

“โอ้โฮ คำถามนี้หยาบคายมากเลยค่ะ คุณเลี้ยงมื้อเที่ยงฉันมาสามวันติดแล้ว วันนี้ยังจะเลี้ยงกาแฟอีกเหรอคะ เห็นฉันเป็นคนยังไงกัน” คิ้วเรียวของผู้พูดผูกเป็นปม รอยยิ้มอารมณ์ดีเมื่อครู่หุบฉับ ส่งเสียงจึ้กจั้กในลำคออย่างไม่ค่อยพอใจนัก

“ผมไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น แต่แค่...ไม่ค่อยชิน” ชายหนุ่มพยายามอธิบาย กับเพื่อนร่วมงานคนอื่นเขาก็ปฏิบัติตัวเช่นนี้ ไม่คิดว่าแปลกตรงไหน

“งั้นทำใจให้ชินนะคะ คุณเลี้ยงข้าว ฉันเลี้ยงน้ำ คุณเลี้ยงหนัง ฉันเลี้ยงป๊อปคอร์น แถมน้ำเปล่าให้อีกสองขวด นี่สิถึงจะถูกต้อง” 

หลายวันมานี้นับว่าความพยายามของเมลิซซาไม่สูญเปล่า ถึงจะยังไม่สามารถเรียกได้ว่าสนิทสนม แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่ทำตัวถามคำตอบคำเหมือนหุ่นยนต์ตั้งโปรแกรม สำหรับเธอแล้วนับเป็นความสัมพันธ์ที่คืบหน้าขึ้นเยอะมาก

“ผม…ตกลงไปดูหนังกับคุณตอนไหนเหรอครับ” ประโยคมัดมือชกดังกล่าวทำเอาคิ้วเข้มของผู้ฟังกระตุก โชคดีที่ถูกการจราจรติดขัดจำกัดความเร็ว ไม่เช่นนั้นคงได้เหยียบเบรกหัวทิ่มกันบ้าง 

“แหมคุณเหม ฉันหวังดีนะคะ พวกเราจะพลาดหนังไตรภาคเรื่องนี้ไม่ได้ นี่ภาคสุดท้ายแล้วด้วย ถ้าเผลอไปได้ยินสปอยล์เข้า ทีนี้ก็หายลุ้นกันพอดี” หญิงสาวแสร้งทำหน้าเหลอหลา ราวกับสิ่งที่พูดเป็นเรื่องถูกต้องเหมาะสม ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วในใจลุ้นระทึกจนมือเย็นไปหมด อุตส่าห์ยัดเยียดตัวเองให้เขาขนาดนี้ ถ้าเกิดเขาปฏิเสธขึ้นมา...คงได้เอาถุงกระดาษคลุมหัวแก้อาย 

“คุณเมลิซซา เมื่อวานพวกเราคุยกันเรื่องหนังก็จริง แต่ผมไม่คิดว่าพวกเรา...”

“แซนด์วิชสักหน่อยไหมคะ มีไส้ไก่กับไส้แฮม คุณจะเอาอันไหนคะ” คำว่า ‘แต่’ เป็นสิ่งที่เธอไม่อยากได้ยินที่สุด เพราะมันมักจะตามมาด้วยรูปประโยคปฏิเสธ ดังนั้นเธอจึงไม่ปล่อยให้เขาพูดจบ ชิงโพล่งขัดขึ้นราวกับไม่ได้ตั้งใจ

ประเมินจากถุงกระดาษบนตัก ขนาดมันเล็กกว่าหัวเธอด้วยซ้ำ ต่อให้ฉีกด้านข้างก็ไม่แน่ว่าจะคลุมมิด ในเมื่อปราศจากถุงคลุมหัวแก้อาย ทางเลือกของเธอมีแต่ต้องไหลไปต่อ 

“ขอบคุณครับ แต่...”

“อุ๊ย! ลืมไปว่าคุณมือไม่ว่าง เอาไส้ไก่แล้วกันเนอะ มาค่ะ ฉันป้อน” ผู้พูดรีบเช็ดมือก่อนแกะกล่องพลาสติก แล้วค่อยหยิบแซนด์วิชชิ้นโตยื่นไปใกล้มุมปากบางเฉียบ ยิ้มเล็กยิ้มน้อยทำเสียงออดอ้อน 

“อ้าม”

“...” เหมรัชต์ขนลุกตั้งแต่สันหลังขึ้นมายันท้ายทอย สุดท้ายก็ต้องละสายตาจากถนนและเบือนหน้ามามองคนด้านข้าง พบว่าอีกฝ่ายถือแซนด์วิชของตัวเองเช่นกัน

“ฉันขาดมื้อเช้าไม่ได้เลยค่ะ แต่ก็ไม่กล้ากินคนเดียว คุณกินเป็นเพื่อนหน่อยนะ”

“ขอบคุณครับ…” 

คนถูกมัดมือชกรับอาหารมาอย่างไม่มีทางเลือก ทั้งที่คิดว่าตนเองโดนบังคับขืนใจแท้ๆ แต่เมื่อรสชาติซึมซาบเข้าสู่ปลายลิ้นกลับหยุดเคี้ยวไม่ได้ แซนด์วิชขนาดเท่าฝ่ามือพลันหายวับลงท้องในชั่วพริบตา 

“นี่ค่ะ” เมลิซซาส่งกระดาษเช็ดมือให้ ก่อนกลับมาละเลียดกินของตัวเองต่อ 

“เป็นยังไงบ้างคะ อร่อยรึเปล่า” หญิงสาวเอ่ยถามโดยไม่หันไปมอง ถึงเมื่อครู่จะเห็นสีหน้าของเขาแล้วก็เถอะ แต่เธออยากได้คำยืนยันจากปากเพื่อความแน่ใจ 

“อร่อยครับ แต่พึ่งรู้ว่าร้านนี้มีเบเกอรีขายด้วย ทางร้านทำแค่เฉพาะตอนเช้าเหรอครับ” 

“เปล่าค่ะ ฉันไม่ได้ซื้อมา”

“แล้วคุณเอามาจากไหน” เหมรัชต์เลิกคิ้ว ถามกลับแบบไม่คิดอะไร แต่เมื่อได้ยินคำตอบจากคนที่นั่งยิ้มเจ้าเล่ห์ เขาพลันรู้สึกอยากย้อนเวลากลับไปเย็บปากตนเองให้สนิท เรื่องบางเรื่องไม่ควรตั้งข้อสงสัยมากไปจริงๆ 

“ฉันเข้าครัวทำเองค่ะ ราคาของมันประเมินค่าไม่ได้เลย ดังนั้น…คุณต้องเลี้ยงมื้อเย็นฉันเป็นการตอบแทนนะคะ”

 

ศูนย์วิจัยซุนเป่ากรุ๊ปเป็นตึกทันสมัยขนาดกลาง ได้รับการจัดสรรงบประมาณต่อปีจำนวนไม่น้อย ที่นี่เป็นแหล่งรวมนักวิจัยหลากหลายแขนง ทั้งจากในฮ่องกง สาธารณรัฐประชาชนจีน รวมไปถึงการซื้อตัวนักวิจัยจากต่างประเทศ ส่วนใหญ่ทำโครงการเกี่ยวกับการพัฒนาเทคโนโลยีด้านโลจิสติกส์โดยเฉพาะ

ทายาทเพียงคนเดียวของผู้ก่อตั้งซุนเป่ากรุ๊ปได้แต่ตกตะลึง ไม่เคยรู้เลยว่าอาณาจักรของซุนเป่ากรุ๊ปยิ่งใหญ่แค่ไหน ตอนแรกเธอค้านหัวชนฝาเรื่องสืบทอดธุรกิจ พอเห็นแบบนี้ความเป็นไปได้ที่จะเปลี่ยนใจยิ่งติดลบ เธอแบกรับความรับผิดชอบมหาศาลขนาดนี้ไม่ไหวแน่ 

เจ้าหน้าที่นำทางทั้งสองคนไปที่ห้องรับรองแห่งหนึ่ง เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็พบว่ามีคนนั่งอ่านหนังสือพิมพ์รออยู่ก่อนแล้ว เหมรัชต์พลันก้าวยาวๆ เข้าไปจับมือทักทาย 

“สวัสดีครับรองผู้อำนวยการกวง ไม่ได้พบกันนานนะครับ”

“ไม่ต้องพิธีรีตองคุณเหมรัชต์ ผู้อำนวยการฉีอธิบายโครงการ OSR-02 ให้ผมฟังคร่าวๆ ตั้งแต่เมื่อวาน ผมได้แต่รอรายละเอียดส่วนที่เหลือจากคุณจนนั่งไม่ติด” 

ไอแซค กวง รองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและพัฒนายิ้มแย้มเป็นกันเอง ยกมือที่ว่างอีกข้างตบบ่าหนาอย่างสนิทสนม พลางเอ่ยถามสารทุกข์สุกดิบกันสองสามประโยค ก่อนที่เขาจะเหลือบไปเห็นหญิงสาวแปลกหน้าอีกคนที่มาด้วยกัน

“ลุยเดี่ยวมาตั้งนาน ในที่สุดคุณเหมรัชต์ก็มีผู้ช่วยกับเขาสักที” 

“ไม่ใช่ครับ” เหมรัชต์ปฏิเสธอย่างสุภาพ ก่อนจะแนะนำทั้งสองให้รู้จักกัน “นี่คือคุณเมลิซซา เซี่ย เลขาฯ ของผู้อำนวยการเหวิน เธอคอยช่วยประสานงานต่างๆ ระหว่างที่ผมอยู่ที่นี่” 

“อ้อ เลขาฯ คนใหม่ของผู้อำนวยการเหวินหรอกเหรอ” เมื่อครู่ที่หญิงสาวมัวแต่มองความแปลกใหม่รอบตัวก็แล้วไป แต่ทันทีที่ร่างระหงก้าวขึ้นมาข้างหน้า รองผู้อำนวยการกวงถึงกับคิ้วกระตุก

ตัวเขาถือเป็นคนเก่าคนแก่ของซุนเป่ากรุ๊ปคนหนึ่ง ย่อมมีปฏิสัมพันธ์อันดีกับท่านประธานใหญ่ไม่ใช่น้อย เรื่องทั่วไปอย่างชีวประวัติคร่าวๆ ก็พอจะรู้อยู่บ้าง จริงอยู่ที่โลกนี้มีคนหน้าตาคล้ายคลึงกันมาก ทว่าหญิงสาวอายุประมาณยี่สิบห้าที่บังเอิญหน้าคล้ายท่านประธานใหญ่ แถมยังชื่อ ‘เมลิซซา’ และ ‘แซ่เซี่ย’ ในฮ่องกงคงไม่มีคนที่สอง

นี่มัน…เรื่องล้อเล่นอะไรกันล่ะนี่

“คุณหนะ...”

เมลิซซาที่ลอบสังเกตอากัปกิริยาอยู่แล้วไม่ปล่อยให้คำพูดที่สองหลุดออกมา ชิงโพล่งขัดเสียดื้อๆ “สวัสดีค่ะรองผู้อำนวยการกวง ดิฉันพึ่งเข้าทำงานในฐานะเลขาฯ ผู้อำนวยการเหวินได้ไม่นาน หลังจากนี้ยังต้องเรียนรู้อะไรอีกมาก ฝากตัวด้วยนะคะ” 

ไอแซค กวง มองหนึ่งชายหนึ่งหญิงสลับกัน คนหนึ่งยังคงรักษาสีหน้าสงบนิ่งเสมือนไม่มีเรื่องแปลกประหลาด ทั้งๆ ที่หนีบบุตรสาวของท่านประธานมาด้วย ส่วนอีกคนใช้ดวงตากลมโตจ้องเขาเขม็ง แสดงเจตจำนงชัดเจนว่าขอความร่วมมือให้เขา ‘หยุด’ ความสงสัยที่มาจ่อชิดริมฝีปาก ในฐานะพนักงานเขาจะขัดคำสั่งได้หรือ พลันกระแอมกระไอหลายที รีบดึงตัวเองออกจากสถานการณ์หวาดเสียวสักพัก 

“ผมพึ่งนึกขึ้นได้ว่ามีธุระด่วนต้องจัดการ คุณเหมรัชต์ไปรอที่ห้องประชุมได้เลย ทีมของผมสแตนด์บายอยู่ที่นั่นแล้ว” 

“ขอบคุณครับ” เหมรัชต์พยักหน้า ก่อนตรงดิ่งไปยังห้องประชุมทันที 

รองผู้อำนวยการกวงยังไม่ทันได้พักหายใจ กลับต้องสะดุ้งโหยงเมื่อหญิงสาวอาศัยจังหวะที่คนข้างตัวไม่เห็นหันมาทำท่ารูดซิปปาก ทั้งยังยิ้มหวานราวกับน้ำผึ้งเคลือบยาพิษ สมฐานะบุคคลเพียงคนเดียวที่ท่านประธานใหญ่ไม่อาจเอาชนะได้ ตราบจนเงาหลังทั้งสองออกจากห้องเป็นที่เรียบร้อยเขาพลันรีบล้วงโทรศัพท์มือถือมากดโทร. หาเจ้านายสายตรงเพื่อขอคำอธิบายเรื่องชวนปวดหัวทั้งหมด 

“ผู้อำนวยการฉี ผมไม่แน่ใจว่าคุณรู้เรื่องนี้หรือเปล่า แต่ดูเหมือนว่าคุณหนูของท่านประธานใหญ่...จะมาโผล่ที่ศูนย์วิจัยของพวกเรา”

 

ขึ้นชื่อว่าทายาทผู้มีอิทธิพล...ร้อยทั้งร้อยล้วนได้รับแต่สิ่งที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นสภาพแวดล้อม สังคมเพื่อนฝูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งโอกาสทางการศึกษาที่เหนือกว่าคนธรรมดาทั่วไป ซึ่งส่วนใหญ่มักจะถูกที่บ้านบังคับเคี่ยวเข็ญตั้งแต่จำความได้ หากไม่ได้ที่หนึ่งก็ขอให้เกาะกลุ่มในลำดับต้นๆ แน่นอนว่าคุณหนูแห่งตระกูลอู๋ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น 

เมลิซซาภูมิใจในความสามารถของตนเองมาโดยตลอด ผลการเรียนของเธอยอดเยี่ยม ชนะเลิศทุกการแข่งขันด้านศิลปะ พรสวรรค์ทางด้านดนตรีอย่างไวโอลินก็อยู่ในระดับดีมาก ทั้งยังเป็นนักกีฬาขี่ม้าเหรียญทอง แถมยังพูดได้ห้าภาษา เธอไม่กล้าเรียกตัวเองว่าอัจฉริยะ แต่ก็มั่นใจว่าตนเองจัดอยู่ในระดับแถวหน้าคนหนึ่ง 

วันนี้เธอแค่อยู่ผิดที่ผิดทางเท่านั้นเอง

หลายชั่วโมงผ่านไป ปลายปากกายังค้างอยู่บนหน้าจอแท็บเล็ต แต่นอกจากโน้ตสั้นๆ ว่า ‘รายละเอียดเพิ่มเติมของโครงการ OSR-02’ ส่วนอื่นของหน้าจอกลับพบเพียงความว่างเปล่า 

ไม่ใช่ว่าเธออู้งาน ไม่ใส่ใจ แต่ลองมาฟังที่คนกลุ่มนี้คุยกันสิ เธอไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าพวกเขายังพูดภาษามนุษย์อยู่รึเปล่า หรือกำลังส่งรหัสลับไปต่างดาวกันแน่ 

เมลิซซาไม่ได้อยู่ร่วมในวงสนทนา ไม่ใช่ว่าพวกเขากีดกัน แต่เพราะสกิลด้านการแสดงของเธอยังอยู่แค่ในระดับ ‘นักแสดงฝึกหัด’ เธอไม่อาจแสร้งยิ้มและพยักหน้าเข้าใจติดกันได้หลายชั่วโมง ดังนั้นจึงเลื่อนเก้าอี้มานั่งอยู่ด้านหลังของเหมรัชต์ โดยมีเพื่อนเป็นแท็บเล็ตอีกหนึ่งเครื่อง 

หญิงสาวใช้เวลาครึ่งเช้าไปกับการเดินดูศูนย์วิจัย ครึ่งบ่ายไปกับการนั่งฟังในสิ่งที่ตัวเองไม่รู้เรื่อง ส่วนตอนเย็นแอบเล่นเกมปลูกผัก อ่านบทความเกี่ยวกับแฟชั่นและสั่งงานพนักงานที่สตูดิโอไปเรื่อย รู้ตัวอีกทีท้องฟ้าข้างนอกก็เปลี่ยนเป็นสีดำเรียบร้อย ถือเป็นการใช้เวลาทั้งวันได้เรื่อยเปื่อยยิ่งนัก 

ทุกครั้งที่เธอเหลือบมองแผ่นหลังกว้าง ดูเหมือนว่าเขาจะชอบบรรยากาศคงแก่เรียนมากกว่าบรรยากาศที่เต็มไปด้วยการแข่งขันอันดุเดือด เขานั่งตัวตรงอยู่ตลอด ดูสนอกสนใจไปกับทุกเรื่อง มีบางครั้งที่เขายิ้มและหัวเราะไปพร้อมทุกคน ซึ่งแตกต่างจากบุคลิกเย็นชาในห้องประชุมโดยสิ้นเชิง เขาจะรู้หรือไม่ว่ารอยยิ้มของเขาแก้เบื่อให้เธอได้ดีมาก

เลขาฯ ฝึกหัดนั่งอมยิ้มเงียบๆ ก่อนก้มมองของในมืออีกครั้ง เธออดถอนหายใจไม่ได้ ต่อให้เข้าเรียนแล้วนั่งหลับยังจดโน้ตได้มากกว่านี้เลย เธอไม่อาจทนมองประโยคหนึ่งเดียวท่ามกลางหน้าจอสีขาวเวิ้งว้างได้ จึงค่อยๆ ร่างวงกลมขนาดใหญ่ใต้ประโยคนั้น 

การสเกตช์ภาพบนจอกระจกไม่เป็นปัญหาเลยสักนิด เธอค่อยๆ เติมเส้นโครงแก้มและคาง แบ่งสัดส่วนทั้งแนวตั้งและแนวขวางตามตำแหน่งของอวัยวะทั้งห้าบนใบหน้า เริ่มต้นจากสิ่งง่ายๆ อย่างเช่นทรงผม จากนั้นค่อยกลับมาเก็บรายละเอียดส่วนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นใบหู คิ้วเข้ม จมูกโด่งสูง ริมฝีปากบางเฉียบ 

เพราะมัวแต่จมอยู่ในสมาธิจึงไม่รู้ตัวเลยว่าเจ้าของนัยน์ตาสีสนิมหันกลับมามองหลายต่อหลายครั้ง ครั้งแรกแววตาของเขาเต็มไปด้วยความสงสัย ครั้งที่สองค่อนไปทางกระอักกระอ่วน ครั้งที่สามเริ่มปล่อยตัวตามสบายขึ้น และครั้งที่สี่นัยน์ตาสุขุมคู่นั้นย้ายจาก ‘ภาพวาด’ มาที่ใบหน้าของ ‘จิตรกร’ เป็นที่เรียบร้อย 

“ทั้งหมดก็ตามนี้นะครับ ตรงจุดไหนที่เป็นไปไม่ได้พวกเราจะแจ้งอีกที แต่ผมคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะเพื่อนนักวิจัยของคุณเหมรัชต์ให้ข้อมูลมาละเอียดมาก อุดจุดอ่อนรอบคอบเหมือนทุกครั้ง” ทีมนักวิจัยทั้งห้าคนวางมือจากกองกระดาษตั้งสูง ก่อนบิดยืดเส้นสายไล่ความเมื่อยขบ 

“เมื่อไหร่จะพาเพื่อนมาแนะนำให้รู้จักล่ะครับ เคยอ่านเปเปอร์กันก็หลายครั้ง คุยอีเมลกันเป็นร้อยฉบับ แถมผมก็ไปประเทศไทยมาตั้งหลายรอบ แต่กลับไม่เคยเจอเพื่อนของคุณเหมรัชต์ตัวเป็นๆ สักที ผมชักจะสงสัยแล้วว่าเขาเป็นคนยังไงกันแน่ ถึงได้เก็บเนื้อเก็บตัวเหลือเกิน” นักวิจัยหนุ่มแซ่ซิวเอ่ยถาม

“เรื่องนี้ผมตัดสินใจโดยพลการไม่ได้ คงต้องถามความคิดเห็นเขาอีกทีครับ” เหมรัชต์ยิ้มมุมปากให้คำตอบ เขาไม่ได้ตอบรับคำชวน แต่ก็ไม่ได้ปิดประตูโอกาสในอนาคตทั้งหมด 

นักวิจัยซิวไม่เซ้าซี้ ก้มมองนาฬิกาข้อมือก่อนยิ้มมีเลศนัย “ไปดื่มด้วยกันไหมครับคุณเหมรัชต์ ผมรู้จักคลับดีๆ ที่พึ่งเปิดใหม่ สาวๆ พนักงานออฟฟิศไปกันเพียบเลย คราวนี้ผมขอแก้ตัว ไม่มีไฟไหม้เหมือนคืนนั้นแน่นอน ฮ่าๆๆ” 

“ชวนคุณเมลิซซาไปด้วยก็ได้นะครับ ผมมีเพื่อนผู้หญิงอยู่แถวนี้ ไปกันหลายคนน่าจะสนุกนะครับ” นักวิจัยหนุ่มแซ่ฉือสนับสนุนอย่างกระตือรือร้น แววตาวิบวับบ่งบอกถึงความสนใจในตัวเลขาฯ สาวสวยอย่างไม่ปิดบัง 

“ขอบคุณที่ชวนนะครับ แต่ผมมีนัดแล้ว” 

“แล้วคุณเมลิซซาล่ะครับ” คนทั้งหมดหันไปมองเจ้าของชื่อเป็นตาเดียว ทว่าหญิงสาวกลับยังคงก้มหน้าอยู่กับงานของตน ท่าทางเอาจริงเอาจังจึงเหมือนเป็นการปฏิเสธไปโดยปริยาย 

“ไม่ต้องร้องนะเพื่อน! ใครก็ได้หาปลาสเตอร์ให้มันที เลือดไหลอาบน้ำแล้วโว้ย ฮ่าๆๆ” 

ถึงจะเสียดายโอกาสได้อยู่กับสาวสวย แต่ทีมนักวิจัยหนุ่มก็ไม่รบเร้าสร้างความรำคาญ เพียงหัวเราะแกล้งคนหน้าแตก ก่อนกอดคอกันออกไปสังสรรค์หลังเลิกงานตามประสาหนุ่มโสด 

“แล้วเจอกันนะครับคุณเหมรัชต์”

ภายในห้องกลับมาสู่ความเงียบ เหมรัชต์หมุนเก้าอี้หันมาเผชิญหน้ากับจิตรกรด้านหลัง เขาไม่ได้ส่งเสียงใดๆ ที่จะเป็นการรบกวนสมาธิ เพียงกุมมือไว้กลางหว่างขา หลุบตามองข้อมือเล็กที่ขยับไปมาเบาๆ แรเงาภาพวาดด้วยความเร็วสม่ำเสมอ เห็นชัดเลยว่าต่อให้ไม่ใช่กระดาษก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคเลยสักนิด 

จิตรกรสาวถอนหายใจเป็นระยะขณะวาดๆ ลบๆ ดวงตาอยู่หลายรอบ แบบนี้ก็ไม่เหมือน แบบนั้นก็ไม่ใช่ สุดท้ายจึงช้อนตามองต้นแบบ 

แป้ก!

“คะ...คุณเหม!” 

เมลิซซาสะดุ้งโหยงเมื่อพบว่าต้นแบบรูปสเกตช์กำลังก้มมองผลงานของเธออยู่ ปากกาแท็บเล็ตพลันลื่นหลุดจากอุ้งมือหล่นลงพื้นไปโดนปลายรองเท้าหนัง ชายหนุ่มสวมแว่นทรงรีหยิบมันขึ้นมา ก่อนยื่นส่งให้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

นี่มัน…บ้าไปแล้ว!

คนถูกจับได้ตบหน้าผากตัวเองอย่างแรง เวลาจดจ่อกับการวาดรูปเธอมักจะลืมสภาพแวดล้อมโดยรอบ นี่เป็นนิสัยติดตัวที่แก้ไม่หายสักที 

“รับไปสิครับ”

“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวยื่นมือไปรับปากกาคืนมาอย่างเสียไม่ได้ แก้มทั้งสองข้างเห่อร้อนไปหมด กวาดตามองทั่วห้องก็พบว่าเหลือแค่เธอกับเขา นอกจากล่องหนก็ไม่เห็นวิธีแก้ปัญหาอย่างอื่น 

เขาต้องคิดว่าเธอโรคจิตแน่ๆ

“คือว่า...” เธออยากกดลบรูปทำลายหลักฐานซะเดี๋ยวนั้น แล้วค่อยอ้างเหตุผลว่าซ้อมมือหรืออะไรก็ว่าไป แต่คำพูดของเขากลับทำลายความตั้งใจก่อนหน้าอย่างง่ายดาย

“ใกล้เสร็จแล้วนี่ครับ อีกนิดเดียว”

“เอ๊ะ ฉันวาดต่อได้เหรอคะ” เมลิซซาขมวดคิ้วมองคนพูด หากเขาไม่ได้กำลังพยักพเยิดมาทางแท็บเล็ต เธอต้องคิดว่าตัวเองหูฝาดไปแน่ๆ 

“ทำไมจะไม่ได้ครับ” 

การโดนจับได้คาหนังคาเขาก็น่าขายหน้ามากพอแล้ว แต่พอได้ยินเขาพูดแบบนั้น…สุดท้ายก็เลือกทำในสิ่งที่บ้าบอยิ่งกว่า “งั้นคุณเหมถอดแว่นได้ไหมคะ ฉันอยากมองตาคุณให้ชัดๆ”

“...” 

“หมายถึงรูปทรงของตาค่ะ บางครั้งเลนส์แว่นมันทำให้รูปร่างผิดเพี้ยน แต่ไม่ใช่ว่าฉันลืมวาดแว่นของคุณนะคะ ฉันคิดว่าคุณถอดแว่นคงน่ารักกว่า เอ่อ…ฉันไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น ฉันตั้งใจจะวาดดวงตาของคุณก่อนแล้วค่อยเติมแว่นทีหลังค่ะ” หญิงสาวพูดรัวเร็วจนลิ้นพันกัน พลางชี้ดวงตาของตนเองประกอบการอธิบาย 

เหมรัชต์สบแววตาบริสุทธิ์ของผู้พูด ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเขาถึงตัดสินใจเช่นนี้

“อันที่จริงผมอยากดูคุณวาดให้จบ ถ้าต้องถอดแว่นผมคงมองอะไรไม่เห็น” 

คนสายตาสั้นถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนจะใช้ปลายนิ้วแข็งแรงเกี่ยวขาแว่นมาแขวนไว้ที่กระเป๋าเสื้อ เขาพลันหรี่ตาเข้าหากัน กะพริบถี่ๆ เพื่อปรับโฟกัสภาพ ทว่านอกจากความพร่ามัวก็มองไม่เห็นสิ่งอื่นใด 

เมลิซซากัดริมฝีปากแน่น ทั้งๆ ที่ก็รู้อยู่ก่อนแล้วว่าเหมรัชต์เป็นผู้ชายที่ดูดีมากคนหนึ่ง แต่เมื่อใบหน้าได้สัดส่วนไม่มีแว่นเกะกะมาคอยบดบัง นี่มันเหนือกว่าที่จินตนาการเอาไว้ซะอีก 

“คุณสายตาสั้นขนาดไหนกันคะ”

“หลายร้อยอยู่ครับ”

“แต่สมัยนี้คนเขาก็ใส่คอนแทกต์เลนส์กันหมด น่าจะสะดวกกว่าใส่แว่นนะคะ”

“คุณไม่คิดว่าการเอานิ้วจิ้มตาตัวเองมันน่ากลัวเหรอ” 

“แหม ผู้ชายตัวโตแบบคุณไม่น่ากลัวอะไรแบบนี้นะ” จิตรกรสาวหัวเราะร่วน ก่อนสะดุดกึกเมื่อได้ยินประโยคต่อปากต่อคำถัดมา

“นั่นน่ะสิครับ ผมน่าจะชินกับเรื่องน่ากลัวได้แล้ว”

“งั้นรีบชินเข้านะคะ เพราะเรื่องน่ากลัวจะยังอยู่กับคุณอีกนานเลย” 

“…”

เมลิซซาพึ่งค้นพบว่าเหมรัชต์มีดวงตาที่สวยมาก นัยน์ตาสีสนิมทรงอัลมอนด์เรียวยาว ต่อให้เป็นตาชั้นเดียว แต่รูปทรงและขนาดรับกันได้ดีกับส่วนอื่นๆ ของใบหน้า เธอพลันเขยิบเข้าไปมองใกล้ๆ แท้จริงแล้วขนตาของเขายาวกว่าผู้หญิงหลายคนด้วยซ้ำ 

เหมรัชต์ขืนตัวออกห่าง เอ่ยถามอย่างไม่ค่อยสบายใจนัก “แสงไม่พอเหรอครับ” 

“ถ้าฉันหักแว่นคุณตอนนี้ คุณจะโกรธฉันไหมคะ” 

“ผมจะหักปากกาของคุณคืน” ผู้พูดตอบเสียงขรึม ทว่ามุมปากกลับปรากฏรอยยิ้มบางเบา 

“งั้นก็คุ้มที่จะแลกอยู่นะคะ เพราะประกันเครื่องฉันยังไม่หมด พังแล้วก็เอาไปเคลมใหม่ได้ ฮ่าๆๆ” 

เมื่อมีต้นแบบอยู่ตรงหน้า ส่วนที่เหลือก็ไม่ใช่เรื่องยาก เมลิซซามองโครงหน้าชัดเจนสมบุรุษสลับกับมองแท็บเล็ตในมือ เธอใช้เวลาไม่นานในการเติมรายละเอียดที่เหลือให้เสร็จ ก่อนจะถือวิสาสะหยิบแว่นจากกระเป๋าเสื้อสวมให้เขา

“เรียบร้อยแล้วค่ะ”

เหมรัชต์กลั้นหายใจเมื่อปลายนิ้วนุ่มละมุนไล้ผ่านกรอบหน้า ตัวแข็งทื่อขึ้นมาชั่วขณะ สิ่งแรกที่มองเห็นคือดวงตาเป็นประกายและรอยยิ้มสดใสที่อยู่ห่างกันแค่คืบ 

“ขอดูได้ไหมครับ” ชายหนุ่มกระแอมกระไอพลางดันเก้าอี้ออกห่างร่างในชุดสีครีม พยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกแปลกพิกลที่เข้าโจมตีเป็นระยะ

“ไม่ทำให้คุณที่อุตส่าห์โพสท่าตั้งนานต้องผิดหวังแน่นอนค่ะ” เสียงหวานหัวเราะร่า ก่อนยื่นผลงานให้ ‘ต้นแบบ’ ได้เห็นตัวเองในอีกมุมหนึ่ง 

“เหมือนเปี๊ยบ!” 

ถึงจะได้รับคำยืนยันแบบนั้น แต่เหมรัชต์กลับไม่มั่นใจว่านี่ใช่ตัวเขาแน่หรือ 

ในภาพสเกตช์ขาวดำ...คนในรูปไม่ได้สวมแว่น ชายหนุ่มหันหน้าตรงและยิ้มกว้าง นัยน์ตายาวรีมีถุงใต้ตาเล็กๆ ทั้งยังปล่อยผมปรกหน้าผาก ดูสบายและให้ความรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก ท่าทางผ่อนคลายเมื่อครู่มลายหายไปอย่างรวดเร็ว เขานึกไม่ออกแล้วด้วยซ้ำว่าตัวเองเคยมีช่วงเวลาแบบนั้น 

“ปกติฉันไม่ค่อยวาดภาพพอร์เทรตเท่าไหร่ คุณเป็นคนแรกในรอบหลายปีเลยนะ แล้วฉันก็ดีใจด้วยที่เป็นคุณ” เมลิซซาปรบมือแปะ แก้มทั้งสองข้างแดงระเรื่อ แอบคาดหวังให้เขาเข้าใจความนัยที่เธอต้องการสื่อ

แหม…ถ้าจะให้พูดตรงกว่านี้คงเหลือแค่คำว่า ‘ฉันชอบคุณ มาเป็นของฉันเถอะ’ ซึ่งเธอเป็นผู้หญิงเรียบร้อย ถ้าจะรุกโจ่งแจ้งแบบนั้นมันคงไม่งาม

“ต่อให้ไม่ได้วาดหลายปีก็ยังฝีมือดีขนาดนี้เลยเหรอครับ”

“ใครๆ ก็บอกฉันเป็นคนมีความสามารถน่ะค่ะ พระเจ้ารักเลยให้พรสวรรค์มาเยอะ” 

คำว่า ‘ถ่อมตัว’ ไม่มีในพจนานุกรมของเมลิซซามาตั้งแต่ไหนแต่ไร เธอไม่ใช่คนประเภทได้รับคำชมแล้วทำท่าปัดป้อง ‘บ้าเหรอ ฉันไม่เก่งหรอก เธอเก่งกว่าตั้งเยอะ’ เพราะเธอมั่นใจว่าตนเองมีดี คู่ควรกับการยืดอกรับคำชม

“ผมเชื่อว่าคุณมีพรสวรรค์ แต่คุณคิดว่านี่เหมือนผมเหรอ” เหมรัชต์ถามเสียงเรียบ ยกภาพวาดในแท็บเล็ตเปรียบเทียบกับหน้าตนเองให้เห็นกันชัดๆ ต่อให้ไม่มีกระจกก็รู้ว่าสีหน้าในขณะนี้แตกต่างจากคนในรูปดุจฟ้ากับเหว 

หญิงสาวมุ่นหัวคิ้ว ถามกลับด้วยน้ำเสียงงงงวย “เอ๋…แล้วตรงไหนที่ไม่เหมือนคะ นี่คือคุณในสายตาของฉัน ทุกครั้งที่ฉันมองคุณก็เห็นแต่อะไรแบบนี้”

“ผมคิดว่าคุณน่าจะต้องการแว่นเพิ่มสักอัน”  

“ไม่จริงน่า ฉันกินวิตามินบำรุงสายตาอยู่ทุกวัน ไม่เชื่อลองมองใกล้ๆ สิคะ” เมลิซซายืนยันคำพูดด้วยการชะโงกหน้าเข้าไปใกล้ วินาทีนั้นเธอไม่ได้คิดเรื่องระหว่างชายหญิง เพียงยิ้มแฉ่งอวดฟันเรียงเป็นระเบียบ ทั้งยังเบิกตากว้างเพื่อให้คนสายตาสั้นเห็นทุกอย่างได้ชัดเจนยิ่งขึ้น 

“ใสปิ๊งๆ เลยใช่ไหม”

“…” เหมรัชต์มุ่นหัวคิ้ว ปลายจมูกของเขาเกือบจะสัมผัสกับจมูกเล็กๆ นั่นอยู่รอมร่อ กระทั่งสัมผัสได้ถึงลมหายใจหอมกรุ่นเลยด้วยซ้ำ

เขาเองก็มีเพื่อนร่วมงานต่างเพศ แต่ไม่เห็นมีใครเรื่อยเจื้อยสะเปะสะปะเท่าหญิงสาวตรงหน้าเลยสักคน ที่จริงเขาอยากลองพิสูจน์ว่าอีกฝ่ายจะทำตัวไม่คิดหน้าคิดหลังได้นานสักแค่ไหน แต่พอได้เห็นเงาของตนเองประทับอยู่ในดวงตากลมโต…กลับกลายเป็นเขาเองที่เป็นฝ่ายเบือนหน้าหนีอย่างมีพิรุธ  

“กลับกันเถอะครับ”

เมลิซซาหดตัวกลับมา ก่อนจะก้มดูนาฬิกาข้อมือ เวลาที่แสดงบนหน้าปัดทำเอาช็อกไปชั่วขณะ ตอนแรกเธอคิดว่าคงไม่เกินสองทุ่มถึงได้ทำตัวเอื่อยเฉื่อยตั้งนาน แต่นี่มันเกินสองทุ่มไปเกือบสามชั่วโมงแล้ว!

“คุณเหม ทำไมคุณไม่บอกให้เร็วกว่านี้!” 

มือบางตบหน้าผากดังแปะ รีบเก็บของทั้งหมดเข้ากระเป๋า โดยมีคนตัวสูงยืนกดดันอยู่ข้างประตู ต่อให้ไม่พูดเธอก็พอจะเข้าใจความรู้สึกของเขา ทำงานก็เหนื่อย แถมยังต้องมาเสียเวลาไปกับเรื่องไร้สาระ ไม่รู้ป่านนี้คะแนนของเธอจะติดลบไปกี่พันแต้มแล้ว คิดถึงตรงนี้จิตใจพลันฝ่อแฟบ 

แต่เอ๊ะ…เธอยังมีโอกาสทำคะแนนนี่นะ 

“คุณเหม รอด้วยสิคะ” ร่างในชุดสูทสีครีมวิ่งตามไป ก่อนจะปรับความเร็วให้เดินเคียงข้างเขาอย่างเป็นธรรมชาติ 

“ผู้หญิงบอบบางอย่างฉันไม่กล้าเดินทางคนเดียวค่ำๆ มืดๆ คงต้องรบกวนให้คุณไปส่งที่เดิมแล้วค่ะ ต้องขอโทษด้วยจริงๆ นะคะ” หญิงสาวพยายามทำหน้าทำตาให้ดูน่าสงสาร ซึ่งขัดกับรอยยิ้มแป้นแล้นอย่างยิ่ง

“คนอย่างคุณมีเรื่องอะไรให้กลัวด้วยเหรอครับ”

“แหม อันที่จริงแล้วฉันเป็นคนขวัญอ่อนมากเลยนะ แค่ไฟดับก็ร้องไห้ฮือๆ แล้ว” 

“งั้นผมรีบไปส่งคุณดีกว่า ส่วนเรื่องมื้อเย็นของพวกเราก็ถือว่าเจ๊ากันไปนะครับ” เหมรัชต์เปรยขึ้นมาราวกับไม่ได้ตั้งใจ พลางลอบสังเกตทุกอากัปกิริยาของคนข้างกายแบบไม่ให้คลาดสายตา

ประโยคดังกล่าวทำเอาผู้ฟังหยุดชะงัก ก่อนจะเดินเอียงแฉลบไปเกาะผนังเดี๋ยวนั้น ทั้งยังสบถเสียงอ่อนระโหยโรยแรงกับตนเอง แต่ก็ดังมากพอที่คนอยู่ใกล้ๆ จะได้ยิน 

“อุ๊ยไม่นะ บ้าจัง ทำไมต้องมาเป็นตอนนี้ด้วย” 

เหมรัชต์ที่เห็นทุกอย่างตั้งแต่ต้นกลั้นขำไม่ไหว ดูเหมือนใครบางคนจะได้รับแต่พรสวรรค์ด้านการวาดเขียน ส่วนด้านการแสดงย่ำแย่ยิ่งกว่าติดลบ ทว่าเป็นเขาเองที่เปิดประเด็นขึ้นมา จะให้อีกฝ่ายทุ่มเทเสียแรงเปล่าก็คงไม่ได้ ดังนั้นจึงเลิกคิ้วถามด้วยน้ำเสียงปนหยอกล้อนิดๆ 

“เป็นอะไรครับ”

เมลิซซาเบิกตาโต แต่เดาว่าท่าทางมันออกจะระริกระรี้เกินเหตุ เธอจึงเปลี่ยนมายกมือขึ้นกุมศีรษะให้คำตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ไม่รู้เหมือนกันค่ะ อยู่ๆ ก็เวียนหัว คิดว่า…”

“ว่า?” 

“น่าจะหิวจนหน้ามืดค่ะ!”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น