4

บทที่ 4

4

 

“ผมชื่อพงศ์เผ่า” สารวัตรพงศ์เผ่าแนะนำตัวเอง ไม่ได้ถูกความไร้มารยาทของกันต์กระตุ้นอารมณ์โมโหแต่อย่างใด 

อาชีพของเขาทำให้ต้องรับมือกับผู้คนมามากจนปล่อยวางกับความงี่เง่าหรือนิสัยประหลาดๆ ของผู้คนหลากหลายได้ตั้งนานแล้ว อีกทั้งยังไม่ใช่คนอีโก้สูงจนไม่อาจลดตัวลงมาแนะนำตัวเองกับคนที่ทำท่าทางเย่อหยิ่งดูแคลนคนอื่นแบบหมอนี่

“สารวัตรพงศ์เผ่า” นายตำรวจหนุ่มเน้นย้ำก่อนยื่นมือออกไป

“สารวัตร...เป็นตำรวจอย่างงั้นเหรอ” กันต์ทวนถามพลางปรายสายตาคล้ายมีคำถามไปยังรสิกาที่ยืนเยื้องไปด้านหลัง

รอยยิ้มเหี้ยมเกรียมผุดที่มุมปากกันต์เมื่อจับเค้าได้แล้วว่า เหตุใดหญิงสาวจึงส่งสายตาไปยังผู้ชายคนนี้...หน็อย แล้วยังมีหน้ามาบอกว่ามันหล่อ...มองเพลิน ที่ไหนได้แม่คุณส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากตำรวจ!

ฮึ่ม! ดูเหมือนเจ้าหล่อนจะมีพิษสงกว่าท่าทางซื่อๆ หงอๆ ที่แสดงออกมาหลอกตาเขา

“กันต์” แนะนำตัวเองสั้นๆ ไม่ขยายความใดๆ แต่ก็ยอมยื่นมือออกไปจับกับสารวัตรพงศ์เผ่า...แนบแน่น

ชายสองคนบีบมือ จ้องตาเขม่นกันอยู่ชั่วพักจึงค่อยคลายมือด้วยสีหน้ากินกันไม่ลง ก่อนที่สารวัตรพงศ์เผ่าจะเป็นฝ่ายเอ่ยถามออกมา

“คุณกันต์กับเพื่อนๆ มาทำอะไรที่นี่หรือครับ...หนูรัสไม่เห็นแนะนำเพื่อนใหม่ให้พี่แพนรู้จักบ้างเลย” ท้ายประโยคเขาหันไปพยักพเยิดกับรสิกาด้วยสีหน้ายิ้มๆ แต่ส่งประกายคมวับผ่านทางสายตา 

รสิกากะพริบตางงๆ นิดหน่อย พยายามทำความเข้าใจสัญญาณนั้น

เขาใช้คำว่า พี่แพน ซึ่งปกติเขาไม่ได้ใช้กับเธอ แม้ว่าเขาจะเคยเอ่ยปากอนุญาตเองว่าให้เธอเรียกเขาว่าพี่ได้ แต่รสิกาก็เป็นคนรู้กาลเทศะพอที่จะเข้าใจว่าเขาพูดไปตามมารยาทเท่านั้น เขาเป็นใคร เธอเป็นใคร ในฐานะลูกจ้างจะไปตีเสมอเรียกเพื่อนเจ้านายว่า พี่’ ก็ออกจะลามปามกันเกินไป แถมที่ผ่านมาเมื่อรสิกาไม่เคยเรียกแบบนั้น เขาก็ไม่ได้คะยั้นคะยออะไร ย่อมแสดงให้เห็นแล้วไม่ใช่หรือไงว่าเขาเพียงพูดไปตามมารยาทเท่านั้น

แต่ตอนนี้...ดูเหมือนว่าเขาพยายามใช้สรรพนามนั้นในการแสดงความสนิทสนมขึ้นมา เพื่อที่เขาจะได้สอดมือเข้ามาช่วยเหลือเธอได้ไงล่ะ!

คิดได้ดังนั้นแล้ว รสิกาก็ค่อยมีกำลังใจขึ้นมาบ้าง

“หนูรัสก็เพิ่งรู้จักเขาได้ไม่นานค่ะ พี่แพน” รสิกาพึมพำแผ่วก่อนกลั้นใจเอ่ยออกมา “พี่แพนจำ...จำเรื่องตอนที่เราเจอกันคราวที่แล้วได้ไหมคะ” 

“ไอ้เรื่องประหลาดที่หนูรัสมาเล่าให้ผมฟังเมื่อสักสองอาทิตย์ก่อนน่ะนะ” สารวัตรพงศ์เผ่าถามด้วยนัยน์ตาเป็นประกายวาวขึ้นมา เมื่อนึกไปถึงเรื่องที่หญิงสาวมาแจ้งความเรื่องถูกบังคับให้ลงชื่อในเอกสารประหลาดๆ นั่น มันแปลกเสียจนทีแรกเขาขำขัน ไม่นึกว่ามันจะเป็นเรื่องจริง จนกระทั่ง...

สารวัตรหนุ่มกวาดตาไปโดยรอบอีกที คราวนี้มั่นใจได้ว่าเรื่องที่ได้ยินหญิงสาวพนักงานในสำนักงานทนายความของเพื่อนเขาเล่านั้นน่าจะมีเค้าความจริงเสียแล้วสิ

“ที่จริง...หนูรัส’ รู้จักกับพ่อผมมาก่อน พ่อเลยฝากให้ผมช่วยดูแล ‘หนูรัส’ น่ะครับ” กันต์บอกพลางเอื้อมมือมาคว้าตัวรสิกาดึงมาไว้ด้านข้าง พลางยกแขนมาโอบไหล่เธอเอาไว้ เกร็งมือจิกกดลงเป็นเชิงเตือนไม่ให้เธอขัดขืน

“อ้อ...แล้วคุณกันต์กับคุณพ่อคุณกันต์มาทำอะไรที่อำเภอเล็กๆ ของเรางั้นเหรอครับ” พงศ์เผ่าถามด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยน ดุจไม่รู้สึกถึงการถูกคุกคามโดยลูกน้องของกันต์ที่ขยับมาล้อมกรอบเขาอยู่

“ธุรกิจ” กันต์บอกเสียงเหวี่ยงใส่สายตาสอดรู้ที่ชายตรงหน้ามองจ้องเขากับลูกน้องอย่างจะเก็บรายละเอียด

สายตาคมกริบราวมองทะลุได้ทุกสิ่งทุกอย่างและราวกับจะอ่านใจคู่สนทนานั้นดูเหมือนเป็นสิ่งที่ตำรวจไม่ว่าชาติไหนก็มีเหมือนๆ กันไปหมดสินะ

Badcops!

“นักธุรกิจนี่เอง” สารวัตรพงศ์เผ่าพึมพำ สีหน้าครุ่นคิด ก่อนความเข้าใจบางอย่างจะผุดขึ้นรางๆ ในสีหน้าเขา

“พักนี้ผมได้เจอนักธุรกิจหลายคนทีเดียว ผ่านทางมาเพื่อแวะไปเขตเศรษฐกิจพิเศษประเทศเพื่อนบ้าน คุณกันต์ก็ไปหาลู่ทางธุรกิจแถวนั้นหรือครับ”

“อ้อ...เป็นคุณตำรวจที่ดูแลพื้นที่ของตัวเองได้ทั่วถึงทีเดียวนะครับ” กันต์เปรยขึ้นด้วยรอยยิ้มหยันๆ มีความเสียดสีปนหมิ่นแคลนคล้ายแฝงความนัยเชิงกล่าวหา

“เป็นตำรวจก็ต้องดูแลประชาชนอยู่แล้วครับ จำเป็นต้องหูตากว้างไกล สอดส่องทั่วถึงทั้งสุจริตชนทั้ง...มิจฉาชีพ!” สารวัตรพงศ์เผ่าตอบโต้ยิ้มๆ เขาเน้นท้ายประโยคเป็นพิเศษโดยสบสายตากับชายตรงหน้าแน่วนิ่ง มีรอยรู้ทันปนท้าทายอย่างไรพิกล

“เอ่อ...คุณกันต์ถ้าเสร็จธุระแล้ว...เอ่อ...หนูรัสว่า...ระ...เราแยกย้ายกันไปดีไหมคะ” รสิกาเอ่ยเสียงสั่นขึ้นมา เบรกอารมณ์ของตำรวจกับมิจฉาชีพที่ประสานสายตาเขม่นแรงใส่กันอยู่ 

คือ...เขาจะจิกสายตาแรงใส่กันนานแค่ไหน ก็คงไม่มีใครว่าอะไรหรอก ถ้าหากว่ารสิกาจะไม่ได้อยู่ตรงกลางระหว่างคนทั้งคู่ แถม...มือแข็งๆ ของกันต์ยังเกร็งบีบไหล่เธอจนเจ็บแล้วนะ

รสิกาจึงจำเป็นต้องคลี่คลายสถานการณ์นี้ลงก่อนมันจะปะทุเดือด...เดือดโดยมีเธออยู่ตรงกลาง คิดดูสิว่าหากมีการลงไม้ลงมือกันจริงๆ แบบ...แบบสิบต่อหนึ่ง...รสิกาที่อยู่ตรงกลางวงจะรอดไหม...ถามใจเธอดู

กันต์ละสายตาจากนายตำรวจ หันหน้ามาจิกรังสีอำมหิตใส่ยายตัวจุ้นที่ยืนส่งสายตาอ้อนวอนอยู่ข้างๆ

“คะ...คุณก็...ก็เสร็จธุระแล้วไม่ใช่หรือคะ ปละ...ปล่อยหนูรัสไปดีไหมคะ” รสิกากลั้นใจฝืนความหวาดกลัวถามออกไป

จากประสบการณ์เมื่อคราวที่แล้ว...เขาต้องการแค่เอกสาร จากนั้นก็ปล่อยตัวเธอมา โดยไม่ได้ขู่เข็ญทำร้ายอะไรอีก ดังนั้นเธอจึงคิดว่าคราวนี้อาจเหมือนคราวที่แล้วก็เป็นได้

ที่จริง...ถ้าหากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตอนก่อนหน้านี้ ก่อนที่เธอจะโดนบังคับให้เซ็นเอกสารแผ่นนั้น รสิกาอาจดิ้นรนต่อสู้ รวมถึงขอความช่วยเหลือจากพงศ์เผ่าได้โดยไม่ลังเล แต่นี่...ในเมื่อเหตุการณ์เกินเลยไปจนเธอต้องจำยอมลงชื่อในใบทะเบียนสมรสให้เขาแล้ว มันเกินกว่าที่จะแก้ไขอะไรได้ในตอนนี้ ดังนั้นจึงไม่ควรสร้างความขัดแย้งที่จะดึงเอาคนอื่นมาพลอยซวยด้วย 

หญิงสาวมองสถานการณ์รอบตัวแล้วก็พบว่า...ไม่อาจโวยวายหรือร้องขอความช่วยเหลือเสียงดังออกไปได้จริงๆ เห็นได้จากคนของกันต์ที่พากันล้อมรอบพวกเขาไว้ ชายกำยำราวสิบกว่าคน...โอบล้อมรอบนายตำรวจหนุ่มและรสิกาอยู่กลางวงล้อม...หาก...ถ้าหากเกิดเหตุปะทะกัน...

รสิกากลืนน้ำลายฝืดๆ ลงคอเมื่อคิดคำนวณแล้วว่า...นายตำรวจหนุ่มผู้เป็นเพื่อนกับเจ้านายเธอจะเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำแน่นอน และเธอก็ยังรู้ดีทีเดียวว่าฝ่ายกันต์นั้นมีปืน...อย่างน้อยหนึ่งกระบอก ลูกน้องของเขาพวกนั้น ก็อาจพกปืนกันด้วย...

ต่อให้อยู่ในที่สาธารณะหรือสถานที่ราชการก็ตาม แต่ถ้าหากคนเราจะก่ออาชญากรรมขึ้นมา ยังไงมันก็ต้องเกิด ยิ่งเป็นคนที่ดูอารมณ์ร้อนอย่างกันต์ด้วยแล้ว...

เห็นเธออายุน้อยเหมือนสาวไร้เดียงสา แต่รสิกากลับมีประสบการณ์ในการอ่านสำนวนคดีความมามากมายนัก สาเหตุของคดีแปลกๆ การก่อความรุนแรงและการฆาตกรรมที่หลากหลายทำให้เธอรู้ว่า ไม่ใช่แค่เพียงอยู่ในสถานที่ราชการหรือมีนายตำรวจอยู่ตรงนี้แล้วจะไม่เกิดเหตุร้ายแรงขึ้น

ไม่ได้สิ...เธอจะยอมให้เพื่อนของเจ้านายต้องพลอยมาซวยกับเธอด้วยไม่ได้หรอก 

การต้องเอาตัวรอดในหลายปีที่ผ่านมาของเด็กกำพร้าอย่างรสิกาทำให้เธอไตร่ตรองหลายชั้น มองเห็นปัญหา และตัดสินใจเลือกได้อย่างไม่ลังเล การประนีประนอมเป็นวิธีที่เธอคุ้นเคยที่สุด บางครั้งการไหลไปตามน้ำก่อนค่อยๆ หาทางแก้ปัญหาไปทีละขั้นก็เป็นหนทางที่เธอถนัด

ใบแจ้งความจากเหตุการณ์คราวที่แล้วยังพกติดตัวอยู่เลย...เธอไม่เชื่อหรอกว่า...คราวนี้เธอจะทำให้เอกสารของเขาแผ่นนั้นเป็นโมฆะอีกไม่ได้!

กันต์เหลือบมองหญิงสาวข้างกายด้วยสายตาประหลาดใจ ยายนี่กลับคุมสติมาต่อรองกับเขาแบบพยายามควบคุมสถานการณ์ได้อีก!

ชายหนุ่มเองก็กลับมาควบคุมอารมณ์ตัวเองพลางประเมินสถานการณ์ การมีเรื่องทะเลาะกับตำรวจไม่ใช่การกระทำที่ฉลาดเลย...แถมยัง...บนสถานที่ราชการที่มีกล้องวงจรปิดหลายสิบตัว

“ฉันจะไปส่งเธอ” กันต์ทำปากเบ้ สีหน้าขัดใจ แต่ไม่ดึงดันที่จะหาเรื่องนายตำรวจหนุ่มต่อ ยอมถอยโดยการจะพายายตัวจุ้นนี่ไปซะ

การมีเรื่องกับตำรวจไม่ดีกับการทำธุรกิจจริงๆ แหละ ขืนป๊ารู้เข้า ได้ถลกหนังหัวเขาแน่

“หนูรัส” สารวัตรพงศ์เผ่าท้วงขึ้น การเผชิญเหตุซึ่งหน้าและคนร้ายทำท่าจะพาตัวประกันหนีไปแบบนี้ เขาคงไม่อาจนิ่งเฉยได้หรอกนะ แต่พอเขาขยับตัวก็ถูกลูกน้องของกันต์ก้าวมาขวางไว้

“นะ...หนูรัสไม่เป็นไรค่ะ” รสิกาหันมาตอบคำด้วยรอยยิ้มซีดเซียว ไหล่เล็กยังถูกโอบอยู่ในอุ้งมือใหญ่ที่กุมกระชับ แน่น กรงเล็บแข็งขยุ้มจนเกือบเจ็บ สัมผัสนั้นประกาศชัดเจนว่าถึงการถืออำนาจเหนือกว่า ครอบครอง ก้าวร้าว และจะไม่ยอมปล่อย รสิกาจะทำอะไรได้ นอกจากยอมเดินตามเขาไปเท่านั้น

“เดี๋ยวก่อน!” สารวัตรพงศ์เผ่าคว้าข้อมือเล็กดึงยื้อไว้ หยุดการเคลื่อนไหวให้คนทั้งขบวนต้องชะงักค้าง

“ปล่อย!” กันต์หันมาขู่คำรามเสียงเหี้ยม พร้อมๆ กับลูกน้องเขาที่เข้ามาช่วยกันล็อกตัวพงศ์เผ่าไว้ มือของชายหนุ่มที่คว้าจับมือรสิกาไว้ถูกหลายมือดึงรั้ง บีบแรง บังคับให้ปล่อย

“นายต่างหากที่ต้องปล่อย คิดจะก่อเหตุในสถานที่ราชการงั้นหรือไง ที่นี่กล้องวงจรปิดเป็นสิบ รวมๆ กับที่ถนนอีกก็ร่วมร้อย คิดว่าจะหลบกล้องได้หมดทุกตัวหรือไง” พงศ์เผ่าพยักพเยิดไปทางกล้องวงจรปิดที่ส่องมาทางนี้พอดี

กันต์สบถในคอ ขยับตัวทำท่าเหมือนอยากจะล้วงมือเข้าไปหยิบปืนในอกเสื้อ กิริยานั้นทำให้รสิการ้อนรนขึ้นมา

“คะ...คุณแพน...พี่แพนคะ ปล่อยมือเถอะค่ะ หนูรัสไม่เป็นไร” รสิการีบพูดขึ้น เธอต้องคลายล็อกสถานการณ์นี้ให้ได้ ไม่ให้กันต์อาละวาดที่นี่ กับเพื่อไม่ให้พงศ์เผ่าต้องเจ็บตัวโดยใช่เหตุ และ...ถ้าเป็นไปได้อยากให้กันต์คลายมือที่บีบหัวไหล่เธอไว้ออกไปเสียเหลือเกิน มันเจ็บอะ...มุแง

พงศ์เผ่าไม่ยอมปล่อยมือ แถมสีหน้ายังเข้มขึ้งขึ้นอีกต่างหาก เขาเป็นตำรวจเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ แม้ว่าปกติจะยึดหลักการที่พยายามหลีกเลี่ยงการปะทะที่ไม่จำเป็น แต่เขาก็ไม่ได้ขลาดกลัวต่อการเผชิญเหตุแต่อย่างใด ต่อให้อีกฝ่ายจะมีจำนวนคนมากจนรุมเขาได้ แต่เขาก็เชื่อว่าหากแลกกันย่อมสร้างความเสียหายให้ฝ่ายตรงข้ามได้บ้างแหละ และถ้ามีเรื่องขึ้นมาจริง กลุ่มคนตรงหน้าย่อมไม่มีทางหลบหนีลอยนวลไปได้ง่ายๆ แน่

ขณะที่สถานการณ์ตึงเครียดบิดเกลียวจนใกล้ขาดผึง เสียงหนึ่งก็แทรกขึ้นมาเบรกอารมณ์ของทุกคน

“อ้าวคุณแพน มาอยู่ที่นี่เอง”

เจ้าของเสียงคือชายร่างสันทัดที่อยู่กับพงศ์เผ่าเมื่อตอนที่พวกเขาเดินสวนกันครั้งแรก เขาเดินเข้ามากลางวงเหมือนไม่รู้อีโหน่อีเหน่ใดๆ ทำให้คนที่จับตรึงกันไว้จำต้องคลายมือออก ยกเว้นกันต์ที่ยังจับตัวรสิกาไว้ไม่ปล่อย

“คุณเจริญสิน” พงศ์เผ่าหันไปให้ความสนใจชายวัยกลางคนตรงหน้า

คุณเจริญสินเป็นนักธุรกิจใหญ่ในพื้นที่ และวันนี้เขาก็เชิญสารวัตรพงศ์เผ่ามาประชุมเรื่องการจัดงานเทศกาลประจำปี ร่วมกับข้าราชการระดับสูงในพื้นที่อีกหลายคน

“สารวัตรมาทำอะไรอยู่ตรงนี้ครับเนี่ย พวกผู้ใหญ่ที่รอประชุมเขาตามหาอยู่” เจริญสินเอ่ยปากโดยไม่รู้ตัวสักนิดว่า กลุ่มคนที่ตั้งท่าจะตะลุมบอนกันเมื่อครู่ค่อยๆ ถอยออก ชายวัยกลางคนคว้าแขนนายตำรวจหนุ่ม ลากให้เดินตามไปอีกทาง

“ครับผมรู้แล้ว” สารวัตรพงศ์เผ่ากัดฟันรับคำ จำใจลากขาก้าวห่างออกมา แต่ไม่วายตวัดดวงตาขุ่นขึ้งไปทางกันต์ที่มองมาด้วยสีหน้าเย้ยหยันก่อนหมุนตัวดึงรสิกาให้เดินตามเขาไปอีกทาง โดยมีบอดีการ์ดส่วนตัวตีวงล้อมเข้าไปคุ้มกันเขาไว้ตรงกลาง

ผู้ต้องสงสัยพาตัวประกันหนีไปได้ มีอะไรที่จะหยามหยันตำรวจได้มากกว่านี้อีก

แต่...พงศ์เผ่าก็รู้ว่าเขาไม่อาจทำอะไรได้มากนัก ไม่มีคดี ไม่มีหมายศาล ไม่มีแม้กระทั่งโจทก์ เพราะรสิกาก็ทำท่าสมัครใจตามอีกฝ่ายไปโดยดี ปัญหาของเขาคือ...มันยังไม่เกิดเหตุขึ้นและระบบงานก็มีกฎระเบียบข้อบังคับที่ยังไม่อาจทำอะไรได้จนกว่าจะเกิดเหตุร้ายขึ้น!

แม่งเอ๊ย!

 

“ไอ้ตำรวจนั่นเป็นใคร”

คำถามดุเดือดดังขึ้นหลังจากกันต์พารสิกากลับขึ้นมาบนรถตู้ ปิดประตูขังเอาไว้โดยมีลูกน้องเขานั่งอยู่ในที่นั่งตอนหน้า ลูกน้องอีกหลายคนทยอยขึ้นไปบนรถอีกหลายคันที่จอดรออยู่ใกล้ๆ

“ขะ...เขาเป็นเพื่อนเจ้านายฉันค่ะ” รสิกาตอบเสียงสั่น ในท่ามกลางความหวาดกลัวก็มีความงงงันไม่ใช่น้อยเลยว่า...เขาจะมาซักฟอกอะไรเธอเนี่ย มีสิทธิ์อะไร...เอ่อ...ก็ไม่เชิงไม่มีสิทธิ์หรอกนะ ไอ้ชื่อที่อยู่ข้างกันในทะเบียนสมรสนั่นเป็นสิ่งยืนยันว่าเขามีสิทธิ์...นิดหน่อย...มั้ง

“เจ้านาย?” กันต์หรี่ตามอง คนตรงหน้าทำท่ากลัวเขาตัวสั่นงันงกจนดูน่าสงสารก็จริง แต่...ฮึ่ม! “เจ้านายเธอเป็นตำรวจเรอะ”

“เจ้านายฉันเป็นทนายความค่ะ ฉันทำงานกับลูกชายของเพื่อนพ่อฉัน เขาเปิดสำนักงานทนายความ” รสิกาอธิบายพยายามใส่ความเชื่อมโยงไม่ให้ตัวเองดูไร้ญาติขาดมิตร ไม่ใช่เหยื่อที่จะถูกทำร้ายกลายเป็นศพนิรนามที่มักถูกเรียกว่า เจน โด โดยไม่มีใครติดตามหา

“ลูกชาย...ของเพื่อนพ่อ?” กันต์ทวนคำ ลำดับความเชื่อมโยงพลางขมวดคิ้วไปด้วย

“เป็นทนายความค่ะ” รสิกาเน้นคำ รู้สึกว่าการอุปโลกน์ความสัมพันธ์นั้นขึ้นมาน่าจะมีผลกับการยับยั้งชั่งใจของเขาบ้างแหละ

จะว่าอุปโลกน์ก็ไม่ถูกนัก คุณธนัต บิดาของเอเธนส์เจ้านายเธอก็เป็นเพื่อนกับพ่อเธอจริงๆ แหละ แม้ว่าหลังจากบิดาของรสิกาเสียชีวิตเขาจะเข้ามารับอุปการะเธอโดยบอกว่า จะดูแลเธอเหมือนลูกแท้ๆ คนหนึ่ง แต่โลกนี้ก็ไม่ได้มีเรื่องง่ายดายปานนั้น คุณอมรรัตน์ ภรรยาคุณธนัต มารดาของเอเธนส์ ไม่ได้เห็นตรงกันกับสามีและไม่ได้เอ็นดูรสิกาเหมือนผู้เป็นสามีและลูกชาย ลับหลังลูกและสามีนางอมรรัตน์ทำตัวเหมือนนางร้ายในละคร ทั้งจิกกัด ดูถูก ด่าว่า กดดันรสิกาสารพัด ขาดเพียงการจิกผมตบ ชีวิตรสิกาก็จะเป็นคล้ายนางเอกในละครแล้วละ

ด้วยเหตุนี้หลังจากพ่อเสียได้ครึ่งปี รสิกาก็ขอย้ายออกจากบ้านของพวกเขา มาอยู่หอพักสตรีเล็กๆ เก่าซอมซ่อ แต่ปลอดภัยและราคาถูกพอที่เธอจะอยู่ได้อย่างไร้กังวลเรื่องค่าใช้จ่าย คุณธนัตและเอเธนส์ไม่ได้ถามไถ่อะไรมาก นอกจากมาช่วยดูแลเรื่องความปลอดภัย การเซ็นสัญญาเช่า และช่วยย้ายข้าวของ

การยอมรับง่ายๆ ของพวกเขานั้น...ทำให้รสิกาสะกิดใจขึ้นมาหน่อยๆ แหละว่า...พวกเขาอาจจะไม่ได้ไม่รู้เห็นกับการที่คุณอมรรัตน์มาข่มขู่เธอ...แต่เธออยู่ในฐานะที่จะไปเรียกร้องอะไรได้เล่า 

สองสามปีหลังจากนั้น หลังจากที่ได้เรียนรู้ผู้คนมาพอสมควร รสิกาก็รู้จักวิธีการเล่นแบบ...Good cops bad cops เทคนิคการตีสองหน้าที่แบ่งหน้าที่กันทำแบบเนียนๆ คนหนึ่งเล่นเป็นคนดี อีกคนเล่นเป็นคนร้าย...เป็นเทคนิคหนึ่งในการสื่อสาร ในการเกลี้ยกล่อมผู้คน...

ครอบครัวของคุณธนัตกับอมรรัตน์อาจกำลังเล่นเกมแบบนี้อยู่ก็เป็นได้ คนหนึ่งสวมหน้ากากใจดีมีเมตตา อีกคนแสดงบทใจหินโหดเหี้ยม ใช้จิตวิทยากดดันบีบบังคับให้เธอต้องเป็นฝ่ายเอ่ยปากเองว่าขอออกจากบ้านพวกเขา เมื่อเป็นความสมัครใจของเธอเอง พวกเขาก็ยังคงรักษาภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือ และผู้ปกครองที่แสนดีมีเมตตาอุปการะลูกเพื่อนได้อย่างไม่มีด่างพร้อย

ถามว่าโกรธไหม...เธอก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้เพียงแต่การรับรู้เกิดขึ้นในใจ...ว่านับแต่พ่อตายตามแม่ไปอีกคน เธอก็เหลือเพียงตัวคนเดียวในโลกแล้วจริงๆ รสิกาเว้นระยะห่างออกมา พยายามพึ่งพาตัวเองทุกอย่าง เธอของานธุรการในสำนักงานของเอเธนส์ทำ รับเงินเดือนมาส่งเสียตัวเองและไม่ได้เรียกเขาว่าพี่เธนอีกเลย

เขาคือคุณเอเธนส์ ทนายหนุ่มอนาคตไกลผู้เป็นนายจ้างเธอเท่านั้น...ไม่สิ...เขายังเป็นข้ออ้างให้เธอใช้เอาตัวรอดตอนนี้อีกอย่าง ทนายและตำรวจเป็นสองอาชีพที่คนอย่างกันต์น่าจะไม่อยากตอแยด้วย ดังนั้นหากจะทำร้ายหรือทำอันตรายเธอจนถึงแก่ชีวิต เขาคงต้องคิดยั้งใจไว้ก่อน

“เอาตำรวจกับทนายมาขู่...คิดว่าฉันจะกลัวงั้นเรอะ” กันต์ถามน้ำเสียงคุกคาม แอบกระตุกยิ้มมุมปากเมื่อเห็นอาการสะดุ้ง สีหน้าตื่นตกใจของอีกฝ่าย

ยายนี่! อ่านง่ายชะมัด!’

ท่าเบิกตาโตสีหน้าเลิ่กลั่กนั่นทำเอารอยสนุกวาววับในประกายตาของคนที่จับสังเกตอยู่ ความมันเขี้ยวครอบงำจนทนไม่ไหว ต้องยื่นมือไปขยุ้มคอเสื้อเธอไว้ ไม่ให้รสิกากระถดถอยหนี

“แล้วเสื้อนี่มันอะไร ทำไมเธอถึงสวมแต่สูทยุ่ยๆ พวกนี้อยู่ได้” กันต์ถามเสียงดุ ชักเริ่มรู้สึกว่าชุดที่คลุมร่างเธออยู่น่ารังเกียจสิ้นดี ทำไมยายนี่ถึงไม่รู้จักแต่งเนื้อแต่งตัวให้มันดูดีกว่านี้นะ

“ฉะ...ฉัน...ฉันซื้อมือสองมาจากตลาดนัดค่ะ” รสิกาตอบด้วยสีหน้าเหยเก หลบดวงตาคมดุที่จ้องมาอย่างโมโห “กับ...กับบางชุดก็มีคนให้มาค่ะ”

รสิกามีเจ้านายอีกสองคนที่เธอทำงานพิเศษด้วยคือศิริดารา เจ้าของร้านดอกไม้กับอันธิกา เจ้าของสปา ทั้งคู่ต่างเป็นผู้หญิงที่ตัวใหญ่กว่ารสิกากันหมด แม้ว่าหญิงสาวทั้งสองคนจะให้ความเอ็นดูรสิกาและมักมอบเสื้อผ้าดีๆ ที่พวกเธอไม่ใช้แล้วมาให้เสมอ แต่ความต่างของขนาดตัวก็แสดงตัวออกมาชัดแจ้งว่ามันไม่ใช่เสื้อผ้าของเธอ

“ทำไมไม่ซื้อชุดเสื้อผ้าดีๆ ใหม่ๆ ใส่” กันต์ขมวดคิ้วสงสัย

รสิกาเหลือบมองเขานิดหนึ่งก่อนเบือนหน้าหนี ตอบแบบ...เกือบๆ จะเชิดๆ ใส่

“ฉัน...ไม่มีเงิน!” 

กันต์ขมวดคิ้วแน่นขึ้นไปอีกกับสีหน้าของหญิงสาวกับปลายเสียงที่สะบัดใส่ที่เหมือนจะประกาศออกมาว่า...ใช่ซี้...ก็ฉันมันจนนี่!

หน็อย...ยายยาจกนี่!

“น้าวร!” กันต์ตะโกนเรียก 

ถาวรรีบเปิดประตูรถออก เขายังยืนรอคอยคำสั่งอยู่ข้างรถเพราะกันต์ยังไม่ยอมบอกให้ออกรถ เมื่อไม่รู้จุดหมายปลายทาง คนทั้งคณะก็ไม่อาจเคลื่อนไหวไปไหนได้ ยังคงจอดค้างอยู่ตรงหน้าอำเภอที่เดิมตรงนั้นเอง

“ครับคุณกันต์” ถาวรรับคำสีหน้ารอคำสั่งเหมือนอยากให้เขารีบบอกจุดหมายให้คนขับรถพาออกไปจากสถานที่นี้เสียที

เผื่อใครลืม...เมื่อครู่นายน้อยของเขาเพิ่งหาเรื่องกับนายตำรวจมานะ...แถม...บนสถานที่ราชการอีก การยังโอ้เอ้อยู่ในที่เกิดเหตุคือสิ่งสุดท้ายที่ควรทำ

“ขอสมุดเช็คให้ผมหน่อย” กันต์สั่งเสียงเรียบท่ามกลางความงุนงงของลูกน้องคนสนิทคุณอารัณย์ แต่เขาก็ไม่มัวงงนาน ถาวรหันไปเรียกหาคนที่มีหน้าที่ดูแลเรื่องนี้จนได้ของที่ต้องการมาส่งให้ชายหนุ่มในไม่กี่อึดใจ

“คุณกันต์ครับ ผมว่า...เราออกไปให้พ้นจากที่นี่กันก่อนดีไหมครับ” ถาวรเตือนสติลูกชายนาย

“ดีครับ ไปเลย” กันต์รับคำพยักหน้าให้

แต่...ไม่ยอมบอกต่อว่าให้ไปไหน ทำเอาถาวรอยากถอนใจหนักๆ เขาปิดประตูรถก่อนหันไปออกคำสั่งลูกน้องเสียเอง

ฝ่ายกันต์เมื่อได้สมุดเช็คมาก็กรอกตัวเลขพร้อมเซ็นลายเซ็นลงไปก่อนฉีกออกมายื่นให้รสิกา

“เอ้า เอาไป ไปหาซื้อเสื้อผ้าดีๆ ใส่ซะ”

รสิกาเบิกตากว้างมองดูกระดาษแผ่นเล็กตรงหน้าด้วยสีหน้าตื่นตะลึง เมื่อกวาดตามองก็พบความผิดปกติบางอย่างในนั้น...ตั้งแต่ลักษณะของเช็คใบนั้นไม่คุ้นตาเลย

...เพราะอยู่สำนักงานทนายความนี่แหละที่ทำให้มีคดีเช็คและตัวอย่างหลักฐานของเช็คจากหลากหลายธนาคารผ่านตาจนรับรู้ได้ว่า...ไอ้เช็คหน้าตาประหลาด ชื่อธนาคารก็ประหลาดตรงหน้านี้ไม่ใช่ของที่ใช้ในประเทศไทยแน่ แถม...จำนวนเงิน...ตัวเลขหลักหมื่นนั้นคงไม่น่าประหลาดอะไร ถ้าจะไม่ต่อท้ายด้วยค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ และเมื่อกวาดตามองไปยังชื่อธนาคารอีกที รสิกาก็สุดแสนมั่นใจเลยว่า...เช็คใบนี้...มันขึ้นเงินในประเทศไม่ได้แหงๆ แถมเผลอๆ อาจขึ้นเงินที่ไหนในโลกก็ไม่ได้ทั้งนั้น ถ้าเป็นเช็คปลอมขึ้นมา มูลค่ามันก็คงไม่ต่างกับแบงก์กงเต๊กหรอกน่า

“ไม่เอาหรอก เช็คปลอมปะเนี่ย” รสิการีบปฏิเสธ ไม่ยอมรับไว้ให้มีลายนิ้วมือตัวเองติดในเอกสารที่น่าสงสัยนั้นเด็ดขาด

“เธอ...หาว่าเช็คของฉันปลอมงั้นเรอะ” กันต์ตวาดใส่ โกรธจนหางตากระตุก หน็อย...ยายนี่ช่างวอนตาย บังอาจมาหาว่าเช็คของท่านรองประธานบริษัทในเครืออลันกรุ๊ปเป็นของปลอมงั้นเรอะ

“มะ...ไม่ปลอมก็ได้ค่ะ มัน...มันแค่ขึ้นเงินไม่ได้เท่านั้น...” รสิกาโดนเสียงตวาดทำให้หวั่นกลัวขึ้นมาอีกครั้ง

การถกเถียงกับคนร้ายไม่ใช่การกระทำที่ฉลาดหรอก การเออออตามน้ำไปย่อมฉลาดกว่าการแสดงท่าว่ารู้ทัน ไม่งั้นคนร้ายอาจโมโหที่หลอกไม่ได้และอาจทำอันตรายได้...พวกคดีทำร้ายร่างกายหลายคดีที่อ่านมาเป็นอุทาหรณ์ได้เป็นอย่างดีทีเดียว

“หน็อย...ยายโง่เอ๊ย นี่เธอไม่รู้จักทราเวลเช็คเรอะ” กันต์ตะโกนใส่อย่างโมโห ไม่เคย...ไม่เคยเจอคนที่ไม่ยอมรับเช็คจากเขาแบบนี้มาก่อนเลย ผู้หญิงส่วนใหญ่ล้วนรีบตะครุบมันเอาไว้ด้วยซ้ำ ไม่เคยมีใครทำท่าเหมือนเช็คของเขาเป็นของปลอมแบบยายนี่เลย

รสิกาส่ายหน้าให้เขาแบบงงๆ แม้เธอจะมีความรู้อยู่บ้าง แต่ที่นี่เป็นตำบลเล็กๆ ในจังหวัดชายแดน อย่างมากคดีเช็คที่เธอเคยผ่านตาก็มีแค่เช็คเด้ง หรือการโกงกันเล็กๆ น้อยๆ ของบริษัทที่ยอดความเสียหายแค่หลักหมื่นหลักแสน เธอไม่เคยเห็นเช็คต่างประเทศ หรือเช็ครูปแบบต่างๆ มากมายนัก จึงไม่แปลกที่เธอจะไม่รู้จัก แต่มันทำให้ คนโลกกว้าง ที่เห็นโลกในอีกมิติหนึ่งมานานต้องขมวดคิ้วนิ่วหน้าขุ่นเคืองใจนัก

แต่เมื่อมองไปเห็นสายตาที่มองมาแบบหวาดๆ นั่นแล้วก็...

“เธออยู่ที่นี่มาตั้งแต่เด็กๆ เลยเหรอ” กันต์ถามอย่างพยายามทำความเข้าใจ คนโลกแคบ

ไม่ว่าที่ไหน หากคนคนนั้นใช้ชีวิตอยู่แค่ในเมืองเล็กๆ ที่ห่างไกลโดยไม่เคยได้ไปสัมผัสเมืองหลวง ย่อมทำให้วิสัยทัศน์แคบเป็นธรรมดา ที่อเมริกาก็มีคนประเภทนี้เช่นกัน มีกระทั่งพวกที่เชื่อว่าโลกแบน หรือเชื่อว่าในโลกนี้มีอเมริกาเพียงประเทศเดียวด้วยซ้ำ

ยายนี่ก็คงไม่ต่างหรอก...ไม่งั้นจะยังคงมีสายตาใสซื่อจริงใจแบบนี้อยู่ได้อย่างไรกัน

“ก็...จะให้ฉันไปไหนล่ะคะ” รสิกาถามกลับไปอย่างสงสัย

“ที่ไปเยอะแยะ ประเทศไทยที่ตั้งห้าแสนกว่าตารางกิโลเมตรไม่ใช่หรือไงกัน เลยกว่านั้นก็เออีซี หรือประเทศที่ท่องเที่ยวที่คนชอบไป ยุโรป ญี่ปุ่น เกาหลี จีน อเมริกา โลกนี้กว้างจะตาย เธอคิดจะแก่ตายคาอำเภอเล็กกระจิ๋วหลิวนี่เหรอไงกัน” กันต์ตั้งคำถามได้...แบบว่า...

“ฉัน...ไม่มีเงินไปเที่ยวหรอกค่ะ แค่กินอยู่ดูแลตัวเองกับหาเงินมาจ่ายค่าเทอมก็หมดแล้ว อ้อ...จริงสิ ฉัน...ฉันต้องไปทำงานพิเศษนะคะ คุณ...คุณช่วยปล่อยฉันไปได้ไหมคะ” รสิกาอธิบายก่อนจะต่อรองเมื่อเห็นว่าเขาเริ่มหายโมโหแล้ว 

แม้...แม้ว่าเขาจะไม่ได้ดูเป็นคนดี...เท่าไร แต่คราวที่แล้วเขาก็ยังยอมทำตามที่เธอร้องขอเลย คราวนี้เขาคง...คงไม่ใจร้ายหรอก...มั้ง

“ทำงานพิเศษ?” กันต์ทวนคำเสียงสูง

“ใช่ค่ะ วันนี้ฉันต้องไปทำงานที่ร้านสปานะคะ นี่ก็เลยเวลามาเยอะแล้วค่ะ เดี๋ยวโดนหักเงิน” รสิกาอธิบายอย่างอดหวังไม่ได้ว่า เขาคงจะเห็นใจมนุษย์เงินเดือนต่ำต้อยตัวน้อยๆ อย่างเธอบ้าง

“สปา?” กันต์ทวนคำพลางคิดไปด้วยว่าสถานที่นั้นควรเป็นแบบไหน “แบบที่มีนวดหน้า นวดตัว นวดเท้า นวดน้ำมันกับขายบริการอะนะ”

“ไม่ใช่แล้วค่ะ ไปเอามาจากไหนคะว่าสปานวดตัวมีขายบริการ” รสิการีบท้วงเสียงดังอย่างตกอกตกใจ

“ก็พวกอาบอบนวดนั่นไม่ใช่หรือไงล่ะ” กันต์ตอบโต้ สีหน้ามีความหมิ่นหยามไม่ปิดบัง

“ไม่ใช่ค่ะ อาบอบนวดนั่นมัน...เอ่อ...มะ...มัน...” รสิกาเถียงตะกุกตะกัก หน้าแดงก่ำด้วยความขัดเขินจนไม่อาจเอ่ยถึงอาชีพพิเศษที่แอบแฝงอยู่ในสถานที่นั้นได้ หญิงสาวจึงเปลี่ยนประเด็นกลับมาพูดถึงร้านที่เธอทำอยู่ “ตะ...แต่ร้านสปาที่ฉันทำมันไม่ใช่แบบนั้นนะคะ ที่นี่นวดหน้า นวดตัว นวดอะโรมาอย่างเดียวและรับแต่ลูกค้าผู้หญิงค่ะ”

“แล้วเธอก็เที่ยวไปนวดให้ใครต่อใครไปหมดน่ะนะ” กันต์ขมวดคิ้วแน่นขึ้น

แม้ว่าปฏิกิริยาของยายเลิ่กลั่กตรงหน้าจะฟ้องให้เขารู้ว่า เธอไม่ได้มีอาชีพแอบแฝงประเภทนั้นแน่ๆ เพราะความขัดเขินและจริตของเธอไม่ออกไปในแนวผู้หญิงที่คุ้นเคยกับผู้ชายประเภทนั้นเลย ของแบบนี้มันซ่อนกันไม่ได้หรอก ยิ่งกับสายตาผู้เป็นเจ้าของสถานเริงรมย์หลายสิบแห่งแบบเขา คุ้นเคยกับจริตของหญิงสาวมาทุกประเภทหมดแหละ แต่...ไม่รู้ทำไมพอคิดว่าเธอต้องไปเป็นเทอราปิสต์คอยบริการนวดเนื้อตัวให้ใครต่อใคร ทำไมถึงได้โมโหขึ้นมา

“คะ...แค่...ก็แค่ตอนที่คนไม่พอ หรือพี่ๆ เขาหยุดกันเท่านั้นแหละค่ะ” รสิกาแก้ตัวอุบอิบ

ที่จริงเธอแทบไม่เคยนวดให้ใครเลยด้วยซ้ำ ทำไมน่ะเหรอ...เพราะฝีมือไม่ถึงขั้นยังไงเล่า! แม้ว่าอันธิกา เจ้าของสปาจะให้บรรดาพี่สาวหมอนวดเก่งๆ ในสปามาสอนเธอแล้วก็จริง แต่รสิกาก็ไม่มีพรสวรรค์ในด้านนี้เลยจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นการนวดไทย นวดเท้า นวดน้ำมันอะโรมา รสิกาล้วนทดลองงานไม่ผ่านเลยสักการนวดเดียว 

“สะ...ส่วนใหญ่เขาให้ฉันทำพวกงานธุรการ ตระเตรียมข้าวของกับทำความสะอาด ซักล้างอุปกรณ์อะไรแบบนั้นค่ะ”

“นั่นมันงานเมดไม่ใช่เรอะ” กันต์สรุปด้วยน้ำเสียงดูถูก

“อะ...อาชีพสุจริตนะคะ” รสิกาเถียงกลับไปเสียงเบา ไม่ได้ต่อคำว่า...ยังไงๆ ก็ดูสุจริตกว่าที่เขาทำแน่...ถึงตอนนี้แม้จะยังไม่รู้ว่าเขาทำงานอะไร แต่เธอค่อนข้างแน่ใจทีเดียวว่าเขาเป็นมิจฉาชีพ

“ลาออกซะ” กันต์สั่งด้วยน้ำเสียงวางอำนาจที่ทำเอาคนฟังอ้าปากค้าง ตาค้างไปวูบหนึ่ง

“ลาออกแล้วฉันจะเอาเงินที่ไหนมาใช้จ่ายล่ะคะ ฉันยังต้องจ่ายค่าเช่าหอ ค่ากิน ค่าเทอมอยู่นะคะ” รสิกาอธิบายแบบพยายามใจเย็นสุดๆ 

กันต์จึ๊กจั๊กขัดใจ เขาหันซ้ายหันขวาอย่างหงุดหงิด จะเซ็นเช็คให้ยายนี่ก็ไม่รับอีก ผู้หญิงบ้า!

“น้าวร”

ถาวรกลายเป็นตัวเลือกให้กันต์เรียกหา ซึ่งชายวัยกลางคนก็ขานรับจากที่นั่งตอนหน้าของรถตู้เขาหันมารับคำสั่ง...คำสั่งที่ทำเอางุนงงไปไม่น้อยเลยเมื่อนายน้อยเรียกหา...

“น้ามีเงินสดติดตัวอยู่เท่าไร” กันต์ถามอย่างไม่เกรงอกเกรงใจ

“สัก...สามหมื่นบาทครับ” ถาวรตอบคำหลังกลอกตาทำท่าคิดนิดหนึ่ง เมื่อเช้าเขาเพิ่งไปเบิกเงินสดมาเป็นเงินสำรอง เผื่อมีค่าใช้จ่ายจุกจิกนอกเหนือจากการใช้เช็คหรือรูดบัตรเครดิตของเจ้านาย

“เอามาให้ผมก่อน” กันต์ตบทรัพย์ลูกน้องพ่ออย่างหน้าตาเฉย ก่อนรับปึกเงินจากถาวรที่เปิดกระเป๋าเงินส่งให้ เอามายื่นให้รสิกา

“เอ้า เอาไปใช้เล่นๆ ก่อนจะซื้อเสื้อผ้า ตัดผมหรือซื้อของที่อยากได้ก็ตามใจ เดี๋ยวฉันให้เธออีก...อะไรอีกล่ะ” ท้ายประโยคคือคำถามหงุดหงิด เมื่อเห็นรสิกานอกจากไม่ยอมรับเงินแล้วยังถอยพิงเบาะพลางส่ายหน้าโบกมือไปมาไม่ยอมรับเสียอย่างนั้น

“มะ...ไม่เอาค่ะ”

“ทำไมถึงจะไม่เอา” คนให้คำรามน้ำเสียงโมโห นี่มันเงินสดที่ใช้หนี้ได้ตามกฎหมาย แถมเป็นธนบัตรไทยพร้อมใช้ไม่ต้องไปแลกเปลี่ยนสกุลเงินให้วุ่นวายด้วยซ้ำ ยายนี่ยังมีปัญหาอะไรกับเงินเขานักหนา

“คะ...คุณให้เงินฉันทำไมคะ ให้เป็นค่าอะไรงั้นเหรอ” รสิกาถามอย่างรอบคอบ ไม่ยอมรับเงินให้มีรอยนิ้วมือติดเงินต้องสงสัยปึกนั้นแน่

“ค่า...” กันต์ขมวดคิ้วคิดนิดหนึ่ง ค่าอะไรล่ะ

อืม...ใช่ๆ จับตัวเธอมาจดทะเบียนสมรสด้วยแบบนี้ก็ต้องมีค่าจ้างกันบ้างแหละใช่ไหมล่ะ

“ค่าเสียเวลาของเธอที่มาจดทะเบียนสมรสให้ฉันไง ทำไมอีกล่ะ” ท้ายประโยคคือเสียงเหวี่ยงขั้นสุดเมื่อเห็นอีกฝ่ายยิ่งหน้าซีดเผือดเหยเกเข้าไปใหญ่ เพิ่งเคยเจอผู้หญิงคนนี้เป็นคนแรกเลยแหละที่ทำหน้าอย่างนี้ใส่เงินที่เขายื่นให้

“คะ...คุณกันต์คะ...ฉัน...ฉันจนมากเลยค่ะ ฉันไม่มีปัญญาชดใช้เงินหรือขึ้นศาลหรอกนะคะ...คุณ...คุณช่วยอย่าทำอย่างนี้กับฉันได้ไหมคะ” รสิกาตั้งสติ พยายามใช้น้ำเสียงเกลี้ยกล่อมเต็มที่ หวังจะให้เขาเปลี่ยนใจให้ได้

“หมายความว่าไง” กันต์ขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจที่เธอพูดเลยสักนิด

“กะ...ก็...พวกคุณเป็นแก๊งจ้างผู้หญิงไทยแต่งงานใช่ไหมคะ ให้เงินค่าจ้างหลักหมื่นแลกกับทะเบียนสมรสแล้วจะได้เอาชื่อฉันไปกู้ หรือไปทำธุรกรรมจนเป็นหนี้สินหลายล้านใช่ไหมล่ะ ฉันไม่มีปัญญาจ่ายหรอกนะ แล้วก็ไม่อยากติดคุกด้วย คุณ...คุณช่วยปล่อยฉันไปได้ไหมคะ ฉันไม่เอาไปบอกใครหรอก ถ้าสารวัตรพงศ์เผ่ามาถาม ฉันไม่เล่าให้เขาฟังก็ได้ ปล่อยฉันไปเถอะ นะคะ”

รสิกาเอ่ยออกมาด้วยใจเต้นระทึก เพราะสีหน้าคนฟังคล้ำเข้มขึ้นเรื่อยๆ จนอุปาทานเหมือนจะเห็นไอน้ำเดือดปุดพ่นออกมาจากศีรษะเขาอย่างไรอย่างนั้น

“ใคร...” กันต์เค้นคำออกมาด้วยสีหน้าเหมือนคนกำลังหายใจไม่ออก

“คุณไงคะ” รสิกาตอบคำน้ำเสียงเรียบร้อยก่อนต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อโดนตวาดดังลั่น

“ใครบอกเธอว่าฉันเป็นแก๊งมิจฉาชีพวะ!!!

รสิกาหวีดร้องตกใจ ถ้าไม่ติดว่าแขนโดนยึดไว้แน่น เธอคงมุดลงไปหลบใต้เบาะแล้วแหละ ก็เขาน่ากลัวขนาดนี้น่ะ

“คุณกันต์ครับ ใจเย็น” ถาวรยังต้องหันมาปรามนายน้อยที่ของขึ้นสติหลุด เกือบจะไปบีบคอหญิงสาวเขย่าอยู่แล้ว “มีอะไรคุยกันดีๆ ก่อนครับ” 

“น้าวรจะให้คุยดีๆ กับนัง...ยายเนี่ยนะ หน็อย...นี่เธอไปเอาความมั่นใจนั้นมาจากไหนกันว่า ฉันเป็นมิจฉาชีพน่ะหา” กันต์ระงับอกระงับใจหันไปคำรามใส่คนที่ห่อตัวหัวหด ท่าทางหวาดกลัวจนเกินกว่าเหตุนั้น ถ้าเป็นเวลาปกติเขาคงทั้งขำทั้งสงสาร แต่ตอนนี้กลับดูน่าโมโหเข้าไปใหญ่

“กะ...ก็...ก็คุณ...พวกคุณตีหัวฉันสลบ จับฉันมัดไว้ในโกดังร้าง เอาไฟส่องหน้ากันอีกต่างหาก และยังบังคับฉันให้เซ็นเอกสาร แถมยังเกือบเอามีดเฉือนมือฉัน แล้วนี่คุณก็บังคับเอาตัวฉันมาขึ้นรถตู้ ถามเหตุผลก็ไม่ตอบดีๆ แถมยังเอาปืนมาขู่อีก ถ้าไม่ใช่มิจฉาชีพแล้วพวกคุณควรเป็นอะไรเรอะ” รสิกาพยายามอธิบายเหตุผลที่เหมือนสาดน้ำมันใส่กองเพลิงเพราะคนฟังยิ่งดูหัวร้อนเข้าไปใหญ่ ถลึงตาใส่เธออย่างดุดัน

“คะ...คุณกันต์ยัง...ยังไม่ได้คุยกับคุณรัสดีๆ เลยเหรอครับ” ถาวรตัดสินใจถามแทรกขึ้น เพราะถ้าไม่ยื่นมือเข้ามานี่สถานการณ์ของทั้งคู่ต้องดิ่งลงเหวแน่

“ก็...ฉันขอแต่งงานไปแล้วไม่ใช่หรือไง ที่อัดคลิปกันไปเมื่อก่อนหน้านี้น่ะ” กันต์บอกอย่างหัวเสีย ยายนี่ทำไมไม่ยอมเข้าใจอะไรง่ายๆ นะ คลิปก็มี หลักฐานก็ชัดเจนขนาดนี้

“คุณ...เรียกการเอาปืนมาวางข่มขู่กันนั่นว่า...วะ...ว่าการขอแต่งงานงั้นเหรอคะ!?” รสิกาถามด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเหมือนคนจะร้องไห้ ก่อนจะได้รับคำตอบที่ทำเอาน้ำตาแทบร่วงออกมาจริงๆ 

“คลิปก็มี หรือหล่อนจะเถียง”

ไอ้...ไอ้คุณกันต์คะ...ฮือ...ใครก็ได้ช่วยหนูรัสด้วย สารวัตรพงศ์เผ่าคะ ช่วยด้วยยย

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น