5

บทที่ 5

 

5

 

สามสิบนาทีต่อมาทั้งหมดก็มาถึงจุดหมาย

ถาวรสั่งคนขับรถให้กลับไปที่โรงแรม จากนั้นเขาก็เกลี้ยกล่อมรสิกาให้เธอโทร. ไปลางานเพื่อไปพบและพูดคุยกับเจ้านายเขาให้รู้เรื่อง ขณะเดียวกันก็เกลี้ยกล่อมนายน้อยให้พา...สะใภ้ไปหานายใหญ่เสียดีๆ เถอะ 

แม้จะทำสีหน้าเหมือนเด็กสิบขวบโดนขัดใจ แต่กันต์ก็ไม่ได้ขัดขืนต่อการจัดการนั้น

โรงแรมออร์ก้าถึงจะชื่อเป็นวาฬเพชฌฆาต ทว่าไม่ได้อยู่ติดทะเลแต่อย่างใด การตกแต่งมีกลิ่นอายทะเลเพียงเล็กน้อย แต่เน้นจัดสถานที่ให้มีที่ถ่ายรูปเช็กอินที่หลากหลายมากกว่า เพราะที่นี่เน้นห้องจัดเลี้ยงรับรอง ทั้งการจัดงานประชุมสัมมนาจากหน่วยงานจากจังหวัดไกลๆ ที่หลงคิดว่าที่นี่เป็นโรงแรมติดทะเลด้วยชื่ออันหลอกล่อให้เข้าใจผิด

โรงแรมนี้คือสถานที่ยอดนิยมในการจัดงานแต่งงานของคนแถวนี้หรืออีกนัยหนึ่งคือ...ที่นี่เป็นโรงแรมใหญ่แห่งเดียวในรัศมีเกือบสองร้อยกิโลเมตรนั่นเอง

จึงไม่แปลกที่จะมีการจัดงานอยู่เนืองๆ และเมื่อมีการจัดงาน...การตกแต่งสถานที่ การใช้ดอกไม้สดจัดซุ้ม จัดแจกัน จัดโต๊ะอาหารและอื่นๆ จึงทำให้รสิกาค่อนข้างคุ้นชินกับที่นี่ดีทีเดียว เพราะร้านดอกไม้นาร์ซิสซัสของศิริดารา เจ้านายอีกคนของเธอเป็นผู้รับเหมางานดอกไม้เหล่านั้น และรสิกาก็มักติดสอยห้อยตามศิริดารามาเป็นลูกมือจัดดอกไม้ที่นี่เสมอ ทำให้คนในโรงแรมตั้งแต่คนเปิดประตู คนขับรถ พี่สาวประชาสัมพันธ์ ป้าแม่บ้าน ไปยันคนกดลิฟต์ต่างก็รู้จักรสิกาและทักทายหญิงสาวที่เดินตามกลุ่มของกันต์เข้าไป

“ทำไมเธอถึงรู้จักคนทำงานในโรงแรมนี้ไปหมด” กันต์ถามอย่างสงสัยในความมีมนุษยสัมพันธ์ของผู้หญิงที่เดินอยู่ข้างๆ เธอทักทายตั้งแต่ผู้จัดการไปจนคนสวนของโรงแรมได้อย่างคล่องแคล่วคุ้นเคย

“ฉันเคย...ทำงานพิเศษอยู่ที่นี่ค่ะ” รสิกาเฉลยอย่างไม่ปิดบัง

“งานพิเศษ?” กันต์ทวนคำ เริ่มหน้าตึงขึ้นมา

“ฉันช่วยงานที่ร้านดอกไม้ เข้ามาจัดพวกซุ้มดอกไม้กับแบ็กดรอปเวลาที่เขามีงานค่ะ กับบางทีก็รับจ๊อบพวกงานแม่บ้านกับงานในห้องอาหารเวลาช่วงเทศกาลหรือฤดูท่องเที่ยวที่เขาคนไม่พอค่ะ” รสิกาเล่าด้วยสีหน้าปกติ

กันต์มองหน้าเธอแล้วก็พบว่าไม่มีความอับอาย หรือความรู้สึกต่ำต้อยแต่ประการใด กับทั้ง...ไม่มีความอึกอักขัดเขินหรือวาระซ่อนเร้นอันชวนสงสัย...ว่า งาน ที่เธอรับนั้นจะเลยเถิดไปถึงไหน...ต่อไหนในแบบที่สาวๆ ที่เขารู้จักมักเลยเถิดกันไป มีทั้งที่ทำจนเป็นธุรกิจ ทั้งเพื่อความสนุกสนาน แต่สตรีตรงหน้า ไม่มีจริตใดที่ชวนให้คิดไปในแนวนั้นเลยจริงๆ 

อีกทั้งท่าที่พนมมือย่อตัวไหว้นอบน้อมตั้งแต่กับลุงคนสวน ป้าแม่บ้าน พี่สาวที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ เรียกได้ว่าใครที่มีอาวุโสกว่าเธอ รสิกาก็ทำความเคารพได้ทุกคน และยิ้มรับตอบคำที่ทุกคนต่างมีคำถามว่าเธอมาทำอะไรที่นี่ หญิงสาวเพียงยิ้มอ่อน บอกทุกคนว่า มีธุระ

แม้ว่าจะเต็มไปด้วยความสงสัย แต่ก็ไม่มีใครถามต่อเมื่อเห็นเธอเดินเข้าลิฟต์ไปกับกลุ่มคนที่เป็นลูกค้าวีไอพีของโรงแรมที่เช่าเหมาห้องพิเศษไว้ทั้งชั้นกลุ่มนั้น

เมื่อลิฟต์เปิดออกรสิกาก็พบว่ามีบอดีการ์ดร่างใหญ่หลายคนอยู่ในห้องนั้น น่าประหลาดใจที่มีหลายคนเป็นชาวต่างชาติ ชั้นพิเศษมีห้องนอนขนาดใหญ่สองห้องคั่นไว้ด้วยห้องโถงกลาง มีโต๊ะอาหารขนาดใหญ่และผู้ชายวัยกลางคนนั่งอยู่ตรงนั้น เป็นชายวัยกลางคนที่หญิงสาวเขม้นมองแล้วก็จดจำได้ เธอหันไปมองหน้ากันต์อย่างเคืองๆ ก่อนสาวเท้าเข้าไปหา ยกมือไหว้เขาอย่างสุภาพ

“คุณลุงสวัสดีค่ะ” 

การทักทายนั้นทำเอาลูกน้องของกันต์ถึงกับมองหน้ากันอย่างเลิ่กลั่ก โดยเฉพาะพวกที่เคยตามกันต์ไปลักพาตัวเธอมาข่มขู่ที่โกดังร้าง บางคนถึงกับถอยไปหลบหลังเพื่อนโดยหวังว่าหญิงสาวจะจำหน้าตนไม่ได้ หากมีการชี้ตัวกันเกิดขึ้น

“อ้าว หนูรัส” คุณอารัณย์ทักด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ

“คุณลุง...ไม่เป็นไรใช่ไหมคะ เขาไม่ได้ทำอันตรายอะไรคุณลุงใช่ไหมคะ” รสิกาถามด้วยน้ำเสียงห่วงใยก่อนหันไปทางกันต์ ต่อว่าเขาเสียงแข็ง

“คุณใจร้ายมากอะ ถึงกับลักพาตัวคุณลุงที่ไม่เกี่ยวข้องมาด้วยงั้นเหรอ จะเอาเขามาทำอะไร สุขภาพเขาก็ไม่ค่อยดีอยู่ยังไปลากตัวเขามาอีก”

กันต์อ้าปากค้างตาค้างไปกับอากัปกิริยาและน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปเป็นคนละคน ยามก้าวออกมาทำท่าทางปกป้อง...ปกป้องตาลุงที่...สุขภาพไม่ดี...ตรงไหน!

“น้อยๆ หน่อยยายยาจก ฉันจะลักพาตัวพ่อตัวเองมาทำไมวะ” กันต์ตั้งสติได้ก็เสียงดังใส่กลับไปบ้าง

“ไอ้กันต์! อย่าเสียงดังใส่น้อง” คุณอารัณย์ห้ามความขัดแย้งนั้นโดยการด่าลูกตัวเอง

“ป๊า!” กันต์ร้องอย่างโมโห

“หา!” รสิกาตกตะลึง ตั้งสติอยู่แป๊บหนึ่งจึงค่อยหันกลับไปช้าๆ กวาดตามองชายวัยกลางคนตรงหน้าอย่างละเอียด 

ร่างสูงใหญ่สวมเสื้อยืดเก่าๆ ตัวหนึ่งกับกางเกงขาสั้น แถมด้วยรองเท้าแตฉลาม...อา...เธอน่าจะเดาได้ตั้งแต่เห็นรองเท้าแตะคู่นั้นแล้วว่า คนถูกจับตัวมาไม่มีทางที่จะสวมรองเท้าแตะอยู่บ้านตะมุตะมิแบบนี้...แต่...แต่เสื้อเก่าโทรมจนเป็นรูนั่นไม่ชวนให้เห็นความเชื่อมโยงเลยสักนิดว่า เขาจะเป็นคนบ้านเดียวกันกับ...รสิกาเหลียวมองไปยังชายร่างสูงใหญ่ที่อยู่ในชุดสูทสุดเนี้ยบสีเทาเข้มพอดีตัว ดูก็รู้ว่าแพง...แพงแบบ...เลอค่ากว่าความแพงทั่วไปอะ

ใครจะนึกว่าเขาจะ...

“ทำไมคุณไม่หาเสื้อผ้าดีๆ ให้คุณพ่อคุณใส่บ้างคะ” หลายล้านคำถามวิ่งวนในหัวเธอ แต่ไม่รู้ทำไมเธอเลือกถามในเรื่องที่ทำให้อีกฝ่ายตาขุ่นเขียว

“หล่อนก็ต้องไปถามตาลุงนั่นเอานะว่า ทำไมคนรวยเป็นหมื่นล้านอย่างเขาถึงไม่ยอมซื้อเสื้อผ้าดีๆ มาใส่น่ะ” กันต์ตอบคำแบบเข่นเขี้ยว โกรธแบบคูณสองคือ โกรธทั้งรสิกา โกรธทั้งพ่อตัวเองที่ใครบอกก็ไม่ยอมฟัง ไม่ยอมหาเสื้อผ้าดีๆ ใหม่ๆ มาใส่ จนเป็นประเด็นให้ยายนี่มาตั้งคำถามเอากับเขาได้

“ก็มันใส่สบายดีนี่หว่า อย่ามาแอบเอาเสื้อฉันไปทิ้งอีกนะ” คุณอารัณย์บ่นลูกชายก่อนหันไปหาลูกสะใภ้ด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนต่างกันราวยี่สิบวรรณะ “หนูรัสเป็นยังไงบ้าง สบายดีไหม” 

“นะ...หนูสบายดีค่ะ...ไม่สิ...ไม่ค่อยสบายเท่าไหร่ คุณลุงคะ...คุณลุงเป็นคนบอกให้คุณกันต์ทำแบบนี้กับหนูรัสจริงๆ เหรอคะ” หญิงสาวฝืนความหวาดหวั่นเอ่ยถามออกไป

“ใช่ ทำไมเหรอหนู” คุณอารัณย์ถามอย่างประหลาดใจ หญิงสาวตรงหน้ามีท่าทางหวั่นกลัวจนผิดปกติไปจริงๆ

“หนูนึกไม่ถึงเลย...นึกไม่ถึงเลยจริงๆ ว่า...ว่าคุณลุงจะเป็นพวกเดียวกับแก๊งมิจฉาชีพแบบนี้ การหลอกผู้หญิงมาบังคับจดทะเบียนสมรสแล้วเอาชื่อเขาไปสร้างหนี้ให้เจ้าตัวต้องชดใช้มันใจร้ายมากๆ เลยนะคะ มันทำให้คนอื่นเดือดร้อนมากๆ เลยค่ะ คุณลุงกับลูกชายเลิกทำเถอะนะคะ มันบาปกรรม” รสิกาเกลี้ยกล่อมเสียงสั่นไหว เมื่อเห็นว่าคุณลุงตรงหน้าสีหน้าทะมึนขึ้นเรื่อยๆ แทบจะเห็นเส้นเลือดปูดนูนบนขมับเขาอยู่แล้ว

“ไอ้...กันต์!

...

“ตกลงว่า...คุณกันต์ไม่ใช่มิจฉาชีพ หลอกผู้หญิงให้แต่งงานจริงๆ ใช่ไหมคะ” รสิกาสรุปความหลังจากผ่านการพูดคุยทำความเข้าใจไปครึ่งค่อนชั่วโมง

“ใครบอกหล่อนว่าฉันเป็นหา!” กันต์ถามอย่างหัวเสีย ยายนี่ช่างหัวทึบเข้าใจอะไรยากเสียเหลือเกิน ขนาดอธิบายไปขนาดนี้แล้วนะเนี่ย

“กะ...ก็คุณใช้ปืนขู่ แถมถามอะไรก็ไม่ตอบตรงๆ ฉันก็คิดในทางที่ดีไม่ได้เลยสิคะ” รสิกาเถียง...ที่กล้าเถียงนี่เพราะว่ามีคนหนุนหลังอย่างคุณอารัณย์นั่งเป็นประธานอยู่ใกล้ๆ พอกันต์เริ่มจะทำเสียงดังใส่ คุณอารัณย์ก็ดุปรามเขาไว้ การสนทนาจึงเริ่มคืบหน้าจนพอจะเข้าใจกันได้

“แล้วเธอ...เอาอะไรมามั่นใจว่าหน้าตาฉันเหมือนกับโจรน่ะหา!” กันต์ยังโมโหไม่หาย แม้จะรู้ตัวอยู่หรอกว่าที่เขาทำกับอีกฝ่ายนั้นมัน...ไม่ค่อยดีเท่าไร แต่เจ้าหล่อนไปเอาความมั่นใจที่ไหนมาหาว่าเขาเป็นโจรกันวะ

“โจรที่ไหนมันจะหน้าตาดีขนาดนี้” กันต์หลุดคำถามที่ทำเอาทั้งรสิกาทั้งคุณอารัณย์ต้องกลอกตามองบนใส่ในความมั่นใจเกินพิกัดนั้น กระทั่งลูกน้องเขาเองยังมีคนแอบกระแอมค็อกแค็กเหมือนมีอะไรติดคอ

“โจรไม่แบ่งแยกหน้าตา ฐานะ หรืออาชีพหรอกค่ะ ถ้าเขาอยากเป็นมิจฉาชีพแล้วละก็...ต่อให้ทำอาชีพที่น่าเชื่อถือหรือหน้าตาดีแค่ไหน อาชญากรก็คืออาชญากรแหละค่ะ” รสิกาพยายาม...อธิบายให้...คนที่หันมาถลึงตาแรงใส่

“นะ...หนูรัสแค่บอกเฉยๆ เองค่ะ หนูรัสเคยอ่านคดีที่คนหล่อๆ สวยๆ เป็นจำเลยคดีอาญาก็เยอะนะคะ ขนาดแดง ไบเล่ที่พี่ติ๊กเล่น เขาหน้าตาดีกว่าคุณตั้งเยอะ เขายังเป็นอันธพาลได้เลยค่ะ”

“เธอว่า...ใครหน้าตาดีกว่าฉันนะหา!” กันต์ตวาดถามตาขวาง ถ้าไม่ติดคุณอารัณย์จิกสายตาดุๆ ใส่อยู่ เขาคงได้พุ่งไปบีบคอยายบ้านี่เขย่า

หน็อยแน่ะ...กล้าชมผู้ชายอื่นต่อหน้าเขางั้นเหรอ ยะ...ยายผู้หญิงหลงผิด!

“หน็อย...ป๊า ดูสิ ดู ผู้หญิงที่ป๊าบังคับให้ผมไปขอแต่งงานน่ะ” กันต์โมโหสุดกลั้น หันไปฟ้องคุณอารัณย์ราวกับเด็กๆ ทะเลาะกัน

“คุณไม่ได้ขอนะคะ คุณบังคับฉันนะ” รสิการีบเรียกร้องความเป็นธรรมให้ตัวเอง ก่อนหันไปหาคุณอารัณย์ “คุณลุงคะ หนูรัสว่ามันเป็นเรื่องที่แปลกๆ นะคะ หนูรัสคง...คง...คงรับความปรารถนาดีนี้ไว้ไม่ได้หรอกค่ะ เรายกเลิกกันดีไหมคะ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เดี๋ยวพรุ่งนี้ ไม่สิ วันจันทร์หนูรัสจะทำเอกสารไปอธิบายกับทางอำเภอให้เองว่ามันเป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน ขอให้เขายกเลิกทะเบียนสมรสฉบับนี้ซะ”

“เรื่องแบบนี้มันทำได้ง่ายขนาดนั้นเลยงั้นเรอะ” กันต์ถามพลางหรี่ตามอง ไม่รู้ทำไม ทั้งๆ ที่เขาก็ไม่ได้อยากแต่งงานกับเธอเลยสักนิด แต่พอได้ยินว่าหญิงสาวจะยกเลิกทะเบียนสมรสนั่น...ทำไมเขาโคตรโมโหเลยวะ

“ได้สิคะ เดี๋ยวหนูรัสก็ไปแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้ก่อน ให้คุณตำรวจออกเอกสารให้ เหมือนคราวที่แล้วไง” รสิกาพอเห็นว่าท่าทางจะไม่มีใครคัดค้าน เธอจึงลืมตัวบรรยายขั้นตอนออกมาเสียเต็มที่จนเผลอหลุดปากถึงเอกสารคราวที่แล้ว

“คราวที่แล้ว...” กันต์ทวนคำก่อนนัยน์ตาจะเป็นประกายสว่างวาบขึ้นมา

“คราวที่แล้ว...ที่เธอหมายถึงคือ...เธอเอาเหตุการณ์ที่จดทะเบียนกันตอนครั้งแรกนั่นไปแจ้งความงั้นเหรอ” ชายหนุ่มทวนถามขึ้นและคำตอบก็ผุดขึ้นมาบนสีหน้าหญิงสาวที่เลิ่กลั่ก แสดงพิรุธออกมาเสียเต็มเปี่ยม

“ยายบ้าเอ๊ยนี่เธอไปแจ้งตำรวจจริงๆ ด้วยเรอะ!” กันต์ตะโกนดังลั่นด้วยสีหน้าเหมือนไม่อยากจะเชื่อ “มิน่าล่ะ ไอ้ตำรวจนั่นมันถึงทำท่าแปลกๆ แบบนั้น...”

“ปะ...เปล่านะคะ ฉะ...ฉัน...ฉันไม่ได้ จะ...แจ้ง...คะ...ใครจะไปแจ้งความ ใบแจ้งความอะไรก็ไม่มีสักหน่อย ไม่มี้ ไม่มี ใครจะเอามันมาพกติดตัวไว้ในกระเป๋าตังค์กันละเนอะ ฮ่าๆๆ” รสิกาหน้าซีดตัวสั่น พยายามปฏิเสธรัวๆ มีพิรุธเต็มเปี่ยม

“เธอ...ไปแจ้งความแล้วยังพกใบแจ้งความไว้กับตัวอีก!” กันต์กัดฟันสรุปเหตุการณ์ สีหน้าถมึงทึงจนไม่อาจจะบึ้งมากกว่านี้ไปได้อีกแล้ว

“ปะ...ปะ...เปล่าน้า...ว้ายคุณทำอะไร อย่าเอากระเป๋าตังค์ฉันไปนะ” รสิการ้องขึ้นเมื่อโดนค้นตัวก่อนกันต์จะเอากระเป๋าใส่เงินใบสีชมพูของเธอไปเปิดดู จริงๆ ก็ค้นไปแล้วรอบหนึ่งแหละ แต่นั่นเป็นการยึดเอาบัตรประชาชนไปใช้ในการจดทะเบียนสมรส จึงไม่ได้รื้อส่วนอื่นออกมาดู ใครจะคิดกันล่ะว่า...

“นี่ไง” กันต์ตะโกนเมื่อหยิบได้เอกสารพับหลายทบที่มีตราราชการแผ่นนั้นออกมา “ใครอ่านไทยคล่องๆ อ่านให้ฉันฟังทีซิ” ชายหนุ่มสั่งพลางยื่นใบแจ้งความนั้นให้ลูกน้องที่เดินเข้ามารับไปกวาดตา หน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่สักพัก ก่อนจะยิ้มแหยๆ ส่ายหัวให้

“มัน...ภาษาราชการ ยากเกินเข้าใจครับนาย” บอดีการ์ดส่วนตัวของกันต์ในชุดสูทยื่นคืนให้ด้วยท่าทางหวาดๆ 

หมอนี่...ท่าทางจะไม่ได้รังแกแค่ผู้หญิงอ่อนแอบอบบางแบบเธอเพียงอย่างเดียว กับลูกน้องตัวเองก็คงอาละวาดไม่ยั้งแน่ ไอ้...ไอ้ผู้ชายป่าเถื่อนเอ๊ย

รสิกาคิดอย่างโมโห แต่เดี๋ยวก่อน...ที่น่าสะดุดใจมากกว่าความน่าโมโหคือ...พวกเขา...อ่านภาษาไทยกันไม่ได้งั้นเหรอ!?

จากที่เห็นเขาพูดคุยภาษาไทยกันก็คล่องอยู่นะ ตอนเอาบัตรประชาชนเธอไปยังอ่านชื่อเธอได้...แล้วทำไม

“ไอ้พวกเด็กนอกไร้น้ำยาเอ๊ย!” คุณอารัณย์จุปาก ก่อนยื่นมือออกไปพลางบอก “เอามานี่ ฉันอ่านให้ฟังเอง เวลาให้เรียนภาษาไทยละชอบหนีกันนัก”

บอดีการ์ดหนุ่มรีบยื่นเอกสารในมือให้นายใหญ่โดยไม่สนใจสายตาขุ่นขวางของนายตัวเองแม้แต่น้อย

“นี่ครับนาย ขอโทษครับ ผมอ่านไม่ออกจริงๆ ครับ”

คุณอารัณย์รับกระดาษใบนั้นมากวาดตาเร็วๆ รอบหนึ่งก่อนจะอ่านทวนใหม่...ด้วยสีหน้าถมึงทึงคิ้วขมวดมุ่นขึ้นทุกที

“หนูรัส...” คุณอารัณย์เรียกด้วยน้ำเสียงข่มใจ “เรื่องที่อยู่ในใบบันทึกประจำวันนี้...”

“เอ่อ...นะ...หนูรัสเป็นคนพิมพ์ไปให้พี่ร้อยเวรเองค่ะ คะ...คุณลุงคะ...หนู...หนู...” รสิกาอึกอัก ยิ่งเห็นความกรุ่นโกรธปะทุออกมาจากชายวัยกลางคนตรงหน้า เธอก็ยิ่งทำอะไรไม่ถูกเลย

บ้าจริง...ไม่ว่าใครก็คงต้องโกรธแหละนะ ถ้ามีคนไปแจ้งความลงบันทึกประจำวันถึงหลักฐานความผิดของลูกตัวเองแบบนี้ คุณอารัณย์คงโกรธเธอแล้วแน่ๆ 

“นี่หนูทำสำนวนไปเองเลยเหรอ” คุณอารัณย์ถามอย่างประหลาดใจ

“ชะ...ใช่ค่ะ หนู...หนูทำงานสำนักงานทนายความ เคยทำสำนวนคดีความต่างๆ มาบ้าง คุณลุงคะ หนู...หนูขอโทษค่ะ” รสิกาเอ่ยพลางพนมมือย่อตัวไหว้เขา

“ขอโทษ? ขอโทษลุงเรื่องอะไร” คุณอารัณย์แม้ยังดูไม่หายโกรธ แต่ก็ระงับใจมาถามด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยคุกคามกันนัก

“ขอโทษที่...ที่แจ้งความเรื่องคุณกันต์ค่ะ ตอนนั้นหนูยังไม่รู้ว่าเขาเป็นลูกคุณลุง หนูคิดแค่ว่าเขาเป็นคนร้าย และหนูต้องป้องกันตัวจากมิจฉาชีพ คุณลุงอย่าโกรธหนูรัสเลยนะคะ” รสิกาอ้อนวอน น้ำเสียงจะร้องไห้อยู่แล้ว

“ลุงจะไปโกรธหนูทำไมกัน ยายขี้แย ที่ลุงจะถามคือ...ไอ้ลูกเวรตะไลของลุงมันทำกับหนูตามนี้ทั้งหมดเลยเชียวเรอะ...ไอ้ลูกเวร” ท้ายประโยคคนเป็นพ่อยังหันไปเข่นเขี้ยวใส่ลูกตัวเอง พลางคว้ากล่องบุหรี่ขว้างใส่บุตรชายหัวแก้วหัวแหวนที่รีบโยกหลบอย่างชำนาญ

“โหว...อะไรอะป๊า” กันต์ร้องท้วง ทำท่าเหมือนเป็นผู้เสียหายที่โดนใส่ความ

“ไม่ต้องมาหงมาโหเลย ทำกับน้องแบบนี้ใช้ได้ที่ไหนกันวะ ไอ้...ไอ้...” คุณอารัณย์สรรหาคำไม่ถูก

“ใจเย็นนะป๊า จะด่าอะไรคิดหน้าคิดหลังให้ดีๆ ก่อน ด่าผมว่าอะไร ป๊าก็เป็นพ่อไอ้ตัวนั้นนะเอ้า” กันต์รีบออกตัวจนคนเป็นพ่อยิ่งหน้าแดงก่ำด้วยความโมโหหลังจากได้ฟัง

“ใจเย็นบ้านเตี่ยแกสิ! ดู! ถาวรแกดูสิ! ว่าไอ้ลูกเวรตะไลฉันมันทำอะไรกับลูกสาวชาวบ้านเขาไว้บ้าง”

คุณอารัณย์ยื่นเอกสารในมือให้ถาวรที่เดินเข้ามาแสดงทีท่าขอดู 

“หนูรัส ไม่ต้องกลัวนะลูก ลุงจะให้ไอ้ลูกเวรตะไลของลุงมันชดใช้ให้หนูหมดทุกอย่างเลย” คุณอารัณย์หันมาปลอบ ลูกสะใภ้ที่ถูกลูกชายเขากระทำให้เสียขวัญไปไม่รู้เท่าไรแล้ว

“คุณลุง...ไม่โกรธหนูรัสเหรอคะ” รสิกาถามขลาดๆ เธอไม่เคยเจอใครที่ไม่เข้าข้างลูกตัวเองเลยสักคน

ชีวิตของเด็กกำพร้าในระยะเวลาหลายปีมานี้บอกให้รู้ว่าการทะเลาะกับคนอื่นๆ ฝ่ายที่เสียเปรียบมักจะเป็นเธอ โดยเฉพาะคู่กรณีที่มีครอบครัวหนุนหลัง พวกเขาย่อมลำเอียงเข้าข้างครอบครัวตัวเองจนรสิกามักเป็นฝ่ายถูกเอารัดเอาเปรียบเสมอ แม้ว่าเธอจะเป็นฝ่ายถูกก็เถอะ

แต่คราวนี้คุณอารัณย์กลับทำให้เธอประหลาดใจเพราะเขารีบบอกว่า

“ลุงไม่โกรธหนูเลย ยังคิดว่าที่ทำนี่เบาไปด้วยซ้ำ คราวหน้าเขียนสำนวนให้รัดกุมและร้ายแรงกว่านี้นะ จะได้ให้ไอ้ลูกชายเวรตะไลของลุงมันลองเข้าไปนอนเล่นในคุกดูสักที ลุงจะห้ามไม่ให้ใครไปประกันตัวมันด้วย” คุณอารัณย์บอกด้วยน้ำเสียงสะใจไร้รอยปรานีสักนิดยามทำสีหน้านึกภาพลูกชายไปนอนเกาะลูกกรง อาละวาดอยู่ในห้องขัง

“ลุง...พูดจริงๆ เหรอคะ” รสิกาไม่อยากจะเชื่อเลย...ถ้านี่ไม่ใช่การประชดประชันแล้วละก็ เขาคือบุรุษผู้ทรงคุณธรรมที่น้อยครั้งเธอจะได้เห็นในชีวิตนี้จริงๆ 

“พูดจริงสิ ยังอยากจะชมหนูเสียด้วยซ้ำ คนเราเกิดเป็นผู้หญิงก็ลำบากมากอยู่แล้ว อย่าไปยอมให้ใครมันเอาเปรียบรังแกเราได้ ถ้าเจอเรื่องเลวร้ายหรือผัวเฮงซวยเราต้องอย่าไปทน เอามันเข้าคุกซะให้เข็ด มันหมดยุคแล้วที่ผู้หญิงจะต้องเป็นคนยอมทุกอย่างน่ะ หนูเข้มแข็ง เขียนสำนวนได้รัดกุมดี แล้วยังกล้าไปแจ้งความจับลูกลุงอีก ลุงนับถือเลยนะเนี่ย” คุณอารัณย์เอ่ยกลั้วหัวเราะ อารมณ์ดีขึ้นมาบ้างแล้วเมื่อวิเคราะห์ได้แล้วว่ารสิกาก็เป็นคนที่ไม่ยอมเสียเปรียบใครคนหนึ่ง

ภายใต้ท่าทางอ่อนแอน่าสงสารนั้น หญิงสาวกลับเป็นคนใช้สติปัญญาแยกแยะแก้ปัญหาได้ดียิ่ง มีทั้งความใจเย็น ทั้งรอบคอบรัดกุม แม้อ่อนแอ...แต่ไม่ยอมให้ใครมารังแกกันได้ง่ายๆ 

“แกว่าสำนวนคดีของลูกสะใภ้ฉันเป็นไงวะไอ้วร” คุณอารัณย์หันไปพยักพเยิดกับถาวรที่อ่านใบแจ้งความนั้นจบแล้วพับเอกสารกลับไว้ตามเดิม ส่งคืนให้เจ้านายยิ้มๆ 

“ผมว่า...อีกหน่อยคุณกันต์ไม่ต้องหาทนายแล้วละครับ คุณหนูรัสเนี่ยแหละ ถ้าไปเรียนต่อด้านกฎหมายระหว่างประเทศอีกนิดนึงนะ พาไปเป็นตัวแทนกฎหมายได้ทุกที่เลย” 

“ไม่เอาหรอก ใครกันวะจะพกทนายไปไหนมาไหนด้วยตลอดน่ะ” กันต์ทำปากเบ้ สีหน้าขมขื่นยามมองบิดาชื่นชมนัง...นังหนูรัสวายร้าย

“แกไงล่ะ” คุณอารัณย์บอกด้วยน้ำเสียงสะใจ “ต่อไปเวลาจะทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังจะได้มีคนคอยเบรก คอยเตือน หนูรัส ต่อไป...ลุงฝากลูกชายลุงให้หนูช่วยดูแลด้วยนะ” คุณอารัณย์หันไปพยักหน้าให้หญิงสาวที่เขาถูกชะตา 

รสิกายิ้มแหยๆ ก่อนหันไปทาง...คนที่ถูกฝากฝังให้เธอช่วยดูแล กันต์ถลึงตาใส่อย่างดุร้าย จนหญิงสาวต้องเบือนหน้าหนีหันไปมองบิดาเขาอย่างหวาดๆ 

“นะ...หนูรัสไม่เอา...ไม่ได้เหรอคะ”

“หน็อย ใครให้หล่อนมีสิทธิ์เลือกวะ” กันต์ทำท่าจะโวยวาย แต่ก็ต้องหยุดเมื่อคุณอารัณย์หันมาชี้หน้า

“ไหนที่คุยกันคราวก่อน หนูรัสบอกลุงเองไม่ใช่เหรอว่าถ้าลุงมีลูกชาย หนูจะยอมมาเป็นลูกสะใภ้ลุง หลอกให้คนแก่ดีใจเท่านั้นเองเหรอเนี่ย” คุณอารัณย์หันมาใช้น้ำเสียงเกลี้ยกล่อมลูกสะใภ้

คือ...ลุงคะ น้ำเสียงอ่อนโยนของลุงมันคนละโทนกับความดิบเถื่อนของลูกชายลุงเลยค่ะ

“เอ่อ...ตะ...ตอนนั้น...” รสิกาอึกอัก ย้อนคิดไปถึงตอนที่เจอกับเขาเมื่อครั้งก่อน

ตอนนั้นพวกเธอพูดคุยกันหลายอย่างทีเดียว ด้วยความที่เป็นคนอัธยาศัยดีและชอบเอาใจคนสูงวัย บวกกับคุณอารัณย์เป็นคนที่คุยสนุก วิสัยทัศน์กว้างไกล จึงทำให้รสิกาเผลอคุยกับคุณลุงแปลกหน้าอยู่เป็นนาน

แถมยังไปเผลอรับปาก... อ่า...ใช่ตอนนั้นรับปากคุณลุงไว้ว่าอะไรนะ

“เอ่อ...คุณลุงบอกว่าอยากได้หนูเป็นลูกสะใภ้ หนูรัสนึกว่าคุณลุงพูดเล่นเลยตอบไปว่าถ้า...ถะ...ถ้า” รสิกาเว้นจังหวะ เผลอเหลือบมองไปทางกันต์นิดหนึ่งแล้วไม่กล้าพูดต่อ

“ตอนนั้นหนูบอกลุงเองไงว่าถ้าลูกชายลุงหล่อได้สักครึ่งของลุงจะยอมแต่งด้วย นี่...เจ้ากันต์มันไม่หล่อในสายตาหนูเลยเหรอ” คุณอารัณย์กลับจำได้ แถมยังต่อคำที่หญิงสาวไม่กล้าเอ่ยออกมา จนรสิกาได้รับสายตาอำมหิตจากชายหนุ่มที่ยืนอยู่เยื้องๆ ไปทางด้านหลังคุณอารัณย์

“เอ่อ...นะ...หนู...” รสิกากลายเป็นต้องเจอคำถามที่ยากที่สุดในชีวิต

หาก...หากตอบว่า หล่อ ก็หมายความว่าเธอต้องยอมรับในชะตากรรมของทะเบียนสมรสที่ถูกบังคับฉบับนั้นน่ะสิ!

แต่...แต่ถ้าตอบว่า ไม่ แล้วละก็... เจ้าตัวก็ยืนตาขวางหน้าตาถมึงทึงอยู่ตรงนี้แล้ว และจากที่เรียนรู้นิสัยของเขาในการพบปะสองครั้งนี้ คนเอาแต่ใจ นิสัยไม่ดี อีโก้สูงทะลุฟ้าแบบเขาคงไม่ปล่อยให้เธอรอดชีวิตแน่ หากบอกว่าเขา...ไม่หล่ออะ

มุแง ใครก็ได้...ขอตัวช่วยให้หนูรัสหน่อยสิค้า

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น