6
“สรุปว่า...หนูรัสเลยต้องแต่งงานกับเขาเนี่ยนะ” สารวัตรพงศ์เผ่าถามแบบอึ้งๆ
หลายชั่วโมงต่อมาเมื่อสารวัตรหนุ่มประชุมกับเจ้าหน้าที่เรื่องโครงการของอำเภอเสร็จสิ้น ออกจากห้องประชุมมาก็พบว่ารสิกาถูกพากลับมาส่งที่พักแล้วอย่างเรียบร้อย ไร้รอยขีดข่วน ไม่มีเหตุด่วนเหตุร้าย หรือเรื่องอันตรายน่าหวาดเสียวเหมือนที่เขากังวล
โดยในตอนที่พงศ์เผ่าถูกดึงตัวเข้าไปในห้องประชุม เขาได้ติดต่อลูกน้อง ถามหาคนที่อยู่ในละแวกใกล้ จากนั้นก็ให้คนของเขาติดตามรถตู้ของกันต์ไปจนรู้ว่าเป้าหมายพักอยู่ในโรงแรมในตัวอำเภอ เป็นสถานที่ที่ปลอดภัยประมาณหนึ่ง ทั้งด้วยทำเลที่อยู่กลางเมือง กับจำนวนกล้องวงจรปิดที่มากมายทั้งภายในโรงแรมและรายรอบ จึงทำให้หากเกิดเรื่องผิดปกติขึ้น ต้องถูกตรวจพบได้โดยง่ายแน่
แต่กลับกลายเป็นว่ารสิกาได้รับการปล่อยตัวออกมา แถมคนพวกนั้นยังพาไปส่งยังที่พักของเธอเสียดิบดี ทำให้พงศ์เผ่าทนไม่ไหว ต้องไปหาเธอถึงห้องเช่าเล็กแคบของหอพักสตรีที่หญิงสาวพักอยู่ และหญิงสาวก็เล่าให้เขาฟังถึงเหตุการณ์พิลึกนั้นอย่างไม่ปิดบัง
“หนูรัสขอกลับมาคิดดูก่อนค่ะ คุณลุงอารัณย์ก็ยอมให้หนูรัสกลับมา จะว่าไปเขาก็เป็นคนดีมีเหตุผลอยู่นะคะ”...หมายถึงคุณลุงอารัณย์นะ ไม่ใช่อีตากันต์ ลูกชายขี้โมโหคนนั้น
“คนดีมีเหตุผลบ้าอะไรเอาปืนมาจ่อบังคับคนให้จดทะเบียนสมรสด้วยแบบนี้” สารวัตรพงศ์เผ่าบ่นอย่างหัวเสียเล็กน้อย
เอาจริงๆ เขาก็คาดหวังไว้นิดหน่อยนะว่าจะได้ไล่ล่าชายหนุ่มคนนั้นแบบตำรวจกับมิจฉาชีพดูสักตั้งหนึ่ง นึกไม่ถึงเลยว่าตัวประกันจะถูกปล่อยออกมาง่ายๆ ซะงั้น แบบนี้ก็กลายเป็นว่าไม่มีแง่มุมทางกฎหมายให้เล่นงานอีกฝ่ายได้ถนัดเลย และถ้าจะจงใจไปหาเรื่อง...จากที่รสิกาเล่ามา คุณอารัณย์คนพ่อนั่นดูสุขุมและน่าจะมีความสามารถอยู่พอตัว ดูไม่ใช่คนที่จะยอมให้เขาหาเรื่องจับผิดได้แน่
“แล้วหนูรัสรู้ไหมว่าพวกเขาเป็นใคร มาทำอะไรที่นี่กันแน่” สารวัตรพงศ์เผ่าสืบหาข้อมูล
รสิกาส่ายหน้าช้าๆ พยายามทำสีหน้าให้ใสซื่อบริสุทธิ์ที่สุดขณะคิดแบบคนอยู่เป็น...
‘เรื่องแบบนี้...รู้น้อยหน่อยก็ดีมั้ยคะคุณแพน ยิ่งไม่รู้อะไรเลยยิ่งยืดเวลาหายใจในโลกนี้ไปอีกนานเลยนะคะ หนูรัสยังไม่อยากเป็นศพไร้ญาติที่ไม่มีใครติดตามหานะคะ’
ยิ่งถ้าต้องมาเสี่ยงชีวิตเพื่อผลงานสืบสวนของตำรวจที่เป็นเพื่อนเจ้านายนี่...ยิ่งไม่อยู่ในแผนชีวิตเธอเลยจริงๆ
สารวัตรพงศ์เผ่าถามอะไรอีกสองสามอย่าง ก่อนจะยอมกลับไปด้วยสีหน้าค้างคาใจ
รสิกาล็อกประตูแน่นหนาก่อนหมุนตัวกลับมากวาดตามองในห้องแคบๆ ของตัวเอง กลิ่นสะอาดสะอ้านที่คุ้นชินปะปนกับกลิ่นหอมอ่อนๆ ของน้ำหอมทำเองที่ผสมผสานดอกไม้หลายชนิดเข้าไปจนกลายเป็นกลิ่นเฉพาะตัวช่วยให้ผ่อนคลายสบายใจขึ้น
เธอเก็บแก้วน้ำแขกไปล้างวางคว่ำไว้พลางครุ่นคิดไปด้วยว่าเย็นนี้จะกินอะไรดี การทำกับข้าวกินเองนั้นดีต่อสุขภาพแถมยังถูกปาก แต่ก็เปลืองเมื่อเทียบกับแกงถุงที่แม้มีเพียงวิญญาณกับกระดูกไก่ที่ยังไม่ฌาปนกิจ แต่ก็ไม่ยุ่งยาก แถมยังประหยัดอีกต่างหาก
...ปลายเดือนแล้วด้วย...
คนคิดปลงตกเรื่องรสชาติแล้วก็หันไปคว้ากระเป๋าสตางค์สีชมพูมากุมไว้ ยังไม่ทันคว้าโทรศัพท์มือถือกับกุญแจห้องเลยก็มีเสียงเคาะประตูห้อง
“คะ? คุณแพนหรือคะ” รสิกาตอบรับพลางเดินไปเปิดประตูด้วยคิดว่าเป็นสารวัตรพงศ์เผ่าย้อนกลับมา เพราะเขาเพิ่งคล้อยหลังไปไม่นาน อาจลืมอะไรไว้...“มีอะไรจะถามหนูรัสอีกเหรอคะ...อ๊ะ!?”
“มี!” คนที่หน้าประตูเปิดรอยยิ้มเหี้ยมเกรียมเข้าใส่ ขณะรสิกาตกใจหัวใจแทบหยุดเต้น
กันต์!
เขามาได้ยังไง!?
ปฏิกิริยาต่อมาของหญิงสาวเป็นไปโดยอัตโนมัติเหนือการไตร่ตรองของสมองจริงๆ เมื่อดันประตูปิดใส่หน้าเขา แต่ดูเหมือนกันต์จะคาดไว้แล้วเพราะเขารีบยกมือขึ้นดันประตูร่วมกับใช้เท้าช่วยขวางไว้ ก่อนจะแทรกร่างเข้ามาในห้องได้สำเร็จภายในไม่กี่วินาทีเท่านั้น เขามัน...มันมิจฉาชีพชัดๆ
“เธอคุยอะไรกับไอ้ตำรวจนั่น...”
คนถามยืนไขว้ขาเอนหลังพิงประตูอันเป็นทางออกเดียวของห้องเอาไว้ ทำให้ถึงรสิกาอยากจะหนีก็ไม่อาจทำได้ ได้แต่ยืนอึ้ง กะพริบตาปริบๆ มองร่างสูงที่สลัดเสื้อสูททิ้งไป เหลือแค่เชิ้ตขาวพอดีตัวที่พับแขนถึงข้อศอก กับกางเกงขายาวสีดำที่ยิ่งทำให้เขาดูสูงเพรียว ผมหลุดจากทรงหวีเสยเรียบปรกลงมาขวางลูกตาให้เจ้าตัวต้องปัดเสยด้วยท่าทางที่...
นี่มัน...นี่มันหล่อมั่กๆ เลยอ่า
โอ๊ย ตาย ใจละลายแล้วทำไงดี ทำไมไอ้ผู้ชายแบดกายคนนี้ถึงต้องหล่อขนาดนี้ด้วยเนี่ย
รสิกาคิดอย่างร้าวระทมทั้งที่ใจเต้นตึ้กตั้ก
“คุณ...เอ่อ...พี่แพนแค่แวะมาดูว่าฉันปลอดภัยแค่นั้นแหละค่ะ” รสิกาตอบคำอึกอักเล็กน้อย แต่ก็เลือกใช้คำที่แสดงความสนิทสนมกับนายตำรวจหนุ่มไว้ก่อน เผื่อว่ากันต์คิดจะทำอันตรายเธอ ความสนิทสนมกับตำรวจที่เธออ้างอาจช่วยยั้งใจเขาไว้ได้บ้าง
“มีตรงไหนไม่ปลอดภัยกันล่ะ” กันต์ขมวดคิ้วฉับ ถามด้วยสีหน้าเหมือนจะบอก...ฉันทำให้เธอไม่ปลอดภัยตรงไหน เอาปากกามาวงเลย
รสิกาอยากจะตอบอย่างใจคิดเหลือเกินว่า...ทุกตรง!
แต่...ก็เกรงใจการไร้ทางออกของตัวเองเหลือเกิน หญิงสาวเหลือบมองคนตรงหน้าแบบกล้าๆ กลัวๆ
คนบ้าอะไรแบบนี้นะ แค่ยืนเกะกะขวางทางชาวบ้านก็ยังหล่อ!
เดี๋ยวๆ เดี๋ยวสิยายรัส
เธอจะมองแค่เขาหล่อไม่ได้เลยเชียวนะ
รสิกาเตือนตัวเองน้ำเสียงสั่นไหว แต่ก็...
แหม...มันก็ไม่ได้มีคนหล่อวัวตายควายล้มมายืนกั้นประตูให้ดูกันบ่อยๆ แบบนี้ทุกวันนี่นา
คนหลงผิดเผลอคิดเข้าข้างผู้ชายแบดกายแต่หล่อล่ำไปโดยไม่รู้ตัว
“คะ...คุณกันต์มีอะไรอีกงั้นหรือคะ” รสิกาถามหาธุระ เพื่อหาทางจะไล่เขาออกไปจากห้องให้ได้
“ก็ไม่เชิง” กันต์ตอบพลางบุ้ยปากสีหน้าขัดใจยามกวาดตามองคนตรงหน้าอย่างถี่ถ้วน “ป๊าให้ฉันตามมาดูเธอ”
“ดะ...ดูทำไมคะ” รสิกาถามงุนงง เพราะมัวแต่ประหลาดใจเลยทำให้ไม่ทันถอยหนีเมื่อกันต์เดินห่างจากประตูตรงมาและยืนประจันหน้ากับเธอที่ยืนอยู่ตรงหน้าโต๊ะอาหารเล็ก
ด้วยความแคบของห้อง ทำให้รสิกาที่เพิ่งรู้สึกตัวถอยหลังไปก้าวหนึ่งก็ชนกับโต๊ะแล้ว เธอจึงเหมือนถูกกักอยู่ระหว่างโต๊ะอาหารกับ...กันต์ที่ยืนอยู่ชิดกัน...โอย...ทำไมมัน...
“ไม่รู้สิ” กันต์ยักไหล่ “สงสัยกลัวว่าลูกสะใภ้จะหาทางหนีไปไหนละมั้ง”
ความชิดใกล้ทำให้เขาต้องก้มลงมองคนที่โดนต้อนจมมุมอยู่ตรงโต๊ะเล็ก และก็เพราะความใกล้ชิดกันเกินไปนั่นแหละที่ทำให้รสิกาชักหายใจไม่ออก หญิงสาวเบี่ยงตัว พยายามจะหนีจากภาวะคุกคามนั้น แต่การเคลื่อนไหวของเธอกลับทำให้กันต์ยกแขนมากันทางหนี เขาเท้าแขนลงกับโต๊ะ ทำให้ร่างสูงใหญ่กลายเป็นชะโงกเงื้อมอยู่เหนือร่างเล็กบอบบางของรสิกา
“เธอ...จะไม่หนีไปไหนใช่ไหม”
คำถามคุกคามจากคนที่ชะโงกเงื้อมอยู่เหนือร่างทำเอาคนโดนคุกคามชัก...คิดดี...ไม่ได้เลย กับความหมายที่คล้ายสื่อ...ทั้งการหนีจากการต้องแต่งงานกับเขา และการหนีจากการโดนกักตัวไว้ในท่าทางที่ชวน...โอย...
“ฉะ...ฉันจะหนีไปไหนได้ล่ะคะ บ้านฉันก็อยู่นี่ ที่เรียนฉันก็อยู่แถวนี้ แถมที่ทำงานทุกที่ของฉันก็อยู่ที่นี่หมด” รสิกาบอกเขาเสียงสั่น...ใจก็สั่น...ยามก้มหลบสายตาที่ไล่โฟกัสลงมาตามลำคอผิวเนื้อของผู้ชายที่หายเข้าไปในสาบเสื้อเชิ้ต แผงอกล่ำๆ ดันนูนออกมาจนเชิ้ตเข้ารูปนั้นเป็นรูปทรงเห็นชัดถึงมัดกล้ามเนื้อ...อืม...พ่อหนุ่มกล้ามล่ำบึ้ก
“ไอ้งานเวรตะไลนั่น...ลาออกซะ” กันต์สั่งเสียงเรียบทำเอาคนฟังที่ดึงสติกลับมาได้ทำตาโตใส่เขา
“ละ...ลาออก แล้วฉันจะเอาเงินที่ไหนมากินมาใช้ล่ะคะ” รสิกาแย้งเสียงเบาเหมือนยุงบิน เพราะอยู่ชิดกันขนาดนี้ทำให้เธอชักสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวสักเท่าไร มือไม้ก็ไม่รู้ว่าควรวางตรงไหน...มันคอยแต่จะอยาก...จิ้มๆๆๆ ใส่กล้ามอกแน่นๆ นั่นน่ะ
“ก็พ่อฉันสั่งจ่ายให้ทุกเดือนแล้วไม่ใช่เหรอ” กันต์พลอยบอกเสียงเบาไปด้วยอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ก็...ยายนี่อยากมาทำเสียงหงุงหงิงใส่เขาก่อนทำไมเนี่ย
“งะ...เงินนั่น...ฉันคงรับไว้ไม่ได้หรอกนะคะ” รสิการีบเงยหน้าขึ้นมาบอก
เมื่อตอนบ่ายที่คุยกันกับคุณอารัณย์ แม้จะยังไม่มีข้อสรุป แต่รสิกาก็โดนคุณอารัณย์ใช้ชั้นเชิงที่เหนือกว่า ต้อนจนเธอต้องยอมบอกเลขบัญชีธนาคารไปและคุณอารัณย์ก็จัดการโอนเงินเข้ามาให้ด้วยยอดที่...
เลขศูนย์ห้าตัวหลังตัวเลขที่ถูกโอนเข้าบัญชีนั่นทำเอารสิกาใจสั่น...เธอแทบเห็นภาพหลอนเป็นจดหมายของสรรพากรส่งมาเรียกให้ไปชี้แจงยอดเงินตัวนี้เลย
“ทำไมอีกล่ะ ฉันให้เช็คเธอก็ไม่เอา เงินสดเธอก็ไม่รับ โอนเข้าบัญชีให้ยังมีปัญหาอะไรอีก” กันต์ถามอย่างชักเริ่มหงุดหงิด
“มะ...มันเยอะไปค่ะ” รสิกาพยายามหาเหตุผล...ให้ไอ้คนที่ไร้เหตุผลซึ่งมันไม่เคยฟังเหตุผล โอ๊ย...จะย้อนแย้งไปไหนนนน “ฉะ...ฉันไม่รู้ว่าจะเอาไปทำอะไรหมด”
กันต์ทำเสียงจึ๊กจั๊ก หล่อนจะมีปัญหาอะไรกับเงินของเขานักหนา ก็แค่...เศษเงินแค่นี้ กับผู้หญิงอื่นน่ะมีแต่จะบอกว่าไม่พอใช้ แต่ยายนี่ไม่รู้มาแนวไหน บอกมาได้ไม่รู้ว่าจะเอาไปทำอะไรหมด
“ก็ชอปปิงไง ซื้อเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋าใหม่” กันต์แนะ...ก็...ผู้หญิงทั่วไปก็ซื้อกันแต่ของพวกนี้ไม่ใช่หรือไง คนคิดปรายตามองไปรอบๆ ห้องเล็กแคบที่ขัดหูขัดตาไปเสียทุกอย่าง
เตียงเล็กๆ นั่นเตียงตุ๊กตารึไง ยังจะพัดลมก๊องแก๊งนั่น ตู้เย็นที่เก่าจนดูเรโทรนั่นก็ส่งเสียงครวญครางเหมือนคนแก่ใกล้ขาดใจ ของในห้องนี้ไม่มีชิ้นไหนไม่เก่า ไม่ดูทรุดโทรมเลยสักนิด
“ไม่งั้นเธอก็เอาเงินไปซื้อเฟอร์นิเจอร์ใหม่ๆ มาใช้ซะ”
“ของเก่าก็ยังดีๆ อยู่นะคะ จะซื้อใหม่ทำไม มันเปลืองออก” รสิกาบอกเขาด้วยสีหน้างุนงง คราวนี้งงจริงๆ ไม่รู้สักนิดถึงสาเหตุของความหงุดหงิดในสายตาเขาที่กวาดมองเธออีกรอบ ก่อนพ่นลมออกจมูกอย่างขัดใจ
“เธอคิดจะใส่สูทมือสองที่ไม่พอดีตัวนี้ไปจนตลอดชีวิตเลยหรือไง” กันต์ถามเคืองๆ อดไม่ได้ต้องยกมือขึ้นเขย่าคอเสื้อที่หญิงสาวสวมอยู่
“ก็มันถูกดี แล้วฉันก็ไม่ได้มีอาชีพที่ต้องอาศัยภาพลักษณ์หรือหน้าตาเพื่อพบปะผู้คน จนต้องแต่งตัวดูดีมากเกินไปแบบนั้นนี่คะ”
“Look cheap!” กันต์ว่าเอาอย่างไม่เกรงใจ “ไม่เคยมีใครสอนเธอให้ทำตัวแพงๆ บ้างเลยหรือไง”
“ก่อนเราจะทำตัวแพงได้ เราต้องมีตังค์ก่อนสิคะ ถ้ายังหาอาชีพที่มีรายได้มั่นคงไม่ได้ ฉันไม่กล้าทำตัวแพงหรอกค่ะ” รสิกาตั้งสติเถียง การเลือกซื้อของใช้ที่ประหยัดและคุณภาพดีนั้นเป็นนิสัยที่เธอพยายามสั่งสมมายาวนานและฝึกตัวเองจนเคยชินแล้ว ตานี่จะมามีปัญหาอะไรกับการบริหารจัดการกระเป๋าเงินอันจ้อยกระจิริดของเธอกัน
“เธอก็มีแล้วไง” กันต์โต้กลับ
“แต่มันไม่ใช่เงินฉันนี่ ฉันไม่กล้าใช้มันหรอกนะคะ”
ใครจะรู้ว่ามันไม่ใช่การรับของโจรหรือถูกใช้ฟอกเงินจากแก๊งอาชญากรข้ามชาติอะไรหรือเปล่า...เปล่า ข้อความนี้คิดแค่ในใจ ไม่กล้าบอกออกไปให้เขาโมโหอีกหรอก
“ถ้าถูกสรรพากรเรียกสอบขึ้นมา ฉันก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายเงินจำนวนนี้ยังไง” รสิกาพยายามอธิบาย
“ก็บอกสรรพากรไปว่าผัวให้เมีย ยังต้องตรวจสอบอะไรอีก” กันต์เท้าแขนสองข้างลงคร่อมตัวรสิกาเอาไว้ ไม่ยอมให้เธอบ่ายเบี่ยงได้อีก
“นี่แหละค่ะ ที่เราต้องคุยกันให้รู้เรื่องก่อนเลย” รสิกาได้จังหวะรีบพูดขึ้น อึดอัดขัดเขินจากความใกล้มากๆ นั้นจนต้องยกมือขึ้นดันอกเขาไว้
แล้วรสิกาก็ได้รู้ว่าตัวเองคิดผิด...อกกว้างนั่นแน่นมาก เต็มไปด้วยเลือดเนื้อของผู้ชายอุ่นๆ ที่มีชีพจรเต้นตุบทะลุเนื้อผ้าออกมาจน...หญิงสาวต้องกำสองมือเป็นกำปั้นแน่น...ไม่งั้นคงเผลอตัวลูบคลำเขาแหงๆ เลย
ให้ตายสิ! มิน่าคนสมัยก่อนถึงเตือนว่าหญิงชายไม่ควรอยู่ลำพังในที่ลับตาสองต่อสอง...เธออาจเผลอใจลวนลามเขาได้...
เดี๋ยว! ไม่ใช่แล้ว!
อ๊อย...อะไรกันวะเนี่ย ทำไมพออยู่ใกล้เขาแล้วพลอยจะคิดดีไม่ได้เลยแบบนี้นะ
‘ฉะ...ฉันจะไปลวนลามเขาทำไมกัน ขืนทำแบบนั้นเขาได้เบิ๊ดกะโหลกฉันคว่ำเอาน่ะสิ’ รสิกาพยายามตั้งสติอีกครั้ง และพูดคุยกับเขาอย่างมีอารยะ
“คุณกันต์ถูกบังคับมาใช่ไหมคะ จริงๆ แล้วคุณก็ไม่ได้อยากแต่งงานกับฉันเลย และฉันก็ไม่ได้อยากแต่งงานด้วย ดังนั้นเราควรมาตกลงกันเรื่องนี้ดีกว่านะคะ” รสิกาเกลี้ยกล่อมด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ใช้ความอ่อนหวานที่สั่งสมมาทั้งชีวิตกล่อมให้ผู้ชายดิบเถื่อนขี้โมโหยอมออกไปจากชีวิตเธอแต่โดยดี ไม่ดื้อ ไม่ซน ไม่ขัดขืน
“ยังไง” กันต์ทำน้ำเสียงสนใจขึ้นมา
เขาจะรู้ไหมว่า...การเลิกคิ้วข้างเดียวเป็นเชิงถามของเขาทำให้หัวใจใครบางคนแถวนี้เผลอเต้นแทบกระเด็นกระดอนออกจากอกแล้ว
หญิงสาวเริ่มรักษาระยะห่าง โดยยืดแขนดันตัวเขาออกไป
“ก่อนอื่น...คุณถอยไปนิดนึงค่ะ ฉัน...ฉันคุยไม่สะดวกน่ะ” รสิกาลอบถอนใจเมื่ออีกฝ่ายยอมคลายแขน ถอยออกไปตามคำขอ ไม่เท้าแขนชะโงกตัวคุกคามอยู่ใกล้ๆ เหมือนเมื่อกี้แล้ว
“เราอาจต้องยอมตามน้ำไปก่อน แล้วฉันจะเป็นคนไปเกลี้ยกล่อมคุณลุงอารัณย์เองละกันค่ะ ว่าเรื่องนี้มันไม่ควรเกิดขึ้น” รสิกาเล่าความคิดตัวเองออกมา
“ฉันจะพยายามยื่นเรื่องขอให้การจดทะเบียนนี้เป็นโมฆะ หรือไม่งั้นเราก็แค่จดทะเบียนหย่ากัน ฉันจะโอนเงินคืนให้คุณจนครบ จากนั้นเราก็แยกย้ายกัน คุณก็ไปทำธุระของคุณดีไหมคะ”
กันต์ก้มมองดวงหน้าที่เอียงคอนิดๆ จบประโยคด้วยรอยยิ้มสว่างไสว เป็นรอยยิ้มที่ทำให้ยายหน้าจืดดูสวยขึ้นมาในพริบตาได้อย่างน่าประหลาดใจ ชายหนุ่มขมวดคิ้วนิ่งคิด
ที่จริง...สิ่งที่เธอเสนอมานั้นเป็นสิ่งที่เขาต้องการอยู่เหมือนกัน ใครล่ะจะอยากถูกพ่อจับคลุมถุงชนให้แต่งงานกับผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้ที่อยู่ๆ ก็โผล่มาแล้วพ่อเขาดันถูกใจเธอ...นี่มันศตวรรษที่เท่าไรแล้ว ไอ้เรื่องคลุมถุงชนแบบนี้น่ะ ขอทีเถอะ แม่ง! น้ำเน่าเป็นบ้า
แต่...อีกเสี้ยวหนึ่งในใจก็อดตะขิดตะขวงใจไม่ได้
ก็...เกิดมาเขาไม่เคยถูกปฏิเสธเลยนี่นา ที่ผ่านมามีแต่ผู้หญิงวิ่งไล่จนเขาต้องเผ่นหนีแทบไม่ทัน เพิ่งมียายนี่เป็นคนแรกแหละที่พยายามทุกทาง แทบจะลากคอเขาขึ้นโรงพักอยู่แล้ว เพื่อปฏิเสธความสัมพันธ์กับเขา
อีโก้อันสูงสุดโต่งของเขาก็อดจะรู้สึกสั่นสะเทือนกันหน่อยๆ ไม่ได้หรอกนะ
แต่...เขาก็ไม่ใช่คนงี่เง่าตอบสนองต่ออีโก้จนละเลยจุดสำคัญ
ผลประโยชน์ร่วมกันที่มีมันน่าสนใจตรงที่...เธอจะพยายามให้พ่อเขายอมให้ยกเลิกการแต่งงานแบบบังคับนี้
แต่...หล่อนเป็นใครกัน ถึงกล้ามาปฏิเสธคุณอารัณย์กับเขา กันต์ อัสตราฤทธิ์ไกร!
อีโก้เล็กๆ ใจในราวกับสะเก็ดไฟที่อยู่ๆ ก็ลุกลามเป็นระเบิดเพลิงกลายเป็นความคิดที่ว่า...
เธอไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธเขา!
“คิดว่าเธอเป็นใครถึงจะมาล่อหลอกพ่อฉัน แล้วปฏิเสธฉันแบบนี้หือ” กันต์ถามเสียงเข้ม รวบสองมือเข้าที่เอวเล็กบาง...เล็กนิดเดียวเหมือนเอวเด็กขาดสารอาหารและแทบไม่ต้องใช้แรงเลย เขาก็ยกตัวเธอขึ้นวางบนโต๊ะเล็กที่ยืนคุมเชิงกันอยู่
“ถ้าฉันจะไม่เอาเงินคืน แต่...เปลี่ยนเป็นอยู่ด้วยกันสักพัก...จนกว่าฉันจะพอใจแล้วค่อยไล่เธอไสหัวไปล่ะ เธอคิดว่าไงหืม?” พร้อมกับคำถามร่างสูงก็แทรกตัวเข้าประชิดให้รสิกาต้องแยกขาออกด้วยท่วงท่าน่าหวาดเสียวที่สุด!
“เลิกทำหน้าเหลอได้แล้ว” กันต์บอกอย่างหัวเสียเมื่ออีกฝ่ายมองเขาตาโตอ้าปากค้างอึ้งไป
“คุณ...ไปเอาความมั่นใจนี้มาจากไหนกัน ว่าฉันจะอยากอยู่กับคุณน่ะ” รสิกาถามออกมาด้วยความช็อกจนลืมความประนีประนอมไปเลย แต่ก็ยังคุมสติไว้ได้ดีอยู่ ยังไม่ถึงกับคว้าอะไรมาทุบหัวเขาอย่างใจคิด
ทั้งร่างกายและจิตใจของรสิกาโดนจู่โจมด้วยหลากหลายความรู้สึก โมโหเขานั่นก็อย่างหนึ่ง แต่...ไอ้ความหวิวๆ หวั่นไหวใจเต้นแรงนี่มันอะไรกัน! ไม่ได้การ หญิงสาวเตือนตัวเองให้จิกสายตาขวางใส่ผู้ชายบ้าๆ ตรงหน้า
เขาจะมา...จะมาทำให้ใจหวั่นไหวแบบนี้ ใช้ได้ที่ไหนกันฮะ ไอ้...ไอ้ข่นบร้า!
“เธอเลือกได้สองอย่าง” กันต์เอ่ยช้าๆ กวาดตามองดวงหน้าที่เขาชักเริ่มรู้สึกว่า...ยายหนูรัสนี่ชักไม่ใช่สาวน้อยใสๆ อ่อนแอรังแกง่ายเสียแล้ว
อย่างน้อยก็ตอนลืมตัวลืมกลัวเขาหัวหดอย่างเมื่อกี้ที่เธอหลุดปากจิกกัดใส่เขานั่นไง แถมยังสีหน้าขมวดคิ้วจิกตาแรงใส่เหมือนอยากจะหลุดคำด่าออกมา แต่ยังยั้งใจไว้ ท่าที่กัดริมฝีปากกลั้นอารมณ์ไว้นั้น...ค่อนข้างน่าดูอยู่ไม่น้อยเลย
เขาชักอยากรู้ขึ้นมาแล้วสิว่า...นิสัยจริงๆ ฝีปากจริงๆ ของยายผู้หญิงขาดสารอาหารตรงหน้าเขานี้เป็นยังไงแน่ สายตาเหมือนพ่นไฟใส่กันนั้น ถ้าเปลี่ยนเป็นถ้อยคำแล้วจะด่าไม่ซ้ำคำเหมือนผู้หญิงปากจัดไหมนะ
“เลือกได้ว่าจะอยู่กับฉัน หรือไม่งั้น...โดนถุงดำคลุมหัวแล้วไปอยู่กับลูกน้องฉันทั้งฝูงที่โกดังร้างที่เราเจอกันครั้งแรกนั่น” ชายหนุ่มพูดพลางยิ้มใส่ลูกตาที่เบิกโพลงของหญิงสาว
เหมือนมีคำด่าว่ายวนอยู่ในสายตาเธอ ริมฝีปากบางที่สั่นระริกเหมือนยังยั้งตัวเองไว้ไม่ให้หลุดคำบริภาษออกมา ความใจเย็นและยับยั้งชั่งใจของเธอนั้นสุดยอดไปเลยจริงๆ
“เลือกได้ไม่ยากเลยเนอะ หนูรัสเนอะ” กันต์บอกยิ้มๆ พลางยกสองแขนขึ้นพาดไหล่เหมือนโอบรสิกาเอาไว้กลายๆ กวาดตาชื่นชมสีหน้าขมขื่นใจของเธออย่างมีความสุข ก่อนจะดึงแขนกลับมา ประกบสองมือไว้กับแก้มของหญิงสาวพลางบอก
“นี่ๆ เวลาตอบตกลงน่ะ เขาพยักหน้ากันแบบนี้ไงยายหนูรัส เหมือนตอนที่เธอตอบพ่อฉันไงว่า ‘ค่ะคุณลุง’ น่ะ” กันต์ว่าพลางจับเธอพยักหน้าหงึกๆ เหมือนกำลังเล่นตุ๊กตา...เป็นตุ๊กตาตัวนุ่มนิ่มที่ส่งสายตาขัดเคืองมาให้จนเขาแทบหลุดหัวเราะออกมา
กันต์อารมณ์ดีอย่างที่นานๆ ครั้งจึงจะรู้สึกแบบนี้ แม้...จะมีเศษเสี้ยวความขัดเคืองอยู่นิดๆ ก็เถอะ ที่เวลาเธอพูดคุยกับพ่อเขานั้นระดับเสียงมีความอ่อนหวานผิดกับเวลาคุยกับเขาชะมัด
หน็อย ยายคนสองมาตรฐาน! เวลาพูดกับเขาน่ะไม่เคยใช้น้ำเสียงดีๆ เลยให้ตายสิ!
เอ่อ...ไอ้คุณกันต์คะ ตอนคุณแกพูดกับน้อง คุณแกก็ไม่เคยใช้น้ำเสียงดีๆ เหมือนกันนั่นแหละ
ไอ้คลเฬว! ไอ้คนไร้มาตรฐาน!
“แล้วนี่...ถือกระเป๋าตังค์เตรียมจะออกไปไหนงั้นเหรอ” กันต์เหลือบมองเห็นมือของรสิกากำกระเป๋าเงินสีชมพูเอาไว้แน่น...มือสั่นเชียวนะ
“ฉัน...ฉันจะไปหาข้าวกินค่ะ” รสิกาบอกพลางขมวดคิ้ว “คุณคงไม่ใจร้ายขนาดบังคับขืนใจผู้หญิงหิวข้าวหรอกใช่ไหมคะ”
หญิงสาวกลับคืนสู่ความประนีประนอมอีกครั้ง แต่คราวนี้กลับไม่อาจปิดบังความประชดประชันในสีหน้าได้อีกแล้ว
กันต์กวาดตามองคนตรงหน้าด้วยสายตาอ่านไม่ออก ที่จริง...ก็อยากจะแกล้งเธอเล่นอีกสักพักหนึ่งแหละ แต่พอกวาดตามองร่างผอมบางเหมือนเด็กขาดสารอาหารตรงหน้าแล้ว...ก็เห็นสมควรที่จะให้เธอได้กินอาหารจริงๆ แหละ ถ้าถูกจับให้อดข้าวอีกหน่อย ร่างเบาหวิวนี้คงลอยลมได้แล้ว
ชายหนุ่มถอยหลังมาก้าวหนึ่ง เอียงคอมองสำรวจสตรีตรงหน้าอย่างละเอียดลออ เธอผอมไปจริงๆ ผอมจนคอดูยาวระหง ช่วงบ่าไหล่เห็นกระดูกไหปลาร้าขึ้นแนวชัดเจนเลย และ...อืม...ควรต้องขุนเธอให้ดีจริงๆ เพราะไซซ์มันไม่น่าจะพอดีมือเขาเลย เขาชอบที่ดูใหญ่กว่านี้อีกสักสองคัป
คนคิดพยักหน้ากับตัวเองก่อนยกมือขึ้นรวบเอวเล็กยกให้ลอยจากโต๊ะ แล้ววางลงยืนตัวตรงท่ามกลางเสียงอุทานของคนที่โดนอุ้มยกราวกับตุ๊กตาตัวหนึ่ง...ตุ๊กตาตัวโปรดของเด็กน้อยจอมเอาแต่ใจที่ไม่รักไม่ถนอมของสักนิด
“กินข้าวให้มันเยอะๆ ก็ดี เธอผอมเกินไป” คนเอาแต่ใจออกคำสั่งก่อนนึกขึ้นมาได้ “แล้วทำไมเมื่อกี้ตอนที่อยู่ที่โรงแรม ป๊าชวนกินข้าว เธอถึงไม่อยู่กินเป็นเพื่อนป๊าฉันล่ะ”
กันต์ถามอย่างสงสัย ยายนี่ดูไปก็คล้ายมีความอยากตีสนิทกับพ่อเขาเอาอกเอาใจเป็นที่สุด แต่กลับปฏิเสธเมื่อถูกชวนกินข้าวด้วยกัน ทั้งๆ ที่ระหว่างมื้ออาหารเป็นโอกาสในการสร้างความสนิทสนมได้เป็นอย่างดี แต่เธอกลับไม่เอาซะงั้น โอกาสร่วมโต๊ะดินเนอร์กับคุณอารัณย์ ประธานของอลันกรุ๊ปหล่นจากฟ้ามาง่ายๆ หรือยังไง บรรดาผู้หญิงแทบทุกคนที่เขาเดตด้วยล้วนแต่อยากได้โอกาสนี้กันทั้งนั้น แต่ไม่เคยมีใครสมหวังสักรายเดียว แต่ยายคนที่พ่อเขาออกปากชวนง่ายๆ กลับปฏิเสธโอกาสดีนั้นซะงั้น
“ฉันเห็นคุณลุงเพลียๆ แล้วค่ะ ท่านคงต้องการพักผ่อน” รสิกาบอกมองคนตรงหน้าด้วยสายตาซับซ้อน “แล้วทำไมคุณถึงไม่อยู่กินข้าวเป็นเพื่อนคุณพ่อคุณล่ะคะ ทำไมไม่ใช้เวลาอยู่ด้วยกันเยอะๆ”
น้ำเสียงของเธออ่อนโยนนัก กับมีรอยของ...ไม่รู้สิ เหมือนๆ จะเป็นความสงสาร?
“กินข้าวด้วยกันมาทั้งชีวิตแล้ว” กันต์บอกปัด ไม่เล่าต่อหรอกว่าพ่อเขานี่แหละที่ไล่เขามาหาเธอ บอกให้มาคอยดูแลและหาโอกาสทำความสนิทสนมกับเธอให้มากกว่านี้
เฮอะ! ยากตรงไหน เห็นไหมล่ะว่าขู่เข้าหน่อยยายตาขาวนี่ก็รีบพยักหน้าตกลงแล้ว
เดี๋ยวๆๆๆ...อิพรี่กันต์คะ ได้ข่าวว่าเอ็งเป็นคนจับเขาพยักหน้าเองกับมือไม่ใช่เรอะ
ความคิดเห็น |
---|