บทนำ
ถุงผ้าสีดำถูกกระชากออกอย่างไม่เบามือนัก ศีรษะที่เพิ่งได้รับอิสระจากพันธนาการมืดดำนั้นมีผมยาวสยายยุ่งเหยิง บ่งบอกให้รู้ว่าเป็นหญิงสาวร่างผอมบาง เธออยู่ในชุดสูททำงานที่แม้เก่าจากการใช้งาน แต่ก็เสริมความภูมิฐานให้ดูเป็นสาวทำงานที่มีประสบการณ์คนหนึ่ง
หญิงสาวกะพริบตาปริบๆ หลับตานิ่งๆ ก่อนลืมตาขึ้น กะพริบตาอีกหลายทีกว่าจะตั้งสติได้
หลังจากถูกปล่อยออกมาจากโลกมืด ใช้เวลาอีกชั่วครู่กว่าที่สายตาจะชินกับแสงสว่างจ้าของโคมไฟกำลังสูงที่สาดใส่หน้าจนต้องหยีตาพลางเบือนหน้าหนี พร้อมกับพยายามกวาดตาเก็บรายละเอียดรายรอบไปด้วย ซึ่งทำให้เธอยิ่งตื่นตระหนกเมื่อพบว่าสถานที่นี้มีสภาพคล้ายโกดังร้างสักแห่ง ความมืดทึมครอบคลุมรายละเอียดทั้งหมดไว้ เห็นเพียงเงาตะคุ่มรางๆ ของสถานที่โล่งกว้างภายในอาคารร้าง ในความสลัวยังพอเห็นว่ามีเสาเหล็กโปร่งพุ่งตรงขึ้นไปสู่ความมืดมิดของหลังคาโกดัง รอบตัวมีคนอยู่เกือบสิบคน เห็นเป็นกรอบเงาร่างดำทะมึน ล้วนเป็นเงาร่างของผู้ชายตัวใหญ่ทั้งนั้น
ทุกอย่างดูคลุมเครือไปหมด ยกเว้นไว้แค่โคมไฟที่กำลังสาดแสงไฟสว่างจ้าใส่หน้าเธออยู่เนี่ย มันทำให้ตาพร่าไปหมดจนไม่อาจสังเกตรายละเอียดอื่นใดได้มากนัก
‘นี่มันเกิดอะไรขึ้น!?’
คำถามผุดขึ้นในหัวพร้อมกับสำรวจตัวเองอย่างละเอียด
เธอนั่งอยู่บนเก้าอี้แข็งๆ ตัวหนึ่ง แขนสองข้างถูกจับไพล่หลังและพันธนาการไว้ด้วยอะไรแข็งๆ ที่ลองขยับดูแล้วพบว่ามันไม่อาจหลุดได้ง่ายๆ แถมยังบาดเนื้อจนเจ็บอีก
‘นี่คือ...กำลังโดนลักพาตัวอยู่งั้นเหรอ เหมือน…ในหนังใช่ปะ?’
โกดังร้าง เหยื่อถูกมัดติดเก้าอี้กับคนร้ายอีกฝูงหนึ่ง...
เดี๋ยวนะ...จะบ้าเรอะ!
คนอย่างเธอเนี่ยนะจะถูกลักพาตัว!
ลักพามาทำไม!!!
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นคะ พวกคุณจับตัวฉันมาทำไมคะ” แม้จะตกใจ หวั่นระแวง เจ็บแขน และหวาดกลัว แต่หญิงสาวก็ยังพูดซะเพราะเชียว...
แน่นอน หลังจากตั้งสติได้ แม้อยากกรีดร้องตะโกนหรือก่นด่าไม่ซ้ำคำแค่ไหน แต่เธอก็ยังรักตัวกลัวตายพอจะรู้ว่าหากทำให้คนร้ายไม่พอใจแม้เพียงนิดเดียว ชีวิตน้อยๆ ที่ไม่ค่อยมีใครสนใจให้ความสำคัญนี้อาจหลุดลอยไปได้ง่ายๆ
ให้ตายเถอะ คนอุตส่าห์กัดฟันอดทนต่อความลำบากทั้งชีวิตยี่สิบปีนิดๆ มาจนขนาดนี้ เรื่องอะไรจะมาถูกฆ่าง่ายๆ เพราะสติแตกด่าโจรจนมันโมโหล่ะจริงไหม
“ฉันว่าคงมีการเข้าใจผิดกันแล้วล่ะ ฉันไม่ใช่คนสำคัญหรือมีศัตรูที่ไหนเลยนะคะ” มิตรก็ไม่มี...รวมถึงคนจะมาไถ่ตัวหากมีการเรียกค่าไถ่ขึ้นมาจริงๆ เห็นทีจะรอดยากแหง ฮือ...
“พวกคุณจับคนมาผิดหรือเปล่าคะ” นึกดีใจที่น้ำเสียงที่ถามออกไปไม่สั่นเลยสักนิด ทั้งๆ ที่กลัวจนหัวใจเต้นรัวแทบทะลุออกนอกอกอยู่แล้ว
การพยายามต่อรองเอาชีวิตรอดนั้นคงทำให้กลุ่มโจรรู้สึกตัวขึ้นมาสักทีละมั้ง เพราะมีคนหนึ่งเดินมาตรงหน้า บดบังแสงไฟจนเห็นเป็นเงาทะมึนของร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่ง เพราะเขาหันหลังให้แสงที่ส่องหน้าเธออยู่ทำให้ไม่อาจเห็นรายละเอียดอื่นใดของเครื่องแต่งกายและดวงหน้านั้นได้ นอกจากความสูงใหญ่มหึมาเกินกว่าผู้ชายร่างสันทัดทั่วไป
“รสิกา สุคนธ์รสา ไม่ใช่เรอะ” เจ้าของเสียงห้าวๆ ถามขึ้น ทำเอาเจ้าของชื่อและนามสกุลสะดุ้งแทบตกเก้าอี้
“ทะ...ทะ...ทะ...ทำไมคุณถึง...” รสิกาติดอ่างเอ่ยคำถามแทบไม่เป็นคำ
“ทำไมฉันถึงรู้จักชื่อเธอได้น่ะเรอะ” ร่างในเงาทะมึนตรงหน้าถามด้วยน้ำเสียงที่ทำให้จินตนาการได้ถึงรอยยิ้มร้ายกาจบนหน้าในเงาดำนั้นได้เลย จากนั้นคนตรงหน้าก็เฉลยโดยหยิบกระเป๋าสตางค์สีชมพูของเธอออกมา บอกให้รู้ว่าเอกสารส่วนตัวรวมถึงเงินอันน้อยนิดจนน่าอนาถที่มีติดกระเป๋ายามปลายเดือนนั้นไม่น่าจะรอดพ้นจากการสำรวจของเขาไปได้
บัตรประชาชนที่มีรูปถ่ายสีหน้าเหลอหลาเมื่อตอนอายุสิบห้าปีของเด็กสาวปรากฏแก่สายตาของคนที่ยึดเอาทรัพย์สินชาวบ้านไปเปิดดูโดยพลการ ดูเหมือนว่ารูปของ ‘เด็ก’ ที่ปรากฏในบัตรแข็งในมือนั้นจะทำให้เขานิ่งอึ้งไปนิดหนึ่งก่อนทำเสียงขึ้นจมูกแบบขัดใจ ยัดบัตรประจำตัวประชาชนที่ผ่านการใช้งานห้าปีมาแล้วนั้นลงคืนที่เดิม ก่อนโยนกระเป๋าสตางค์เก่าๆ ใบนั้นคืนให้บนตักเจ้าของ ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อโดนพันธนาการเอาไว้ย่อมไม่มีมือว่างเอื้อมมารับไว้ ทำให้กระเป๋าพลาสติกใบน้อยสีหวานไหลพรืดลงไปหล่นแปะกองอยู่ที่พื้นแทบเท้าเธอโดยไร้การเหลียวแล
“เธอไม่รู้ตัวจริงๆ เหรอว่าไปทำอะไรไว้น่ะ” เจ้าของเสียงห้าวตวัดเสียงคุกคามเข้าใส่ น้ำเสียงดุดันราวกับเธอไปทำเรื่องเลวร้ายเกินอภัยเอาไว้ และเขาเอาตัวเธอมาเพื่อล้างแค้นให้สาแก่ใจ
ความหมายร้ายแรงที่หลุดออกมานั้นทำเอาคนฟังรีบสั่นหน้ารัวๆ ด้วยความกลัวถึงขีดสุด
มือใหญ่ตะปบหมับ รวบคางรสิกาไว้ให้หยุดส่ายหน้าอย่างสติแตก มือแข็งๆ บีบคางเล็ก บังคับให้เงยขึ้นรับแสงจ้าแยงตาจนตาพร่าแทบน้ำตาไหล
“คะ...คุณเป็นใคร แล้ว...ฉันไปทำอะไรให้คุณโมโหคะ” รสิกากลั้นใจฝืนความหวาดกลัวถามออกไปปากคอสั่นขณะชายตรงหน้าผู้ซ่อนตัวตนอยู่หลังแสงไฟนิ่งมองลงมาเหมือนประเมิน
ชายหนุ่มมองดูดวงหน้าซีดเผือดสีนั้นอย่างพินิจ เธอเป็นผู้หญิงผิวสีกลางๆ ไม่ได้ขาวจัด แต่ความหวาดกลัวทำเอาดวงหน้านั้นถอดสีจนดูขาวเผือดกว่าปกติ ดวงหน้าเรียวค่อนข้างซูบผอมทำให้ดวงตาที่กำลังตื่นตระหนกคู่นั้นดูโตขึ้นกว่าเดิม แม้จะหวาดกลัว แต่ไม่ได้แสดงความขลาดเขลาออกมา กลับมีรอยไตร่ตรองและสติมั่นคง
ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติเขาคงรำคาญ
เหยื่อ...ที่ไม่ยอมทำตัวเป็นเหยื่อนั้นน่ารำคาญสิ้นดี
พวกมันควรจะหวาดกลัว สติแตก กรีดร้อง อ้อนวอน แสดงท่าทีศิโรราบเพื่อทำให้งานของเขาง่ายเข้า ไม่ใช่ทำสีหน้ามุ่งมั่นที่จะเจรจาต่อรองกันแบบนี้
แต่คิดอีกที...ในสถานการณ์แบบนี้การที่อีกฝ่ายมีสติพอจะเจรจาต่อรองกันได้อาจทำให้งานของเขาในครั้งนี้ง่ายขึ้นก็ได้...มั้ง
คนคิดพยักหน้าให้ตัวเองโดยไม่สนใจจะตอบคำถามของอีกฝ่าย ปล่อยมือออกหลังจากพลิกดูดวงหน้าซีดเซียวนั้นจนพอใจแล้ว
ชายหนุ่มกวาดตาคมมองร่างผอมๆ ของผู้หญิงตรงหน้า ร่างนั้นอยู่ในชุดสูททำงานดูภูมิฐาน...ภูมิฐานแบบหลวมๆ น่ะ
สูทตัวนั้นไม่พอดีกับร่างผอมกะหร่องสักนิด แถมยังเก่าจนจวนจะซีด ชวนให้คิดไปว่าเป็นของมือสองที่รับสืบทอดมา หรือไม่อย่างนั้นก็ผ่านการใช้งานมานานแล้ว บ่งบอกว่าเจ้าของชุดนั้นผ่านการทำงานมาเนิ่นนานแล้ว ทั้งๆ ที่ในบัตรประชาชนบอกว่าอายุเพิ่งย่างเข้าวัยยี่สิบปีเท่านั้นเอง
เป็นวัยที่ควรอยู่ในชุดนักศึกษา ตั้งหน้าตั้งตาทำรายงานส่งอาจารย์ กิน เที่ยว ขอเงินพ่อแม่ใช้ ไม่ใช่มาอยู่ในชุดทำงานเก่าหลวมโพรกเหมือนยืมของใครสักคนที่ตัวใหญ่กว่ากันสักสองไซซ์มาสวมแบบนี้
คิ้วเข้มขมวดมุ่นอย่างขัดใจในสภาพของสตรีตรงหน้าที่เต็มไปด้วยรายละเอียดที่น่ารังเกียจในสายตาเขาไปเสียทุกส่วน ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างผอมบางเกินไป ตัวก็เล็กเหมือนขาดสารอาหารทำให้ดูคล้ายเด็กมากกว่าหญิงสาว แถมยังดวงตากลมโตที่คลอหยาดน้ำนั่นอีก
“ฉัน...ฉันไปทำอะไรให้คุณงั้นเหรอคะ” เจ้าของคำถามตัวสั่นเทา แต่ยังเห็นได้ชัดถึงความมุ่งมั่นในความพยายามควบคุมสถานการณ์ให้ได้
“เธอช่วยชีวิตคนคนหนึ่งไว้” เจ้าของเสียงห้าวเอ่ยห้วนๆ เปี่ยมล้นด้วยความไม่พอใจ
“หา” รสิกาอ้าปากค้าง ตาค้าง อุทานออกมาอย่างตกอกตกใจ ไม่เข้าใจว่าการช่วยคนมันผิดตรงไหน แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ...
“ฉะ...ฉันไปทำอะไรแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอคะ” หญิงสาวถามอย่างช็อกๆ หน่อย คนอย่างเธอเนี่ยนะ...ไปช่วยชีวิตคน...ถ้าเคยทำก็ต้องรู้ตัวสิ!
“เมื่อสองอาทิตย์ก่อน” คำตอบเสียงห้วนมีรอยแค้นเคืองขนาดหนัก
รสิกามึนตึ้บไปหมด พยายามคิดเค้นแทบตายว่าเมื่อสองสัปดาห์ก่อนเธอไปทำอะไรที่ใกล้เคียงกับการช่วยชีวิตคนไว้ตอนไหน ซึ่งไม่มีความทรงจำใดๆ ที่น่าจะเกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือใครเลยสักนิดเดียว
สองสัปดาห์ก่อน...มันคือช่วงเวลาที่สุดแสนปกติของเธอเลยนี่นา ตื่นแต่เช้ารีบอาบน้ำแต่งตัวไปทำงานที่สำนักงานทนายความ เป็นงานธุรการแบบจำเจที่สุดเท่าที่มนุษย์พนักงานรูทีนต้นทุนต่ำคนหนึ่งจะสรรหางานที่จำเจมาทำได้
ข้าวกลางวันควบเย็นก็กินที่ร้านป้าข้างสำนักงานทุกมื้อ เลิกงานแล้วก็ไปทำพาร์ตไทม์ต่อที่สปาสลับกับร้านดอกไม้ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนัก เป็นกิจวัตรประจำวันที่เธอทำมากว่าสี่ปีแล้ว...แล้ว...แล้วเธอเอาเวลาที่ไหนไปช่วยชีวิตคนงั้นเหรอ
แต่เดี๋ยวสิ...ก่อนจะไปถึงการย้อนรำลึกว่า ‘เมื่อไร’ ควรเป็นคำถามว่าเธอไปช่วย ‘ใคร’ ไว้กันแน่
ใครกันที่รอดชีวิตจากการช่วยเหลือของเธอแล้วทำให้มีคนไม่พอใจ...
“ฉะ...ฉันไปช่วยใครไว้เหรอคะ” รสิกากลั้นใจถามพลางกลืนน้ำลายฝืดคอ รอฟังความเกรี้ยวกราดในข้อหาที่เขาจะปรักปรำใส่
ดูจากความโกรธที่เขาแสดงออกมาแล้ว...คนคนนั้นน่าจะเป็นคนที่เขาเกลียดมากๆ แน่ๆ เลย คงเป็นศัตรูคู่แค้นที่เขาเกลียดชัง อาฆาต และอยากให้ตายโดยไม่มีเงื่อนไข แต่...เธอดันไปขัดขวางเอาไว้สินะ
“พ่อฉันเอง!”
ความคิดเห็น |
---|