1

บทที่ 1

1

 

“หา!?” รสิกาอุทานก่อนเกิดความเงียบงันขึ้นในบรรยากาศ แม้แต่คนรายล้อมอยู่ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นลูกน้องของเขายังขยับตัวอย่างอึดอัดเลย ดูเหมือนทุกคนจะคิดได้ตรงกันถึงความไม่ถูกต้องในบทสนทนานี้

“เอ่อ...คุณไม่ถูกกับพ่อตัวเองถึงขั้นอยากให้เขาตายเลยเหรอคะ” รสิกาทนไม่ไหวต้องหลุดคำถามออกไปด้วยสีหน้าเหมือนคนจะร้องไห้ รู้สึกว่าได้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวที่โหดร้ายเกินไปเสียแล้ว...อย่างไม่รู้ตัวด้วย

“ใจเย็นๆ นะคะ บางอย่างความรุนแรงก็ไม่ได้ผลเสมอไปหรอกนะคะ ยิ่งเรื่องในครอบครัวด้วยแล้ว ครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญที่เราควรรักษาเอาไว้นะคะ” รสิกาพยายามกล่อมผู้ชายตรงหน้าเพื่อรักษาชีวิตเอาไว้ แต่ดูจะไม่ได้ผล เพราะได้รับเสียงตวาดตอบกลับมาดังลั่น

“หนวกหูน่ะ! หุบปากเดี๋ยวนี้!” น้ำเสียงเหี้ยมๆ นั่นเขาดูจะโกรธมากกว่าเดิมเสียอีก ท่าทางโกรธจนเหมือนอยากจะบีบคอเธอเขย่า จนลูกน้องเขาต้องเข้ามาห้ามไว้

“นายครับ ใจเย็นครับ”

“ขืนวู่วามทำอะไรลงไป นายใหญ่จะโกรธเอาได้นะครับ”

เสียงปรามหลายเสียงนั้นทำให้เกิดอาการฮึดฮัดขัดใจ แต่ก็ทำให้เขาตั้งสติได้มากพอจะไม่พุ่งเข้ามาบีบคอรสิกาเขย่าให้สมกับอารมณ์ที่กำลังปะทุเดือด

“ห้ามพูดถึงพ่อฉันอีก” มือใหญ่ยกขึ้นชี้หน้าเธออย่างหยาบคายพร้อมกับสั่งเสียงแข็ง “แล้วก็ทำตามที่สั่ง เข้าใจไหม?”

ในสถานการณ์นี้...เหยื่ออย่างเธอจะทำอะไรได้อีกล่ะ นอกจากพยักหน้าอย่างยอมจำนน

ร่างในเงาย้อนแสงหันไปพยักหน้าให้ลูกน้องตัวเองมีคนยกโต๊ะเล็กตัวหนึ่งเข้ามาตั้งพร้อมกับวางเอกสารบางอย่างหน้าตาคล้ายเอกสารราชการแผ่นหนึ่งพร้อมปากกาลงบนโต๊ะ

“เซ็นซะ!” เสียงสั่งสุดเผด็จการจนคนฟังทำหน้าเหลอ อ้าปากค้าง เงยมองอีกฝ่ายที่อยู่ในเงามืดอยู่ชั่วพัก

“บอกให้เซ็นชื่อลงไปไง” ย้ำคำสั่งอย่างหงุดหงิด

“มะ...ไม่ได้” รสิกาตอบเสียงเบา ส่ายหัวช้าๆ อย่างท้อแท้

“ทำไมไม่เซ็น” เจ้าของน้ำเสียงพาลพาโลถาม มีเค้ารอยเหี้ยมเกรียมจนคนฟังรู้สึกได้ว่าตัวเองคงไม่อาจรอดชีวิตจากโกดังร้างนี้ไปได้แหงๆ

“ฉันเซ็นไม่ได้...คุณ...คุณมัดมือฉันอยู่” รสิกาเงยหน้าบอกกึ่งตัดพ้อด้วยเสียงสั่นๆ แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่ออีกฝ่ายทำเสียงจึ๊กจั๊กขัดใจ ก่อนที่เขาจะหยิบมีดพกออกมา มันเป็นมีดพับที่เมื่อเปิดออกก็ส่องประกายวาววับกรีดหัวใจเหลือเกินโดยเฉพาะเมื่อมันฉวัดเฉวียนมาใกล้หน้า

ร่างสูงใหญ่ชะโงกตัวผ่านเธอไปด้านหลัง มีเสียงคล้ายอะไรสักอย่างโดนตัดขาดผึงก่อนมือของรสิกาจะเป็นอิสระ หญิงสาวรีบชักแขนมานวดข้อมือที่มีรอยแดงจากการถูกรัดนั้นขณะคนตรงหน้าถอยห่างออกมายืดตัวตรงคงเงาร่างทะมึนมหึมาอยู่ตรงหน้า ทิ้งไว้เพียงกลิ่นจางๆ ของน้ำหอมผู้ชายปะปนกลิ่นบุหรี่และกลิ่นขมๆ ไหม้ๆ ของอะไรสักอย่างที่เธอไม่คุ้นเคย

“เซ็นซะ อย่าตุกติก” เสียงเหี้ยมโหดกลับมาคุกคามเธออีกครั้ง

โต๊ะเล็กถูกเลื่อนมาตรงหน้ารสิกาและกระดาษหนาๆ ที่วางไว้ แต่หญิงสาวไม่ทันได้ใส่ใจในตอนแรกก็ปรากฏชัดแก่สายตา...เต็มสองตาว่ามันคือ...คือ...

“คะ...คุณจะ...จะให้ฉันเซ็นอะไรคะเนี่ย!!!

ท้ายประโยคคือเสียงหวีดแหวเกือบเป็นตะโกนใส่ด้วยความสติแตก ความเยือกเย็นกลัวตายที่ผ่านมาพังทลายลงตรงนี้เอง ตรงที่เขาจะบังคับให้เธอเซ็น...เซ็น

“นี่มัน...ทะเบียนสมรส!” รสิกาเอ่ยชื่อเอกสารราชการฉบับนั้นออกมาด้วยน้ำเสียงสติแตกที่อยู่ๆ จะมีคนมาบังคับให้เธอเซ็นชื่อลงบนทะเบียนสมรสเนี่ยนะ!

“เซ็นๆ ไปเหอะน่า” ผู้ชายตรงหน้าเอ่ยเสียงหนักคล้ายกำลังหมดความอดทน

“ไม่! คุณจะ...จะ...จะ...” รสิกาติดอ่าง ไม่อาจเอ่ยคำพูดต่อมาได้ ใครจะพูดอะไรออกมาได้ ถ้าหากว่ามีปืนจ่อหัวอยู่แบบนี้น่ะ!

ถูกแล้ว ไอ้ผู้ชายตรงหน้าควักปืนออกมาจากอกเสื้อเอามาจ่อหัวเธออยู่!

ปืนนน!!!!

อาวุธโลหะสีเงินวาวที่มีกลิ่นน้ำมันและกลิ่นเหม็นไหม้ขมๆ ระเหยจางๆ ออกมา...กลิ่นเดียวกับที่เธอได้กลิ่นจากตัวเขา รสิกาสันนิษฐานว่ามันคือ...กลิ่นดินปืนใช่ไหม

คือ...นี่คืออาวุธที่เคยถูกใช้งานมาแล้วแหงๆ ใช่ปะค้า

“เซ็น!” คำสั่งสั้นมาพร้อมการขึ้นลำกล้องปืนดังกริ๊ก! บ่งบอกให้รู้ว่าจะไม่มีการประนีประนอม หรือต่อรองใดๆ ได้อีก

หญิงสาวคว้าปากกามาถือไว้ มือไม้สั่น ขีดแกรกลงไปโดยยังไม่ทันเปิดหัวปากกา ก่อนพบว่าเซ็นไม่ติด และใช้เวลาอีกพักหนึ่งควานหาทางเปิดหัวปากกาด้วยมือไม้สั่นเทาสั่นจนเซ็นลงไปแบบโย้เย้ไม่เป็นภาษา

หลังความพยายามอันหลุดลุ่ยที่สร้างเส้นยึกยือไม่เป็นภาษาขึ้นบนแผ่นกระดาษ มือใหญ่ก็เอื้อมมากระชากคืนไปทั้งกระดาษและปากกา เขาก้มลงเขียนอะไรลงไปในตำแหน่งใกล้ๆ กับที่รสิกาเซ็นไว้ก่อนยกขึ้นมาดูแล้วทำเสียงจึ๊กจั๊กขัดใจ

“เซ็นแบบนี้ใช้ได้ที่ไหนกัน!” เสียงเกรี้ยวกราดเข่นเขี้ยวใส่คนตัวสั่นงันงกบนเก้าอี้ “ยื่นมือมา!

“ฉะ...ฉันกะ...กลัว...มือมันสั่นเอง...หยุดไม่ได้” รสิกาแก้ตัวเสียงแห้งขณะยกมือสั่นๆ ขึ้นให้อีกฝ่ายเห็นชัดๆ ว่ามันยังสั่นอยู่เลย

ข้อมือบางถูกฉวยหมับขึ้นและใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้นที่ชายหนุ่มตรงหน้าตัดสินใจวางแผ่นกระดาษลงบนโต๊ะ ก่อนหยิบมีดคมกริบขึ้นมาทำท่าจะเฉือนลงไปบนมือของคนที่อ้าปากค้างตาค้าง ช็อกจนกระทั่งร้องยังร้องไม่ออก แต่คนที่พากันร้องออกมาคือบรรดาลูกน้องของเขาที่รีบถลาเข้ามาห้าม

“นายน้อยครับ อย่าทำเขาเป็นแผลสิครับ นายใหญ่รู้เข้าจะไม่ดีนะครับ” ลูกน้อง...ที่น่าจะเป็นคนสนิทเข้ามากระซิบห้ามไว้ ทำเอาเชลยสาวผู้เกือบโดนเชือดค่อยถอนหายใจเฮือกออกมาอย่างโล่งอกเมื่อมีดคมวาววับเล่มนั้นเคลื่อนห่างออกไป

“งั้น...แกเอามือมาให้ฉันเฉือนซิ ฉันจะเอาเลือดทำหมึกแสตมป์นิ้วแม่นี่ให้มันเสร็จๆ ไป” นายน้อย เอามีดชี้หน้าลูกน้องที่คราวนี้พากันถอยกรูดห่างออกมาเป็นวงกว้าง

“มะ...ไม่ต้องใช้เลือดไม่ได้เหรอครับ” คนถามเป็นผู้ชายตัวโตที่ทำเสียงเหมือนจะร้องไห้ ขณะรอบตัวมีการเคลื่อนไหววุ่นวายก่อนที่คนหนึ่งจะร้องขึ้นมา

“มีน้ำมันเครื่องเก่าๆ อยู่ตรงนี้ น่าจะใช้แทนหมึกได้ครับนาย”

อึดใจต่อมารสิกาผู้มือเลอะเทอะคราบน้ำมันเครื่องดำเหนียวหนึบก็ได้แต่ทำตาปริบๆ เมื่อถูกประทับรอยนิ้วมือลงไปในเอกสาร เรียบร้อยแล้วตัวเจ้านายของกลุ่มคนร้ายก็พับกระดาษแผ่นนั้นเก็บเข้าในอกเสื้อก่อนหันไปสั่งลูกน้องตัวเอง

“เรียบร้อย กลับ”

กลุ่มคนพวกนั้น...พอบอกกลับก็หมุนตัวทำท่าจะไปกันเดี๋ยวนั้นเลย

ดื้อๆ อย่างนี้เลยเรอะ!?

“เดี๋ยวก่อน” รสิกากลั้นใจหลับหูหลับตาตะโกนขึ้น ยังดีที่พวกเขายังยอมหยุดชะงักหันกลับมา

“ช่วย...กรุณา...ตัดไอ้ที่มันรัดขาฉันออกให้หน่อยได้ไหมคะ...” รสิกาบอกด้วยน้ำเสียงเหมือนจะร้องไห้

นอกจากมือที่เป็นอิสระจากการโดนพันธนาการไพล่หลังอยู่แล้ว ขาทั้งสองข้างของเธอยังคงถูกมัดตรึงติดกับขาเก้าอี้ด้วยเส้นเคเบิลไทร์แข็งๆ ซึ่งหญิงสาวลองขยับดูแล้วพบว่ามันแข็งบาดเนื้อและไม่มีทางที่เธอจะดิ้นหลุดได้ด้วยตัวเองแน่ ดังนั้นการถูกมัดทิ้งไว้ที่นี่น่าจะอันตรายกว่าการเรียกพวกเขากลับมาแหงๆ

“น่ารำคาญฉิบหาย” เสียงคนที่ถูกเรียกว่านายน้อยสบถหยาบคาย แต่ก็ยอมเดินกลับมา

ร่างสูงเดินเข้ามาใกล้ก่อนก้มตัวคุกเข่าลงตรงหน้าและควักมีดคมๆ ของเขาออกมาอีกครั้ง นาทีนี้รสิกาเห็นใบหน้าเขาได้แล้ว พวกลูกน้องของเขาเปลี่ยนจากโคมไฟมาเปิดไฟแรงเทียนต่ำเพื่อให้เห็นทางออกจากโกดัง โคมไฟที่ใช้ส่องหน้าคุกคามกันเหมือนอยู่ในหนังสายลับจนถึงเมื่อกี้ถูกเก็บกลับไปแล้ว

ดังนั้นจึงมีแสงสลัวเลือนแต่พอจับเค้าได้ของผู้ชายตัวใหญ่ในชุดสูท...เดี๋ยว!

โจรบ้าอะไรอยู่ในชุดสูท!?

แถมทำตัวลึกลับปานนี้

แถมยัง...บังคับให้เธอลงนามในเอกสารบ้าๆ นั่นอีก

นี่มันบ้าไปแล้ว

และสิ่งที่บ้าสุดของเรื่องนี้คือ...เรื่องทั้งหมดนั้นดันมาเกิดกับเธอ นางสาวรสิกา สุคนธ์รสา คนธรรมดาคนสุดท้ายในโลกที่ควรจะมีเรื่องบ้าบอแปลกพิลึกโลกแบบนี้มาเกิดขึ้นกับเธอ

เสียงของการตัดเส้นเคเบิลแข็งๆ นั้นดังผึงติดกันสองครั้งก่อนข้อเท้าเธอจะได้รับอิสระในที่สุด

ผู้ชายคนนี้ต้องตัวสูงใหญ่มาก เพราะเมื่อเขาคุกเข่าลงมาดวงหน้านั้นกลับอยู่ใกล้ระดับเดียวกับเธอที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ทำให้รสิกาได้โอกาสในการสำรวจรายละเอียดของดวงหน้านั้น

หัวหน้าโจร มีจมูกโด่งเป็นสัน คิ้วเข้มหนา ริมฝีปากสีแดงจัดเม้มแน่นดูเอาแต่ใจ ดูโดยรวมแล้วนับว่าดวงหน้าค่อนข้างเกลี้ยงเกลาทีเดียว ถ้าไม่นับรอยไรเคราเขียวๆ ที่ขึ้นครึ้มบางๆ ที่ยิ่งส่งเสริมบุคลิกให้ดู...ดู...เอ่อ...

ทำไมกัน!

...โจรจำเป็นต้องหน้าตาดีขนาดนี้ไหมเนี่ย ถามจริง

ตาคมใต้ขนตายาวหนาอยู่ๆ ก็ตวัดฉับมองขึ้นมาส่งสายตาดุๆ ใส่จนคนแอบมองอยู่สะดุ้ง

ตาดุจ้องสะบัดๆ คล้ายจะค้อนใส่ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง มองลงมายังคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยดวงตาขุ่น สีหน้าเหวี่ยง จนรสิกาชักสงสัยว่านอกจากการ...ช่วยชีวิตพ่อ ของเขาอย่างที่เขาเอ่ยอ้างมาแล้ว เธอเคยไปล่วงเกินอะไรเขาไว้ เขาถึงทำท่าเกรี้ยวกราดใส่กันหนักหนาขนาดนี้

“ฉันชื่อกันต์...” เจ้าของเสียงห้าวเอ่ยขึ้นน้ำเสียงหงุดหงิด ริมฝีปากได้รูปสีสดบิดเบ้ขัดใจยามตวัดเสียงในประโยคต่อมา “ถ้ามีคนถาม...เธอต้องบอกว่าเธอแต่งงานแล้ว แล้วสามีชื่อกันต์ เข้าใจไหม”

ท้ายประโยคเป็นคำถาม...คำถามแบบรวบคอเสื้ออีกฝ่ายขึ้นมาเขย่า จนคนโดนเค้นคอทำได้เพียงพยักหน้าหงึกๆ 

“ค่ะๆ เข้าใจแล้วค่ะ แค็กๆ” รสิการับคำพลางสูดหายใจเอาอากาศเข้าปอดอย่างกระหายหลังจากมือใหญ่คลายออก ทิ้งตัวเธอลงกับเก้าอี้แข็งๆ ที่นั่งอยู่เดิม

นาทีนี้ให้รับคำอะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละ แค่ให้พ้นจากการคุกคามของ...กันต์ ผู้ชายที่อยู่ๆ ก็มาอ้างตัวเป็นสามีเธอหน้าตาเฉย จริงๆ ก็ไม่หน้าตาเฉยหรอก ยังมีเอกสารเถื่อนอีกแผ่นหนึ่งที่เขาบังคับเอาลายนิ้วมือเธอประทับตราลงไปนั่นอีก

ไม่รู้ว่าเขาจะเอาไปทำอะไรแน่ แต่รสิกาจะไม่บอกให้เขารู้หรอกว่ามัน...

หญิงสาวสะดุ้งอีกครั้งเมื่อมือใหญ่รวบคางเธอให้เงยขึ้นสบตาพร้อมกับยิ้มเหี้ยมเกรียมใส่ตาเธอ

“เอาละ ไหนพูดมาให้ชื่นใจหน่อยซิ ‘ผัว’ เธอชื่ออะไร”

คนบ้าอะไรนี่ทำน้ำเสียงคุกคาม เหี้ยมโหด ได้...แบดกาย โอย...กร้าวใจชวนใจเต้นอะไรเบอร์นี้ เดี๋ยวสิ!?

รสิกาอ้าปากค้าง ตาค้าง แต่ก็ตั้งสติได้รวดเร็วเพราะแรงมือที่บีบคางแน่นขึ้นแบบขู่บังคับกันนั้น

“กะ...กันต์ ฉันแต่งงานแล้ว สามีชื่อกันต์” หญิงสาวท่องประโยคที่เขายัดเยียดออกมา ดูเหมือนจะทำให้อีกฝ่ายพอใจได้

กันต์ปล่อยมือจากคางที่โดนบีบจนจวนช้ำนั้น เขากวาดตามองหญิงสาวตรงหน้าอีกรอบ สีหน้าขัดใจ แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่านั้น นอกจากทำปากเบ้ สีหน้ารังเกียจ

ร่างสูงหมุนตัวกลับอันเป็นสัญญาณว่าเขาหมดธุระแล้วกำลังจะไป...ใช่ไหม?

รสิกาเกือบจะถอนใจโล่งอกอยู่แล้ว แต่ก็นึกขึ้นมาได้ ต้องร้องเรียกเขาอีกรอบ

“เดี๋ยวค่ะ คุณกันต์คะ”

มือบางคว้าเสื้อสูทสีดำยื้อไว้ พลางกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอเมื่ออีกฝ่ายค่อยๆ หันหน้ากลับมา มองด้วยสายตาราวจะฆ่าคนได้

กันต์จ้องหน้าซีดเซียวของผู้หญิงตรงหน้าด้วยสายตาพิฆาตที่บรรดาลูกน้องเขาต้องกลัวตัวสั่น ดวงตาเฉียบคมอันตราย และรังสีอำมหิตที่มีไว้เพื่อข่มขวัญศัตรูถูกส่งพลังแรงออกไปเต็มที่ และ...ทั้งที่กลัวจนขาสั่นปากซีดแล้ว แต่รอยเด็ดเดี่ยวบางประการก็ฉายอยู่ในแววตาขลาดกลัวคู่นั้น

หญิงสาวสูดลมหายใจลึกเรียกกำลังใจก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นไหว

“ฉะ...ฉันไม่รู้ว่าที่นี่ที่ไหน ฉันกลับไม่ถูก กะ...กรุณาพาไปส่งที่ถนนที่มีรถประจำทางผ่านพอจะให้หารถต่อกลับบ้าน ดะ...ได้ไหมคะ” รสิกากลั้นใจร้องขอ แม้รู้ว่าอีกฝ่ายไม่พอใจแค่ไหน แต่...เธอก็มีสติพอที่จะไม่ปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในภาวะคับขันยิ่งกว่าเดิมแน่

การถูกทิ้งให้ต้องเดินหลงวนอยู่ในโกดังร้างที่ไม่รู้ทางตอนดึกดื่นสำหรับผู้หญิงตัวคนเดียว อาจอันตรายยิ่งกว่าการถูกจับตัวมาขู่เข็ญด้วยเงื่อนไขประหลาดๆ ของกลุ่มคนที่...ประหลาดพอๆ กันกับเงื่อนไขแหละ และนั่นทำให้รสิกาตัดสินใจที่จะร้องขอออกไป

กันต์มองเธอเหมือนมองเห็นตัวประหลาด ความเย็นชาเฉียบคมและอันตรายหายไปจากสายตาเขาหลายส่วน แต่ไม่ได้มีความปรานีอยู่ในนั้น

แต่ก่อนที่เขาจะตัดสินใจอย่างโหดเหี้ยมตามนิสัย ลูกน้องคนหนึ่งก็ก้าวเข้ามากระซิบริมหู เป็นข้อความที่ทำให้เกิดสีหน้าเหวี่ยงๆ รอยเกลียดชังเพิ่มขึ้นในสายตาอีกหลายระดับขณะมองรสิกาและหมุนตัวกลับพร้อมบอกห้วนๆ

“ตามมา”

...ทายสิว่ารสิกาวิ่งตามเขาออกไปไหม

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น