2

บทที่ 2

2

 

รสิกาผวาตื่นกลางดึก

หญิงสาวลุกขึ้นมาเหงื่อท่วมตัวด้วยอาการหวาดผวาจนต้องเปิดไฟนอนมาหลายคืนแล้ว เมื่อเหลียวมองอย่างหวาดระแวงไปรอบตัวแล้วพบว่าตัวเองอยู่ในห้องนอนเล็กแคบของหอพักที่คุ้นชินเธอจึงค่อยวางใจลง และเมื่อผ่านมาถึงสัปดาห์ที่สองเรื่องราวที่ถูกลักพาตัวไปอย่างพิลึกพิลั่นโดยคนประหลาดกลุ่มนั้นก็คล้ายกลายเป็นแค่ความฝันตื่นหนึ่ง

ฝันอันเลื่อนลอยที่มีผู้ชายหน้าตาหล่อเหลาแต่บึ้งตึงที่พร้อมจะควักปืนขึ้นมาจ่อบังคับเธอให้ยอมทำตามคำสั่งสุดพิลึกนั่น

ความหวาดผวาค่อยๆ จางหายไป ทิ้งไว้เพียงแค่...ดวงหน้าของผู้ชายคนนั้นที่ยังชัดเจนนัก

แหม...ก็ใครใช้ให้เขามีหน้าตาดูดีขนาดนั้นล่ะ นอกจากหน้าตากับชุดสูทราคาแพง ปืน และมีดคมวาววับเล่มนั้นแล้ว…

ความทรงจำยังทิ้งรอยจำจางๆ ของกลิ่นน้ำหอมผู้ชายราคาแพงของเขาเอาไว้ รวมถึงกลิ่นบุหรี่และกลิ่นดินปืนด้วย

กลิ่นเผาไหม้ขมๆ ที่ทำให้เขาดูเป็นผู้ชายสุดอันตรายที่มีแถบคาดเขตอาชญากรรมสีเหลืองลายริ้วดำตัดเฉียงกางกั้นเอาไว้ไม่ให้ใครควรเข้าใกล้

รสิกาขยับตัวลงจากเตียงเล็กแคบ เท้าเปล่าเปลือยสัมผัสกับพื้นกระเบื้องยางเย็นๆ ช่วงเวลาดึกสงัดของตำบลเล็กๆ ในจังหวัดติดชายทะเลภาคตะวันออกสงบเงียบ มีเพียงเสียงพัดลมตัวเล็กที่ปลายเตียงซึ่งเก่าจนมอเตอร์ส่งเสียงหึ่งดังฟังชัดในราตรีนิ่งสงบ

แม้ที่พักของรสิกาจะอยู่ในเขตเมืองที่ห่างออกมาไม่ได้ติดชายทะเลอันเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีผู้คนพลุกพล่าน แต่บางทีสายลมก็พัดพากลิ่นทะเลเจือมาบางเบา ลอดเข้ามาทางหน้าต่างบานเกล็ดและผ้าม่านเนื้อบางลายการ์ตูนที่ซื้อราคาถูกมาจากตลาดนัด

หญิงสาวเหลียวมองดูที่นอนเก่า ผ้าปูที่นอนเก่าที่ถูกซักบ่อยจนสีซีดจางทำให้มันยิ่งดูเก่า หมอน ผ้าห่ม และตุ๊กตาบนที่นอนก็มีสภาพแทบไม่ต่างกัน นอกจากความเป็นคนรักความสะอาดแล้ว หญิงสาวยังเป็นโรคภูมิแพ้ที่ทำให้ต้องหลีกเลี่ยงฝุ่นและน้ำหอมเคมี เครื่องนอนของเธอทุกชิ้นจึงมีกลิ่นอบร่ำหอมของกลิ่นพิเศษเฉพาะที่สกัดมาจากธรรมชาติที่เธอทำเอาไว้ใช้เอง

นับได้ว่าเป็นผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกที่เข้ายุคสมัยเป็นที่สุด เสียแต่ว่า…

ริมฝีปากบางบิดเบ้ยามรอยยิ้มขันขื่นปรากฏบนใบหน้าธรรมดา ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกนั้นจะมีราคาสูงกว่าสินค้าทั่วไปซึ่งทำให้ยากที่คนรายได้ต่ำอย่างเธอจะอาจเอื้อมถึงมัน จึงเป็นสิ่งที่ย้อนแย้งกันอย่างเลือดเย็นของสภาวะร่างกายกับรายได้ที่เพียงพอจะดูแลตัวเองของหญิงสาว

ดังนั้นในห้องน้อยนี้จึงมีเพียงของน้อยสิ่งและยังเต็มไปด้วยผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกแฮนด์เมด ตั้งแต่น้ำยาปรับผ้านุ่ม ผงซักฟอกทำเอง สบู่ แชมพู ไปจนถึงโลชันและน้ำหอมที่เป็นอีกสิ่งที่เธอแพ้จนไม่อาจใช้ผลิตภัณฑ์เคมีตามท้องตลาดได้โชคยังดีอยู่หรอกที่คุณซีดาร์ หรือศิริดารา เจ้าของร้านดอกไม้เป็นคนสอนเธอให้ผลิตของพวกนี้ขึ้นมาใช้เอง รสิกาจึงยังพอมีทางรอดในโลกของคนขี้แพ้อย่างเธอ

หญิงสาวยกมือขึ้นลูบคลำท้ายทอยที่ตอนนี้ไม่เหลือความเจ็บปวดใดๆ แล้ว แต่เมื่อสองสัปดาห์ก่อนมันเคยมีรอยช้ำที่หญิงสาวค้นพบว่ามันน่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้วันนั้นเธอวูบดับไป และมารู้สึกตัวอีกทีก็ถูกจับมาอยู่ในโกดังร้างนั่นแล้ว

ย้อนเวลากลับไปวันนั้นเมื่อสองสัปดาห์ก่อน รสิกาเลิกงานตอนสี่โมงครึ่งหลังจากเคลียร์เอกสาร ตรวจตราดูแลความเรียบร้อยและล็อกกุญแจสำนักงานแล้ว เธอเดินออกมาเพื่อไปทำงานกะเย็นที่สปาของคุณแอม หรืออันธิกา ร้านอยู่ห่างไปราวหนึ่งกิโลเมตรครึ่ง แต่รสิกาเลือกใช้ทางลัดที่ช่วยลดระยะทางไปได้ราวครึ่งกิโลเมตร เป็นตรอกแคบๆ เล็กพอที่รถจะสวนกันได้แบบลำบากนิดหน่อย แต่สบายมากสำหรับคนเดินเท้า

ระหว่างทางเธอก็ควักเอากล่อง ข้าวกลางวันควบเย็น ออกมา มันคือข้าวกะเพราหมูสับไข่เจียว อาหารมื้อกลางวันที่ซื้อจากร้านป้าเปรี้ยว ร้านอาหารตามสั่งที่เป็นเพิงเล็กๆ ข้างสำนักงานนั่นแหละ โดยรสิกาจะรับประทานมื้อเที่ยงไปราวสองในสาม และเหลือส่วนสุดท้ายไว้กินต่อรอบเย็น โดยเดินไปตักอาหารเข้าปากเคี้ยวกลืนไปเพื่อประหยัดเวลา

แต่ยังไม่ทันเคี้ยวไข่เจียวที่ทั้งเย็นทั้งแห้งแข็งฝืดคอนั่นได้แหลกเลย หญิงสาวก็รู้สึกว่ามีคนมาข้างหลังก่อนสติเธอจะวูบดับไป

พอรู้ตัวอีกทีก็เกิดเหตุการณ์ในโกดังร้างนั่นขึ้น ก่อนที่พวกเขาจะจากไป ทิ้งไว้เพียงรอยช้ำและอาการปวดคออยู่เป็นสัปดาห์

“พวกบ้าเอ๊ย!” หญิงสาวพึมพำอย่างหัวเสีย “แค่เอามีดมาขู่ก็กลัวจะแย่ ก็ยอมไปด้วยดีๆ แล้ว ทำไมต้องมาตีกันให้ต้องเจ็บตัวแบบนี้ด้วยเนี่ย”

คนพูดบ่นอุบพลางเผลอนวดต้นคอไปมา อันเป็นกิริยาที่เธอทำจนเริ่มชินเมื่อต้องต่อสู้กับอาการฟกช้ำมาเป็นสัปดาห์ๆ แถมไอ้น้ำมันเครื่องดำๆ ที่เขาใช้แทนหมึกพิมพ์รอยนิ้วมือเธอนั้นก็ล้างไม่ออกอีก ยังคงเปื้อนเป็นรอยดำติดอยู่ที่นิ้วเธอไปอีกหลายวันเลย

รสิกายกมือขึ้นมาดู นิ้วมือตัวเองที่ไม่เหลือรอยดำแล้ว แต่เธอรู้ว่ามันเคยทิ้งร่องรอยไว้บนเอกสารแผ่นหนึ่ง มันเป็นเอกสารที่...

คนคิดอดอมยิ้มไม่ได้เมื่อนึกไปถึงทะเบียนสมรสใบนั้น

พวกเขาจะรู้ไหมว่าเอกสารนั้น...มันใช้การไม่ได้น่ะ!

เพราะทำงานอยู่สำนักงานทนายความมานานกว่าสี่ปี มันทำให้รสิกาพอมีความรู้เรื่องกฎหมายอยู่บ้าง ทั้งจากการอ่านตำรากฎหมายที่พี่เธน หรือคุณเอเธนส์...เจ้าของสำนักงานทนายเอามาทิ้งไว้เต็มตู้ บวกกับการอ่านสำนวนคดีความต่างๆ ที่ผ่านมา

นอกจากนี้แล้วรสิกายังไปหาข้อมูลเพิ่มมาอีกว่า การถูกบังคับจับพิมพ์ลายนิ้วมือลงไปแบบนั้นจะมีผลทางนิตินัยอะไรหรือเปล่า ซึ่งจากข้อมูลที่เธอค้นๆ มาดูก็พบว่าเอกสารที่ไม่ได้ออกโดยเจ้าหน้าที่ทะเบียนฉบับนั้นน่าจะไม่มีผลทางกฎหมาย

แต่...อะไรก็อาจเกิดขึ้นได้ทั้งนั้นแหละ

ใครจะรู้ล่ะว่า เห็นหน้าตาดีแบบนั้น เขาอาจเป็นแก๊งอาชญากรข้ามชาติ หรืออะไรสักอย่าง...ไม่งั้นคงไม่พกทั้งมีดทั้งปืนหรอก

ใช่...เขาต้องเป็นแก๊งอะไรสักอย่าง ดีไม่ดีอาจเป็นพวกหลอกหญิงไทยให้จดทะเบียนสมรสเพื่อให้สัญชาติกับชาวต่างชาติก็ได้ หรือไม่อย่างนั้นก็อาจทำธุรกรรมผิดกฎหมายอะไรสักอย่างโดยใช้ชื่อเธอในนามภรรยาของเขาตามเอกสารปลอมแผ่นนั้น นั่นอาจทำให้มีหมายศาลคดีร้ายแรงอะไรส่งมาหานางสาวรสิกาได้โดยไม่รู้ตัว เรื่องแบบนี้อยู่ในสำนักงานทนายความนี่เห็นมานักต่อนักแล้ว

ดังนั้นเพื่อให้แน่ใจว่าพวกคนพิลึกกลุ่มนั้นจะไม่สามารถนำเอกสารที่บังคับเอาลายพิมพ์นิ้วมือเธอไปทำอะไรได้อีก สองวันหลังเกิดเหตุ รสิกาไปขอใบรับรองแพทย์ถึงรอยบาดแผล (ถลอก) ที่ข้อมือข้อเท้าและรอยฟกช้ำที่ท้ายทอยจากโรงพยาบาล

แน่นอนว่าใช้สิทธิ์ประกันสังคมตรวจฟรีสิ เรื่องอะไรจะยอมเสียตังค์ไปตรวจคลินิกเอกชนล่ะ แพงจะตายไป เอาไปเบิกกับใครก็ไม่ได้

จากนั้นหญิงสาวก็ลงมือเขียนสำนวนเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นคร่าวๆ แต่ครอบคลุมการถูกขู่บังคับให้ปั๊มลายนิ้วมือลงในเอกสารเถื่อนแผ่นนั้น พิมพ์ออกมาพร้อมกับแนบสำเนาเอกสารที่จำเป็นอื่นๆ เดินขึ้นโรงพักไปยื่นให้ตำรวจร้อยเวรลงบันทึกประจำวันให้ โชคดีที่สารวัตรพงศ์เผ่า เพื่อนของเอเธนส์เจ้านายเธออยู่เวร รสิกาเลยยิ่งได้รับการอำนวยความสะดวกเข้าไปใหญ่ แม้สารวัตรจะทำสีหน้างุนงง และร้อยเวรจะมองเธอแบบ...แปลกๆ แต่เมื่อมีคนทำสำนวนให้โดยเขาไม่ต้องเขียนเอง แม้จะมีความกังขาในสายตา แต่ก็ไม่หนักหนาเกินกว่าที่เขาจะยอมออกเอกสารให้

ต้องยกความดีความชอบให้การทำงานในสำนักงานกฎหมายนี่แหละที่ทำให้เธอรู้กระบวนการและขั้นตอนการป้องกันตัวในเรื่องเอกสาร จากการที่เห็นดรามาพวกนี้จากสำนวนคดีที่ผ่านตามาเยอะแยะ

และก็จากการเป็นคนทำงานในสายนี้อีกเช่นกันจึงทำให้ได้รู้จักกับตำรวจและการทำเอกสารที่ต้องติดต่อกับเจ้าหน้าที่พวกนี้

ใช้เวลาไม่ถึงยี่สิบนาทีก็เสร็จขั้นตอนการแจ้งความลงบันทึกประจำวันเพื่อเป็นหลักฐานการป้องกันตัวอีกชั้นหนึ่ง ไม่ให้ผู้ชายที่ชื่อกันต์เอาเอกสารแผ่นนั้นไปใช้ให้เกิดผลทางกฎหมายที่เป็นผลเสียต่อเธอได้

รอยยิ้มบางปนเจ้าเล่ห์นิดๆ พร้อมลักยิ้มร้ายๆ ผุดที่ข้างแก้มหญิงสาวผู้เอื้อมมือไปปรับสวิตช์โคมไฟข้างเตียงให้สว่างขึ้นกว่าเดิมแล้วลุกขึ้นเดินไปเปิดตู้เย็นเล็กเก่าจนเป็นอีกอย่างหนึ่งที่ส่งเสียงหึ่งๆ ครางประสานกับเสียงพัดลมราวกับเป็นเครื่องดนตรีเพอร์คัสชันชนิดหนึ่ง

รสิการินน้ำดื่มก่อนจะเดินกลับมาหรี่ไฟ ล้มตัวลงสู่ที่นอนอันคุ้นเคย กลิ่นหอมจางๆ และความนุ่มนวลของผ้าที่ผ่านการซักมาจนละมุนหอมโอบล้อมเจ้าของห้องเล็กจนเข้าสู่นิทราได้ในไม่ช้า นิทรา...ที่สุดแสนสนิทสนมและวางใจ ว่าผู้ชายพิลึกกลุ่มนั้นน่าจะไม่มีทางทำอะไรเธอได้

น่าจะนะ...

...

ขณะที่คนคนหนึ่งเข้านอนไปนานแล้ว อีกหลายคนกลับยังคงคร่ำเคร่งอยู่กับงาน 

คนอีกกลุ่มหนึ่งที่ทำงานโดยไม่สนใจเวลา ดูเหมือนพวกเขาจะยึดโยงการทำงานอยู่กับเวลาของอีกซีกโลกหนึ่งซึ่งเป็นชั่วโมงทำงานช่วงเวลาที่กำลังพีกที่สุดของวัน 

ในห้องรับรองกว้างพื้นปูพรมหนาเพดานสูงประดับแชนเดอเลียร์ช่อใหญ่ ผนังและประตูตกแต่งอย่างดีได้มาตรฐานโรงแรมระดับห้าดาว ห้องนี้เป็นห้องรับรองส่วนกลางในห้องชุดของโรงแรมโดยมีห้องนอนใหญ่สองห้องอยู่ตรงข้ามกัน เปิดพื้นที่ตรงกลางไว้วางโซฟาและชุดโต๊ะอาหารขนาดหกที่ซึ่งในตอนนี้กลายเป็นที่วางเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กหลายตัวกับอุปกรณ์สำนักงานอีกหลายชิ้น จอภาพขนาดใหญ่หลายจอที่ใช้ในการวิดีโอคอลประชุมทางไกลข้ามโลก ซึ่งกันต์เพิ่งวางสายสนทนาจากคู่สัญญาธุรกิจไปเมื่อไม่กี่นาทีนี้เอง

ชายร่างสูงที่เพิ่งจบการเจรจาต่อรองอันระอุเดือดปลดกระดุมเสื้อสูทออกก่อนเหวี่ยงเสื้อตัวนอกแบรนด์หรูราคาแพงนั้นทิ้งไปอย่างหงุดหงิด

“แม่ง! ร้อนฉิบหาย” คำสบถหยาบคายดูเป็นสิ่งติดปากเขาอย่างถาวรไปเสียแล้ว 

แต่แค่สบถดูจะยังไม่อาจระบายความฉุนเฉียวของเขาออกมาได้ เนกไทถูกรูดออกเหวี่ยงทิ้งเป็นสิ่งถัดไป กระดุมคัฟลิงก์ถูกปลดโยนให้บรรดาลูกน้องต้องรีบไล่ตามเก็บคว้ากันจ้าละหวั่น

ช่วย...อย่าโยนกระดุมเชิ้ตทองคำแท้ฝังเพชรทิ้งๆ ขว้างๆ แบบนี้ได้ไหมครับนาย

พวกลูกน้องที่รีบแหวกพื้นพรมตะครุบหาของคิดอย่างทุกข์ระทม

“พวกแกไปดูซิว่าแอร์มันเสีย หรือเรากำลังอยู่ในนรกกันแน่วะเนี่ย” คนเสียงห้าวดุสั่งงานขณะถกแขนเสื้อเชิ้ตพับขึ้นสูงถึงข้อศอก 

“โรงแรมห่าอะไรวะ ตอนสร้างมันลืมติดแอร์มาหรือไงกัน” เจ้าของเสียงสบถบ่นยังคงเหวี่ยงไม่เลิก ทำให้ผู้ชายในชุดสูทหลายคนที่อยู่ในห้องมองตากันแล้วค่อยๆ ถอยออกจากห้องมา ทำทีประหนึ่งว่าจะไปตามถามไถ่ประเด็นสงสัยให้เจ้านาย แท้จริงแล้วคือ หนีจากการต้องรองรับอารมณ์อันดุเดือดนั้นต่างหาก

แอร์ไม่ได้เสีย ที่จริงเครื่องปรับอากาศจัดว่าทำงานได้ดีพอสำหรับมาตรฐานโรงแรมชั้นหนึ่งเลยด้วยซ้ำ เพียงแต่อาจเกิดจากความคุ้นชินในสถานที่เย็นจนหนาวในอีกซีกโลกหนึ่งก็ได้ที่ทำให้เจ้านายของพวกเขารู้สึกร้อนผิดปกติกับเครื่องปรับอากาศแบบมาตรฐานที่ต่างออกไปนั้น

หลังจากอาละวาดจนลูกน้องหนีหายไปเกินครึ่ง เหลือคนสนิทเพียงแค่ไม่กี่คนอยู่ภายในห้องนั้นกับคนสนิทของบิดาที่อยู่ในระยะสายตาจึงทำให้กันต์นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ 

“พ่อฉันล่ะ” กันต์ถามพลางเหลียวมองไปทางห้องนอนห้องหนึ่งที่ปิดเอาไว้ “ได้ข่าวว่ากลับมาแล้วไม่ใช่เหรอ”

“คุณรัณนอนพักผ่อนอยู่ครับ” 

ชายวัยกลางคนร่างสันทัดก้าวมาข้างหน้า แสดงกิริยากึ่งๆ ขวางไว้ ไม่ให้ชายหนุ่มบุกรุกไปในห้องนอนนั้นจนรบกวนผู้กำลังพักผ่อนอยู่ภายใน เขาเป็นชายวัยกลางคนผิวสองสี ผมดำใส่น้ำมันเสยเรียบเริ่มมีสีเทาแซมประปราย ชายคนนั้นอยู่ในชุดเสื้อสีน้ำเงินเข้มเรียบง่ายคล้ายเครื่องแบบคนขับรถ ไม่ได้สวมสูทแบบเดียวกันกับบรรดาบอดีการ์ดของชายหนุ่ม

“อะไรวะ มาถึงก็นอนเลย” กันต์ทำปากเบ้ให้ประตูห้องที่ปิดสนิทนั้น สีหน้าหงุดหงิดของคนเอาแต่ใจเริ่มปรากฏ

“ไปเพลียอะไรมา น้าวรพาป๊าไปถึงไหนมาเนี่ย ถามจริง หายกันไปเป็นครึ่งเดือนนี่แอบไปมีเมียน้อยอยู่โน่นกันรึเปล่าวะ” ท้ายประโยคเป็นการแซวแรงประสาคนปากเสียที่สนิทกัน

น้าวรหรือถาวรเป็นคนสนิทของพ่อเขาที่อยู่กับพ่อมาตั้งแต่ก่อนเขาเกิดเสียอีก แม้จะรักและเคารพ...อยู่เหมือนกัน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ถาวรรอดพ้นจากความปากเสียของเขาไปได้หรอกนะ เขาปากเสียกวนประสาทใส่บิดาแค่ไหน ถาวรในฐานะคนสนิทอันดับต้นๆ ของพ่อก็ต้องเจอไม่ต่างกันหรอก

“คุณกันต์ครับ” ชายในชุดเสื้อสีน้ำเงินอีกคนทำท่าอยากพูดอะไร แต่ติดที่ถาวรหันไปส่งสายตาให้สัญญาณบางอย่าง ชายคนนั้นจึงหยุดลง แต่ยังมีท่าทางอึดอัดใจ

ภายในห้องนอกจากกันต์ซึ่งตอนนี้อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวพับแขนแล้ว มีคนสองกลุ่มที่แตกต่างกันด้วยการแต่งกาย กลุ่มแรกคือบอดีการ์ดของกันต์ที่สวมสูทสากลสีเทาเข้มทรงเดียวกันหมด ทั้งหมดเป็นผู้ชายตัวสูงใหญ่เกินหนึ่งร้อยแปดสิบเซ็นต์ อายุอยู่ในช่วงยี่สิบถึงสามสิบปี ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งเป็นบอดีการ์ดของ นายใหญ่ เป็นผู้ชายร่างสันทัดดูมีอายุมากกว่าทีมของกันต์ แต่ก็เต็มไปด้วยคนที่ท่าทางสุขุมและมีสีหน้าเรียบนิ่งที่แผ่รังสีอำมหิตจางๆ กันทุกคน

“คุณรัณไปติดคุยงานเรื่องกาสิโนในพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษกับทางโน้น ไม่ได้ไปวุ่นวายอะไรกับใครที่ไหนหรอกครับ” ถาวรเอ่ยเรียบๆ

“เหอะ...จะมีอีหนูหรืออะไรก็ไม่ว่าอะไรหรอก แค่บอกให้รู้กันบ้าง จะได้เตรียมตัวเตรียมใจไว้ เผื่อเวลาที่พ่อเป็นอะไรไป เดี๋ยวจะมีเมียน้อยพ่ออุ้มลูกมาแย่งมรดกฉัน...โอ๊ย!” ท้ายประโยคคือเสียงร้องของความเจ็บจริงจังหลังจากมีวัตถุบางอย่างลอยหวือมากระแทกศีรษะคนปากเสียดังพลั่ก!

กันต์กุมท้ายทอยพลางก้มมองไฟแช็กโลหะที่เพิ่งกลายเป็นอาวุธบิน ลอยมากระแทกหัวเขาและหล่นปุลงบนพรมเป็นหลักฐานชิ้นเป้งที่ทำเอาหัวเขาเกือบแตก

ชายหนุ่มตวัดสายตาขุ่นขวางไปทางเจ้าของอาวุธชิ้นนั้นที่ยืนอยู่ตรงช่องประตูที่เคยปิดสนิทอยู่จนถึงเมื่อครู่ แต่บัดนี้เปิดอ้าออก ระหว่างบานประตูคู่บานใหญ่ที่เปิดออกจนสุดมีร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น แน่นอนว่าเป็นคนที่ขว้างของใส่หัวเขา

ใครล่ะจะอาจหาญเอาของมาขว้างกบาลเขาได้ ถ้าไม่ใช่...

“ตื่นนานแล้วเหรอครับป๊า” กันต์กัดฟันทักทายบิดา ปลายนิ้วยังลูบคลำรอยปูดนูนบนศีรษะอยู่ไปมา

“นานพอจะได้ยินแกแช่งฉันแหละ ไอ้ลูกเวรตะไล!” คนเป็นพ่อทักทายกลับยิ้มๆ

เขาเป็นผู้ชายร่างสูงใหญ่ในวัยห้าสิบปลายๆ เป็นมนุษย์ลุงหัวยุ่งเหมือนเพิ่งตื่นนอน สวมชุดคลุมอาบน้ำทับเสื้อกล้ามกับกางเกงบ็อกเซอร์ตัวเก่าที่ซักซ้ำจนยุ่ย แต่เจ้าตัวยืนยันว่ามันสวมสบายจนไม่ยอมให้ใครเอาไปทิ้ง รอบเอวเริ่มหนาย้วยลงพุงนิดหน่อย กันต์ไล่สายตาลงมาที่รองเท้าแตะสวมในบ้านลายการ์ตูนฉลามอ้าปากกว้าง ที่เมื่อสวมโดยการยัดเท้าเข้าไปในปากฉลามแล้ว...ดูยังไงก็เหมือนคนสวมมีฉลามสองตัวงับติดขาอยู่!

เมื่อสายตาวกกลับขึ้นมาก็พบว่าบิดากำลังหยิบซิการ์ที่ยังไม่ได้จุดมวนหนึ่งใส่ปากพลางชี้นิ้วมาทางปลายเท้าเขาซึ่งมีไฟแช็กตกอยู่ อันเดิมอันเดียวกันกับที่ถูกขว้างใส่หัวเขานั่นแหละ!

คาดว่าพ่อเขาคงกำลังจะจุดซิการ์สูบอยู่แหละ แต่โดนขัดด้วยความกวนประสาทของลูกรัก จึงลืมตัวเอาของในมือขว้างใส่กบาลเขาเสียก่อน

กันต์ก้มลงหยิบไฟแช็กแล้วเดินเข้าไปหาบิดา จุดไฟจ่อม้วนซิการ์ให้

“แหม...แค่พูดเล่นน่าป๊า” กันต์แก้ตัวอุบอิบ “ป๊าไม่มีทางตายง่ายๆ หรอกน่า คนอย่างคุณอารัณย์ถ้าโดนลูกแช่งตายได้น่ะเสียชื่อมาเฟียหมดดิ...โอ๊ะ!” ท้ายประโยคเป็นเสียงอุทานของคนที่ต้องรีบโยกตัวหลบฝ่ามือหนาๆ ของคุณอารัณย์ที่โฉบวูบมาใส่ ทั้งเร็วทั้งหนัก จนคนที่มีประสบการณ์ในการลิ้มรสฝ่ามือนั้นมาแล้วถึงกับต้องรีบดีดตัวหลบห่างออกมาอย่างว่องไว

“ปากหมาไม่เปลี่ยนเลยนะมึง!” คุณอารัณย์ชี้หน้าบุตรชาย “เดี๋ยวเหอะ! เดี๋ยวกูจะตายให้ดู!!...เอาไฟแช็กคืนมา อันนี้หวงโว้ย!” ท้ายประโยคเข่นเขี้ยวเพราะคนที่ถอยห่างออกไปโดยมีไฟแช็กติดมือไปด้วยทำท่าจะงุบงิบยัดของใส่กระเป๋ากางเกง

“โหย...เดี๋ยวให้คนไปหามาให้ เอาที่เป็นพลาสติกเบากว่านี้ดีกว่าเนาะ” กันต์บอกหน้ามุ่ยเมื่อแผนปลดอาวุธขว้างหนักๆ จากมือบิดาล้มเหลวไม่เป็นท่า

“ไม่...กูชอบอันนี้ มันหนักดี ไว้ขว้างกบาลคน” คุณอารัณย์ปฏิเสธเสียงแข็งพลางแบมือรอ พร้อมกระดิกนิ้วเป็นเชิงเร่ง ขณะที่คนเป็นลูกทำปากเบ้ขณะเดินกลับไปเอาของคืนให้บิดา แถมยังทำปากขมุบขมิบไม่เลิก

“อายุเท่าไหร่แล้ววะไอ้กันต์ ยังไม่เลิกปากหมาเป็นเด็กเกรียนอีก” คุณอารัณย์รับไฟแช็กคืนมาพลางยื่นมือไปขยี้ศีรษะบุตรชาย ยีจนผมยุ่ง ก่อนโยกศีรษะในมือไปมาอย่างมันเขี้ยว

“โว้ย! ป๊าก็ต้องเลิกทำเหมือนผมเป็นเด็กสิบขวบเสียที ผมยุ่งหมดแล้วเนี่ย” กันต์โยกตัวหลบให้พ้นจากมือบิดาพลางเสยผมที่ถูกแกล้งยีจนยุ่งให้คืนทรงเดิม

“เฮอะ! โตตายห่าละ!” คุณอารัณย์สบถหยาบคายแต่ยิ้มเอ็นดูตรงมุมปาก ยามมองไปที่บุตรชายคนเดียวของตนเอง

“เออ ป๊าเสร็จธุระรอบนี้หรือยัง กลับด้วยกันเลยไหม ผมจะได้ให้คนจองตั๋วเครื่องบิน” กันต์หันกลับมาพูดคุยธุระด้วยเสียงเป็นการเป็นงาน ไร้รอยล้อเล่น

“เออ...เอาดิ แต่เดี๋ยว ไอ้กันต์ เรื่องที่ฉันให้แกไปทำน่ะ เป็นไงบ้างแล้ว เรื่องหนูรัสน่ะ” คุณอารัณย์ถามเมื่อคิดขึ้นมาได้

“หนูรัสไหนวะ” กันต์ถามกลับ ทำหน้างงใส่ จนคุณอารัณย์ต้องทำเสียงจึ๊กจั๊ก

“ลูกสะใภ้ฉันน่ะ หนูรัสที่ฉันให้แกไปขอเขาแต่งงานน่ะ ได้เรื่องไหม เป็นยังไงมั่งแล้ววะ” คุณอารัณย์บอกอย่างชักหงุดหงิดเมื่อเห็นแววล้มเหลวเรื่องงานที่สั่งจากลูกชายขึ้นมารำไร

“อ๋อ...” กันต์อ๋อยาว “นัง...เอ๊ย!...ยายนั่นน่ะเรอะ เรียบร้อยแล้ว ได้ทะเบียนสมรสมาให้ป๊าแล้วไง...อยู่ไหนวะ เฮ้ย! ไอ้กระดาษแผ่นนั้นฉันเอาไปไว้ไหนแล้ววะ” ท้ายประโยคมีการหันไปถามลูกน้องตัวเองที่ยังไงๆ ก็ต้องไล่ตามเก็บของให้เจ้านายแน่

บอดีการ์ดในชุดสูทคนหนึ่งเดินหายไปสักพักก็กลับมาพร้อมกระดาษพับสี่ทบสภาพยับเยินแผ่นหนึ่ง ยื่นให้กันต์ที่รีบเอามาคลี่ออกก่อนส่งต่อให้คุณอารัณย์

“อะนี่ ที่ป๊าสั่ง ผมไปจับมันมาจดทะเบียนเป็นลูกสะใภ้ให้ป๊าเรียบร้อยแล้วนา เดี๋ยวเรารีบจองตั๋วกลับบ้านกันดีกว่า” คนพูดหมุนตัวแทบผิวปากอย่างปลอดโปร่งใจ แต่ก็ไม่ทันได้ไปถึงไหน เพราะถูกคว้าไหล่หมับด้วยแรงมือหนักๆ ของบิดาก่อนเสียงกัมปนาทของคุณอารัณย์จะดังลั่นห้อง

“ไอ้...กันต์แกทำอะไรน้อง หา!

คุณอารัณย์แผดเสียงเข้าใส่บุตรชายคนเดียวอย่างเหลืออด

เมื่อเขาพิจารณาเอกสารในมืออย่างละเอียดก็พบว่า...มันเต็มไปด้วยริ้วรอยอาชญากรรม

เริ่มจาก...แม้จะเป็นเอกสารทะเบียนสมรส แต่...ดูหน้าตาแล้วไม่ได้มีการร่วมรับรู้โดยเจ้าหน้าที่อำเภอเลยสักนิด เอกสารยู่ยี่แผ่นนั้นมีรอยขีดปากกาโย้เย้เหมือนมีความพยายามจะเซ็นลายเซ็นด้วยมือสั่นๆ แต่ไม่สำเร็จ

แต่สิ่งที่ชัดเจนที่สุด...ชัดเจนโดยไม่จำเป็นต้องคาดเดาว่าเอกสารฉบับนี้ถูกทำขึ้นโดยการบีบบังคับกันแน่ๆ คือลายนิ้วมือเลอะๆ สีดำที่ประทับลงไป

เพราะ...เจ้าตัวน่าจะกลัวจนมือสั่นเซ็นชื่อไม่ไหวแล้ว ไอ้ลูกเวรตะไลของเขามันก็...

สายตาคมกริบเปี่ยมประสบการณ์ของคุณอารัณย์อ่านร่องรอยที่เกิดบนกระดาษแผ่นนั้นได้แม่นราวตาเห็น

เอกสารตรงหน้าเขาดูแทบไม่ต่างกับเอกสารของชาวนาที่ถูกจับพิมพ์รอยนิ้วมือลงบนกระดาษเปล่า เพื่อบีบบังคับขายที่นาให้เจ้าหนี้ขี้โกง ในเรื่องเล่าดรามาเมื่อสักหลายสิบปีก่อน

แต่...ดรามาในยุคศตวรรษที่ยี่สิบสองนี่คือ การบังคับพิมพ์ลายนิ้วมือเอาจากผู้หญิงบ้านๆ คนหนึ่งให้...ให้...ฮึ่ม

แม่งเอ๊ย!

“ใคร...ใครอนุญาตให้แกทำแบบนี้วะ” คุณอารัณย์ตวาดลั่น ขยำกระดาษแผ่นนั้นจนแทบป่นคามือ

เขาโกรธเสียจน...ถ้าหากว่าเขามีหนวด กันต์เชื่อว่าเขาคงหนวดกระดิกแหงๆ ชายหนุ่มก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่งเมื่อพ่อเขาสืบเท้าเข้าหาด้วยท่าทางโกรธจัด

“แล้ว...ใครที่ตามไปช่วยทำเรื่องระยำพรรค์นี้กับมันวะหา!” คุณอารัณย์หันไปหาผู้ร่วมขบวนการที่เมื่อเจอความโกรธของนายใหญ่เข้าไปก็พากันหลบตากันวูบทั้งบอดีการ์ดของกันต์ และคนในชุดสีน้ำเงินของเขาเองที่เขาทิ้งเอาไว้เพื่อ...เพื่อ...ไม่ใช่เพื่อให้ทำแบบนี้นะโว้ย!

“ไม่มีใครแม่งห้ามปรามไอ้ลูกเวรตะไลของฉันไม่ให้มันทำแบบนี้เลยหรือไงกันวะ” คุณอารัณย์ตวาดลั่นอย่างหัวเสีย ก่อนจะนึกขึ้นได้ ถามเสียงร้อนรน “แล้วนี่หนูรสิกาอยู่ที่ไหน ยังปลอดภัยหรือเปล่าหา ไอ้กันต์ ไอ้ลูกเวรตะไล”

“ปลอดภัยสิ” กันต์ตอบคำถามบิดาอย่างหัวเสียนิดหน่อย ไม่เห็นต้องโกรธขนาดนี้เลย นี่ลูกนะเว้ย ไม่ใช่ยายนั่นสักหน่อย หน้าชายหนุ่มบิดเบ้เอาแต่ใจขึ้นทุกทียามต่อคำฉุนๆ “ผมปล่อยตัวในที่ปลอดภัยแล้ว” 

ถ้า...จะเรียกป้ายรถเมล์ที่มีผู้คนพลุกพล่านตามที่ยายนั่นร้องขอว่าสถานที่ปลอดภัยน่ะนะ

...อย่างน้อย...ก็ปลอดภัยกว่าการอยู่กับเขาและลูกน้องละน่า

ผู้หญิงอะไร น่ารังเกียจเป็นบ้า ถ้าต้องเจอหน้ากันอีกทีนะ เขาจะจับบีบคอเขย่าให้ดู

“ไปพาเขามา ขอแต่งงานและจัดพิธีแต่งงานซะให้เรียบร้อย” คุณอารัณย์ประกาศิตเสียงเด็ดขาด ซึ่งเวลาที่เขาใช้น้ำเสียงแบบนี้นั้นย่อมหมายความว่าจะไม่ยอมให้มีใครปฏิเสธเขาได้

“หา” เสียงร้องราวไก่ถูกเชือดดังลั่นจากคนที่เพิ่งคิดว่า...ถ้าเจอกันอีกทีจะจับคู่กรณีบีบคอเขย่า แต่นี่พ่อยังจะให้เขา...

“อ้อ...ขอแต่งงาน...แบบสุภาพด้วยนะโว้ย ห้ามบังคับเขาเด็ดขาดนะ ไอ้เอกสารทุเรศๆ แบบนี้น่ะฉันไม่เอา อย่าเอามาให้เห็นอีกเชียวนะ” คุณอารัณย์สำทับ

“ป๊า...” กันต์ร้อง มองตามใบทะเบียนสมรสที่เขาอุตส่าห์ไปบังคับรสิกาเอามาได้ มันถูกบิดาขยำก่อนปาทิ้งลงพื้นอย่างไม่ไยดี

“ทำให้สำเร็จภายในสามวัน ไม่งั้นฉันจะเรียกทนายให้บินมาแก้ไขพินัยกรรม ตัดแกออกจากกองมรดกแล้วบริจาคเงินทั้งหมดให้องค์กรการกุศล”

“ป๊า!

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น