บทที่ 3
เนื้อคู่... ถึงอยู่แสนไกลคงไม่คลาดคลา
ลำแสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์กำลังจะลับไปจากโค้งฟ้า ทะเลดาวก้าวลงบันไดมายังห้องโถงของวังคุณาบดินทร์ เพราะตั้งแต่มาอาศัยอยู่ได้สองวันก็เริ่มรู้ว่าสมาชิกทุกคนในครอบครัวนี้จะกินมื้อเช้าและมื้อเย็นพร้อมหน้าพร้อมตากันเสมอ แต่ครั้นก้าวเข้ามาในห้องรับประทานอาหารจริงๆ ทะเลดาวกลับต้องประหลาดใจที่เห็นว่าที่นั่งตรงหัวโต๊ะไม่ใช่หม่อมราชวงศ์นงนภัสอย่างเคย แต่กลับกลายเป็นน้องชายอย่างหม่อมราชวงศ์นพคุณที่กำลังพูดคุยกับภรรยาของตนอยู่อย่างอารมณ์ดี
“สวัสดีค่ะ พี่เก้า” เด็กสาวยกมือไหว้ เพราะเอาแต่หมกตัวอ่านหนังสือเตรียมสอบอยู่บนห้องจนไม่ทันสังเกตว่าเขากลับมาเมื่อไร “กลับมานานแล้วเหรอคะ”
“เพิ่งมาครับ” ราชนิกุลหนุ่มวัยสามสิบเจ็ดปีตอบรับพร้อมยิ้มละไม และมันเป็นเวลาเดียวกับที่ทะเลดาวนั่งลงบนเก้าอี้ทางขวามือเขา ตรงข้ามกับเก้าอี้ของกุมาริกา “เป็นยังไงบ้าง เริ่มคุ้นกับที่นี่หรือยัง”
“ค่ะ” ทะเลดาวยิ้มรับพร้อมๆ กับที่สาวใช้เริ่มตักข้าวใส่จานของคนทั้งสาม “ว่าแต่วันนี้พี่แก้วไม่กลับมากินข้าวด้วยกันเหรอคะ”
หล่อนหมายถึงพี่สาวของคุณชายที่เป็นผู้ปกครองวังเก่าหลังนี้
“พี่แก้วไปงานเลี้ยงต่อ น่าจะกลับมาดึกๆ เลย” ตอบพลางเริ่มลงมือรับประทานอาหาร ทะเลดาวจึงไม่รอช้าที่จะหยิบช้อนบ้าง แต่ครั้นเห็นว่าหนึ่งในเมนูหลักของโต๊ะคือปลาหมึกย่าง ใบหน้ายียวนกวนอารมณ์ของคนชื่อเล่นเดียวกันก็ลอยเข้ามาในสมอง
คราเคน... ฮึ! หลงตัวเองชะมัด
ขณะที่ราชนิกุลหนุ่มกำลังคุยเรื่องสัพเพเหระกับภรรยา ทะเลดาวก็ใช้ช้อนกลางตักปลาหมึกย่างมาใส่จานตัวเองเป็นลำดับแรก ก่อนจะลงมือระบายแค้นด้วยการเอาส้อมจิ้มอย่างรุนแรง แล้วค่อยตักน้ำจิ้มซีฟู้ดรสเด็ดฝีมือมะปรางมาราดซ้ำ
อยากกวนประสาทดีนักจะกินให้หนำใจเลย!
คิดแล้วทะเลดาวก็เอาปลาหมึกย่างเข้าปาก เคี้ยวตุ้ยๆ แล้วตักปลาหมึกชิ้นใหม่มาจิ้มระบายอารมณ์ในจานเหมือนเดิม หญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงข้ามเหลือบตามาเห็นเข้าจึงอดแปลกใจไม่ได้
“ปลาดาว...”
เจ้าของชื่อชะงัก เงยหน้าขึ้นมองกุมาริกาตาแป๋ว
“คะ? พี่มด”
“มีอะไรหรือเปล่าจ๊ะ ทำไมต้องรุนแรงกับปลาหมึกขนาดนั้น” เป็นคำถามที่ทำให้ทะเลดาวก้มลงมองปลาหมึกในจานที่ถูกส้อมจิ้มฉีกชำแหละเป็นชิ้นย่อยๆ เพิ่งรู้ตัวตอนนี้ว่าเผลอระบายแค้นรุนแรงไปหน่อย เมื่อเงยหน้าขึ้นเห็นสองสามีภรรยามองหล่อนอย่างงงๆ ทั้งคู่ คนเจ้าคิดเจ้าแค้นเลยได้แต่ยิ้มเจื่อน
“เปล่าค่ะ” หล่อนปดหน้าซื่อตาใส ใครจะกล้าบอกตรงๆ เล่าว่าเห็นหน้าคนผีทะเลในชิ้นปลาหมึก เพราะอย่างไรเสียเขาก็ได้ชื่อว่าเป็นพี่ชายแท้ๆ ของกุมาริกา
“คงไม่ใช่ว่า...ยังโกรธพี่หมึกอยู่หรอกนะ”
ทะเลดาวถึงกับเบิกตากว้าง ไม่อยากเชื่อเลยว่ากุมาริกาจะอ่านขาด ผิดกับหม่อมราชวงศ์นพคุณที่เพิ่งกลับมาถึงวังคุณาบดินทร์ไม่นาน และยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสองเขตเข้ามาที่วัง
“โกรธพี่หมึก?” เขาหันกลับไปหาภรรยา เลิกคิ้วหนาๆ ขึ้นอย่างไม่คาดฝัน “พี่ชายมดน่ะเหรอครับ”
“เมื่อกลางวันพี่หมึกกับพี่หมีแวะมาเยี่ยมหลานน่ะค่ะ แต่มีเรื่องเข้าใจผิดกับปลาดาวนิดหน่อย” กุมาริกาเล่าโดยสรุปพลางหันไปหาสาวรุ่นน้องอีกครั้ง “ถ้าปลาดาวยังรู้สึกไม่ค่อยดี พี่ก็ต้องขอโทษแทนพี่หมึกอีกทีนะจ๊ะ”
“ไม่ใช่แบบนั้นหรอกค่ะ” ทะเลดาวร้อนรนปฏิเสธ ไม่อยากให้กุมาริกาต้องไม่สบายใจโดยใช่เหตุ เพราะเอาเข้าจริงเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับกุมาริกาสักนิด เหนือสิ่งอื่นใดคือกุมาริกาดีกับหล่อนมาตลอด และไม่รู้เรื่องที่พี่ชายตัวเองพูดจาห่ามๆ บนห้องรับรองด้วยซ้ำ “ปลาดาวไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้นเสียหน่อย ถึงพี่ชายพี่มดจะทำตัวไม่ค่อยน่ารัก แต่พี่มดน่ารัก ปลาดาวให้อภัยได้ค่ะ ปลาดาวเป็นคนดี”
กุมาริกาขำ มองออกว่าอีกฝ่ายยังแอบเคืองพี่ชายคนรองของหล่อนอยู่ลึกๆ แน่นอน แต่ความเกรงใจทำให้ยอมอ่อนข้อ ซึ่งหากเป็นหล่อนที่เจอเหตุการณ์แบบนั้นก็คงจะแอบเคืองอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน ติดตรงที่หล่อนรู้จักนิสัยเขตชลดีว่าเนื้อแท้ไม่ใช่คนร้ายกาจก็เลยไม่อยากให้ทะเลดาวมีอคติ
“งั้นเสาร์นี้ไปเที่ยวบ้านพี่ด้วยกันไหม” กุมาริกาถือโอกาสชวน เพราะตั้งใจจะพาลูกชายไปให้คนที่บ้านรับขวัญอยู่แล้ว
“บ้านพี่มดเหรอคะ?”
“จ้ะ” หล่อนตอบรับตามตรง “ตั้งแต่พี่ออกจากโรงพยาบาล พ่อกับแม่พี่ก็ยังไม่มีโอกาสได้เจอหลานแบบจริงๆ จังๆ เลย เพราะช่วงนี้งานที่ร้านค่อนข้างยุ่ง พี่ก็เลยคุยกับคุณเก้าว่าจะพาคุณรุจไปหาที่โน่น ปลาดาวเคยบอกอยากชิมอาหารฝีมือพ่อพี่ วันเสาร์น่าจะไม่มีสอบหรือเปล่า ไปด้วยกันสิ”
“เอ่อ...” ทะเลดาวอึกอัก พอจะรู้ว่าบิดามารดาของกุมาริกามีธุรกิจร้านอาหารเล็กๆ ย่านชานกรุง และหล่อนเคยพูดเองจริงๆ ว่าอยากไปลองชิมสักครั้ง แต่ถ้าต้องเจอหน้าคนนิสัยเสียอย่างเขตชล ทะเลดาวก็คิดว่าหล่อนคงกินไม่ลงมากกว่า “พี่ชายพี่มดคงไม่อยากให้ปลาดาวไปหรอกค่ะ”
“ไม่หรอก... พี่หมึกใจดีจะตาย” กุมาริกาออกตัวแทนเขาพร้อมยิ้มละไม เหตุที่ชวนไปก็เพราะอยากให้ทะเลดาวรู้จักพี่ชายของหล่อนมากขึ้น
จริงๆ แล้วเขตชลไม่ใช่คนมองโลกในแง่ร้าย หรือใจแคบสักนิด
“ไม่เชื่อถามคุณเก้าก็ได้” กุมาริกาหันไปขอความเห็นหม่อมราชวงศ์หนุ่ม แต่เขากลับมีสีหน้าอึ้งๆ รู้สึกเหมือนทุ่งลาเวนเดอร์ผุดขึ้นในห้องแบบปัจจุบันทันด่วน เพราะถ้าระดับเขตชลไม่เรียกมองโลกในแง่ร้าย เขาก็คงไม่ถูกใส่ไฟสารพัดกว่าจะบุกเข้าไปพิชิตใจหล่อนได้หรอก
“ครับ” นพคุณไม่อยากขัดภรรยา อย่างไรเสียมันก็ล้วนเป็นอดีตทั้งสิ้น “ปลาดาวไปด้วยกันสิ บ้านพี่มดบรรยากาศดี อยู่ติดริมแม่น้ำ ปลาดาวต้องชอบแน่ๆ”
เมื่อถูกราชนิกุลหนุ่มชักชวนอีกเสียง ทะเลดาวยิ่งรู้สึกเกรงใจจนไม่อยากปฏิเสธ แต่เขตชลหลงตัวเองเสียขนาดนั้น ถ้าหล่อนไปด้วยจริงๆ คงมิวายถูกเข้าใจผิดว่าหลงเสน่ห์เขาอีกแน่
“เอาไว้โอกาสหน้าดีกว่าค่ะ เสาร์นี้ปลาดาวตั้งใจจะกลับบ้านไปเยี่ยมพี่เม่นด้วย” หญิงสาวหมายถึงพี่ชายแท้ๆ ซึ่งดูแลธุรกิจครอบครัวอยู่ที่ตราด และเป็นเพื่อนสนิทของนพคุณสมัยเรียนมหาวิทยาลัย “ขอบคุณพี่มดกับพี่เก้ามากนะคะที่ชวน แต่เทอมนี้มหาลัยปิดแค่สามอาทิตย์เอง พี่เม่นโทร.มาถามยิกๆ ตั้งแต่เมื่อวานแล้วค่ะว่าจะกลับบ้านวันไหน”
“รายนี้ก็ชอบทำตัวเป็นพ่อเหมือนเดิม” หม่อมราชวงศ์หนุ่มโคลงศีรษะเล็กน้อย ซึ่งกุมาริกาเองก็พอจะเคยได้ยินสามีพูดถึงอีกฝ่ายอยู่บ้าง
เหนือสมุทรเป็นนักธุรกิจเจ้าของรีสอร์ตระดับห้าดาวบนเกาะแห่งหนึ่งในจังหวัดตราด อายุห่างกับทะเลดาวถึงสิบหกปีเต็มๆ และเสียพ่อแม่ไปด้วยอุบัติเหตุทางเรือเมื่อสิบกว่าปีก่อน ตอนนั้นทะเลดาวยังเด็กอยู่มาก เหนือสมุทรก็เลยกลายเป็นทั้งพี่และพ่อของทะเลดาวในเวลาเดียวกัน
“งั้นคราวหน้าห้ามปฏิเสธอีกนะ” กุมาริการีบมัดมือไว้ก่อน รู้ว่าอย่างไรเสียสาวรุ่นน้องก็ต้องกลับมาพักอยู่ด้วยกันในภาคการศึกษาหน้า ซึ่งทะเลดาวเองก็เชื่อว่ากว่าจะถึงเวลานั้น...เขตชลคงเลิกคิดเข้าข้างตัวเองแบบผิดๆ ว่าหล่อนอยากหาเรื่องไปใกล้ชิดเขาแล้ว
“ค่ะ” ทะเลดาวตกปากรับคำ ริมฝีปากอิ่มขยับยิ้มสดใส
แต่พอทุกคนเริ่มลงมือรับประทานอาหารต่ออีกครั้ง แล้วหล่อนก้มลงเห็นปลาหมึกที่ถูกชำแหละค้างอยู่ในจาน ใบหน้าของคนกวนประสาทก็วนเวียนมาในสมอง
‘หรืออยากดูฉันเปลี่ยนเสื้อผ้า... ติดใจคราเคนของฉันแล้วสิ’
เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร... ทะเลดาวจิ้มปลาหมึกเข้าปากแล้วเคี้ยวตุ้ยๆ พยายามสะกดจิตตัวเองว่าปลาหมึกคืออาหารทะเล และไม่เกี่ยวข้องกับคนหลงตัวเองแต่อย่างใด
กลับถึงบ้านที่ตราดเมื่อไร หล่อนก็คงไม่ต้องได้ยินชื่อเขาให้ขุ่นข้องหมองใจอีกนาน
- - - - - - - - - -
บัวสายสีชมพูแบ่งบานรับแสงสุดท้ายของดวงตะวันอยู่ในบึงขนาดใหญ่ย่านชานกรุง ติดกันคือเรือนไม้ทรงไทยประยุกต์ ซึ่งมีระเบียงกว้างเปิดให้บริการเป็นร้านอาหารภายใต้ชื่อ ‘เรือนกุมาริกา’
“ว่าไงนะ? แกจะแต่งงานแล้ว” เขตชลยืนคุยโทรศัพท์อยู่ที่ราวระเบียงติดริมบึงกว้าง คิ้วหนาเลิกขึ้นน้อยๆ อย่างไม่คิดไม่ฝันว่าจู่ๆ เพื่อนในแก๊งสมัยเรียนมัธยมจะโทร.มาบอกข่าวดี “ทำไมมันปุบปับแบบนี้ล่ะ”
แม้เขากับเพื่อนจะแยกย้ายกันไปตามทางตั้งแต่เรียนจบใหม่ๆ แต่เทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่องก็ทำให้คนที่อยู่ไกลกันได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น เชตชลกับเพื่อนเก่าๆ ยังคงติดต่อพูดคุยกันทางไลน์เสมอ บางครั้งก็นัดไปพบปะสังสรรค์กันในช่วงวันหยุดบ้าง ล่าสุดก็เพิ่งไปตั้งแคมป์เที่ยวน้ำตกด้วยกันแถบกาญจนบุรีหมาดๆ แต่กลับไม่เคยได้ยินว่าเพื่อนจะแต่งงาน ทั้งที่ก็คบหาดูใจกับสาวรุ่นน้องคนนี้มานานหลายปี
“หรือว่าแกทำไข่มุกท้อง”
“บ้า...” คนในสายปฏิเสธกลั้วหัวเราะ “คุณย่าฉันไปดูดวงมาวันก่อน หมอดูบอกว่าถ้าฉันไม่แต่งในปีนี้ก็จะไม่ได้แต่งอีกเลย ไหนๆ ฉันกับไข่มุกก็ตั้งใจจะแต่งกันอยู่แล้ว เลยไม่อยากให้คุณย่าต้องไม่สบายใจ”
“ก็เลยจัดงานซะวันสุดท้ายของปี” เขตชลอดแกล้งเหน็บไม่ได้ เพราะมันเหลือเวลาอีกแค่ไม่ถึงเดือนเท่านั้น ซ้ำยังตรงกับเทศกาลสำคัญที่ทุกคนควรจะอยู่ฉลองกับครอบครัวตัวเองมากกว่า แต่เวลาเดียวกันก็เข้าใจดีว่าย่าของเพื่อนสนิทคนนี้ค่อนข้างเชื่อเรื่องดวงมาก บรรดาลูกหลานเลยไม่อยากขัดศรัทธา
“ก็นั่นแหละ ฉันเลยไม่แน่ใจว่าจะมีเพื่อนๆ ว่างมากันสักกี่คน งานนี้เลยเชิญแค่คนพิเศษจริงๆ เท่านั้น แกสะดวกใช่ไหมเพื่อนหมึก”
“แกพูดมาขนาดนี้ ถ้าบอกว่าไม่สะดวกฉันคงเลวมาก” เป็นการยอกย้อนที่ทำเอาคนในสายหัวเราะขบขัน
“เป็นอันว่าตกลงนะเพื่อน” อาคมมัดมือชก ซึ่งจริงๆ แล้วเขตชลเองก็ไม่ได้อึดอัดลำบากใจสักนิดที่จะยื่นมือไปให้มัด เพราะวันสำคัญของเพื่อนแบบนี้ใช่จะมีกันได้บ่อยๆ บางคนมีเพียงครั้งเดียวในชีวิตด้วยซ้ำ ในฐานะคู่ซี้ที่ไปไหนไปกันมาตั้งแต่เด็กๆ ต่อให้ไม่ว่างขนาดไหนก็ต้องทำตัวให้ว่างจนได้อยู่ดี
“แต่ว่าฉุกละหุกขนาดนี้ ฉันจะเตรียมตัวทันไหมวะ” เขตชลยังอดบ่นนิดๆ ไม่ได้ “เดี๋ยวนี้เขายิ่งฮิตแต่งงานแบบมีธีมอยู่ด้วย”
“เรื่องนั้นแกไม่ต้องห่วง ชุดเพื่อนเจ้าบ่าวเดี๋ยวฉันเตรียมให้เอง แกมาแค่ตัวกับหัวใจก็พอ”
“คนอินเลิฟนี่เขาพูดจาเสี่ยวๆ แบบนี้กันทุกคนหรือเปล่าวะ” เขตชลขำ หมั่นไส้วลีหวานเลี่ยนของเพื่อนขึ้นมาตงิดๆ เพราะตั้งแต่พี่ชายของเขาแต่งสะใภ้เข้าบ้านก็มักหวานกับเมียจนน่ารำคาญบ่อยๆ
“แกก็ลองอินเลิฟดูบ้างสิเพื่อนหมึก แล้วแกจะรู้ว่าความรักทำให้โลกนี้เป็นสีชมพู”
“แค็กๆ” เขตชลถึงกับแกล้งสำลัก ไม่อยากเชื่อเลยจริงๆ ว่าคำพูดทำนองนี้จะออกมาจากปากหนุ่มกล้ามปูที่โปรดปรานกีฬาต่อยมวยพอๆ กับเขาได้ “พอๆๆ ไอ้คม มดจะขึ้นโทรศัพท์ฉันละ”
“อิจฉาอะเด้”
“ฮึ!” เขตชลไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ เพราะเห็นใครแต่งงานมีความสุขเขาก็ยินดีด้วย “ว่าแต่...แกจัดงานที่ไหน”
“ที่ตราด บ้านเกิดไข่มุกเขา เอาเป็นว่าเดี๋ยวฉันไลน์บัตรเชิญกับแผนที่รีสอร์ตไปให้นะ ที่จริงก็อยากจะไปเชิญด้วยตัวเอง แต่มันกะทันหันมาก ขอโทษจริงๆ ว่ะเพื่อน”
“ไม่เป็นไร แล้วไว้เจอกัน” เขตชลยิ้ม เข้าใจว่าเวลาค่อนข้างกระชั้นชิดขนาดนี้ ว่าที่บ่าวสาวคงเหนื่อยกับการเตรียมงานมากพออยู่แล้ว
เมื่อวางสายไม่นาน เสียงแอปพลิเคชั่นในมือถือก็แจ้งเตือนว่ามีข้อความเข้ามา เขตชลเปิดเข้าไปดูคร่าวๆ ก็เห็นว่าเป็นการ์ดแต่งงานกับแผนที่รีสอร์ตบนเกาะแห่งหนึ่ง
รีสอร์ตทะเลดาว...
หัวคิ้วของเขตชลขมวดมุ่น สมองไพล่ไปนึกถึงเด็กแสบในวังคุณาบดินทร์ที่ชื่อปลาดาว แต่เอาจริงมันก็ไม่เกี่ยวกันเลยสักนิด ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าเหตุใดจู่ๆ ถึงเผลอไปนึกถึงได้
คงเพราะปลาดาวเรียกได้อีกอย่างว่า ‘ดาวทะเล’
“ใครโทร.มาเหรอลูก ท่าทางอารมณ์ดีเชียว” เสียงหญิงวัยกลางคนดังขึ้นจากไม่ไกล
เขตชลหันไปหาก็เห็นว่ามารดากำลังยกสำรับอาหารมาตั้งโต๊ะริมระเบียงไม้ หากเดาไม่ผิดคงเห็นเขาจากในครัวด้านหลังที่มีหน้าต่างบานเล็กๆ มองออกมาได้
“ไอ้คมน่ะครับ” ตอบตรงๆ พลางก้าวไปช่วยมารดายกกับข้าว ปรกติแล้วเขากับพี่ชายคนโตมักกลับมากินมื้อเย็นที่เรือนกุมาริกาเสมอ บางครั้งหากงานในครัวไม่ยุ่งมากนัก บิดามารดาก็จะมาร่วมวงสนทนาด้วย “มันโทร.มาชวนไปร่วมงานแต่ง”
“นี่คมจะแต่งงานแล้วเหรอ” มุลิลาค่อนข้างประหลาดใจ แต่ก็ดีใจไปพร้อมๆ กันด้วย “เมื่อไรจ๊ะ”
“ปีใหม่นี้แหละครับ พอดีย่าไอ้คมไปดูดวงมา หมอดูทักว่าถ้าไม่แต่งในปีนี้จะไม่ได้แต่งอีกเลย ไอ้คมมันก็เลยจัดให้ตามใจย่า” เขตชลเล่ายิ้มๆ ตามที่ได้ยินมา ซึ่งมุลิลาเองก็พอจะเคยได้ยินเพื่อนลูกชายคนนี้เปรยถึงย่าแท้ๆ ที่โปรดปรานการดูดวงเป็นชีวิตจิตใจให้ฟังอยู่บ้าง
“งั้นคราวนี้ก็เหลือแค่เราแล้วสิ เมื่อไรจะจัดให้แม่ได้ชื่นใจบ้าง” เป็นประโยคที่ทำเอาเขตชลเหวอ ไม่อยากเชื่อเลยว่าคุยเรื่องอาคมอยู่ดีๆ จะวกมาเรื่องของเขาเสียได้ “เพื่อนๆ ในกลุ่มเราก็แต่งกันไปหมดแล้ว พี่หมีกับมดก็แต่งแล้ว เหลือแค่เราหน่อเดียวนี่ละ...ไม่เห็นพาสาวๆ มาให้แม่รู้จักสักคน”
“คงอีกไม่นานหรอกครับ” เสียงหนึ่งดังขึ้นด้านหลัง เมื่อสองแม่ลูกหันไปมองก็เห็นเขตพนาก้าวขึ้นเรือนมาพร้อมนักศึกษาสาวหน้าตาน่าเอ็นดูที่มีอีกสถานะหนึ่งคือภรรยาของเขา “ไม่แน่ว่าตอนนี้ไอ้หมึกมันอาจเจอเนื้อคู่แล้วก็ได้”
เขตพนายิ้ม ตาพราวระยับยามเหลือบมองหญิงสาวที่เขาเพิ่งไปรับมาจากมหาวิทยาลัยหมาดๆ แต่ชายหนุ่มที่ถูกพาดพิงกลับอดแปลกใจไม่ได้
“ใคร”
“ก็จะใครเสียอีกล่ะคะ คนที่พี่หมึกแอบไปจับนมเขาไง” เสียงใสๆ ของนวินดาทำเอาคนฟังเหวอ หันไปมองหน้าพี่ชายคนโตที่กำลังยืนนิ่งอย่างไม่อยากเชื่อเลยว่าจะเล่าเรื่องบ้าๆ ให้เมียเด็กฟังได้
“ตายจริง!” มุลิลายกมือทาบอก มองลูกสะใภ้อย่างไม่คิดไม่ฝัน แล้วหันกลับมามองคนมีชนักติดหลังที่แทบจะยกมือกุมขมับเลยทีเดียว
“ไม่ใช่นะครับแม่ มันเป็นอุบัติเหตุ”
“อุบัติเหตุอะไรกัน” เสียงชายวัยกลางคนดังมาจากทางห้องครัว ดอกเตอร์พนัสกำลังก้าวมาร่วมโต๊ะพร้อมอาหารอีกสำรับที่เพิ่งปรุงสุกใหม่ๆ นวินดาจึงไม่รอช้าที่จะหันไปตอบพ่อสามีเสียงใส
“อุบัติเหตุรักค่ะคุณพ่อ พี่หมึกกำลังเจอเนื้อคู่แล้ว”
“คุณพี่สะใภ้ครับ” เขตชลแกล้งเรียกหล่อนด้วยสรรพนามตามการลำดับญาติ แม้จริงๆ แล้วนวินดาจะเพิ่งอายุสิบแปดย่างสิบเก้าก็ตาม “อย่าเพิ่งเชื่อสามีคุณหมดทุกอย่างสิครับ เพราะถ้าเด็กนั่นจะเป็นเนื้อคู่ผมจริงๆ ก็คงเป็นคู่เวรคู่กรรมมากกว่า”
“แต่โบราณว่าเกลียดยังไงมักได้อย่างนั้นนะคะพี่หมึก แถมปรกติพี่หมึกก็ไม่ค่อยจะเกลียดใครด้วย น้ำผึ้งเห็นเดินไปที่ไหนก็...พี่หมึกรักทุกคน” สะใภ้วัยใสไม่พูดเปล่า แต่ยกมือขึ้นทำท่าไอเลิฟยูวาดไปกลางอากาศ เลียนแบบนักร้องระดับตำนานอย่างป๋าเบิร์ดจนเขตชลอดส่ายหัวไม่ได้
เขาเคยทำเรื่องเพี้ยนๆ แบบนั้นเมื่อไรกัน
“ลงถ้าเกลียดขนาดนี้ได้... น้ำผึ้งว่ามันยังไงๆ อยู่นา” นวิดายังมิวายกระเซ้าน้องชายของสามีที่อายุมากกว่าหล่อนเกินรอบ “แกล้งเกลียดเพื่อกลบเกลื่อนหรือเปล่าคะ”
“อ่านนิยายมากนะเรา หรือเด็กผู้หญิงวัยนี้ก็เพ้อเจ้อแบบนี้กันหมด” ว่าแล้วเขตชลก็เผลอไปนึกถึงคำด่าของทะเลดาวที่บอกว่าเขาหื่นแล้วไม่เท่เหมือนพระเอกนิยาย “พอกับยายเด็กนั่น”
“ฮันแน่! รู้จักกันวันเดียว รู้ด้วยเหรอคะว่าเนื้อคู่ชอบอ่านนิยายเหมือนพี่สะใภ้” หล่อนตบอกตัวเองเบาๆ อย่างเต็มภาคภูมิ ผิดกับเขตชลที่ถึงกับเหวอ ลืมไปเสียสนิทว่าเขาอยู่ท่ามกลางคู่ผัวเมียที่ชาติก่อนเกิดเป็นเครื่องซักผ้า!
“ตกลงว่าใครกันหนูผึ้ง แม่รู้จักหรือเปล่า” มุลิลาชักอดอยากรู้ไม่ได้ แต่ครั้นนวินดาอ้าปากเตรียมจะสาธยายในเชิงลึก คนไม่อยากตกเป็นหัวข้อสนทนาก็กระแอมไอขัดจังหวะ
“กับข้าวมันเซ็งหมดแล้วครับ” ว่าแล้วก็หันไปเปิดโถข้าวสวยที่มารดายกมาเพื่อตักใส่จาน ทุกคนเลยอดยิ้มขำไม่ได้ เพราะไม่บ่อยนักที่จะเห็นคนเปิดเผยตรงไปตรงมาอย่างเขตชลทำตัวมีลับลมคมนัยแบบนี้
- - - - - - - - - -
ความคิดเห็น |
---|