2

คุณหนูตกยาก


 

นี่น่ะหรือ...คฤหาสน์ของ ภาม พิมพ์สุริยา ผู้เลื่องชื่อ...

บอกได้คำเดียวว่าโทรมฉิบ...

หย่งเต๋อลอบกวาดตามองสภาพรอบกายอย่างประหลาดใจ ชายหนุ่มไม่นึกเลยว่าระดับเจ้าพ่อพันล้านผู้ทรงอิทธิพลจะอาศัยอยู่ในคฤหาสน์ที่รกร้างเหมือนขาดการดูแลมาเป็นเวลานานเช่นนี้ ทั้งตัวอาคารทรงยุโรปที่สีภายนอกกะเทาะลอกล่อนจนกระดำกระด่าง ทั้งต้นไม้ต้นไร่รกเรื้อไม่ได้รับการตัดแต่งอย่างที่ควร แถมยังไม่มีแม้แต่เงาของคนรับใช้หรือลูกน้องสักคน

แปลก...

ความสงสัยของชายหนุ่มยิ่งเพิ่มมากขึ้นไปอีกเมื่อเดินเข้ามาในห้องรับแขกที่ควรจะโอ่อ่าสมฐานะ แต่กลับพบเพียงเครื่องเรือนไม่กี่ชิ้นซึ่งคลุมผ้าสีขาวกันฝุ่นเอาไว้วางเรียงกันอยู่ที่มุมหนึ่งของห้องโล่งๆ ไม่มีเครื่องประดับตกแต่งใดๆ ทั้งสิ้น จะว่าเจ้าของบ้านมีรสนิยมเรียบง่ายก็ไม่น่าใช่ เพราะผ้าม่านสีทองที่แขวนอยู่ด้านในนั้นดูหรูหราบ่งชัดว่าครั้งหนึ่งห้องรับแขกห้องนี้คงจะเคยได้รับการตกแต่งอย่างงดงามไม่น้อย

แล้วทำไมจึงมีสภาพเช่นนี้ไปได้?

หรือที่ลือกันว่า ภาม พิมพ์สุริยา กำลังจะล้มละลายนั้นเป็นเรื่องจริง?

“คุณไม่มีสิทธิ์มาเดินเพ่นพ่านในบ้านของคนอื่นตามใจชอบแบบนี้ กรุณาไปรอด้านนอกด้วย”

น้ำเสียงห้วนที่ดังขึ้นจากเบื้องหลังเรียกรอยยิ้มขบขันให้ผุดพรายขึ้นบนเรียวปากหยักสวย หย่งเต๋อหันกลับไปหาเจ้าของเสียงหน้าหวานแล้วฉีกยิ้มกว้าง

“เห็นจะไม่ได้หรอกครับคุณลูกแก้ว เพราะหน้าที่ผมคือดูแลอารักขาคุณอย่าง ‘ใกล้ชิด’ สถานการณ์ไม่น่าไว้วางใจแบบนี้ เราควรจะระวังตัวเป็นพิเศษไม่ใช่เหรอครับ”

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะน้ำเสียงหรือแววตาแปลกๆ ของเขากันแน่ คำว่า ‘ใกล้ชิด’ ที่หลุดพ้นออกมาจากปากของชายหนุ่มถึงได้ทำให้หญิงสาวหน้าร้อนวูบขึ้นมาเสียเฉยๆ

“ฉันว่าคุณนั่นละที่ไม่น่าไว้ใจ เที่ยวมาด้อมๆ มองๆ ข้าวของคนอื่นแบบนี้ คิดจะขโมยอะไรหรือเปล่า”

ไอศิกาตวัดตามองเจ้าของร่างสูงด้วยสายตาหวาดระแวง เหตุการณ์ที่เผชิญในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาสอนให้เธอรู้ว่าคนรอบกายก็ไม่ต่างอะไรจากฝูงแร้งกาที่พร้อมจะรุมทึ้งจิกกินซากแห่งความรุ่งเรืองของตระกูลพิมพ์สุริยาอย่างเหี้ยมโหดที่สุด!

“เอ...” หย่งเต๋อมองไปรอบกายแล้วหันกลับมาส่งยิ้มใสซื่อให้หญิงสาว “ไม่ทราบว่ามีอะไรให้ผมขโมยด้วยเหรอครับคุณหนู เท่าที่ผมดู...ไม่เห็นมีอะไรมีค่าสักชิ้น บ้านโทรมๆ แบบนี้โจรยังเมินเลยคู้น”

“คุณ!” ดวงหน้าเล็กขึ้นสีแดงจัดด้วยความโกรธ “คนไร้มารยาท ฉันจะบอกให้พี่ภัทรเปลี่ยนตัวเจ้าหน้าที่คนอื่นมาแทนคุณ!”

“แหม หยอกนิดหยอกหน่อยแค่นี้ก็ต้องโกรธกันด้วย” ชายหนุ่มยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ “เท่าที่ผมรู้ ถึงแฟนคุณจะเป็นลิเอซอง ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะได้สิทธิพิเศษจากอินเตอร์โพลหรอกนะครับคุณหนูลูกแก้ว แล้วพี่ภัทรของคุณก็ไม่มีอำนาจสั่งการอะไรด้วย คนที่ส่งผมมาดูแลคุณ ‘ใหญ่’ กว่าเขาเยอะ”

“อย่ามาลามปามพี่ภัทรนะ พี่ภัทรไม่ใช่แฟนฉัน เขาเป็นผู้มีพระคุณของฉันกับคุณพ่อต่างหาก ฉันไม่รู้หรอกนะว่าอินเตอร์โพลอย่างคุณเจ๋งมาจากไหน แต่ที่นี่ยังเป็นเขตบ้านของพิมพ์ไพศาลอยู่ อย่าซ่าให้มันมากนัก!”

“อู๊ย...ผมกลัวจนตัวสั่นไปหมดแล้วครับคุณหนู ผมลืมไปได้ยังไงเนี่ยว่าคุณเป็นลูกสาวของ ‘อดีต’ ผู้มีอิทธิพลคับประเทศ ไม่สิ...คับจักรวาล ข้าน้อยสมควรตายจริงจริ๊ง”

หย่งเต๋อแสร้งกอดอกแล้วทำตัวสั่น ในใจลิงโลดที่แหย่ให้สาวน้อยร่างเล็กตรงหน้าหลุดพูดเรื่องความสัมพันธ์ของตนกับภัทรพลออกมาได้ เธอบอกเสียงดังฟังชัดเต็มสองรูหูว่าไม่ได้เป็นแฟนของไอ้หมอนั่น...บิงโก!

อย่างนี้ก็หวานคอแร้งละ...

“นาย-นะ-โม!”

ไอศิกาโกรธจนหน้าดำหน้าแดง แทบอยากจะกระโจนเข้าไปข่วนหน้าหล่อๆ ของเขาให้ยับเสียเดี๋ยวนั้นถ้าชายหนุ่มร่างสูงอีกคนไม่ก้าวเข้ามายืนขวางกลางเสียก่อน ใบหน้าขาวจัดตามแบบฉบับคนมีเชื้อสายจีนของเขานิ่งสนิท ทว่าแววตากลับเย็นชาเสียจนหญิงสาวต้องผงะถอยหลังเพราะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันตรายบางอย่าง...กลิ่นอายแบบเดียวกับบรรดาลูกน้องของพ่อ เพียงแต่รุนแรงกว่ามาก!

“ขอโทษที่ขัดจังหวะนะครับ เมื่อครู่คุณภัทรพลโทรศัพท์มา บอกว่าอยากให้คุณลูกแก้วเก็บของใช้ส่วนตัวให้เสร็จภายในหนึ่งชั่วโมง ถ้านานกว่านั้นจะเสี่ยงตกเป็นเป้าของคนที่ลอบทำร้ายคุณพ่อของคุณได้ คนจ้องกับคนระวังมันต่างกันนะครับ ต่อให้คุณระวังตัวแค่ไหน ไอ้คนที่จ้องทำร้ายคุณกับคุณพ่อมันก็หาจังหวะได้อยู่ดี”

น้ำเสียงของเฉินกุ้ยราบเรียบไร้อารมณ์ ทว่าหนักแน่นและน่าเชื่อถือผิดกับคนที่ยืนทำเสียงจิ๊จ๊ะอยู่ในลำคออย่างขัดใจด้านหลังเขาชนิดคนละขั้ว ไอศิกาอดประหลาดใจไม่ได้ที่อินเตอร์โพลส่งชายหนุ่มทั้งสองมาทำงานร่วมกัน คนหนึ่งสุภาพเรียบร้อยและเป็นทางการจนเหมือนหลุดออกมาจากตำราวิชาการ ส่วนอีกคนกลับไร้มารยาทจนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นพวกต่อต้านสังคมเสียด้วยซ้ำ

...สองคนนี้เป็นคู่หูกันได้ยังไงนะ...

“ข้อนั้นฉันทราบดีค่ะ ไม่ต้องอธิบายยืดยาวหรอก ก็ได้ ขอเวลาฉันสักสิบนาทีก็แล้วกัน” ไอศิกาสูดลมหายใจเข้า-ออกสองสามครั้งเพื่อสงบสติอารมณ์ หากเป็นเมื่อปีสองปีก่อน เธอคงตอกหน้าเขากลับอย่างเจ็บแสบที่สุด แต่ในสถานการณ์ยามนี้...เธอแทบไม่มีทางเลือกใดนอกจากสงบปากสงบคำเอาไว้เพื่อ...บิดา “ถ้ายังไงคุณกรุณาตักเตือนคู่หูของคุณด้วยนะคะว่าให้รักษามารยาทด้วย”

“ผมต้องขอโทษคุณลูกแก้วด้วยนะครับที่เจ้าหน้าที่ของเราสร้างความไม่พอใจให้คุณ ผมจะตักเตือนเขาและรีบรายงานให้ผู้บังคับบัญชารับทราบทันทีครับ วางใจได้”

“ให้มันวางใจได้จริงๆ เถอะค่ะ” ไอศิกาตวัดตามองหน้าเฉินกุ้ยด้วยสายตาขุ่นเคืองก่อนจะสะบัดหน้าไปอีกทางอย่างพยายามข่มอารมณ์เต็มที่ ดวงตากลมโตปรายมองไปทางตัวต้นเรื่องที่ยืนอมยิ้มอยู่ด้านหลังคู่หูแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นนิดๆ “ช่วยบอกเพื่อนคุณด้วยนะคะว่าถ้าไม่จำเป็นก็อย่ามาพูดคุยหรือเข้าใกล้ฉันอีก จะขอบคุณมาก”

พูดจบเจ้าของร่างเล็กก็เดินกระแทกเท้าปึงปังออกจากห้องรับแขกไปทันที ทิ้งให้หย่งเต๋อยืนหัวเราะคิกคักเหมือนเรื่องที่เกิดขึ้นช่างน่าขันเสียเต็มประดา

“ยังจะมีหน้ามาหัวเราะอีก พี่รู้ไหมว่าถ้าเมื่อกี้ผมไม่ขวางเอาไว้ แม่เจ้าประคุณคงแปลงร่างเป็นนางแมวป่า กระโจนข่วนหน้าพี่ยับไปแล้ว”

เฉินกุ้ยส่ายหน้าอย่างระอาใจ ในขณะที่หย่งเต๋อยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ

“นางแมวตัวเดียวที่ทำให้ฉันกับแกขนหัวลุกได้ก็มีแต่เฉินเพ่ยเพ่ยเท่านั้นละน่า แม่ลูกคุณหนูนี่โหดไม่ได้ครึ่งหนึ่งของยายแสบนั่นหรอก ไม่เห็นจะน่ากลัวตรงไหน”

เมื่อนึกถึงวีรกรรมวีรเวรที่เคยก่อร่วมกันกับลูกสาวของชายที่ขึ้นชื่อว่าอันตรายที่สุดในปารีสแล้ว เรียวปากหยักลึกก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มบางๆ จำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่คุยกันเมื่อสองเดือนก่อน แม่ลูกแมวแสบยังซ่าเหมือนเคย ยังส่งเสียงโวยวายข้ามประเทศมาจากฝรั่งเศสว่าเบื่อ ไม่มีใครพาออกไปเกเรแก้เซ็งเหมือนตอนเรียนด้วยกันที่ลอนดอนเลย

...แน่ละ...ใครจะกล้ากันเล่า ในเมื่อ เหอจวิ้นเจี๋ย สามีของแม่คุณโหดนรกแตกขนาดนั้น หวงเมียเป็นที่หนึ่ง ใครคิดเสี่ยงพายายแสบออกไปเกเรก็เท่ากับเอาคอไปพาดบนคมมีดของพยัคฆ์นัยน์ตาเดียวชัดๆ...

“อย่าประมาท ถึงจะไม่ร้ายกาจเท่าเพ่ยเพ่ย แต่เธอก็เป็นลูกสาวของ ภาม พิมพ์สุริยา นะพี่ ต้องมีเขี้ยวเล็บอยู่บ้างนั่นละ ลูกเสือยังไงก็เป็นลูกเสืออยู่ดี”

เฉินกุ้ยถอนใจ เขาเห็นแววตาวิบวับของหย่งเต๋อยามมองดวงหน้าหวานหยดของไอศิกาแล้วสังหรณ์ใจชอบกล แน่ละว่ารูปลักษณ์ของเธอเป็นแบบที่ลูกชายหัวหน้าแก๊งฮวงหลงโปรดปรานเป็นที่สุด ยิ่งพยศใส่เขาแบบนี้ เขายิ่งชอบ และถ้าเขาชอบมากจนถึงขนาดตามวอแวเจ้าหล่อนขึ้นมาเมื่อใดละก็...เป็นปัญหาใหญ่แน่...

“เท่าที่ดู ฉันยังไม่เห็นลูกเสือเลยสักตัว เห็นก็แต่แมวที่พยายามพองขนเลียนแบบเสือเท่านั้นเอง” หย่งเต๋อเหยียดยิ้มหยัน “อีกอย่าง พ่อเสือ...ก็เขี้ยวเล็บหักหมดแล้วไม่ใช่เหรอ แกก็เห็น”

“เห็น...แต่ไม่ได้หมายความว่ามันจะสิ้นพิษสงจริงๆ หรอกนะพี่ ระวังไว้บ้างก็ดี” เฉินกุ้ยกวาดตามองสภาพของบ้านพิมพ์สุริยาแล้วถอนใจอีกครา “ไอ้ภามมีปัญหาการเงินอย่างที่พี่คิดจริงๆ นั่นละ แต่ดูเหมือนจะมีปัญหาอื่นพ่วงมาด้วย”

“ปัญหาอื่นที่ว่าคือเรื่องที่ถูกลูกกระจ๊อกทรยศ ทิ้งให้มันนอนรอความตายคนเดียวใช่ไหม” หย่งเต๋อเดินไปยังเคาน์เตอร์บาร์หินอ่อนที่ครั้งหนึ่งน่าจะเคยมีขวดเหล้าราคาแพงวางเรียงรายอยู่เต็มไปหมด เขาปาดปลายนิ้วลงไปบนผงฝุ่นที่เกาะพื้นผิวของหินอ่อนจนหนาเตอะ “ตอนอยู่ที่โรงพยาบาล นอกจากไอ้คนที่ชื่อองอาจกับตำรวจแล้ว ฉันไม่เห็นมือปืนคนอื่นๆ เลยสักคน พอมาที่นี่ก็เห็นมีแค่ลุงคนสวนแก่ๆ เฝ้าบ้านอยู่คนเดียว กระทั่งคนรับใช้ก็ไม่มี มันแปลกไหมเล่า ฉันว่าไอ้ภามกำลังมีปัญหาใหญ่แน่ๆ”

“พี่ดูออกแต่แรกแล้วสินะ” เฉินกุ้ยพยักหน้า

หย่งเต๋ออาจไม่สุขุมนุ่มลึกเท่าหวังเสี้ยวเทียนผู้เป็นบิดา แต่สิ่งหนึ่งที่เขาได้รับสืบทอดมาจากคนเป็นพ่อเต็มร้อยคือนัยน์ตาคมกริบดุจพญาเหยี่ยว สามารถวิเคราะห์สถานการณ์ผ่านสายตาได้อย่างรวดเร็วและเฉียบคม

“ผมก็คิดว่าไอ้ภามกำลังผจญปัญหาใหญ่เกินตัว ไม่อย่างนั้นถูกลอบยิงปางตายขนาดนี้จะไม่มีลูกน้องมาคอยอารักขาเลยสักคนได้ยังไง แถมอินเตอร์โพลยังยื่นมือเข้ามาให้ความช่วยเหลือมันทั้งๆ ที่คดีนี้ไม่เกี่ยวข้องกับผู้ร้ายข้ามชาติเลยสักนิด”

“แกก็ได้กลิ่นตุๆ เหมือนกันใช่ไหมเล่า” หย่งเต๋อเคาะนิ้วชี้บนเคาน์เตอร์หินอ่อนดังก๊อกๆ คล้ายกำลังประมวลความคิด “ฉันว่า...ไอ้ภามคงมีอะไรบางอย่างที่อินเตอร์โพลต้องการ และมันจะต้องมีค่าพอที่พวกมันจะยื่นมือเข้ามาสอดเสียด้วย”

“ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น ไม่งั้นอินเตอร์โพลคงไม่โดดลงมาร่วมวงด้วยหรอก ก็รู้กันอยู่ว่าพวกนั้นมอง ‘คนจำพวกเรา’ แบบไหน ถ้าไม่มีเหตุต้องใช้งาน ไม่มีวันลดตัวลงมาพัวพันด้วยแน่”

นั่น...คือความจริงอันขมขื่น ‘คนจำพวกเรา’ หรือ ‘คนในโลกมืด’ คือเป้าหมายหลักที่ทางอินเตอร์โพลปรารถนากำจัดให้สิ้นซาก แต่ไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ในระยะเวลาอันสั้น จึงจำเป็นต้องใช้ยุทธการ ‘สุนัขกัดสุนัข’ คือใช้แก๊งมาเฟียทรงอิทธิพลคานอำนาจกันเอง ใครที่ยอมสวามิภักดิ์กับทางอินเตอร์โพลจะได้ ‘สิทธิพิเศษ’ อาทิ ลบล้างความผิดครั้งเก่าในบัญชีหนังหมาหรือต่อให้เป็นความผิดร้ายแรงในปัจจุบัน อินเตอร์โพลก็พร้อมจะเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ตราบใดที่ยังยอมทำงานในฐานะสุนัขรับใช้ที่คอยสอดส่องดูแล ทำงานเปื้อนเลือดแทนพวกตนดังที่ฮวงหลงและไป๋หู่ยอมทำ

“ลุงฌอง-ปอลน่าจะรู้ดี แต่ไม่บอกรายละเอียดกับพวกเรา”

“แค่ยอมให้พวกเราแฝงตัวเข้ามาก็ถือว่าคุณลุงฌอง-ปอลเสี่ยงมากแล้ว พี่อย่าลืมสิว่าคุณลุงถูกใครต่อใครมองว่าได้รับเงินใต้โต๊ะจากทั้งฮวงหลงและไป๋หู่มาตลอดก็เพราะเข้าข้างพวกเรานี่ละ”

เฉินกุ้ยนึกสงสาร ฌอง-ปอล กุสโต ไม่น้อย เพียงเพราะเขาประกาศตัวว่าถือหางแดเนียลและเฉินหมิงครั้งที่หย่งเต๋อและพุดพิชญาถูกลักพาตัวไปเมื่อเจ็ดปีก่อน ทำให้ทุกคนมองว่าเขาได้ถูกแก๊งมังกรทองและพยัคฆ์เผือกซื้อตัวไปแล้ว แต่ด้วยมีผลงานดีเด่น ร่วมมือกับทั้งสองแก๊งปราบปรามแก๊งค้ายาและค้ามนุษย์ลงได้ โดยเฉพาะการล้างบางแก๊งของอาร์มองด์และ วลาดิมีร์ เกลโบฟ ในแถบบองลิเยอจนสิ้น ความดีความชอบจึงช่วยประคองให้เจ้าหน้าที่กุสโตอยู่รอดมาได้และกลายเป็นใหญ่เป็นโตจนทุกวันนี้ “ถ้าอยากรู้มากนักก็ลองให้เฟลอร์ไปสืบให้สิ เมื่อก่อนออกจะ ‘สนิ้ทสนิทแนบแน่น’ กันดีไม่ใช่เหรอพี่”

“หุบปากไปเลย ไอ้เวร”

หย่งเต๋อแยกเขี้ยวทันควันทำเอาเฉินกุ้ยต้องอมยิ้ม

เฟลอร์ กุสโต ลูกสาวคนเดียวของฌอง-ปอลกับธูปหอมคือจุดด่างจุดเดียวในชีวิตของคนที่คิดว่าตนเป็นมรดกโลกอย่างเขา เพราะหลังจากเธอเชยชม ‘มรดกโลก’ จนสมใจ ก็เป็นฝ่ายทิ้งเขาประหนึ่งเป็นซากปรักหักพังเก่าๆ จากอารยธรรมยุคเฮลเลนิสติกที่ชมเพียงครั้งเดียวก็เบื่อ แล้วหันไปสนใจตึกรามบ้านช่องธรรมดาที่ไม่ได้พะยี่ห้อการันตีว่าเลอค่าจากยูเนสโกแทน แปลเป็นภาษาบ้านๆ ตามประสาเฉินกุ้ยก็คือ เฟลอร์หักอกหย่งเต๋อและหันไปควงหนุ่มฝรั่งเศสที่ด้อยกว่าอดีตคู่กิ๊กแทบทุกด้าน ทั้งหน้าตา ฐานะ รวมไปถึงชาติตระกูล สิ่งเดียวที่ดีกว่าลูกพี่ของเขาก็คือ ‘นิสัย’ ซึ่งเฉินกุ้ยแอบลงความเห็นอย่างเงียบๆ ในใจว่า แค่ข้อนี้ข้อเดียวก็ชนะหวังหย่งเต๋อขาดลอยแล้ว

ระหว่างเป็นเจ้าของมรดกโลกที่พร้อมเปิดให้ทุกคนเชยชมไม่เลือกหน้า กับเป็นเจ้าของบ้านหลังน้อยๆ แสนสุขคนเดียวไม่ต้องแบ่งปันกับใคร ผู้หญิงจิตปกติก็ต้องเลือกอย่างหลังทั้งนั้น!

“เอาเป็นว่าผมจะลองสืบเรื่องความสัมพันธ์ของไอ้ภามกับอินเตอร์โพลโดยเร็วที่สุดก็แล้วกัน ได้เรื่องเมื่อไหร่จะรีบรายงานพี่ทันที โอเคไหม”

“ยิ่งเร็วยิ่งดี ฉันไม่อยากยืดเยื้อ” หย่งเต๋อตวัดตามองหน้าขาวจัดของคู่สนทนาแล้วกระตุกมุมปากซ้ายขึ้นเป็นรอยยิ้มยียวน “แบบแกกับคุณเหม่ยอิงของแกไง จะเอายังไงก็ไม่เอาเสียที ง้างไกคาไว้แต่ไม่ยอมยิงแบบนี้มันเสียเชิงชายนะโว้ย อากุ้ย”

คราวนี้เป็นเฉินกุ้ยที่ต้องหน้าตึงบ้าง ดวงตายาวรีหรี่ลงนิดๆ อย่างไม่สบอารมณ์นัก หากเฟลอร์เป็นจุดด่างในประวัติเพลย์บอยของหย่งเต๋อแล้ว เหอเหม่ยอิงคือจุดดำจุดเดียวที่ประทับอยู่ในชีวิตของเฉินกุ้ยชนิดที่ไม่มีสิ่งใดลบเลือนได้

...หญิงเดียวที่เขาปรารถนา แต่ไม่มีวันได้ครอบครอง...

“ผมไม่ได้ง้างไก ฉะนั้นไม่จำเป็นต้องยิง”

“อย่างนั้นเหรอ...” หย่งเต๋อลากเสียงยานคาง “แล้วที่แกส่งดอกกุหลาบขาวให้เจ้าหล่อนทุกวันมาตลอดเจ็ดปี แถมยังซื้อหมาพุดเดิลให้เลี้ยงแก้เหงานี่มันหมายความว่ายังไง อย่าบอกนะว่าทำไปแค่เพราะลืมรักแรกไม่ลง”

อาจฟังเหลือเชื่อและโรแมนติกเป็นบ้าที่เฉินกุ้ยปักใจอยู่กับผู้หญิงคนเดียวเป็นเวลายาวนานถึงเพียงนี้ แต่ลึกๆ แล้วหย่งเต๋อกลับคิดว่าเขาอาจจะยัง...รู้สึกผิดเรื่องที่ตนเป็นต้นเหตุทำให้คนรักของเธอต้องเสียชีวิตไปในคืนนองเลือดคืนนั้นก็เป็นได้

“มันไม่ใช่อย่างนั้นน่าพี่”

เรียวคิ้วบางทว่าเข้มชัดขมวดเข้าหากันอย่างยุ่งยากใจ เหม่ยอิงไม่ใช่เป็นเพียงรักแรกเมื่อครั้งเขาแตกเนื้อหนุ่ม แต่เธอยังเป็นรักเดียวของเขามาจนถึงทุกวันนี้

“ถ้าไม่ใช่อย่างนั้นแล้วเป็นอย่างไหนวะ” หย่งเต๋อหัวเราะเสียงต่ำอยู่ในลำคอ “ฉันว่าจริงๆ แล้วแม่นางฟ้านางสวรรค์ของแกก็...อาจจะสนใจแกอยู่บ้างนั่นละ ไม่อย่างนั้นจะยอมรับดอกไม้เหี่ยวๆ ของแกเป็นปีๆ อย่างนี้ทำไม แล้วอย่ามาเถียงนะว่าที่หล่อนไม่พูดอะไรเพราะหล่อนเป็นใบ้ มันฟังไม่ขึ้น”

“พี่อย่าพูดถึงคุณเหม่ยอิงแบบนั้นได้ไหม ผมไม่ชอบ ให้เกียรติเธอบ้าง เธออายุมากกว่าพวกเรา แถมยังเป็นน้องสาวของพี่เจี๋ยด้วย”

เฉินกุ้ยจ้องหน้าหย่งเต๋อเขม็ง แต่เจ้าตัวกลับฉีกยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดีเมื่อจี้ใจดำคู่ซี้ได้สำเร็จ นอกจากเขาและเฉินเพ่ยเพ่ยแล้ว ไม่มีใครในโลกนี้รู้หรอกว่าจุดอ่อนอันใหญ่หลวงของคนที่ชอบตีหน้าตายไร้ความรู้สึกอย่างเฉินกุ้ยคือหญิงสาวที่ชื่อเหอเหม่ยอิง แตะปุ๊บ พิโรธปั๊บ

“แหม...ดีเลิศประเสริฐศรีขนาดนั้น ทีหลังก็เอาขึ้นหิ้งแล้วจุดธูปบูชาสามเวลาหลังอาหารไปเลยก็แล้วกัน” หย่งเต๋อยักไหล่ ถึงชื่อ ‘เหอจวิ้นเจี๋ย’ จะทำให้รู้สึกเสียวสันหลังวาบอยู่หน่อยๆ แต่ในเมื่อเจ้าตัวไม่ได้อยู่ตรงนี้ก็ไม่เห็นมีอะไรต้องกลัว! “เป็นฉันหน่อยไม่ได้ ลากขึ้นเตียงปิดบัญชีไปตั้งนานแล้ว ไม่มานั่งคร่ำครวญร้องหงิงๆ เป็นลูกหมาไม่หย่านมอย่างแกหรอก”

“มันเรื่องของผม”

เฉินกุ้ยขึงตาใส่ ภาพดวงหน้างดงามที่อาบไปด้วยหยาดน้ำตายังคงประทับอยู่ในหัวใจ ประทับแนบแน่น...และย้ำเตือนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันว่าความผิดพลาดของเขาในครั้งนั้นได้พรากคนสำคัญไปจากเธอตลอดกาล สิ่งที่เขาทำได้มีเพียงดูแลเธอในส่วนของเหวินฟงอย่างเต็มกำลัง

หากพี่ฟงยังอยู่...คงซื้อลูกพุดเดิลที่เธออยากได้มาให้...

หากพี่ฟงยังอยู่...คงปลูกกุหลาบแสนงามในสวนไว้เอาใจเธอ...

หากทั้งคู่แต่งงานกัน...คงได้เปิดร้านเบเกอรีดังที่เคยวาดฝันไว้...

และอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขตลอดไปเหมือนตอนจบในเทพนิยาย...

แต่เป็นเพราะความโง่เขลาของไอ้เฉินกุ้ยคนนี้คนเดียวที่ทำลายวิมานของคู่รักให้สลายวับไปในพริบตา เป็นความผิดที่ชดใช้ไปตลอดชีวิตก็ยังไม่สาสม!

“อย่าลืมสิว่าเรื่องของแกก็คือเรื่องของฉัน ส่วน...”

“เรื่องของพี่ก็คือเรื่องของพี่ ผมห้ามยุ่ง ตรรกะโคตรเฮงซวยของพี่ ผมท่องจนขึ้นใจแล้ว”

เฉินกุ้ยระบายลมหายใจยาวแทบหมดปอด เถียงกับลูกพี่ทีไร รู้สึกเหมือนใช้พลังงานชีวิตมหาศาลจนอายุขัยหดสั้นลงไปเกือบครึ่งทุกที

“รู้ใจพี่เชื้อขนาดนี้ แกนี่มันน่าจับทำเมียจริงจริ๊ง”

ชายหนุ่มโถมร่างสูงใหญ่เข้ากอดเฉินกุ้ยแล้วแกล้งกดจูบลงบนกระหม่อมอีกฝ่ายอย่างที่เคยหยอกกันเป็นประจำตั้งแต่สมัยเรียนอยู่อังกฤษ

“เมียพี่น่าจะมีทั่วราชอาณาจักรแล้ว เว้นผมไว้คนเถอะ”

เฉินกุ้ยพูดเนือยๆ อย่างไม่สะทกสะท้านด้วยชินชาเสียแล้ว สีหน้าของเขาเรียบเฉยจนคนช่างแกล้งแทบหมดสนุกไปในพริบตา

“แกนี่มันเย็นชาฉิบ”

“เอ่อ...ขอโทษนะคะ”

เสียงหวานที่ดังขึ้นจากด้านหลังทำให้บทสนทนาของสองหนุ่มต้องยุติลงแต่เพียงเท่านั้น หย่งเต๋อหันไปมองสาวน้อยที่ผลัดเสื้อผ้าที่สวมมาจากโรงพยาบาลเป็นชุดกระโปรงสีชมพูติดกันเรียบๆ ที่มีความยาวระดับคลุมเข่าแล้วนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ดวงหน้าที่แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางอ่อนๆ ของเธอดูสวยหวานเสียจนเขาแทบไม่อยากละสายตา ยิ่งรวบผมยาวเป็นหางม้าสูงด้วยเช่นนี้แล้ว ยิ่งเห็นชัดว่าโครงหน้าของเธอสมบูรณ์แบบเพียงใด

“ฉัน...ฉันไม่ได้คิดจะมาขัดจังหวะพวกคุณ...แต่...เอ่อ...เห็นว่าพวกเราต้องรีบกลับไปภายในหนึ่งชั่วโมง...” ไอศิกาพูดตะกุกตะกัก ภาพผู้ชายตัวโตสองคนกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันที่เห็นตรงหน้าพาให้จินตนาการของเธอเลยเถิดไปไกล “พวกคุณไม่ต้องคิดมากนะคะ ฉัน...ฉันเข้าใจ...”

“เดี๋ยว...มัน...ไม่ใช่อย่างนั้น...” หย่งเต๋อเพิ่งรู้ตัวว่าหญิงสาวกำลังคิดเลยเถิด จึงรีบคลายวงแขนจากคู่หูแล้วผละออกห่างทันที

“ขอบคุณที่เข้าใจครับ” คำตอบของเฉินกุ้ยทำเอาลูกพี่ตาเหลือก “ถ้าคุณเก็บของเรียบร้อยแล้ว เราก็รีบไปกันเถอะครับ”

“ก่อนจะกลับไปที่โรงพยาบาล ฉันขอแวะไปที่หนึ่งก่อนได้ไหมคะ” มือบางกระชับสายสะพายกระเป๋าแน่นเข้า ดวงตาฉายแววอึดอัดใจ “ฉันต้องทำธุระ มัน...สำคัญมากๆ ด้วย คิดว่าน่าจะไม่เกินครึ่งชั่วโมง...”

“ได้ครับ” เฉินกุ้ยตอบตกลงง่ายเสียจนไอศิกาต้องเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ “ก็...คุณอุตส่าห์ ‘เข้าใจ’ พวกเรานี่ครับ ผมก็ควรจะเข้าใจคุณบ้าง”

ชายหนุ่มผายมือให้หญิงสาวออกเดินนำไปก่อน หย่งเต๋อรีบคว้าแขนลูกไล่ประจำตัวเอาไว้ทันควัน

“ไอ้เวร! แกพูดอะไรของแก! เดี๋ยวยายคุณหนูนั่นก็เข้าใจผิดหรอก!”

หย่งเต๋อคำรามเสียงต่ำเป็นภาษาจีน เฉินกุ้ยเหยียดยิ้มยียวนเลียนแบบลูกพี่

“เข้าใจผิดสิดี จะได้รอดปากเหยี่ยวปากมังกร ไม่ต้องเป็นหนึ่งในคอลเล็กชันไร้สาระของพี่ พี่บอกเองไม่ใช่เหรอว่าไม่ชอบอะไรยืดเยื้อ ผมก็ช่วยตัดไฟแต่ต้นลมให้แล้วไง ไม่ดีเหรอ”

“ไอ้เฉินกุ้ย!”

เจ้าของชื่อตีหน้าเฉยเมยแล้วเดินดุ่มๆ นำหน้าตามไอศิกาไปโดยไม่สนใจเสียงสบถที่ดังไล่หลังมาแม้แต่นิดเดียว

รถโฟร์วีลสีดำเลี้ยวเข้าไปในซอยแคบๆ แล้วจอดด้านหน้ารั้วอัลลอยของบ้านหลังใหญ่ที่อยู่สุดซอย

“พวกคุณรออยู่ในรถก็ได้ ไม่ต้องลงไปหรอก ฉันทำธุระเดี๋ยวเดียว” ไอศิกาที่นั่งอยู่เบาะหลังเอ่ยพลางพยายามเปิดประตูรถ แต่เปิดไม่ออกเพราะเฉินกุ้ยที่รับหน้าที่สารถีไม่ยอมกดสวิตช์ปลดเซ็นทรัลล็อกให้ “ปลดล็อกสิคะ คุณใบป่าน”

“บอกให้เจ้าของบ้านเปิดรั้วให้เราเข้าไปจอดข้างในดีกว่าคุณหนู ในซอยแคบๆ หาที่กลับรถลำบากแบบนี้ ถ้ามีใครคิดปิดประตูตีแมวยิงถล่มเราขึ้นมา เราได้ตายหมู่แน่”

หย่งเต๋อพูดโดยไม่เหลียวกลับไปมองหญิงสาวที่นั่งนิ่วหน้าอยู่ด้านหลัง ดวงตาคมกริบกวาดมองไปรอบๆ อย่างสำรวจตรวจตรา บ้านหลังใหญ่ตั้งอยู่กลางใจเมือง แถมยังอยู่ในย่านคนรวยแบบนี้ คงเป็นหนึ่งในพวกเพื่อนรวยทรัพย์ของแม่ลูกสาวเจ้าพ่อคนนี้กระมัง แต่ดูจากลักษณะที่ตั้งแล้ว มีมุมที่สไนเปอร์น่าจะลอบยิงได้หลายมุมเพราะรายล้อมด้วยตึกสูงเสียดฟ้าหลายแห่ง แถมรั้วบ้านก็สูงไม่เกินสองเมตร ทั้งยังออกแบบมาให้โปร่ง มองเห็นสวนด้านในอยู่รำไร บ่งชัดว่าเจ้าของบ้านเป็นเศรษฐีธรรมดา ไม่ใช่ ‘คนจำพวกเดียวกับเขา’ ที่ต้องระวังภัยมืดอยู่แทบตลอดเวลา

“ตายก็ตาย แต่ฉันต้องทำธุระให้เสร็จก่อน”

ไอศิกาเม้มริมฝีปากแน่น เธอไม่ชอบผู้ชายที่ชื่อนะโมคนนี้เอาเสียเลย ตั้งแต่เจอหน้ากันเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน เขาก็เอาแต่พูดจายียวนกวนประสาท แถมยังทำท่ายโสโอหังอวดดีใส่เธอแทบจะตลอดเวลา แต่เมื่อหุบปากเมื่อใดก็จ้องเธอตาไม่กะพริบจนเธอรู้สึกอึดอัดไปหมด

“ธุระสำคัญขนาดนั้นเชียว” หย่งเต๋อเลิกสะดุดใจกับคำตอบที่ได้ยินจึงหันไปสบตากับเฉินกุ้ยครู่หนึ่ง แล้วชี้นิ้วไปที่พวงมาลัยรถ “ได้ยินที่คุณหนูสั่งแล้วนี่ สนองราชโองการหน่อยใบป่าน”

สารถีพยักหน้ารับคำสั่งแล้วกระแทกฝ่ามือบีบแตรเสียงดังสนั่นหวั่นไหว

“นี่พวกคุณจะบ้าเหรอ! หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” ไอศิการ้องเสียงหลง เธอโผเข้าไปเกาะเบาะฝั่งคนขับอย่างร้อนรน “ฉันบอกให้หยุด ไม่ได้ยินหรือไง!”

“หน้าที่ของพวกผมคือดูแลอารักขาคุณให้รอดชีวิตแบบครบสามสิบสอง ไม่ใช่สนองคำสั่งของคุณ ฉะนั้นอะไรก็ตามที่จะทำให้คุณตกอยู่ในอันตราย พวกผมคงทำตามไม่ได้หรอกครับ” หย่งเต๋อผินหน้ากลับมามองคนที่กำลังโกรธจัดจนหน้าแดงก่ำแล้วฉีกยิ้มกว้าง “ทำหน้าดีๆ หน่อยสิคุณ เห็นไหม เจ้าของบ้านเขาเปิดรั้วต้อนรับเราแล้ว”

รั้วอัลลอยค่อยๆ เคลื่อนตัวเปิดออกช้าๆ ตามแบบฉบับประตูที่ถูกติดตั้งระบบรีโมตเอาไว้ เฉินกุ้ยหยุดบีบแตรแล้วเหลือบมองกล้องวงจรปิดที่ติดอยู่ในมุมอับข้างประตูแล้วส่งสัญญาณให้หย่งเต๋อรู้ สองหนุ่มรีบหยิบแว่นตากันแดดขึ้นสวมปิดบังใบหน้าอย่างรวดเร็ว แม้รถจะติดฟิล์มดำทั้งคันจนกล้องไม่อาจบันทึกภาพด้านในได้ แต่พวกเขาก็ไม่อยากเสี่ยงโดยไม่จำเป็น

“อวดดี! ไร้มารยาท! คอยดูนะ ฉันจะฟ้องพี่ภัทร!”

“อู๊ย...ตามสบาย ผมให้ฟ้องยาวไปถึงศาลโลกได้เลยครับคุณหนู”

หย่งเต๋อลอยหน้าลอยตาพูดเลียนเสียงเล็กแหลมของไอศิกาจนเธออยากจะร้องกรี๊ดแล้วกระโดดข่วนหน้าเขานัก คนบ้าอะไรกวนประสาทเป็นที่สุด!

“อย่าท้านะ ถ้าฟ้องได้ฉันฟ้องแน่!”

ข้อหาหมั่นไส้!

เมื่อรถเคลื่อนเข้ามาจอดด้านในรั้วเรียบร้อยแล้ว เฉินกุ้ยก็ปลดเซ็นทรัลล็อก แต่ยังไม่ทันก้าวลงจากรถไอศิกาก็ชิงเปิดประตูแล้วกระโดดแผล็วลงไปเสียก่อน

“บีบแตรเสียงดังแสบแก้วหูอะไรขนาดนั้นจ๊ะหนูลูกแก้ว ป้าตกอกตกใจหมด”

หญิงสูงวัยเดินจ้ำเท้าตรงมาที่รถด้วยสีหน้าถมึงทึง แม้จะอายุมากแล้ว แต่เจ้าตัวยังคงประทินโฉมด้วยเครื่องสำอางตามสมัยนิยมจนดูสาวกว่าอายุจริงเกือบสิบปี ประกอบกับเสื้อผ้าสีสันสดใสที่ขับให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งเหมือนคนอายุสี่สิบปลายๆ

“สวัสดีค่ะคุณป้าพิไล” ไอศิกากระพุ่มมือไหว้เจ้าของบ้านอย่างนอบน้อม “ลูกแก้วต้องขอโทษด้วยนะคะที่ส่งเสียงดังรบกวน เผอิญ...ช่วงนี้สถานการณ์ไม่ค่อยดีน่ะค่ะ ก็เลย...ต้องขออนุญาตเอารถเข้ามาจอดข้างใน”

หญิงสาวพูดอึกอัก เฉินกุ้ยหันไปสบตากับหย่งเต๋อที่เพิ่งก้าวลงมาจากรถ พวกเขาประทับใจนิดๆ ที่ไอศิกาไม่รีบโยนลูกว่าเป็นความผิดของพวกตน แต่กล่าวขอโทษและยืดอกรับผิดไว้แต่เพียงผู้เดียว

“ช่างเถอะจ้ะ ป้า...เข้าใจ...” พิไลรับไหว้แกนๆ ก่อนจะเหลือบตามองชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่ก้าวมายืนคุมเชิงอยู่ด้านหลังหญิงสาวด้วยสายตาหวาดๆ “ตอนแรกป้าก็นึกว่าหนูจะมาแท็กซี่เสียอีก ไม่นึกว่าจะยังมี เอ่อ...ป้าหมายถึงมีผู้ติดตามด้วย”

“ทางตำรวจช่วยเป็นธุระจัดหามาให้น่ะค่ะ” ไอศิกาตอบเลี่ยงๆ ดวงตาคู่งามหลุบลงต่ำอย่างครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ลูกแก้วว่าเราไปคุย ‘ธุระ’ กันข้างในดีกว่าไหมคะ ตรงนี้คงไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่”

“โอ๊ย...ป้าต่างหากที่ไม่สะดวก พอดีป้ามีแขก กำลังคุยงานติดพันกันอยู่ คุยกันให้เสร็จๆ กันตรงนี้เถอะจ้ะ ไม่ต้องเข้าไปข้างในหรอก”

คำพูดของพิไลแสดงชัดว่าไม่ต้อนรับผู้มาเยือน ไอศิกามองไปยังโรงรถก็เห็นเพียงรถของพิไลและลูกสาวจอดอยู่เท่านั้น ไม่มีรถของแขกคนอื่นที่กล้าวอ้างแต่อย่างใด

“ถ้าคุณป้ามีแขก ลูกแก้วคงไม่กล้ารบกวนนาน”

เสียงของหญิงสาวสั่นนิดๆ ขณะเปิดกระเป๋าถือหยิบถุงผ้ากำมะหยี่ขนาดเท่าฝ่ามือออกมาแล้วยื่นส่งให้พิไลอย่างลังเล หากเป็นเมื่อครั้งที่บิดายังทรงอำนาจอยู่ พิไลคงไม่กล้าพูดจาตัดรอนกับเธอซึ่งหน้า คงรีบกุลีกุจอไปหาเธอถึงที่ ไม่ต้องเดินทางมาทั้งที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากเช่นนี้

“ก็ไม่ได้รบกวนอะไรมากนักหรอกจ้ะ เผอิญหนูมาตอนที่ป้ากำลังติดธุระอยู่พอดี”

พิไลเหยียดยิ้มอย่างคนมีชัยเหนือกว่าพลางรับถุงกำมะหยี่มาเปิดออก แล้วหยิบกำไลทองคำขาวฝังเพชรเม็ดเล็กๆ เรียงซ้อนกันหกแถวขึ้นส่องกับแสงแดด พลิกไปพลิกมาคล้ายกำลังหารอยตำหนิ

ไอศิกาหน้าเสีย เธอเหลือบมองบอดีการ์ดที่ยืนอยู่ด้านหลังด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วนด้วยไม่อยากให้พวกเขารู้ว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่

“คุณป้าคะ...”

“น้ำยังงามอยู่นะ” พิไลกวักมือเรียกเด็กรับใช้ที่ยืนหลบมุมอยู่ด้านหลังให้นำซองกระดาษสีน้ำตาลขนาดเอสี่มาให้ “ปกติป้าไม่รับของที่ซื้อไปนานหลายปีแบบนี้คืนหรอกนะจ๊ะ ยิ่งเป็นงานสั่งทำแบบนี้ด้วยแล้ว มันขายต่อยากเพราะไซซ์มันพอดีกับข้อมือหนูคนเดียว แต่นี่เห็นว่าที่บ้านหนูกำลังลำบาก ป้าเห็นใจก็เลยจะรับซื้อชิ้นนี้ไว้ก็แล้วกัน ชิ้นอื่นป้าไม่รับแล้วนะ”

“ลูกแก้วกราบขอบพระคุณคุณป้านะคะ” ไอศิกาหน้าแดงก่ำ ทั้งโกรธทั้งอายที่ถูกพิไลหักหน้าด้วยการพูดเรื่องส่วนตัวของเธอต่อหน้าเจ้าหน้าที่ของอินเตอร์โพล แต่ต้องพยายามข่มอารมณ์เอาไว้ “หนูคงไม่มีชิ้นอื่นมาขายแล้วละค่ะ แล้วชิ้นนี้ก็เป็นของขวัญชิ้นเดียวที่คุณแม่สั่งร้านของคุณป้าทำให้ตอนหนูสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ถ้าหนูมีทางเลือก หนูก็คง...ไม่ขาย”

“โถ แม่คุณ” แม้น้ำเสียงจะลากยาวคล้ายเห็นใจ ทว่าดวงตากลับฉายแววดูแคลนอย่างชัดแจ้ง “ตอนสั่งทำราคามันอยู่ที่สองแสนเก้า แต่ป้าให้ได้เต็มที่ก็แสนสอง หนูไม่ว่าอะไรใช่ไหม”

“เอ๊ะ...แต่เมื่อวานที่หนูโทรศัพท์มาคุณป้าบอกว่า...”

“แสนห้า ใช่ ป้าบอกว่าให้หนูแสนห้า แต่หนูต้องเข้าใจนะจ๊ะว่าป้าคงไปขายต่อใครไม่ได้หรอก นอกจากแกะเพชรไปทำเครื่องประดับอื่นแทน ต้องเสียค่าช่าง ค่าขึ้นแบบอีกสารพัด นี่ก็ถือว่าป้าช่วยเหลือหนูเต็มที่แล้วนะ”

หย่งเต๋อรู้สึกหงุดหงิดนิดๆ เมื่อได้ยินอีกฝ่ายทวงบุญคุณพร้อมกดราคาไปในตัว เท่าที่เขาประเมินผ่านๆ ด้วยสายตา กำไลเพชรวงนั้นน่าจะมีสนนราคาไม่ต่ำกว่าห้าแสนบาทด้วยซ้ำไป ถึงจะวงเล็กตามขนาดข้อมือบอบบางของไอศิกาไปสักนิด แต่เพชรน้ำงามมาก แสดงว่าผ่านการคัดเม็ดอัญมณีมาอย่างพิถีพิถัน อีกทั้งเจ้าของยังดูแลรักษาเป็นอย่างดี ถ้าไม่ร้อนเงินนัก ก็น่าจะไปขายคนอื่นที่เต็มใจให้ราคาดีกว่านี้มากกว่า

“ลูกแก้วเข้าใจค่ะ” หญิงสาวเม้มริมฝีปากแน่นจนเป็นเส้นตรงขณะมองซองเงินที่อีกฝ่ายยื่นมาให้ตรงหน้าก่อนจะรับมันมาด้วยสีหน้าที่ปรับให้เรียบเฉย หากดวงตาแดงก่ำเหมือนน้ำตาจะหยดเสียเดี๋ยวนั้น “กราบขอบพระคุณคุณป้าอีกครั้งนะคะที่กรุณาช่วยเหลือ”

“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ คนกันเอง ยังไงก็ขอให้คุณพ่อหนูหายไวๆ ก็แล้วกันนะจ๊ะ ค่ารักษา ค่าผ่าตัดสมัยนี้มันแพงมาก ป้าเข้าใจว่าหนูคงลำบากพอดู”

น้ำเสียงเยาะหยันและแววตาเหยียดหยามนั้นไม่อาจทำให้ไอศิกาสะเทือนใจไปได้มากกว่าที่เป็นอยู่อีกแล้ว เธอรู้...ว่านี่คือสัจธรรมของโลก ยามยิ่งใหญ่คับฟ้า เปี่ยมอำนาจบารมี มั่งมีเงินตรา ผู้คนก็พากันนับหน้าถือตา พร้อมมอบของกำนัลให้เพราะหวังผลประโยชน์ แต่เมื่อเสื่อมอำนาจ หมดทรัพย์ คนเหล่านี้ก็พร้อมตีตัวจากโดยไม่เหลียวหลังกลับมามองความหลังครั้งยังหวานชื่นเลยแม้แต่นิด

“ถ้าอย่างนั้นหนูลาเลยนะคะ คุณป้าจะได้คุยธุระกับแขกต่อ”

หญิงสาวพนมมือไหว้พิไลเป็นครั้งสุดท้าย ดวงหน้าเล็กเรียวเชิดขึ้นอย่างทะนงตนแล้วเดินหันหลังกลับไปที่รถ เฉินกุ้ยรีบสาวเท้ายาวๆ ตามไปเปิดประตูรถให้หญิงสาว เธอหันมามองเขานิดหนึ่งแล้วยิ้มเจื่อนด้วยความรู้สึกหลากหลายสับสนปนเปกัน ทั้งอับอาย ทั้งเสียใจ และ...รู้สึกขอบคุณที่เขาให้เกียรติเธอต่อหน้าพิไล

“เฉินกุ้ย” หย่งเต๋อส่งเสียงเรียกเมื่อเห็นว่าเฉินกุ้ยปิดประตูรถเรียบร้อยแล้ว ดวงตาคมกริบมองตามแผ่นหลังของหญิงสูงวัยที่เดินนวยนาดกลับเข้าไปในบ้านแล้วเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบยากจะเดาถึงความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ “ส่งคนไปซื้อกำไลวงเมื่อกี้ให้ฉันด้วย ถ้าจำไม่ผิด ร้านนี้น่าจะเป็นร้านเดียวกับที่อาหลิงหลิงสั่งทำของขวัญให้แม่ฉันนั่นละ”

“พี่จะซื้อไปทำไม”

เฉินกุ้ยขมวดคิ้ว รู้สึกสังหรณ์ใจชอบกล แต่อีกฝ่ายกลับฉีกยิ้มกว้างแล้วใช้นิ้วชี้ดันแว่นตาขึ้นอีกฝ่ายให้เห็นแววตายียวนอย่างชัดเจน

“เรื่องของแกก็คือเรื่องของฉัน แต่เรื่องของฉันก็เป็นเรื่องของฉัน ถ้าไม่อยากโดนเตะ ก็ทำตามที่ฉันสั่งเถอะน่า!”

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น