8

รสชาติของน้ำตา


“คุณภามถูกยิงเพราะล้างมือในอ่างทองคำ?”

หย่งเต๋อแสร้งเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ ส่วนมือไม้ยังคงลูบไล้ไปบนเนื้อตัวนุ่มนิ่มของคนที่นั่งอยู่บนตักมากว่าสิบห้านาทีแล้วอย่างย่ามใจ เมื่อสิบห้านาทีก่อนแม่คุณยังทำท่าเหนียมอายอยู่เลย แต่พอเพื่อนฝูงพากันออกไปเล่นน้ำที่สระว่ายน้ำด้านนอก เธอก็เป็นฝ่ายชวนเขาดื่มเบียร์แล้วเลื้อยขึ้นมากองบนตักเขาเอง สาวสวยทอดสะพานคอนกรีตเสริมใยเหล็กให้ขนาดนี้ ถ้าไม่เดินข้าม ก็อย่าเรียกเขาว่าหวังหย่งเต๋อเลย!

“ก็ใช่น่ะสิคะ อะไรกัน คุณเป็นบอดีการ์ดของยายลูกแก้วแท้ๆ ไม่รู้อะไรเลยเหรอ”

ปริมลลากปลายนิ้วไปตามรอยหยักบนริมฝีปากของชายหนุ่มอย่างยั่วเย้า ดวงตาหลุบลงมองแผงอกกำยำใต้เสื้อผ้าของเขาแล้วหายใจขัดขึ้นมาเสียเฉยๆ เขาอาจมีใบหน้าหล่อเหลาเหมือนดารานักร้องวัยรุ่น แต่ร่างที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อสวยงามกลับทำให้เขาดูมีเสน่ห์แบบดิบเถื่อนจนไม่อาจละสายตาได้ เป็นความขัดแย้งที่ดูลงตัวอย่างน่าประหลาด ตอนที่เขาอาสามาส่งเธอที่บ้าน เพื่อนๆ ทุกคนพากันกรี๊ดกร๊าดด้วยความอิจฉา ถ้าเธอไม่รีบคว้าโอกาสไว้ก็โง่เต็มทน

“ผมแค่ถูกส่งมาดูแลเด็กคนนั้นตามหน้าที่ ไม่ได้สนใจเรื่องของเธอเท่าไหร่” หย่งเต๋อขบปลายนิ้วซุกซนของหญิงสาวเบาๆ นัยน์ตาคมกล้ากวาดมองดวงหน้าสวยเฉี่ยวอย่างสื่อความนัยร้อนแรง “อย่างที่คุณเห็น เด็กคนนั้นแต่งเนื้อแต่งตัวจืดชืด ดูน่าเบื่อ เทียบกับคุณแล้วคนละเรื่องกันเลย”

“แหม ปากหวานจัง” ปริมลหัวเราะคิกคักชอบใจ “ถ้าคุณเคยเห็นยายลูกแก้วสมัยยังไม่ตกอับ คุณต้องไม่พูดแบบนี้แน่ๆ ยายนั่นน่ะเป็นถึงดาวมหา’ลัยเชียวนะคะ เป็นลูกคุณหนู สวย รวย เรียนเก่งครบเครื่อง คะแนนสอบติดอันดับต้นๆ ของคณะเชียวละ”

น้ำเสียงของคนพูดอัดแน่นไปด้วยความริษยาอย่างไม่ปิดบัง หย่งเต๋อลอบอมยิ้ม นี่ละหนอผู้หญิง...แค่เติมเชื้อไฟหน่อยเดียวก็พร้อมคายความลับของจักรวาลออกมาอย่างหมดเปลือก ความชิงชังที่มีอยู่เป็นทุนเดิมทำให้คำพูดต่างๆ พรั่งพรูออกมาไม่ขาดสาย สิ่งที่เขาต้องทำมีเพียงกรองเอาเรื่องใส่สีตีไข่ออกไปและรับส่วนที่เป็นข้อมูลเอาไว้ คนเกลียดกันย่อมพูดถึงกันและกันในแง่ลบอยู่แล้ว ยิ่งเป็นถ้อยคำที่มาจากผู้หญิงขี้อิจฉาด้วยแล้ว ยิ่งต้องหารเกินครึ่ง

“ขนาดนั้นเชียว” ชายหนุ่มลากจมูกไปบนพวงแก้มที่ปัดด้วยบลัชออน แต่หัวใจกลับไพล่คิดไปถึงแก้มเนียนใสปราศจากเครื่องสำอางของผู้หญิงอีกคนขึ้นมาเสียเฉยๆ รายนั้น...มีผิวละเอียดมากจนเหมือนแกะจากหยก ยามต้องแสงแดดอ่อนๆ ตอนเช้ายิ่งดูเปล่งปลั่งจนเขาต้องลอบมองซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ไม่รู้สิ...ผมไม่ค่อยชอบพวกหนอนหนังสือเท่าไหร่ ผมว่าผู้หญิงแบบนั้นไร้เสน่ห์ ไม่มีอะไรน่าค้นหา”

“คุณเป็นคนแรกที่พูดแบบนี้ ผู้ชายคนอื่นๆ เพ้อถึงยายลูกแก้วกันทั้งนั้นละค่ะ แต่ไม่มีใครกล้าจีบตรงๆ เพราะกลัวถูกยิงทิ้ง พ่อยายนั่นดุอย่างกับเสือ จนเดี๋ยวนี้ก็ยังกลัวกันอยู่ดี”

ปริมลเบียดตัวเข้าแนบชิดชายหนุ่ม เธอรู้...ว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นั้นทำให้ตนดูเป็นหญิงใจง่าย แต่เธอถูกใจผู้ชายที่ชื่อนะโมคนนี้ตั้งแต่แรกเห็น แถมเขายังมองข้ามไอศิกาที่ใครต่อใครยกให้เป็นนางฟ้าประจำมหาวิทยาลัยอย่างไม่ไยดีสักนิด แล้วแสดงออกอย่างชัดแจ้งว่าสนใจเธอ ตั้งแต่เล็กจนโต เธอรู้สึกเป็นรองลูกสาวคนสวยของเจ้าพ่อคนดังมาตลอด เธอเองก็โดดเด่นไม่น้อย ทั้งรูปร่างหน้าตา การศึกษา รวมไปถึงฐานะทางครอบครัว แต่ทุกคนกลับยกย่องไอศิกาเหนือเธอแทบจะในทุกๆ เรื่อง เมื่อรู้ข่าวคราวความพินาศย่อยยับของครอบครัวพิมพ์สุริยา เธอจึงรู้สึกสะใจเป็นที่สุด

“คุณบอกว่าเขาล้างมือในอ่างทองคำแล้วนี่ แถมนอนเป็นผักแบบนั้น ไม่เห็นมีอะไรน่ากลัวสักนิด”

แหม...ระดับมังกรห้าเล็บอย่างเขา ไม่เคยกลัวพ่อเสือเสียด้วย ถ้าอยากได้ลูกเสือขึ้นมาจริงๆ เขาก็พร้อมตวัดกรงเล็บช่วงชิงมาครองทุกเมื่อ

“ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาล้างมือในอ่างทองคำมาเกือบสองปีแล้วนี่คะ ขนาดถูกยิงจนนอนหมดสภาพคนก็ยังเรียกว่าเจ้าพ่ออยู่นั่นเอง” ปริมลพูดด้วยน้ำเสียงสั่นพร่ายามริมฝีปากหยักลึกของชายหนุ่มลากไล้ไปตามลำคอระหง ก่อนจะตอบรับด้วยการโอบวงแขนรอบคอเขา เธอไม่ใช่สาวน้อยไร้เดียงสาแบบไอศิกาที่ชอบแสร้งตีหน้าใสซื่อ ทำท่าเงอะๆ งะๆ เวลาผู้ชายถูกเนื้อต้องตัวเสียหน่อย โลกหมุนไปถึงไหนต่อไหนแล้ว ผู้ชายยุคนี้ก็ใช่ว่าจะชอบผู้หญิงสนิมสร้อยกันทุกคนเมื่อไหร่เล่า “ถ้ารู้ความจริงกันว่า ภาม พิมพ์สุริยา หมดบารมี เพราะตัดสายสัมพันธ์กับคนในวงการเดียวกัน แถมกำลังจะล้มละลายจนแทบหมดตัว ฉันอยากรู้นักว่าจะยังมีใครฮู้ยายลูกแก้วกับพ่ออยู่อีกไหม”

“ตัดสายสัมพันธ์?”

หย่งเต๋อชะงักทันทีที่ได้ยิน เขาพอจะรู้เรื่องปัญหาทางการเงินของภามอยู่บ้าง แต่ไม่คิดว่าถึงขั้นล้มละลาย และไม่รู้...ว่าภามตัดความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมวงการ ซึ่งหมายถึง...คนในโลกมืด...

...สิ่งที่เขาอยากรู้ก็คือ...ภามตัดความสัมพันธ์กับใครบ้าง...

“ฉันได้ยินคุณลุงฉันที่เป็นเจ้าของหมู่บ้านนี้คุยกับเพื่อนที่เป็นอดีตอธิบดีกรมตำรวจหรืออะไรสักอย่างนี่ละค่ะ ว่าพ่อของยายลูกแก้วถอนตัวจากธุรกิจผิดกฎหมายทุกอย่าง ก็เลยผิดใจกับใครสักคนจนถูกยิง”

คฤหาสน์หลังงามที่เธอกับบรรดาเพื่อนๆ ชอบมาจัดปาร์ตี้หรือพักผ่อนหลังนี้ ลุงของเธอยกให้เป็นของขวัญเมื่อครั้งสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ฉะนั้นยามใดที่เธอรู้สึกเบื่อหรืออยากหลบลี้หนีสายตาพ่อแม่มาทำเรื่องไม่เหมาะไม่ควร เธอจึงมักชวนเพื่อนๆ มารวมตัวกันที่นี่เสมอ โดยอ้างกับที่บ้านว่ามาติวหนังสือก่อนสอบ

“ถอนตัวจากธุรกิจผิดกฎหมายทุกอย่างเลยจริงๆ เหรอ”

นี่หมายความว่า...ภามคิดถอนตัวออกจากโลกมืดชนิดไม่เหลือรากหรือโคนบนถนนสายนี้อีกต่อไป ซึ่งเป็นเรื่องที่แม้แต่ฮวงหลงหรือไป๋หู่เองยังไม่กล้าทำ สำหรับนักเลงแล้ว การถอนตัวออกจากวงการนับเป็นเรื่องน่ากลัวที่สุด เมื่อใดที่สิ้นอำนาจบารมี โจทก์เก่าและศัตรูใหม่ที่รอคอยจังหวะอยู่ก็พร้อมพุ่งเข้าบดขยี้ในทันที ดังนั้นทั้งบิดาของเขาและเฉินหมิงจึงไม่อาจละทิ้งโลกมืดได้โดยง่าย จำต้องฝืนใจดำเนินธุรกิจสกปรกบางส่วนต่อไปพร้อมๆ กับธุรกิจด้านสว่างเพื่อคงอำนาจและเส้นสายเอาไว้

...ขึ้นหลังเสือแล้ว...ใช่ว่าจะลงได้โดยง่าย หากลงไม่ถูกวิธีก็มีแต่จะถูกเสือขย้ำเท่านั้น...

“ฉันก็ไม่รู้รายละเอียดนักหรอกค่ะ” ปริมลมองคนที่ขมวดคิ้วทำท่าเหมือนกำลังครุ่นคิดบางอย่างด้วยสีหน้าไม่พอใจนัก “ไหนว่าคุณไม่สนใจยายลูกแก้วไงคะ ทำไมถึงถามแต่เรื่องพ่อของยายนั่นอยู่ได้”

“อย่างอนน่า” หย่งเต๋อแสร้งแนบริมฝีปากจุมพิตหญิงสาวอย่างดูดดื่ม เขาไม่คิดสานสัมพันธ์ลึกซึ้งกับปริมลแต่แรกแล้ว เพียงต้องการหลอกถามข้อมูลนิดๆ หน่อยๆ เท่านั้น ตอนที่อยู่ที่ซูเปอร์มาร์เกต เขาเกือบจะหักแขนผู้หญิงคนนี้แล้วด้วยซ้ำ หากไม่ได้ยินเธอพูดเรื่องไอศิกาตกอับขึ้นมาเสียก่อน ซึ่งหมายความว่าเธอต้องรู้เรื่องเบื้องลึกเบื้องหลังของภามและลูกสาวอยู่บ้างไม่มากก็น้อย “ผมสนใจเรื่องที่คุณเล่าก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ หือ แสดงว่าผมให้ความสำคัญแก่คนเล่ามาก”

“ไม่ดี...ถ้าคุณสนใจเรื่องของคนอื่นมากกว่าฉัน...”

ปริมลช้อนตาขึ้นมองเจ้าของจุมพิตด้วยแววตาเชื่อมฉ่ำ เรียวลิ้นร้อนระอุของเขาสร้างความปั่นป่วนในหัวใจของเธออย่างที่ไม่เคยมีผู้ชายคนไหนทำได้มาก่อน

“ตอนนี้เราอยู่กันแค่สองคน จะให้ผมไปสนใจใครได้อีกเล่า”

ชายหนุ่มขบเม้มริมฝีปากล่างของหญิงสาวอย่างจงใจยั่วยุอารมณ์เธอเต็มที่ จริงอยู่ว่าเขาชอบผู้หญิง ‘เป็นงาน’ แต่ถ้าง่ายเกินไป ไม่รู้จักไว้ตัวให้เขาเป็นฝ่ายรุกเสียบ้างก็น่าเบื่อ

“ไม่รู้สิคะ...” ปริมลพยายามดัดเสียงให้หวานพลิ้ว นิ้วเรียวไต่ไปบนแผงอกหนาหนั่นของชายหนุ่มก่อนจะเลื้อยลงไปป้วนเปี้ยนบนเข็มขัดกางเกงยีน “คุณอาจจะแกล้งทำเป็นสนใจฉันเพื่อหลอกถามเรื่องยายลูกแก้วก็ได้ แต่ถึงคุณจะถามอะไรฉันอีก ฉันก็คงไม่รู้มากไปกว่าที่ได้ยินจากคุณลุงพูดวันนั้นแล้วละค่ะ”

“ใจเย็นหน่อย ทูนหัว” หย่งเต๋อรีบคว้ามือของหญิงสาวเอาไว้ทันควันแล้วแนบริมฝีปากชิดใบหูของเธอซึ่งแดงก่ำด้วยแรงอารมณ์ จากนั้นจึงกระซิบกลั้วหัวเราะ “ผมก็อยากสนุกกับคุณจนจบอยู่หรอกนะ แต่ดูเหมือนเพื่อนคุณจะเล่นน้ำกันเสร็จแล้ว”

ดวงตาคมกริบมองเลยไปยังประตูเลื่อนกรุกระจกใส บรรดาเพื่อนๆ ของปริมลเริ่มขึ้นจากน้ำกันแล้ว แต่ไม่มีใครกลับเข้ามาในบ้าน ได้แต่นั่งรีๆ รอๆ อยู่ริมสระ ซึ่ง...หมายความว่าสาวๆ พวกนั้นเปิดโอกาสให้หญิงสาวหว่านเสน่ห์ใส่เขาอย่างเต็มที่

...น่าเสียดาย...ที่เธอหมดประโยชน์เสียแล้ว...

“เอ๊ะ...เอ่อ...เพื่อนๆ ฉันยังไม่เข้ามาหรอก...”

...อย่างน้อยก็จนกว่าเธอกับเขาจะหายขึ้นห้องไปด้วยกันนั่นละ...

“ผมว่า...อดเปรี้ยวไว้กินหวานดีกว่า” หย่งเต๋อฉีกยิ้มหวานก่อนจะดันร่างหญิงสาวลงจากตักอย่างไม่นุ่มนวลนัก “เอาไว้คราวหน้าเราค่อยมาต่อก็แล้วกันนะ”

ไม่พูดเปล่า ชายหนุ่มยังผุดลุกขึ้นยืนบิดกายคลายความเมื่อยขบที่ถูกนั่งทับบนตักอยู่นานเกือบครึ่งชั่วโมงหน้าตาเฉย

“ดะ...เดี๋ยวสิคะ...คุณนะโม...”

ปริมลงงเป็นไก่ตาแตก รีบคว้าชายเสื้อแจ็กเกตของเขาเอาไว้ทันควัน จังหวะที่ชายเสื้อเผยอออกเธอจึงเห็นว่าข้างใต้นั้นมีซองปืนคาดอยู่ อาวุธสีดำมะเมื่อมที่นอนสงบนิ่งอยู่ในซองหนังพาให้หัวใจของเธอหล่นวูบลงไปกองที่ตาตุ่ม วูบหนึ่งเธอรู้สึกเหมือนเห็นประกายตาเหี้ยมเกรียมจากผู้ชายเจ้าของรอยยิ้มหวานคนนี้ และรู้สึก...ว่าเขาเป็นบุคคลอันตราย!

บ้าจริง...นี่เธอปล่อยให้คนแปลกหน้าพกปืนเข้ามากอดจูบตัวเองในบ้านเพียงเพราะเขาหว่านเสน่ห์ใส่

“นี่ก็เย็นมากแล้ว ผมคงต้องขอตัวก่อน ไว้คราวหน้าเราค่อย ‘คุย’ กันใหม่นะครับ คุณปริม”

หย่งเต๋อจิ้มนิ้วลงบนจมูกของหญิงสาวด้วยท่าทางของหนุ่มขี้เล่นช่างเย้าแหย่ที่ทำให้เธอประทับใจตั้งแต่แรกพบ

“คะ...ค่ะ...” ปริมลหน้าม่อย “แล้วถ้าฉันอยากเจอคุณ จะติดต่อคุณยังไงล่ะคะ อย่างน้อยก็ให้เบอร์...”

“ไว้ผมจะติดต่อมาเอง คุณรอเซอร์ไพรส์จากผมได้เลย”

ชายหนุ่มขยิบตาให้หญิงสาวก่อนจะเดินตัวปลิวจากไปโดยไม่สนใจฟังเสียงร้องเรียกที่ดังไล่หลังมาอีกเลย

ใช่...รอเซอร์ไพรส์แน่ แต่เป็นชาติหน้าตอนบ่ายๆ โน่นละ!

 

“ไม่ถูกปากเหรอครับ”

เฉินกุ้ยเอ่ยถามคนที่เขี่ยอาหารในจานไปมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“อะ...เอ่อ...อร่อยมากเลยค่ะ พี่ใบป่าน แต่ช่วงอ่านหนังสือสอบลูกแก้วจะกินไม่ค่อยลงเท่าไหร่”

ไอศิกาฝืนยิ้มกว้างให้ชายหนุ่ม สรรพนามแทนตัวและคำเรียกขานที่เปลี่ยนไปทำให้เขาวางหน้าไม่ค่อยถูกนัก ไม่เชิงว่าไม่ชิน เพียงแต่...เขาไม่อยากรู้สึกผูกพันกับลูกสาวศัตรูเอาเสียเลย

“อ้อ จริงสิ ลูกแก้วบอกผมแล้วนี่ ผมลืมไปเสียสนิทเลย” เฉินกุ้ยพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ก่อนจะลุกขึ้นเก็บจานอาหารอย่างรวดเร็ว เขาไม่อาจใช้คำแทนตัวว่า ‘พี่’ กับเธอได้จริงๆ พับผ่าเถอะ รู้สึกตะขิดตะขวงใจอย่างไรชอบกล “ถ้าอย่างนั้นผมล้างจานเลยก็แล้วกัน ส่วนลูกแก้วก็ไปท่องหนังสือเถอะ”

“อุ๊ย ไม่ดีมั้งคะ พี่ใบป่านเป็นคนทำกับข้าวให้ลูกแก้วกินแล้วยังต้องมาเก็บล้างให้อีก เดี๋ยวลูกแก้วทำเองดีกว่าค่ะ”

“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวจะวินาศสันตะโรเปล่าๆ จำตอนที่ลูกแก้วช่วยผมหั่นผักสลัดเมื่อเย็นได้ไหม ผมนึกว่าต้องกินสลัดดัชนีนางเสียแล้ว ขืนปล่อยให้แตะเรื่องครัวก็ไม่รู้ว่าจะต้องเจ็บตัวอีกหรือเปล่า”

ดวงตายาวเรียวหลุบลงมองนิ้วชี้ของเธอที่พันปลาสเตอร์ยาเอาไว้อย่างระอาใจ แค่หั่นผักแม่คุณยังแทบหั่นนิ้วตัวเองลงไปเป็นเครื่องเคียงด้วย แล้วแบบนี้จะไว้ใจให้ทำอะไรได้ ทำไมผู้หญิงรอบตัวเขาไม่มีใครทำอาหารเป็นสักคนหนอ ทั้งปุยฝ้ายมารดาของเขาและเพ่ยเพ่ย ล้วนแล้วแต่ต้องให้ผู้ชายเป็นพ่อครัวคอยทำอาหารประเคนให้ถึงปากทั้งสิ้น เว้นก็แต่เหม่ยอิง แม่ครัวหนึ่งเดียวในดวงใจของเขา รายนั้นเก่งงานบ้านงานเรือน เรียบร้อยอ่อนหวาน ผู้ชายคนไหนได้ไปเป็นภรรยาคงเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลก

...แต่ผู้ชายน่าอิจฉาคนนั้น...คงไม่ใช่เขา...

“แหม ลูกแก้ว...ก็แค่อยากช่วย”

ไอศิกาหัวเราะแกนๆ ผู้ชายที่ดูเหมือนจะสุภาพเรียบร้อยคนนี้ พอเอาเข้าจริงก็ปากคอเราะรายใช่เล่น แถมยังเจ้าสำบัดสำนวน ช่างกระทบกระเทียบเปรียบเปรย อีกทั้งยังขี้บ่นนิดๆ อีกด้วย ผิดกับภาพลักษณ์นิ่งขรึมแรกเห็นลิบลับ

“ช่วยหยิบขนมในตู้เย็นแล้วขึ้นไปนั่งท่องหนังสือบนห้องเถอะครับ เดี๋ยวตรงนี้ผมจัดการเอง”

โทรศัพท์เครื่องจิ๋วในกระเป๋ากางเกงที่สั่นเตือนว่ามีสายเข้าเรียกให้ชายหนุ่มต้องล้วงมือหยิบมันออกมาดู สีหน้าเปลี่ยนไปเมื่อเห็นชื่อบนหน้าจอ

...พ่อโทร. หาเขา หรือว่าเกิดอะไรขึ้นกับนายหญิง...

“ผมขอตัวไปรับโทรศัพท์สักครู่ ส่วนคุณย้ายนิวาสสถานขึ้นไปข้างบนได้แล้วครับ อย่าแตะอะไรในครัวอีกเป็นอันขาด”

พูดจบพ่อครัวหัวป่าก็รีบเดินจ้ำออกจากห้องครัวไปทันที ทิ้งให้ไอศิกานั่งขำอยู่ตามลำพัง หญิงสาวกวาดตามองอาหารที่เหลืออยู่ในจานแล้วทอดถอนใจ ดูเหมือนใบป่านจะมีความเป็นแม่บ้านแม่เรือนสูงมากชนิดเธอเทียบไม่ติดจริงๆ นั่นละ หลังจากกลับมาจากซูเปอร์มาร์เกตแล้ว เธอก็ขึ้นห้องไปท่องหนังสือนานนับชั่วโมง รู้ตัวอีกทีกระเพาะก็ร้องโครกครากเตือนว่าถึงเวลาอาหารเย็นเสียแล้ว ตอนแรกเธอคิดจะทำสลัดง่ายๆ รับประทาน แต่แค่จับมีดหั่นผัก มีดก็บาดเสียแล้ว โชคยังดีที่ใบป่านเดินผ่านมาเห็นเข้า นอกจากเขาจะเป็นบุรุษพยาบาลที่ช่วยทำแผลให้เธอแล้ว ยังแปลงกายเป็นเชฟฝีมือฉมังทำอาหารง่ายๆ สองสามอย่างให้เธออีกต่างหาก

...ไม่เหมือนผู้ชายอีกคนที่หายหัวไปตั้งแต่ช่วงบ่าย จนเกือบสองทุ่มแล้วก็ยังไม่โผล่มาให้เห็นหน้า...

ไอศิกามองออกไปยังความมืดนอกหน้าต่างครัวแล้วถอนใจ นึกโกรธตนเองนักที่เฝ้าแต่คิดถึงสีหน้าแววตาเฉยชาของชายหนุ่มที่ยืนดูเธอถูกปริมลรังแกโดยไม่คิดยื่นมือเข้ามาช่วยสักนิด เขา...ทำให้เธอสับสนมาก เธอมองไม่ออกเลยสักนิดว่าแท้จริงแล้วเขาเป็นคนอย่างไรกันแน่ เดี๋ยวก็ยียวนกวนประสาท เดี๋ยวก็เป็นวีรบุรุษที่ยอมเสี่ยงตายปกป้องชีวิตเธอ แต่อีกไม่กี่วินาทีต่อมาเขาก็กลายเป็นผู้ชายเจ้าชู้เฮงซวยที่พร้อมจะพุ่งเข้าใส่สาวสวยและทิ้งเธอไปเสียเฉยๆ

...หรือเขา...จะเป็นไบเซ็กชวล...

“จะไปคิดถึงเขาทำไมกันเล่า คนที่ควรกลุ้มใจมากกว่าเราคือพี่ใบป่านต่างหาก”

หญิงสาวส่ายศีรษะแรงๆ เพื่อสลัดภาพรอยยิ้มยียวนของชายหนุ่มออกไปจากหัวใจ เขาไม่ได้ชอบผู้หญิงเสียหน่อย ที่หายเงียบไปอาจจะไปทำธุระส่วนตัวอยู่ก็เป็นได้ แต่ไม่ว่านะโมจะไปไหนหรือไปกับใคร ก็ไม่ใช่ธุระกงการใดๆ ของเธอไม่ใช่หรือ คิดได้ดังนั้นไอศิกาจึงเดินตรงไปเปิดตู้เย็นแล้วหยิบกล่องพลาสติกที่บรรจุเชอร์รีออกมาถือไว้ รู้สึกละอายใจนิดๆ ที่เห็นว่าใบป่านแกะเชอร์รีออกจากแพ็กเกจดั้งเดิม นำไปล้างจนสะอาดแล้วเรียงลงกล่องอย่างสวยงามเป็นระเบียบชนิดที่ว่าเธอเป็นผู้หญิงแท้ๆ ยังทำไม่ได้เสียด้วยซ้ำ

“อื้อหือ เชอร์รีน่ากินจัง”

มือใหญ่โตที่เอื้อมข้ามไหล่มาคว้ากล่องพลาสติกทำเอาไอศิกาสะดุ้งสุดตัว ถอยกรูดจนศีรษะกระแทกตู้เย็นดังโครม

“ฉิบ— นี่คุณเจ็บมากหรือเปล่า”

“เจ็บสิ ถามมาได้” หญิงสาวยกมือขึ้นคลำหลังศีรษะป้อยๆ รู้สึกเหมือนเห็นดาววิบๆ ลอยวนอยู่รอบตัว “ทำไมคุณถึงชอบโผล่มาแบบไม่ให้สุ้มให้เสียงแบบนี้อยู่เรื่อย โรคจิตหรือไง”

“ปากเก่งได้ขนาดนี้แสดงว่าไม่เจ็บเท่าไหร่สินะ” หย่งเต๋อหัวเราะร่วน สีหน้าของไอศิกาที่เหมือนอยากจะข่วนหน้าเขาเต็มทนทำให้เขารู้สึกสนุกกว่าตอนไป ’คลุกวงใน’ กับปริมลเป็นไหนๆ “แล้วนี่...ใบป่านไปไหน คุณเห็นเขาบ้างหรือเปล่า ผมเดินไปดูในห้องก็ไม่เจอ”

ชายหนุ่มมองจานอาหารที่เรียงรายอยู่บนเคาน์เตอร์ปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นฝีมือของเฉินกุ้ย หน็อย...เขาไม่อยู่เดี๋ยวเดียว เดาะทำอาหารให้สาวกินเรียกคะแนนเชียวนะ ไอ้ตี๋เล็ก!

“พี่ใบป่านไปรับโทรศัพท์ เดี๋ยวคงมา”

ไอศิกาหน้าง้ำ เธอตั้งท่าจะเบี่ยงตัวเดินหนี แต่คนตัวโตเป็นตึกไม่ยอมหลบ จึงกลายเป็นว่าเธอถูกกักเอาไว้ระหว่างฝาตู้เย็นกับพ่อยักษ์ปักหลั่นไปโดยปริยาย

“พี่ใบป่าน? นี่คุณเรียกมันว่าพี่?”

หย่งเต๋อขมวดคิ้ว นี่เขา...หูฝาดไปหรือเปล่าวะ...

“มันไม่ใช่เรื่องของคุณ” หญิงสาวดึงกล่องเชอร์รีคืนจากมือเขาแล้วมุดหนีออกจากกรงมนุษย์เป็นผลสำเร็จ เธอตรงไปหยิบชามกระเบื้องในตู้ออกมาวางก่อนจะเทเชอร์รีลูกโตออกจากกล่องครึ่งหนึ่งใส่ชามนั้น แล้วส่งกล่องคืนให้ชายหนุ่ม “แบ่งกันคนละครึ่งตามที่คุณบอก”

แม้จะละอายใจอยู่นิดๆ ที่ให้เขาเป็นคนจ่ายเงินแล้วเธอเป็นคนกิน แต่ความรู้สึกขุ่นเคืองที่ยังคงคุกรุ่นอยู่ในอกตั้งแต่เมื่อกลางวันทำให้เธอลืมเรื่องมารยาทอันควรไปเสียสนิทใจ

“คนละครึ่งไม่ได้หรอก ผมบอกแล้วไงว่าผมตัวโตกว่า ก็ต้องได้กินเยอะกว่า”

ไม่พูดเปล่า หย่งเต๋อยังเดินตรงมาหยิบเชอร์รีในชามของเธอใส่ปากเคี้ยวกร้วมๆ หน้าตาเฉย

“คุณไม่ได้บอกแบบนี้ คุณบอกว่าคุณตัวโตกว่า กินจุกว่า ก็เลยจะเป็นคนจ่ายเงินต่างหาก แบบนี้ไม่ยุติธรรม!”

ไอศิกาเม้มริมฝีปากแน่น ความอยากอาหารหมดไปตั้งแต่เห็นเขาลอยหน้าลอยตายียวนใส่เธอแล้ว!

“โลกมันก็เป็นแบบนี้ละจ้ะหนู ไม่มีอะไรยุติธรรมหรอก” ชายหนุ่มหยิบเชอร์รีใส่ปากอย่างต่อเนื่อง “อื้อหือ ว้านหวาน อ้าว ยืนนิ่งอยู่ทำไม ไม่กินด้วยกันเหรอ”

“อยากกินก็กินไปคนเดียวให้จุกอกตายไปเลย ฉันไม่กงไม่กินมันแล้ว อื๊อ!”

หญิงสาวแทบสำลักเมื่อจู่ๆ คนตรงหน้ายัดเชอร์รีลูกโตใส่ปากเธอแล้วตะปบมือปิดปากเอาไว้แน่น มิไยที่เธอจะดิ้นรน แต่ไม่อาจสู้แรงเขาได้

“อย่าคายนะ เคี้ยวแล้วกลืน” หย่งเต๋อออกคำสั่งเสียงเข้ม “อย่าลีลานักเลยน่า เคี้ยวเร็วๆ”

หญิงสาวทำเสียงฮึดฮัดอยู่ในลำคอครู่หนึ่ง ก่อนจะยอมทำตามอย่างเสียไม่ได้ เพียงครู่เดียวรสหวานสดใหม่ของผลไม้เนื้อชุ่มฉ่ำก็ทำให้ความรู้สึกฝืนใจในตอนแรกสลายหายไปเสียเฉยๆ นอกจากช็อกโกแลตแล้ว เชอร์รีนับเป็นของโปรดอีกอย่างของเธอ เมื่อก่อนพ่อต้องสั่งให้คนซื้อติดตู้เย็นไว้เป็นของว่างยามบ่ายให้เธอเสมอ แต่หลังจากสถานะทางการเงินของที่บ้านเริ่มสั่นคลอน ผลไม้ราคาแพงชนิดนี้จึงกลายเป็นของฟุ่มเฟือยอันดับต้นๆ ที่ต้องตัดออกจากรายการเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย

“ก็แค่เนี้ย ไม่เห็นจะมีอะไรยาก ทำท่ามากไปได้” หย่งเต๋อหัวเราะเสียงต่ำอยู่ในลำคอเมื่อเห็นไอศิกาเคี้ยวเชอร์รีตุ้ยๆ เหมือนเด็กเล็กๆ เขาหยิบกระดาษทิชชูส่งให้เธอคายเม็ด “อร่อยใช่ไหมเล่า ถ้าอร่อยก็กินเยอะๆ ทิ้งไว้ในตู้เย็นก็เน่าเปล่าๆ”

“เผด็จการ” หญิงสาวพึมพำเสียงแผ่ว

“บ้าอำนาจด้วย” หย่งเต๋อพูดเสริมอย่างอารมณ์ดี เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าการต่อปากต่อคำกับผู้หญิงเป็นเรื่องสนุก “ในเมื่อรู้ก็ดีแล้ว รีบมานั่งกินเร็วๆ เข้า เดี๋ยวคืนนี้ก็หิวไส้กิ่ว ท่องหนังสือไม่รู้เรื่องหรอก”

มือหนาเลื่อนเก้าอี้เป็นเชิงบอกให้หญิงสาวนั่ง ดูจากปริมาณอาหารที่เธอกินเหลือบนโต๊ะแล้ว น่ากลัวว่าจะผอมแห้งหัวโตภายในสามวันเสียจริงๆ

“แล้ว...คุณไม่กินแล้วเหรอ”

แม้จะตวัดตาส่งค้อนให้จอมเผด็จการวงใหญ่ แต่ไอศิกาก็ยอมนั่งลงอย่างว่าง่าย

“ผมชอบดูคุณกินมากกว่า”

คำตอบที่เพิ่งได้ยินทำเอาคนฟังแทบสำลักเชอร์รีตาย พวงแก้มทั้งสองข้างแดงก่ำ

“พูด...พูดอะไรของคุณ”

“อ้าว พูดเรื่องจริงให้ฟังก็เขินเสียอย่างนั้น”

เรียวปากหยักลึกยกแย้มขึ้นเป็นรอยยิ้มขบขัน ชายหนุ่มลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ สาวน้อยที่แปลงร่างเป็นเชอร์รีลูกยักษ์ แดงไปทั้งหน้าทั้งตัว เห็นชอบวางท่าเป็นผู้ใหญ่เกินอายุ แต่เนื้อแท้กลับไร้เดียงสากว่าที่คิดเอาไว้มาก

“นี่คุณยังเจ็บอยู่หรือเปล่า เมื่อกี้กระแทกโครมเบ้อเร่อจนผมนึกว่าตู้เย็นจะพังแล้วเสียอีก”

หย่งเต๋อเอื้อมมือไปแตะหลังศีรษะของหญิงสาว แต่เพียงแค่สัมผัสแผ่วเบาก็ทำให้เธอต้องเบี่ยงศีรษะหนีอย่างเคอะเขิน

“ตกลงว่าคุณห่วงฉันหรือตู้เย็นกันแน่”

“ห่วงตู้เย็นสิ ไม่มีตู้เย็นคงลำบากแย่ ผมต้องดื่มน้ำเย็นๆ เท่านั้นเสียด้วย ไม่อย่างนั้นจะหงุดหงิดมากเชียวละ ไม่เชื่อถามพี่ใบป่านขาของคุณได้เลย”

ชายหนุ่มรวนเข้าให้ ไอศิกาถอนใจ เธอไม่ควรคิดหาคำพูดเป็นสาระแก่นสารจากผู้ชายคนนี้เลยให้ตายเถอะ ลื่นเป็นปลาไหล ถามอย่างหนึ่งแต่เฉไฉตอบอีกอย่าง ไม่รู้เรื่องไหนพูดจริงหรือพูดเล่นกันแน่

“งั้นไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ หัวฉันคงแตกก่อนตู้เย็นสุดที่รักของคุณจะพังแน่”

“แหม ผมแค่พูดเล่นคุณก็เชื่อเป็นตุเป็นตะเชียว” หย่งเต๋อเลื่อนชามเชอร์รีไปตรงหน้าหญิงสาวด้วยรอยยิ้ม “กินอีกสิ ของชอบของคุณไม่ใช่หรือไง”

ประโยคหลังของเขาสะดุดหูเธออย่างประหลาด เขารู้...ว่าเธอชอบเชอร์รีอย่างนั้นหรือ นั่นก็หมายความว่า...

“ที่จริง...คุณไม่ได้ชอบเชอร์รีมากอย่างที่คุณบอกฉันใช่ไหมคะ” ไอศิกาจ้องหน้าชายหนุ่มตรงๆ เขาไม่ตอบ เพียงแต่กระตุกมุมปากซ้ายขึ้นเป็นรอยยิ้มยียวนกลับมาให้ แต่นั่น...แทนคำตอบที่เธออยากรู้ทั้งหมดได้เป็นอย่างดี “เอาเป็นว่า...ฉันขอบคุณก็แล้วกัน”

หญิงสาวพูดอ้อมแอ้มไม่เต็มเสียงก่อนจะหยิบเชอร์รีเข้าปากเคี้ยวแก้เขิน ยายลูกแก้วเอ๊ย...ทำไมต้องใจเต้นกับเรื่องแค่นี้ด้วยเล่า

“ใครว่าผมไม่ชอบกันเล่า” ดวงตาคมกริบหลุบมองเรียวปากอิ่มที่แดงฉ่ำดุจผลเชอร์รีอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้เจ้าของร่างบอบบาง “ที่จริง...ผมชอบเชอร์รีมากเลยรู้ไหม”

...โดยเฉพาะผลที่ดูชุ่มฉ่ำล่อตาล่อใจอยู่ตรงหน้านี่อย่างไรเล่า...

“ถ้าอย่างนั้นก็กินสิคะ”

ไอศิกาเลื่อนชามเชอร์รีกลับไปตรงหน้าชายหนุ่ม โดยไม่ทันสังเกตว่าสายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่ดวงหน้ากระจ่างใสของตนแทบตลอดเวลา

“ถ้าคุณอนุญาต ผมก็ไม่เกรงใจละนะ”

แทนที่หย่งเต๋อจะหยิบเชอร์รีในชามกินอย่างที่หญิงสาวคิด เขากลับโน้มตัวลงชิมริมฝีปากแดงจัดของเธอแทน

“นี่...คุณ...จะทำอะไร...อย่า...” ไอศิกาใจหายวาบ รู้สึกคล้ายมีกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ ไหลผ่านริมฝีปากหยักลึกที่แนบสนิทอยู่กับเรียวปากของตน เธอพยายามผลักไสเขาให้ออกห่าง แต่กลับถูกวงแขนแข็งแรงดึงเข้าไปชิดแผงอกกว้าง “ปล่อยนะ...ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนี้...”

หญิงสาวร้องอุทธรณ์เสียงอู้อี้ แต่การเผยอริมฝีปากพูดกลับกลายเป็นการเปิดโอกาสให้เรียวลิ้นร้อนแทรกเข้าไปดื่มด่ำรสชาติพิสุทธิ์ที่ไม่เคยมีใครล่วงล้ำมาก่อนอย่างง่ายดาย

“หวานจริงๆ ด้วย...”

ชายหนุ่มครางเสียงต่ำอย่างพึงใจ รสจูบที่ได้รับจากสาวน้อยในอ้อมแขนแตกต่างจากจูบที่ได้รับจากปริมลโดยสิ้นเชิง ไม่สิ...ต้องเรียกว่าแตกต่างจากผู้หญิงทุกคนที่เขาเคยจูบมาจะดีกว่า เขาไม่เคยจูบผู้หญิงที่ตอบสนองต่อสัมผัสรุกเร้าของเขาด้วยเนื้อตัวสั่นเทาเพียงนี้มาก่อน ไอศิกาตัวเล็กและบอบบางมากจนเขารู้สึกว่าต้องแตะต้องเธออย่างทะนุถนอม เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องขยับริมฝีปากแบบไหนหรือตอบรับปลายลิ้นของเขาอย่างไร ถ้าเดาไม่ผิดละก็ นี่จะต้องเป็น...จูบแรกของแม่เด็กน้อยคนนี้แน่ๆ

“ปล่อย...”

เสียงหวานผะแผ่วที่มาพร้อมรสปะแล่มของน้ำตาทำให้หย่งเต๋อต้องถอนจูบอย่างสุดแสนเสียดาย หัวใจของลูกมังกรสั่นไหวเมื่อเห็นว่าดวงหน้าของหญิงสาวบิดเบี้ยวเหยเกและเต็มไปด้วยคราบน้ำตา

“คุณลูกแก้ว...”

ไอศิกาผลักชายหนุ่มออกห่าง ดวงตากลมโตเต้นระริกเมื่อเห็นชัดถนัดตาว่าบนคอเสื้อยืดของเขามีรอยลิปสติกสีชมพูประทับอยู่ เธอจำได้ทันทีว่านั่น...เป็นสีลิปสติกที่ปริมลทาเมื่อตอนกลางวัน ทีนี้เธอก็รู้แล้วว่าเขาหายไปไหนมาตลอดบ่าย!

หย่งเต๋อก้มลงมองตามสายตาของหญิงสาวแล้วสบถในใจ ฉิบหายแล้วไหมเล่า!

“ฉันอาจจะตกอับอย่างที่ปริมพูด แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณจะทำกับฉันเหมือนผู้หญิงราคาถูกแบบนี้ได้”

“พูดอะไรของคุณ ผมไม่ได้คิดอย่างนั้น...”

เผียะ!

เสียงฝ่ามือกระทบผิวแก้มดังกลบทุกคำพูดของชายหนุ่มไปจนสิ้น เขารู้สึกเหมือนใบหน้าชาไปทั้งแถบ ยายเด็กคนนี้มือหนักเป็นบ้า!

“คุณลูกแก้ว...”

“อย่ามาเรียกชื่อฉัน” หญิงสาวโกรธจนตัวสั่น “ต่อจากนี้ไป...อย่ามายุ่งกับฉันอีก!”

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น