“เดี๋ยวสิคุณ ช่วยอธิบายให้ฉันฟังชัดๆ ก่อนได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
ไอศิกาพูดเสียงปนหอบขณะจับจ้องแผ่นหลังของคนที่จูงมือพาตนกึ่งเดินกึ่งวิ่งฝ่าฝูงชนด้วยแววตาเต็มไปด้วยคำถาม มืออีกข้างหอบหิ้วตุ๊กตากระต่ายอย่างทุลักทุเล
“ที่ผมบอกว่าพวกมันมีอาวุธครบมือยังชัดเจนไม่พออีกเหรอคุณหนู เด็กอนุบาลยังฟังเข้าใจเลยว่าอันตราย”
หย่งเต๋อพูดโดยไม่หันกลับมามองหน้าหญิงสาว เขารั้งตัวเธอเข้ามาชิดกายแกร่งแล้วโอบวงแขนรอบบ่าบอบบางของเธอไว้แน่นเพื่อพาออกเดินให้เร็วขึ้น
“ฉันรู้ย่ะว่าอันตราย!” ไอศิกาหยิกเอวเขาเต็มแรง แต่คนหนังหนากลับไม่สะทกสะท้านสักนิด หน็อย...หน้าหนาไม่พอ ยังหนาไปทั้งตัวอีก! “แต่ฉันอยากรู้ว่าคนพวกนั้นเป็นใคร ทำไมเราถึงต้องหนีพวกเขาด้วย”
“ผมจะไปรู้เรอะว่าไอ้พวกเวรนั่นเป็นใคร ก็เพิ่งเห็นหน้ามันพร้อมคุณนี่ละ”
ชายหนุ่มกวาดตามองไปรอบๆ อย่างระแวดระวังพลางนับจำนวนแขกไม่พึงประสงค์ที่แฝงตัวอยู่ตามจุดต่างๆ อย่างรวดเร็วตามสัญชาตญาณ หนึ่ง..สอง..แปด...เท่าที่เห็นมีกันแปดคน ตีรวมๆ ไว้ก่อนว่าสิบเพราะอาจมีคนที่ซุ่มดูเหตุการณ์เงียบๆ อยู่อีกสักสองสามคน
...ล่าตัวผู้หญิงคนเดียว...ไม่น่าต้องใช้คนมากถึงขนาดนี้ เว้นแต่...มีแผนอื่น...
“แล้วรู้ได้ยังไงว่าพวกเขาอันตราย ทำไมเราไม่ลองคุยกับพวกเขาดีๆ ก่อนว่าต้องการอะไร”
ไอศิกาขยับตัวอย่างอึดอัด ไออุ่นจากกายของเขาทำเอาดวงหน้าของเธอเห่อร้อนไปหมด
“จำใส่กะโหลกไว้เลยนะทูนหัว เรา-ไม่-คุย-กับ-คน-มี-อาวุธ” หย่งเต๋อก้มลงมองคนข้างตัวด้วยความรู้สึกเหมือนอยากจะจับแม่คนเจ้าปัญหาขึ้นพาดบ่าแล้วฟาดก้นแรงๆ สักป้าบ หน้าสิ่วหน้าขวานขนาดนี้ยังมีแก่ใจเล่นเกมยี่สิบคำถามอยู่ได้ “แล้วก็ไม่ต้องถามต่อนะว่ารู้ได้ยังไงว่าพวกเขามีอาวุธ ผมรู้ก็เพราะผมรู้ มันเป็นอาชีพของผม”
หญิงสาวตัวแข็งทื่อเมื่อหัวไหล่สัมผัสถูกอาวุธเย็นเฉียบที่ชายหนุ่มซ่อนไว้ใต้เสื้อ ภาพเหตุการณ์วันที่ถูกไล่ล่ากลางเมืองลอยกลับเข้ามาในสมองอีกครั้งและทำให้เธอตัวสั่นขึ้นมาอย่างสุดจะห้ามได้
“แล้วเราจะทำยังไง...”
“อย่างแรกเลยคือหุบปากแล้วทำตามที่ผมบอก” หย่งเต๋อกระชับอ้อมแขนแน่นเข้าเมื่อสัมผัสได้ถึงความหวาดหวั่นที่ส่งผ่านผิวหนังของหญิงสาวออกมาอย่างชัดแจ้ง “คุณเชื่อใจผมไหม”
“เชื่อสิ...”
ไอศิกาพยักหน้า เขาเคยช่วยชีวิตเธอมาแล้วครั้งหนึ่ง ทำไมเธอจะไม่เชื่อใจเขากันเล่า
“ว่าง่ายๆ แบบนี้ค่อยน่ารักหน่อย” ชายหนุ่มประคองหญิงสาวให้เดินต่อไปด้วยความเร็วคงที่ “เราไม่รู้จุดประสงค์ของคนพวกนั้น แต่ลองพกอาวุธมาเต็มอัตราศึกแบบนี้ย่อมไม่ได้มาอย่างสันติแน่”
“คนเยอะขนาดนี้ คนพวกนั้นคงไม่กล้าลงมือรุนแรงหรอกมั้งคะ”
หญิงสาวตัวสั่นมากขึ้น เธอเริ่มมองเห็นจากหางตาว่าในฝูงชนที่เดินเที่ยวงานอยู่นั้นมีผู้ชายท่าทางแปลกหนึ่งหรือสองคนเดินจ้ำเท้าตามพวกเธอมาห่างๆ อย่างไม่พยายามปิดบังตัวตน คล้าย...ต้องการประกาศศึกอยู่กลายๆ
“ได้แค่กันไม่ให้ลงมือทันทีต่างหาก ถ้าพวกมันล้อมเราไว้ได้เมื่อไหร่ก็จบ ฉะนั้นต้องหาทางสลัดพวกมันให้หลุด อย่าให้พวกมันเข้าถึงตัวพวกเราเป็นอันขาด”
หย่งเต๋อรักษาระยะห่างจากกลุ่มคนที่คอยตามติดให้มากที่สุด แต่ในขณะเดียวกันก็พยายามเกาะกลุ่มกับฝูงชนรอบด้านเอาไว้เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายมีโอกาสลงมือโดยง่าย
“ถ้า...ถ้าเรารีบหาที่ซ่อนตัวแล้วโทร. แจ้งเจ้าหน้าที่คนอื่นล่ะ...”
ไอศิกาพูดตะกุกตะกัก ความกลัวเริ่มคืบคลานเข้าเกาะกุมหัวใจและไล่ลามไปจนถึงความคิดด้วย
“อย่าโง่ไปหน่อยเลยคุณ เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเกลือเป็นหนอน ต้องมีคนคอยรายงานความเคลื่อนไหวของคุณให้คนพวกนี้รู้แน่ๆ ไม่อย่างนั้นจ้างให้พวกมันไม่มีทางหาตัวคุณเจอเร็วขนาดนี้หรอก”
นึกแล้วก็โกรธภัทรพลยิ่งนัก เขาเตือนแล้วว่าให้เช็กประวัติลูกน้องให้ดีก่อนส่งมาประกบคุณหนูของพิมพ์สุริยา สุดท้าย...ก็พลาดอีกจนได้ สงสัยถ้าคืนนี้รอดกลับไปได้ เขาคงต้องลงมือเชือดไอ้พวกที่ลอยหน้าลอยตาอยู่ในห้องมอนิเตอร์ยกก๊วนเสียแล้วกระมัง ยิงทิ้งมันให้หมดนั่นละ ไม่ต้องมานั่งหาว่าใครเป็นหนอนบ่อนไส้ให้เสียเวลา!
“คุณ...นะ...นะโม...”
หญิงสาวกระตุกแขนเสื้อของชายหนุ่มเมื่อเห็นชายฉกรรจ์สองคนพุ่งมาดักพวกตนเอาไว้โดยไม่ทันตั้งตัว จะหันหลังกลับก็ถูกอีกสามคนล้อมไว้จากด้านหลัง กลุ่มคนเหล่านั้นเปิดเสื้อแจ็กเกตที่สวมอยู่พอให้เห็นด้ามปืนที่เหน็บอยู่ด้านในแว้บๆ ก่อนจะรีบปิดอย่างรวดเร็ว หย่งเต๋อยืนนิ่ง ดวงตาคมกริบหรี่ลงนิดๆ อย่างเอาเรื่อง
“อย่าส่งเสียงเชียว ไม่อย่างนั้นนังนี่ตายก่อนใครเพื่อน”
ชายคนที่อยู่ด้านหลังปราดเข้ามาประชิดสองหนุ่มสาวอย่างรวดเร็ว ปากกระบอกปืนเย็นเฉียบที่ถูกกดแนบสีข้างเพื่อหลบสายตาผู้คนทำเอาเลือดในกายของไอศิกาแตะจุดเยือกแข็งจนเย็นเฉียบ เธอมองดูชายคนเดิมดึงปืนที่เหน็บเอวของอินเตอร์โพลหนุ่มส่งให้คนที่ยืนรออยู่ด้านข้างอย่างเงียบเชียบและรวดเร็วเหลือเชื่อ หญิงสาวกวาดตามองไปยังผู้คนที่เดินขวักไขว่รอบด้าน ไม่น่าเชื่อว่าไม่มีใครสังเกตเลยสักนิดว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับเธอ!
“เดินตามมาทางนี้”
ชายอีกคนรุนหลังของหย่งเต๋อเป็นเชิงสั่งให้ออกเดิน ไอศิกาเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของวงแขนที่ยังโอบกระชับอยู่รอบบ่าบอบบางของตนด้วยนัยน์ตาเต้นระริก
“เชื่อใจผม คุณลูกแก้ว แล้วทุกอย่างจะดีเอง”
หย่งเต๋อกดเสียงต่ำพอให้ได้ยินกันสองคน แม้เสียงนั้นจะเบานัก ทว่ากลับดังก้องในใจของหญิงสาวอย่างชัดเจน ชัด...เสียจนเธอเผลอพยักหน้ารับคำโดยไม่รู้ตัว กลิ่นอายจากกายเขาทำให้ความหวาดกลัวที่ถาโถมเข้าจู่โจมหัวใจระลอกแล้วระลอกเล่าค่อยๆ สงบรำงับลงอย่างประหลาด
“เดินให้มันเร็วๆ หน่อย!”
ชายคนหนึ่งเค้นเสียงลอดไรฟันพลางเตะน่องด้านหลังของลูกมังกรหนุ่มเต็มแรง หย่งเต๋อไม่ตอบโต้ เขาเพียงแสยะยิ้มเหี้ยมเกรียมแล้วปล่อยให้กลุ่มชายฉกรรจ์ที่ห้อมล้อมพาเดินไปยังริมหาดที่อยู่ห่างจากบริเวณจัดงานค่อนข้างมากโดยไม่ขัดขืนแม้แต่นิด
“คุกเข่า” เสียงคนใดคนหนึ่งในกลุ่มดังขึ้นเมื่อพาสองหนุ่มสาวเดินมาจนถึงดงต้นสนที่ค่อนข้างลับตาคน หย่งเต๋อยังคงยืนนิ่ง สีหน้าเรียบเฉยเหมือนไม่รู้สึกรู้สมใดๆ กับปากกระบอกปืนที่จ่ออยู่ด้านหลัง
“บอกให้คุกเข่าไงเล่า! ยกมือขึ้นประสานไว้บนหัวด้วย!” คนที่ยืนอยู่ด้านหลังตะคอกเสียงต่ำก่อนจะเตะที่ข้อพับเข่าของชายหนุ่ม ทำให้เขาทรุดเข่าลงกระแทกพื้นทรายโดยอัตโนมัติ
“คุณนะโม!”
ไอศิกาผวาจะเข้าไปหาชายหนุ่ม แต่กลับถูกกระชากคอเสื้อด้านหลังเอาไว้ ก่อนจะผลักให้ล้มกลิ้งโค่โล่ไปอีกทาง
“อย่าทำผู้หญิง”
หย่งเต๋อพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบขณะยกมือขึ้นประสานไว้บนศีรษะหลวมๆ ด้วยท่าทางสบายๆ สีหน้าของเขานิ่งประดุจสวมหน้ากากหยก แม้แต่แววตายังเย็นเยียบในแบบที่ไอศิกาที่เพิ่งเงยหน้าขึ้นมาเห็นแล้วอดขนลุกไม่ได้ เป็นครั้งแรกที่เธอสัมผัสได้ถึงไอสังหารรุนแรงจากผู้ชายที่ชอบทำหน้าเป็นหรือไม่ก็ทำท่ายียวนใส่คนรอบข้างตลอดเวลา
“ถ้าทำแล้วจะทำไม แกจะมีปัญญาทำอะไรพวกฉันได้วะ” เสียงของคนที่ยืนอยู่ด้านหลังดังเยาะหยัน ขณะกดปากกระบอกปืนแนบท้ายทอยของชายหนุ่ม “อย่าริทำตัวเป็นฮีโรอวดสาวหน่อยเลย อีกเดี๋ยวแกก็ต้องลงนรกไปสวัสดียมบาลล่วงหน้าแล้ว”
คนพูดพยักหน้าเป็นสัญญาณให้คนรอบตัวหมุนไซเลนเซอร์หรือที่เก็บเสียงติดกับปากกระบอกปืนแล้วเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม
“ในเมื่อแกห่วงนังคุณหนูนี่มากนัก ฉันก็จะช่วยสงเคราะห์ให้ลงนรกไปพร้อมๆ กันเลยดีไหม จะได้ไม่เหงา”
“เป็นความคิดที่ไม่เลว” หย่งเต๋อหัวเราะเสียงต่ำในลำคอ “ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ไปด้วยกันเลยไหมเล่า ฉันเองก็ไม่อยากให้พวกแกเหงาเหมือนกัน”
“ปากดีนี่ ไม่กลัวตายซะด้วย” คนที่อยู่ด้านหลังกระแทกปากกระบอกปืนออโตเมติกกับท้ายทอยของชายหนุ่มซ้ำๆ น้ำเสียงและแววตาแสดงความดูถูกอย่างชัดแจ้ง ปลายนิ้วแตะไกในโกร่งปืนพร้อมยิงทุกเมื่อ “ถ้าจะแค้นก็ไปแค้นไอ้ ภาม พิมพ์สุริยา กับไอ้หวังเสี้ยวเทียนเถอะ ที่ทำให้แกต้องเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่”
“สองคนนั้นไปเหยียบตาปลาใครเข้าล่ะ ฉันถึงต้องพลอยซวยไปด้วยขนาดนี้”
หย่งเต๋อค่อยๆ คลายนิ้วที่ประสานบนศีรษะออกจากกันทีละนิดโดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น เขาเหลือบมองไอศิกาที่นอนหมอบอยู่บนพื้นโดยมีคนจ่อปืนคุมเชิงอยู่เพียงครู่ก่อนจะดึงสายตากลับ ดวงหน้าของเธอซีดเผือดด้วยความกลัวอย่างเห็นได้ชัดแม้อยู่ในเงามืด
“นั่นไม่ใช่เรื่องที่บอดีการ์ดเกรดต่ำอย่างแกจำเป็นต้องรู้”
“ไหนๆ ฉันก็จะตายอยู่แล้ว จะไม่บอกให้หายสงสัยหน่อยเร้อ เวลาไปเจอยมบาลจะได้บอกถูก”
คิ้วซ้ายของชายหนุ่มเลิกขึ้นนิดๆ อย่างยียวน
“นี่แกคิดว่าพวกฉันเป็นเพื่อนเล่นหรือไงวะ จะตายโหงอยู่แล้วแท้ๆ” ชายคนที่เตะขาหย่งเต๋อให้ออกเดินตอนอยู่ในงานเทศกาลคำรามเสียงต่ำ “ปากเก่งอย่างนี้ยิงทิ้งให้จบเรื่องไปเถอะพี่ หมั่นไส้ฉิบ!”
“ก็คิดว่าเป็นเพื่อนเล่นน่ะสิถึงได้ลดตัวลงมาเล่นด้วย” หย่งเต๋อก้มหน้าลงนิดหนึ่ง ซ่อนประกายตาวาวโรจน์ไว้ในความมืด “แต่ถ้าไม่อยากเล่นแล้วก็ตามใจ เลิกเล่นก็ได้”
สิ้นคำพูด ลูกมังกรหนุ่มก็คว้าปากกระบอกปืนที่จ่อท้ายทอยของตนไว้แล้วปลดแมกาซีนบรรจุกระสุนให้หล่นลงสู่พื้นทรายด้วยความเร็วชนิดที่เจ้าของปืนชิงเหนี่ยวไกไม่ทัน แต่ก่อนที่จะทันตั้งตัวก็ถูกคนที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นพลิกตัวกลับมาตวัดขาเตะข้อเท้าจนล้มหงายกระแทกพื้นโครมใหญ่
“ไอ้ระยำเอ๊ย!”
กลุ่มชายฉกรรจ์พุ่งเข้าใส่ชายหนุ่ม แต่ยังไม่กล้ายิงด้วยกลัวว่าจะถูกเพื่อนของตนที่อยู่บนพื้น จึงกลายเป็นการเปิดโอกาสให้หย่งเต๋อกระชากมีดสั้นที่รัดติดกับข้อเท้าออกมาขว้างปักเข้ากลางอกของคนแรกที่พุ่งเข้ามาหาตนล้มลงขาดใจตายในทันที
“นะโม! ระวัง!”
ไอศิกากรีดร้องเสียงหลงเมื่อเห็นชายหนุ่มพุ่งเข้าใส่กลุ่มคนที่เล็งปืนไปทางตนอย่างบ้าระห่ำ เธอรู้ว่าเขาห่ามแค่ไหน แต่ไม่เคยคิดว่าจะห่ามถึงเพียงนี้!
ปุ! ปุ! ปุ!
เสียงกระสุนที่พุ่งผ่านไซเลนเซอร์พุ่งเจาะผืนทรายนั้นแผ่วเบา ทว่าพาให้เลือดในกายทุกหยาดหยดของหญิงสาวเย็นเฉียบราวน้ำแข็งขั้วโลก เธอพยายามรวบรวมความกล้าแล้วคลานหนี แต่กลับถูกคนร้ายคนหนึ่งจิกผมแล้วกระชากเต็มแรงจนหน้าหงาย
“จะไปไหน นังตัวดี!”
ต่อให้เสียงชุลมุนวุ่นวายดังเพียงไหน เธอก็ยังได้ยินเสียงคนที่อยู่ด้านหลังง้างไกปืนดังกริ๊ก ดวงตากลมโตเต้นระริก ภาพความทรงจำที่ทำให้เธอหวาดกลัวที่สุดในชีวิตย้อนกลับเข้ามาในสมอง
‘ลูกแก้ว...หนีไปลูก!...หนีไป ไม่ต้องห่วงแม่!’
เสียงกรีดร้องของมารดาที่เธอคิดว่าลืมเลือนไปนานแสนนานกลับมาดังกึกก้องในโสตประสาทอีกครั้ง กลิ่นเขม่าดินปืนผสมกลิ่นคาวเลือดจางๆ ในครั้งนั้นลอยคละลุ้งอยู่ในห้วงความคิดและทำให้เธอสั่นสะท้านไปทั้งตัว
“ฉันบอกพวกแกแล้วไงว่า อย่า-ทำ-ผู้หญิง!”
หย่งเต๋อคำรามเสียงเหี้ยมขณะกดปากกระบอกปืนลงบนขมับของชายเคราะห์ร้ายแล้วลั่นไกโดยไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย ไอศิกาหันกลับมาเห็นภาพในจังหวะที่กระสุนทะลุผ่านขมับของชายผู้นั้นพอดี
“กรี๊ด!”
หญิงสาวกรีดร้องทันทีที่เห็นคนที่กระชากผมตนเองล้มลงนอนจมกองเลือดอยู่ตรงหน้า แต่ที่ทำให้เธอแทบเป็นลมสิ้นสติคือคราบเกรอะกรังที่ติดอยู่ตามเนื้อตัวของอินเตอร์โพลหนุ่มบ้าดีเดือดของเธอต่างหาก
“มัวนั่งเซ่ออะไรอยู่เล่า มานี่!”
หย่งเต๋อคว้าแขนหญิงสาว ฉุดให้ลุกขึ้นแล้วออกวิ่งสุดฝีเท้า
ปุ! ปุ! ปุ!
กระสุนพุ่งเจาะผืนทรายไล่หลังสองหนุ่มสาวมาติดๆ ไอศิกาไม่ประหลาดใจนักที่เสียงฝีเท้าที่กำลังไล่ตามมานั้นเบากว่าที่ควรจะเป็น ในเมื่อเธอหันกลับไปเห็นเงาร่างของคนหลายคนนอนเกลื่อนกลาดอยู่บนพื้นเบื้องหลัง...ไร้สัญญาณชีพ ไร้ลมหายใจ นะโมฆ่าคนพวกนั้นไปกว่าครึ่งในเวลาชั่วพริบตาและอย่างเลือดเย็นที่สุด ทั้งที่ตอนแรกเขาตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบแท้ๆ แต่กลับพลิกสถานการณ์ได้อย่างเหลือเชื่อ
“มาทางนี้”
หย่งเต๋อพาไอศิกาวิ่งหลบเข้าไปในป่าสน เขาอาศัยความมืดของราตรีกาลและเงาของต้นสนที่ขึ้นหนาแน่นกำบังกาย หญิงสาวสะดุดรากไม้และก้อนหินจนเกือบหน้าคะมำหลายครั้ง แต่ชายหนุ่มก็คว้าตัวเธอไว้ได้ทุกครา และแม้ว่าเขาจะวิ่งนำหน้าเธออยู่ เขาก็ยังคอยหักกิ่งไม้เล็กๆ ที่อาจจะฟาดหรือข่วนหน้าตาเนื้อตัวให้เธอไปด้วยจนเธออดประหลาดใจไม่ได้ว่า นี่น่ะหรือคือผู้ชายคนเดียวกับที่เพิ่งสังหารโหดมนุษย์ร่วมเผ่าพันธุ์ด้วยสีหน้าเรียบเฉยประหนึ่งไร้ความรู้สึก
“มันอยู่ทางนั้น!”
เสียงตะโกนที่ดังไล่หลังมาทำให้หย่งเต๋อเร่งฝีเท้าขึ้นอีก ลำพังเขาคนเดียวเอาตัวรอดได้สบายอยู่แล้ว ทว่าเมื่อมีหญิงสาวที่บอบบางและอ่อนแอจนเรียกได้ว่าเกือบจะเป็นตัวถ่วงแบบนี้อยู่ด้วย เขาก็ทำอะไรไม่ถนัดนัก ดวงตาคมกริบตวัดมองไปยังพุ่มไม้ที่ขึ้นหนาแน่นเบื้องหน้า เขาถอดเสื้อแจ็กเกตที่สวมอยู่แล้วคลุมตัวไอศิกาไว้อย่างรวดเร็วก่อนจะผลักเธอให้นั่งลงใต้พุ่มไม้
“คุณหลบอยู่ตรงนี้นะ ถ้าไม่ได้ยินเสียงผมห้ามออกมาเด็ดขาด”
“อย่าไป...อย่าทิ้งฉันไว้คนเดียว...”
เสียงของไอศิกาสั่นพอๆ กับร่างกาย มือน้อยยึดชายเสื้อยืดเปื้อนเลือดของชายหนุ่มไว้แน่นราวเป็นที่พึ่งสุดท้ายในโลก หย่งเต๋อหลุบตามองมือของหญิงสาวอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะโน้มตัวลงแนบริมฝีปากลงบนกลีบปากอิ่มของเธออย่างนุ่มนวล
“เชื่อใจผมนะลูกแก้ว ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย ผมไม่มีวันยอมให้พวกมันแตะต้องคุณอีกแน่” ชายหนุ่มกระซิบเสียงแผ่วขณะถอนริมฝีปากออก
ไอศิกาช้อนตาขึ้นมองใบหน้าของเขาที่มีคราบเลือดติดอยู่ด้วยความรู้สึกสับสน เขาฉวยโอกาสล่วงเกินเธออีกแล้ว แต่ไม่รู้ทำไมหัวใจเจ้ากรรมถึงได้สั่งให้เธอพยักหน้ารับคำเขาแต่โดยดี
“เด็กดี ว่าง่ายๆ อย่างนี้ค่อยน่ารักหน่อย”
หย่งเต๋อจูบปลายจมูกของสาวน้อยตรงหน้าอีกครั้งก่อนจะผละหายไปในความมืด ทิ้งให้เธอนั่งมองตามแผ่นหลังของเขาไปจนลับสายตา
“ทางซ้าย! มันอยู่ทางซ้าย!”
เสียงตะโกนดังขึ้นขณะที่หย่งเต๋อออกวิ่งไปยังทิศทางตรงกันข้ามกับที่เขาพาตัวไอศิกาไปซ่อนไว้ เมื่อปรับสายตาเข้ากับความมืดได้แล้ว การวิ่งในดงต้นสนที่ขึ้นบนพื้นทรายและเต็มไปด้วยก้อนหินน้อยใหญ่จึงไม่ใช่อุปสรรคสำหรับเขาอีกต่อไป ประสบการณ์ในการออกไล่ล่าสังหารศัตรูของฮวงหลงตลอดระยะเวลาเจ็ดปีที่ผ่านมาทำให้เขาแกร่ง สามารถปรับตัวกับสถานการณ์รอบด้านได้อย่างว่องไวและลื่นไหลชนิดหาตัวจับยาก
“ใครว่าทางซ้ายกันเล่า ฉันอยู่ข้างหลังแกต่างหาก”
หย่งเต๋อคว้าคอคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าแล้วจ่อยิงทะลุท้ายทอยในระยะเผาขน เลือดสีแดงฉานกระเซ็นเปรอะเปื้อนใบหน้า แต่เขาหาได้ใส่ใจไม่ เขาเพียงผลักร่างของเหยื่อให้ล้มคว่ำลงกับพื้นก่อนจะหยิบปืนและแมกาซีนบรรจุกระสุนออกมาจากกระเป๋าเสื้อของศพด้วยสีหน้าเฉยชา
...ผู้ที่แข็งแกร่งกว่าเท่านั้นจึงจะอยู่รอด...
...หากอยากปกป้องคนของตนเองจากมารร้าย ก็มีแต่ต้องกลายเป็นพญามารผู้เหี้ยมโหดกว่าให้จงได้...
นี่คือ...สิ่งที่เขาได้เรียนรู้จากเหอจวิ้นเจี๋ยในคืนอันโหดร้ายที่บองลิเยอ คืน...ที่เปลี่ยนชีวิตของเขาและเฉินกุ้ยไปตลอดกาล
“เหลืออีกสามสินะ”
หย่งเต๋อพึมพำพลางเร้นตัวกลับเข้าไปในเงามืด ริมฝีปากหยักลึกยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเยาะหยันเมื่อเห็นศัตรูสองคนวิ่งพล่านไปทั่วเหมือนหนูติดจั่น เห็นได้ชัดว่าคนพวกนี้ไม่ใช่มือระดับพระกาฬ เป็นเพียงพวกปลายแถวที่มักได้รับคำสั่งให้ไปทำงานกระจอก อาทิ เชือดผู้หญิงและเด็ก ซึ่งถือเป็นงานต่ำและไม่มีนักเลงมีศักดิ์มีศรีคนใดรับทำกัน สิ่งที่มือปืนจะไม่มีวันทำเด็ดขาดคือยิงเด็ก ผู้หญิง คนท้อง หรือคนชราไร้ทางสู้อย่างที่กำลังทำอยู่นี้
ปุ! ปุ!
ชายหนุ่มเหนี่ยวไกยิงเจาะศีรษะของสองคนที่วิ่งเข้ามาในระยะกระสุนอย่างแม่นยำราวจับวาง เขามักรอจังหวะเพื่อเล็งจุดตายเสมอเพื่อไม่ให้เสียเวลา ในขณะที่เฉินกุ้ยมักเป็นคนคอยตรวจดูให้แน่ใจว่าไม่มีศัตรูคนไหนรอดชีวิตและระวังหลังให้
บ้าเอ๊ย...นึกถึงไอ้ตี๋เล็กแล้วหงุดหงิดฉิบ...จู่ๆ ก็ทิ้งให้เขาเหนื่อยคนเดียวหน้าตาเฉย กลับมาต้องแกล้งเสียให้เข็ด!
“ไอ้เวรเอ๊ย! อย่าอยู่เลย!”
เงาร่างหนึ่งกระโจนมาจากด้านหลังแล้วล็อกคอหย่งเต๋อเอาไว้แน่น สิ่งแรกที่ชายหนุ่มทำคือหันปากกระบอกปืนไปแนบท้องอีกฝ่ายแล้วลั่นไกสองนัดติดกัน
“แก...”
คนที่อยู่ด้านหลังเอ่ยได้เพียงเท่านั้นก็คลายมือแล้วทรุดลงนั่งคุกเข่ากับพื้น หย่งเต๋อไม่รอช้าหันมาตวัดเท้าเตะเข้าที่ใบหน้าของคู่อริเต็มรักจนล้มหงายหลังนอนแผ่สิ้นพิษสง ชายหนุ่มกระตุกยิ้มเย็นชาก่อนจะกระทืบเท้าลงบนอกของคนที่นอนหายใจรวยรินเต็มรัก ชายเคราะห์ร้ายร้องไม่ออก เนื้อตัวสั่นเทาเมื่อได้ยินเสียงกระดูกซี่โครงของตนเองหักดังกร๊อบ มือข้างหนึ่งพยายามเอื้อมไปยังปืนที่กระเด็นหลุดมือไปตั้งแต่ถูกยิงสองนัดแรก แต่หย่งเต๋อรู้ทัน กระทืบข้อมือของเขาจนหักคาเท้าในคราเดียว
“ใครส่งแกมา”
หย่งเต๋อเอ่ยเสียงเย็นขณะเปลี่ยนแมกาซีนชุดใหม่ช้าๆ มองคนที่ดิ้นทุรนทุรายด้วยแววตาเฉยชา
“แก...แก...เป็นใคร...” เลือดที่ทะลักออกมาทางปากและจมูกทำให้เสียงพูดของเขาอู้อี้ฟังแทบไม่ได้ศัพท์ “แก...ไม่ใช่อิน...อิน...เตอร์โพล...”
“ก็ไม่เคยพูดว่าใช่” ชายหนุ่มทำเสียงขึ้นจมูก “พวกแกนี่เหมือนกันหมดจริงจริ๊ง ชอบตอบคำถามด้วยการถามกลับ เสียเวลาฉิบ”
ปุ!
คนที่นอนอยู่บนพื้นตาเหลือกเมื่อเจ้าของร่างสูงใหญ่ที่ยืนคร่อมอยู่เหนี่ยวไกปืนยิงพื้นทรายห่างจากใบหูของตนไปเพียงไม่กี่มิลลิเมตร
“ยะ...อย่า...”
“ถ้าไม่อยากให้นัดต่อไปเจาะกะโหลกก็ตอบมาได้แล้วว่าใครส่งแกมา”
หย่งเต๋อหันปากกระบอกปืนเล็งไปที่หน้าผากของร่างใต้อาณัติ ไอสังหารที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างใหญ่โตประหนึ่งกำแพงมีชีวิตทำเอาคนมองตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว
คนที่มีกลิ่นอายแบบนี้...ไม่มีทางเป็นคนของตำรวจสากลไปได้ กลิ่นอายแบบนี้...เป็นได้อย่างเดียวเท่านั้น...อาชญากร!
“ฉัน...ฉันไม่รู้ชื่อผู้ว่าจ้าง...” เสียงของเขาสั่นเทาและแหบโหย “พวกเรา...รับคำสั่งจากคนในอินเตอร์โพล...มาอีกทีว่าให้...กำจัดลูกสาวของไอ้ภาม...หาทางโยนความผิดให้...เปี้ยน...เปี้ยนเหลี่ยนหวัง...”
“โยนความผิดให้เปี้ยนเหลี่ยนหวัง?” คิ้วเข้มเลิกขึ้นนิดๆ ขณะที่ริมฝีปากหยักลึกยกแย้มขึ้นเป็นรอยยิ้มขบขัน แหม...ชักสนุกแฮะ “จะหาเรื่องให้ฮวงหลงตีกับไอ้ภามไปทำไม ในเมื่อพวกมันก็เป็นศัตรูกันอยู่แล้ว”
...หรือ...จะหาเหตุให้อินเตอร์โพลมีข้ออ้างในการกวาดล้างฮวงหลงกันเล่า...
“ฉันไม่รู้...ได้รับคำสั่งมาแค่ไหน ก็ทำแค่นั้น...”
ร่างของชายเคราะห์ร้ายกระตุกถี่ๆ อย่างน่าสมเพช เลือดสีแดงสดทะลักออกมาจากรูกระสุนที่ช่องท้องอย่างน่าสะพรึง หย่งเต๋อหลุบตาลงมองบาดแผลนั้น คะเนว่าอีกไม่น่าเกินสิบนาที ไอ้หมอนี่คง...ตอบคำถามอะไรเขาไม่ได้อีกแล้ว...
“คิดจะหาเรื่องเปี้ยนเหลี่ยนหวัง รู้ไหมว่าเปี้ยนเหลี่ยนหวังเป็นใคร”
หย่งเต๋อย่อตัวลงนั่งยองๆ ข้างร่างที่กำลังสั่นสะท้านคล้ายตกอยู่ในธารน้ำแข็ง
“ลูก...ลูก...ชายของหวังเสี้ยวเทียน...หัวหน้าแก๊งฮวงหลง...”
“รู้มาแค่นี้เองเหรอ” ลูกมังกรหนุ่มยิ้มหวาน ทว่า...รอยยิ้มนั้นไปไม่ถึงดวงตา “แล้วรู้หรือเปล่าว่าเปี้ยนเหลี่ยนหวังหน้าตาเป็นยังไงหรืออยู่ที่ไหน”
“ไม่รู้...รู้แค่...มันก็จ้องหาจังหวะเล่นงานไอ้ภามกับลูกอยู่...” เอ่ยได้เพียงเท่านั้น ดวงตาก็เบิกกว้างอย่างตื่นตะลึงเมื่อเข้าใจสถานการณ์รอบตัวขึ้นมารางๆ “หรือ...หรือ...แก...แก...”
“แกไปบอกยมบาลได้เลยว่าเปี้ยนเหลี่ยนหวังส่งแกมาเป็นของกำนัล”
สิ้นคำพูดลูกกระสุนก็พุ่งออกจากปืนเจาะเข้ากลางหน้าผากของเหยื่อทันที นี่...คือความเมตตาเดียวที่เขามีให้ ตาย...โดยไม่ต้องทนทรมานมากนัก
หย่งเต๋อล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง หน้าจอเต็มไปด้วยรอยขีดข่วน ตามขอบมุมมีรอยบิ่นจากการปะทะกับฝ่ายตรงข้ามอยู่ไม่น้อย แต่เขาไม่ได้ใส่ใจนัก ด้วยมักเปลี่ยนทั้งโทรศัพท์และหมายเลขติดต่อเพื่อพรางตัวตนแทบจะทุกเดือนอยู่แล้ว
“อากุ้ย” เขากรอกเสียงลงไปทันทีโดยไม่รอให้ปลายสายเอ่ยคำทักทาย “ส่งคนมาเก็บกวาดขยะหน่อย แล้วก็...แบ่งคนส่วนหนึ่งไปเก็บกวาดที่เซฟเฮาส์ด้วย ดูเหมือน...หนอนบ่อนไส้จะตัวใหญ่ไม่ใช่เล่น!”
ความคิดเห็น |
---|