...นอนไม่หลับ...
ไอศิกาผุดลุกขึ้นนั่งแล้วระบายลมหายใจยาว เธอเหลือบมองตำราเรียนที่วางกระจัดกระจายอยู่รอบตัว พลางขมวดเรือนผมยาวสลวยขึ้นเป็นมวยสูงแล้วรัดด้วยหนังยางลวกๆ ความตึงเครียดตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาทำให้เธออ่านหนังสือไม่เข้าหัวสักเท่าใดนักจึงตัดสินใจว่าจะเข้านอนแต่หัวค่ำ แต่กลับกลายเป็นว่าตั้งแต่ล้มตัวลงนอนตอนสองทุ่มเศษ จนป่านนี้สามทุ่มครึ่งแล้วเธอยังข่มตานอนไม่หลับเลย ได้แต่พลิกไปพลิกมาอย่างกระสับกระส่าย เพราะในสมองเต็มไปด้วยความคิดสับสนวุ่นวาย ทั้งเรื่องอาการของบิดา เรื่องของการสอบปลายภาคที่งวดเข้ามาทุกที และเรื่องของ...ผู้ชายคนนั้น...
“นี่เรา...คิดถึงคนแบบนั้นทำไมกัน บ้าจริงเชียว”
ภาพใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มผู้ขโมยจูบแรกผุดขึ้นกลางใจ ชัด...เสียจนไอศิกาต้องตบแก้มทั้งสองข้างแรงๆ เพื่อเรียกสติและบังคับให้สมองนึกถึงความเจ็บมากกว่าหน้าเขา หญิงสาวรีบผลัดเสื้อผ้าจากชุดนอนเป็นเสื้อยืดและกางเกงขาสามส่วนง่ายๆ จากนั้นจึงคว้าหมวกแก๊ปยัดใส่กระเป๋ากางเกงด้านหลังข้างหนึ่ง และแกะรองเท้าแตะคู่ใหม่ที่ซุกอยู่ก้นตู้เสื้อผ้าออกจากถุงพลาสติกยัดใส่กระเป๋ากางเกงอีกข้าง เรียวปากแดงอิ่มเม้มแน่นคล้ายลังเลใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะตัดสินใจย่องออกจากห้องอย่างเงียบเชียบ
...เครียดจนนอนไม่หลับแบบนี้ ไอศกรีมเท่านั้นที่ช่วยได้...
แล้วก็ไม่ใช่ไอศกรีมราคาแพงระยับอย่างที่ภัทรพลซื้อติดตู้เย็นไว้ให้ด้วย ต้องเป็นไอศกรีมแท่งเคลือบช็อกโกแลตแบบที่หาซื้อได้ตามร้านสะดวกซื้อเท่านั้น!
ไอศิการู้ว่าสิ่งที่ตนกำลังทำอยู่นี้เสี่ยงอันตราย และหากภัทรพลรู้เข้าเธอคงถูกเอ็ดเป็นแน่ แต่การที่ต้องทนอุดอู้อยู่แต่ในบ้านหลังนี้นานเป็นสัปดาห์โดยไม่มีโอกาสได้ออกไปไหนมาไหนอย่างอิสระเหมือนก่อนก็เป็นเรื่องยากสำหรับเธอไม่น้อย เธอเคยขับรถออกไปซื้อขนมในร้านสะดวกซื้อยามดึกกับเพื่อนๆ ช่วงอ่านหนังสือสอบเป็นประจำ นึกอยากกินตอนตีสามก็พากันออกจากบ้านโดยไม่ต้องกังวลใจใดๆ ทว่า...ในยามหัวเดียวกระเทียมลีบเช่นนี้ เธอจะพึ่งพาใครได้เล่า ใบป่านก็ไม่อยู่ อีตานะโมก็ไม่อยากเข้าใกล้ แถม...ลูกน้องของภัทรพลแต่ละคนดูเหมือนไม่ใส่ใจเธอเท่าใดนัก เธอเคยเห็นพวกเขาดื่มเบียร์คุยกันสรวลเสเฮฮาทั้งที่อยู่ระหว่างปฏิบัติหน้าที่เสียด้วยซ้ำ การกระทำไร้มารยาทและการละเลยกฎระเบียบอันพึงมียามภัทรพลไม่อยู่ฟ้องชัดว่า พวกเขาไม่สนความเป็นความตายของเธอสักนิด
ใช่ว่าเธอจะไม่รู้ว่าเจ้าหน้าที่พวกนั้นพูดลับหลังถึงเธอและบิดาอย่างไรบ้าง เพียงแต่...ชินกับการที่ต้องตกสวรรค์มานานแรมปีและถูกผู้คนที่เคยเคารพนับหน้าถือตาเหยียบย่ำจิตใจเสียแล้ว ไม่สำคัญเลยว่าคนอื่นจะคิดกับเธอหรือบิดาของเธออย่างไร แต่สำคัญตรงที่เธอจะรับมือกับความรู้สึกด้านลบนั้นอย่างไรต่างหากเล่า สำคัญ...ตรงที่เธอจะยืนหยัดเพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของ ภาม พิมพ์สุริยา ที่ยอมล้างมือในอ่างทองคำเพื่อเธอและมารดาผู้ล่วงลับอย่างไรมากกว่า
หญิงสาวเหลือบตามองกล้องวงจรปิดเหนือทางเดิน แล้วแสร้งทำเป็นเดินเข้าไปในห้องซักรีดซึ่งเธอรู้ดีว่าในห้องนั้นไม่ได้ติดตั้งกล้องเอาไว้ เพราะภัทรพลคิดว่าเธอคงไม่สะดวกใจยามต้องซักตากชุดชั้นในต่อหน้ากล้องที่มีแต่ผู้ชายคอยเฝ้าดูอยู่ สิ่งหนึ่งที่เธอมั่นใจว่าภัทรพลและเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ไม่รู้ก็คือ ห้องเก็บของเล็กๆ ที่ถูกเครื่องซักผ้าบังไว้กว่าครึ่งนั้นเชื่อมต่อไปยังประตูอีกบานที่เปิดออกไปแล้วจะพบกับทางเดินแคบๆ ริมรั้วซึ่งเป็นมุมอับ ไม่สามารถติดตั้งกล้องวงจรปิดได้ ภัทรพลจึงให้จัดเวรยามเดินตรวจตราบริเวณนั้นทุกๆ ครึ่งชั่วโมงแทน แน่ละว่า...ถ้าหัวหน้าไม่อยู่ ลูกน้องก็ละเลยหน้าที่ ยิ่งเห็นว่าสถานการณ์เป็นปกติจนเรียกได้ว่าเกือบจะน่าเบื่อแทบทุกวัน พวกเขาก็ยิ่งไม่ใส่ใจเรื่องเวรยามนัก จากที่ต้องเดินสำรวจทุกครึ่งชั่วโมงก็ห่างออกไปเป็นทุกสองชั่วโมงแทน
...มีเพียงคนเดียวที่เพียรเดินมายืนใต้ต้นไม้และเล่นเมาท์ออร์แกนให้เธอฟัง...นายนะโม ทิพยศาสตร์...
คิดถึงตรงนี้ ไอศิกาก็ส่ายหน้าแรงๆ อีกครั้งเพื่อสลัดภาพเขาออกไปจากใจ ผู้ชายคนนั้น...เข้าใจยากยิ่งกว่าปริศนาอักษรไขว้เสียอีก นาทีหนึ่ง...เขาอาจเสี่ยงชีวิตเพื่อปกป้องเธออย่างบ้าระห่ำ แต่กลับ...ทำเหมือนเธอไม่มีความหมายในวินาทีถัดมา ไม่มีความหมาย...เหมือนจุมพิตของเขาในคืนนั้นนั่นละ...
...หวานจริงๆ ด้วย...
เสียงครวญต่ำพร่าของชายหนุ่มที่ดังขึ้นในโสตประสาททำเอาหญิงสาวหน้าแดงก่ำ ไออุ่นที่เขาทิ้งไว้บนริมฝีปากของเธออย่างจาบจ้วงควรจางหายไปนานแล้ว แต่ไม่รู้ทำไมเธอถึงรู้สึกว่าสัมผัสของเขายังคงติดตรึงเหมือนไม่เคยจากไปไหน เหมือน...อ้อมแขนคู่นั้นยังคงเกี่ยวกระหวัดรัดรึงเธอเอาไว้แนบกายแกร่ง กลิ่นบุหรี่อ่อนๆ ผสมเนื้อแท้ของเขาเป็นกลิ่นเดียวที่แทรกซึมในใจจนไม่เหลือที่ว่างให้สิ่งใดอีกเลย แม้แต่ความคิดคำนึงของเธอเอง
บ้าชะมัด! ตัวการใหญ่ที่ทำให้เธออ่านหนังสือไม่รู้เรื่องก็คือเขานี่ละ คนทุเรศ!
ไอศิกาสลัดความคิดฟุ้งซ่านทิ้งเป็นครั้งสุดท้าย แล้วผลักบานประตูออกไปยังทางเดินด้านนอก สายลมอุ่นๆ และกลิ่นหอมอ่อนๆ ของหญ้าที่เพิ่งตัดใหม่ๆ คลายความรู้สึกหงุดหงิดอันหนักอึ้งอยู่ในหัวใจได้อย่างประหลาด เธอเหลียวซ้ายแลขวาอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าทางสะดวกจึงค่อยๆ ก้าวเท้าอย่างระมัดระวังพลางปิดประตูด้านหลังอย่างเบามือที่สุด หญิงสาวเดินเลาะไปตามริมรั้วจนแน่ใจว่าอยู่ในจุดที่แสงไฟบนรั้วส่องไม่ถึงแล้ว จึงโยนรองเท้าแตะข้ามรั้วไปอีกฝั่ง แล้วเริ่มปีนตามไปอย่างคล่องแคล่วแม้มีที่ให้ยึดเกาะไม่มากนัก
“เก่งดีนะ คล่องอย่างกับลิง”
เสียงทุ้มที่ดังขึ้นเบื้องหลังทำเอาคนที่กำลังปีนลงจากรั้วสะดุ้งสุดตัว เผลอปล่อยมือจากขอบปูนที่เกาะอยู่และเสียหลักหงายหลัง เดชะบุญที่วงแขนแข็งแรงรับร่างหญิงสาวเอาไว้อย่างทันท่วงที เธอจึงไม่หล่นลงไปกระแทกทางเท้า
“คุ...คุณ...” ไอศิกาอ้าปากค้างเมื่อเห็นว่าเจ้าของอ้อมแขนคือคนที่เธอไม่อยากเห็นหน้าที่สุด “คุณนะโม...”
“เพิ่งรู้ว่าคุณซนขนาดนี้นะคุณหนู” หย่งเต๋อยิ้มกว้างพลางปล่อยให้หญิงสาวยืนลงบนพื้นอย่างนุ่มนวล เขายืนหลบมุมสูบบุหรี่อยู่ใต้เงามืดด้านนอกรั้ว จึงเห็นตอนที่แม่เจ้าประคุณกำลังปีนป่ายเข้าพอดี ท่าทางแก่นแก้วเหมือนเด็กผู้ชายของเธอทำให้เขาต้องกลั้นหัวเราะแทบแย่ “ปีนเก่งขนาดนี้แสดงว่าเคยแอบหนีเที่ยวบ่อยละสิท่า”
“อย่ามาสู่รู้เรื่องของฉัน”
ไอศิกาถอยกรูดเมื่อนึกได้ว่าไม่ควรอยู่ใกล้ผู้ชายคนนี้ในรัศมีหนึ่งเมตร เขามือไวอย่างกับอะไร!
“พูดเพราะจริงนะ จะว่าผม ส ใส่เกือกก็พูดมาตรงๆ เถอะน่า ไอ้พี่ภัทรกับไอ้ใบป่านขาไม่ได้อยู่ตรงนี้ ไม่ต้องแอ๊บเป็นสาวหวานหรอก”
หย่งเต๋อทำเสียงจึ๊กจั๊กในปากอย่างไม่สบอารมณ์ในขณะที่คนฟังหน้าเหลอ
“ยะ...หยาบคาย!”
ไอศิกาสะกดกลั้นอารมณ์อย่างสุดความสามารถ ในใจเต็มไปด้วยคำต่อว่าต่อขานนับร้อยนับพันที่ไม่ได้เอ่ยออกไป ด้วยไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด ในเมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะทำเหมือนเขาไม่มีตัวตน ก็ไม่จำเป็นต้องพูดคุยกันอีก คิดได้ดังนั้นหญิงสาวจึงสะบัดหน้าแล้วตั้งท่าจะเดินหนี ทว่ายังไม่ทันเดินก็ถูกชายหนุ่มรั้งข้อมือไว้เสียก่อน
“จะไปไหนเล่า”
“ปล่อยฉันนะ ฉันจะกลับห้อง!”
หญิงสาวพยายามสะบัดมือให้พ้นจากการเกาะกุมแต่ไม่เป็นผล เธอไม่กล้าส่งเสียงดัง ด้วยกลัวว่าหากเจ้าหน้าที่คนอื่นมาเห็นว่าเธอยืนหลบอยู่ในมุมมืดกับเขาสองต่อสองอาจถูกเข้าใจผิดได้
“ที่ผมถามคือเมื่อกี้คุณจะไปไหน ถึงขนาดลงทุนปีนรั้วแบบนี้คงต้องสำคัญแน่” หย่งเต๋อหรี่ตามองหญิงสาวอย่างคนถือไพ่เหนือกว่า “บอกมาซะดีๆ หรือจะให้ผมโทร. รายงานไอ้พี่ภัทรของคุณว่าผมเจอคุณกำลังทำอะไรอยู่”
ชื่อของภัทรพลทำให้ไอศิกาชะงัก หากเขารู้ว่าเธอก่อวีรกรรมอะไรเอาไว้คงได้ถูกเอ็ดยกใหญ่แน่
“ฉัน...” ริมฝีปากอิ่มเม้มแน่น หญิงสาวรู้สึกเสียหน้านิดๆ เพราะต้องตกเป็นเบี้ยล่างเขา “ฉันจะไปซื้อไอศกรีมที่ร้านสะดวกซื้อข้างนอก”
“ไอศกรีม?” หย่งเต๋อเลิกคิ้วซ้ายขึ้นอย่างประหลาดใจขณะกวาดตามองดวงหน้าบึ้งตึงของหญิงสาว เพียงครู่ เรียวปากหยักลึกก็แย้มขึ้นเป็นรอยยิ้มขบขัน “ไอศกรีมไฮโซโบใหญ่ของไอ้พี่ภัทรในตู้เย็นมันไม่ถูกปากหรือไงครับคุณหนู”
ชายหนุ่มแบะปากอย่างหมั่นไส้เต็มทนเมื่อนึกถึงไอศกรีมราคาแพงระยับที่ภัทรพลซื้อไว้เอาอกเอาใจไอศิกา ไหนจะวัตถุดิบชั้นเลิศสำหรับทำอาหารที่อัดแน่นอยู่ในตู้เย็นอีกเล่า ดูจากปริมาณของพวกนั้นแล้ว แม่ลูกคุณหนูสามารถอยู่ในเซฟเฮาส์โดยไม่ต้องออกไปไหนจนสิ้นปีโน่นละ!
“มัน...มันก็อร่อยดี แต่...แต่ฉันอยากกินไอศกรีมในร้านสะดวกซื้อมากกว่า”
ไอศิกาพูดอ้อมแอ้มไม่เต็มเสียงนัก เธอไม่มีความจำเป็นต้องบอกให้เขาฟังนี่ว่าไอศกรีมในร้านสะดวกซื้อเป็นหนึ่งในไม่กี่สิ่งที่ช่วยคลายความเครียดในช่วงสอบให้เธอได้ และถึงเล่าไป...เขาก็คงไม่ใส่ใจฟังอยู่ดีไม่ใช่หรือไง
“อยากกินก็บอกกันดีๆ สิ บอกผมหรือเจ้าหน้าที่คนอื่นไปซื้อให้ก็ได้” หย่งเต๋อกลั้นหัวเราะอย่างสุดความสามารถ เมื่อเห็นสีหน้าเหมือนเด็กน้อยที่ถูกจับได้ว่าแอบขโมยคุกกี้ในโหลของสาวน้อยตรงหน้า “รู้ตัวหรือเปล่าว่าที่คุณทำอยู่น่ะอันตรายแค่ไหน ศัตรูของพ่อคุณอาจรอจังหวะให้คุณโผล่หัวออกมาแล้วจับไปปู้ยี่ปู้ยำก็ได้ ดีไม่ดีจะถูกเชือดคอหอยเอาด้วย”
เขาพูดพลางใช้เท้าเขี่ยรองเท้าแตะไปข้างหน้าแล้วทำท่าพยักพเยิดให้หญิงสาวสวมให้เรียบร้อย โดยไม่ยอมปล่อยข้อมือเล็กให้เป็นอิสระ ไอศิกาเม้มปากแน่นจนเจ็บแล้วยอมสวมรองเท้าอย่างเสียไม่ได้
“ฉันรู้หรอกน่า”
คำตอบที่เพิ่งได้ยินเรียกรอยยิ้มเยาะหยันขึ้นมาแตะแต้มบนริมฝีปากของลูกมังกรหนุ่ม ไม่หรอก...เธอไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง แม่หนูน้อย ขนาดศัตรูที่มอบความตายให้เธอได้ทุกวินาทียืนอยู่ต่อหน้า ยังยืนทำหน้าเด๋อด๋าไม่รู้เรื่องรู้ราวสักนิด!
“ฉัน...ฉันจะกลับห้อง”
ไอศิกาพยายามแกะนิ้วมือชายหนุ่มออกจากข้อมือตนเอง สายตาคมกริบของเขาทำให้เธอหายใจไม่ทั่วท้องพิกล
“จะกลับทำไม อยากกินก็ต้องได้กินสิ จริงไหม”
หย่งเต๋อกระชับมือแน่นเข้า แล้วเอื้อมมืออีกข้างไปดึงหมวกแก๊ปที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงด้านหลังของหญิงสาวขึ้นมาสวมให้เธอเพื่อบดบังใบหน้าอย่างรวดเร็ว
“เอ๊ะ...” ไอศิกากะพริบตาปริบๆ อย่างงุนงงในขณะที่อีกฝ่ายกระตุกมือเธอให้ออกเดินไปด้วยกัน “นี่คุณจะทำอะไร”
“ก็พาคุณไปซื้อไอศกรีมไง อยากกินไม่ใช่เหรอ”
ชายหนุ่มยักไหล่พลางก้าวขาไปบนทางเท้าอย่างไม่รีบร้อน แสงจากโคมไฟข้างทางส่องให้หญิงสาวเห็นรอยยิ้มบนเสี้ยวหน้าคมคายของเขาอย่างชัดเจน ทว่า...เธอกลับเดาอารมณ์ที่เร้นอยู่ใต้สีหน้ายิ้มแย้มของเขาไม่ออกแม้แต่น้อย
“ปละ...ปล่อยสักทีสิ ฉันเดินเองได้”
ดวงตากลมโตหลุบลงมองมือใหญ่โตของเขาที่กำอยู่รอบข้อมือของตนอย่างอึดอัดใจ
“ไม่ได้หรอก คุณซนอย่างกับลิง แล้วผมก็ไม่มีโซ่จะล่ามคุณเสียด้วย จูงไว้แบบนี้แหละดี ขืนปล่อยมือแล้วคุณปีนขึ้นต้นไม้หายไป ผมก็เดือดร้อนกันพอดี”
ไม่พูดเปล่าเขายังกำข้อมือไอศิกาแน่นขึ้นไปอีก จนเธอรู้สึกคล้ายมือจะกลายเป็นอัมพาตเพราะถูกบีบจนเลือดลมไม่เดิน
“ให้มันน้อยๆ หน่อย ฉันเป็นคนนะ ไม่ใช่ลิง จะได้ปีนต้นไม้หนีคุณได้!”
หญิงสาวตวัดตาค้อนชายหนุ่มวงใหญ่ นึกก่นด่าเขาอยู่ในใจเป็นร้อยเป็นพันคำ แต่ไม่ได้เอื้อนเอ่ยออกไป เพราะไม่อยากต่อปากต่อคำกับเขา ด้วยรู้ดีว่าหากต้องลับฝีปากกันจริงๆ เธอคงเถียงสู้ผู้ชายปากร้ายคนนี้ไม่ได้แน่
“อ้าวเหรอ เห็นปีนไวขนาดนั้นก็นึกว่าใช่เสียอีก”
หย่งเต๋อหัวเราะ ใบหน้างอง้ำของ ‘ลิงน้อย’ ทำให้เขาอารมณ์ดีอย่างน่าประหลาด เขาชอบสีหน้าแบบนี้ของเธอมากกว่าตอนที่ตีหน้านิ่งเย็นชาใส่เขาเป็นไหนๆ
“ปากเสีย”
“ก็เสียมาตั้งนานแล้ว และคงจะเสียแบบนี้ไปตลอดนั่นละ คุณควรหัดทำตัวให้ชินไว้ได้แล้ว”
“ชินไปคนเดียวเถอะย่ะ ฉันไม่เอาด้วยหรอก คนเดียวในโลกนี้ที่ทนคุณได้ก็มีแต่พี่ใบป่านนั่นแหละ”
“อือฮึ ท่าจะจริง”
แทนที่จะโกรธ ชายหนุ่มกลับพยักหน้าเห็นด้วยอย่างจริงจังจนคนพูดต้องส่ายหน้าอย่างระอาใจ
“คนพิลึก”
ไอศิกาพึมพำ เธอไม่รู้ว่าเขาหนังหนาชนิดเหน็บเท่าใดก็ไม่ระคาย หรือเพราะเธอตบะไม่แก่กล้าพอกันแน่ ถึงได้ต่อกรกับเขาไม่เคยได้เกินห้าประโยคก็ต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้เสียเอง
หลังจากปล่อยให้ชายหนุ่มจูงเดินอย่างไม่เต็มใจอยู่ราวสิบนาที เขาก็พาเธอมาถึงร้านสะดวกซื้อที่อยู่นอกหมู่บ้านจนได้
“ปล่อยได้แล้ว”
คราวนี้หญิงสาวกระตุกมือเพียงเบาๆ เขาก็ยอมคลายมืออย่างง่ายดาย แล้วปล่อยให้เธอเดินปรี่ไปที่ตู้แช่ไอศกรีม ดวงตาสีนิลของเขาเป็นประกายวิบวับ เมื่อเห็นท่าทางตื่นเต้นเหมือนนกน้อยที่เพิ่งมีโอกาสหลุดออกมาจากกรงทองเป็นครั้งแรกในชีวิต
“จะกินกี่แท่งก็กวาดใส่ตะกร้าได้เลย ผมเลี้ยงเอง”
หย่งเต๋อคว้าตะกร้าสีส้มแปร๊ดของร้านส่งให้ไอศิกา เธอปรายตามองเขาครู่หนึ่งแล้วส่ายหน้า
“ขอบคุณ แต่ไม่ละ ฉันจะกินแค่แท่งเดียว”
หญิงสาวเปิดตู้หยิบไอศกรีมรสวานิลลาเคลือบช็อกโกแลตขึ้นมาหนึ่งแท่ง
“คุณไม่มีโอกาสออกมาแบบนี้บ่อยๆ หรอกนะ อยากกินก็เอาไปเถอะน่า แท่งละไม่กี่บาท ผมเลี้ยงได้ ขนหน้าแข้งไม่ร่วงหรอก”
ชายหนุ่มล้วงมือลงไปในตู้แช่แล้วหยิบไอศกรีมขึ้นมาทีเดียวห้าแท่ง แต่หญิงสาวก็แย่งไปจากมือเขาแล้วใส่กลับเข้าไปในตู้แช่ตามเดิม
“ฉันอยากกินแค่แท่งเดียว” ไอศิกากลอกตาพลางพูดเน้นคำ
“กลัวอ้วน?” หย่งเต๋อเลิกคิ้วนิดๆ พลางกวาดตามองไปทั่วร่างบอบบางอย่างไม่คิดรักษามารยาท “เป็นผู้หญิงมีเนื้อมีหนังหน่อยถึงจะดี คุณน่ะผอมเกินไปเสียด้วยซ้ำ กินๆ เข้าไปเถอะ ยังโตได้อีกเยอะ”
“คุณก็เดาไปเรื่อยเปื่อย ฉันไม่ได้กลัวอ้วน แล้วก็ไม่เคยกลัวด้วย” หญิงสาวระบายลมหายใจยาวอย่างระอาใจ “ฉันชอบกินไอศกรีมยี่ห้อนี้ แต่ที่ฉันชอบมากที่สุดก็คือการเดินกินแล้วคิดอะไรเงียบๆ คนเดียวต่างหาก เอาเป็นว่าขอบคุณที่พามาซื้อ ทีนี้ขากลับ ฉันขอกลับคนเดียวแบบสงบๆ ก็แล้วกันนะ”
“คุณก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้”
ชายหนุ่มยักไหล่ เขาคว้าทั้งไอศกรีมและข้อมือของหญิงสาว แล้วพาไปที่เคาน์เตอร์เพื่อเข้าแถวชำระเงินโดยไม่ฟังเสียงประท้วงของเธอสักนิด เขาขมวดคิ้วนิดๆ เมื่อเห็นว่าแถวยาวกว่าปกติ แถมยังมีลูกค้าเดินเข้าออกร้านไม่ขาดสาย เขามองผ่านประตูกระจกออกไปด้านนอก เห็นผู้คนในชุดเสื้อผ้าสีสันสดใสพากันมุ่งหน้าไปยังทิศของชายหาด จึงเอ่ยถามพนักงานประจำร้านที่เดินผ่านมาพอดี
“วันนี้มีอะไรกันเหรอน้อง คนเยอะเชียว”
พนักงานสาวเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มเจ้าของความสูงประหนึ่งยักษ์ปักหลั่นแล้วฉีกยิ้มหวาน พลางชี้ไปที่โปสเตอร์ที่แปะอยู่บนกระจกร้าน
“มีเทศกาลดนตรีที่ชายหาดค่ะพี่ วันนี้วันแรกคนเลยเยอะหน่อย มีพวกม้าหมุน ชิงช้าสวรรค์ด้วยนะคะ”
“ชิงช้าสวรรค์เหรอ”
ไอศิกามองตามผู้คนที่แต่งกายสบายๆ ประสาคนที่มาพักผ่อนริมทะเลในช่วงวันหยุด แล้วหลุบตาลงมองไอศกรีมในมือด้วยแววตาวูบไหว ครั้งสุดท้ายที่เธอนั่งชิงช้าสวรรค์คือวันเกิดเมื่อตอนอายุสิบขวบ สมัยยังเด็ก ภามเคยพาเธอนั่งชิงช้าสวรรค์ในงานวัดอยู่บ่อยครั้ง แต่เมื่อเติบใหญ่เธอก็ไม่เคยได้นั่งอีกเลย
“อยากไปดูสักหน่อยไหม เดี๋ยวพาไป”
“ได้เหรอ” ในคราแรกดวงตาของไอศิกาสว่างวาบอย่างปรีดา ก่อนที่จะกลับมาหม่นหมองเช่นเดิม มิหนำซ้ำยังช้อนขึ้นมองหย่งเต๋ออย่างไม่ใคร่ไว้ใจนัก “เอาใจฉันมากขนาดนี้ มีอะไรแอบแฝงอยู่แน่ๆ เลยใช่ไหม”
“ก็...คงงั้นมั้ง” ชายหนุ่มยิ้มพราย “ผมก็แค่อยากง้อคุณ”
“งะ...ง้อ?” หญิงสาวรู้สึกคล้ายหูฝาดไป “ง้อเรื่องอะไรไม่ทราบ”
“ก็...” เรียวปากหยักลึกคลี่ออกเป็นรอยยิ้มกว้าง “เรื่องที่คุณกับผมรู้อยู่แก่ใจกันดีแค่สองคนไงครับคุณหนู”
“ฉัน...คิดว่าเราควรกลับดีกว่า...”
ไอศิกาเอ่ยเสียงเบาขณะเดินอยู่ท่ามกลางฝูงชนที่กำลังรื่นเริงไปกับบรรยากาศของงานเทศกาลอย่างเต็มที่ ดวงตากลมโตหลุบลงมองฝ่ามือร้อนจัดของคนที่กุมมือเธอเอาไว้บ่อยครั้งอย่างอึดอัดใจ เขา...ถือวิสาสะสอดประสานนิ้วใหญ่โตของตนกับนิ้วของเธอแนบแน่นตั้งแต่ออกมาจากร้านสะดวกซื้อ ไม่ว่าจะทำท่าทีฮึดฮัดไม่พอใจให้เห็นกันซึ่งๆ หน้าอย่างไร เขาก็ยังฉีกยิ้มกว้างเหมือนไม่รู้สึกรู้สมใดๆ ทั้งสิ้น
“ไหนว่าชอบเดินกินไอศกรีมแล้วคิดโน่นคิดนี่ไม่ใช่เหรอคุณ ก็กินไปสิ ปล่อยให้ไอศกรีมละลายทำไมกันเล่า น่าเสียดายออก”
“ฉันชอบเดินคนเดียว”
หญิงสาวพยายามชักมือหนี แต่ยิ่งขยับเขาก็ยิ่งกระชับมือแน่นเข้าจนแทบกระดิกนิ้วไม่ได้
“คิดเสียว่าผมไม่มีตัวตนก็ได้นี่ เป็นอากาศธาตุอะไรไปก็ได้”
ทำได้เสียที่ไหนกันเล่า!
ไอศิกาทำหน้าเหมือนอยากร้องไห้เต็มแก่ หากเป็นใบป่าน เธอคงเป็นฝ่ายจับมือเขาเองโดยไม่ตะขิดตะขวงใจใดๆ ทั้งสิ้น ด้วยรู้รสนิยมทางเพศของเขาดี แต่กับผู้ชายที่ชื่อนะโมคนนี้...คนที่ขโมยจูบแรกของเธอไปอย่างหน้าด้านๆ จะปล่อยให้เขาจับมือถือแขนอยู่อย่างนี้ได้อย่างไรกันเล่า ยิ่งให้คิดว่าเขาไม่มีตัวตนยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ ในเมื่อตัวเขามีเนื้อมีหนังแถมอุ่นจัดจนส่งไอความร้อนผ่านมือมายังใบหน้าของเธอจนเห่อแดงไปหมดเช่นนี้ แค่ควบคุมร่างกายให้เดินตรงทางยังไม่ได้ แล้วจะให้หลอกตนเองว่าเขาเป็นอากาศธาตุเนี่ยนะ คนที่ทำได้ก็มีแต่ฤๅษีชีไพรตบะแรงกล้าเท่านั้นละ
ผู้ชายคนนี้เป็นเหมือนปีศาจร้ายที่คอยก่อกวนเวลาเข้าฌานของนักพรตชัดๆ!
“ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยมือฉันเสียทีสิ”
เธอร้องขอเป็นครั้งที่ร้อยในระยะเวลาครึ่งชั่วโมงแล้วกระมัง
“ไม่ได้หรอก คนเยอะ เดี๋ยวมีเด็กหลง”
หย่งเต๋อพูดกลั้วหัวเราะ พลางใช้ตัวต่างโล่กำบังหญิงสาวจากผู้คนที่เบียดเสียดอยู่รอบด้านอย่างคล่องแคล่ว โดยที่เธอไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าที่ตนไม่ถูกคลื่นมหาชนพัดพาไปเป็นเพราะเขาแท้ๆ ที่จริง...แม่สาวน้อยคนนี้ก็ไม่เคยรู้อะไรสักอย่างนั่นละ ไม่รู้สักนิด...ว่ากำลังฝากชีวิตตนไว้ในมือศัตรู
...แม่ลูกไก่น้อย...จะบีบก็ตาย จะคลายก็รอด...
เปี้ยนเหลี่ยนหวังก้มลงมองมือเล็กๆ ที่เขาเกาะเกี่ยวอยู่แล้วกระชับให้แน่นเข้าไปอีก
...ตอนนี้ยังไม่อยากบีบ อยากเลี้ยงไว้ดูเล่นก่อน...
“ฉันไม่ใช่เด็ก” ไอศิกาหน้าง้ำ แล้วเบิกตากว้างเมื่ออีกฝ่ายหันมากัดไอศกรีมในมือเธอคำโต “นี่คุณ!”
“ร้องโวยวายตอนถูกแย่งขนมกินแบบนี้น่ะเด็กชัดๆ แล้วจะปล่อยให้เดินคนเดียวได้ยังไงกันเล่า” หย่งเต๋อยักคิ้วแล้วดึงปีกหมวกลงมาปิดหน้าหญิงสาวเอาไว้ “อย่าทำหน้าบึ้งอย่างนั้นน่า เดี๋ยวจะสอนเคล็ดลับหนีเที่ยวให้ ต่อไปจะได้ไม่ถูกจับได้อีก”
“จะบอกว่าหนีเที่ยวบ่อยว่าอย่างนั้นเถอะ”
ไอศิกาทำหน้าไม่ถูกขณะจ้องมองไอศกรีมที่มีรอยกัดแหว่งในมือ รอย...ที่ทำให้นึกถึงยามริมฝีปากของเขาประทับอยู่บนกลีบปากของเธออย่างแนบแน่นในคืนนั้น และทำให้เธอหายใจไม่ทั่วท้องขึ้นมาเสียเฉยๆ
“ก็...ทำนองนั้น” หย่งเต๋อหัวเราะเมื่อเห็นใบหน้าแดงก่ำของสาวน้อย เธอเหลียวซ้ายแลขวาคล้ายพยายามหาถังขยะเพื่อทิ้งไอศกรีมในมือ “อย่างแรกนะ เลิกทำตาล่อกแล่ก หันรีหันขวางได้แล้วครับคุณหนู มันดูมีพิรุธมาก ถ้ามีคนกำลังตามหาตัวคุณอยู่จะสังเกตเห็นคุณทันที”
ชายหนุ่มก้มลงกัดไอศกรีมที่เริ่มละลายในมือหญิงสาวอีกหนึ่งคำ ในขณะที่เจ้าตัวเม้มปากแน่นอย่างไม่พอใจ
“จะกินก็กินไปให้หมดเลย ฉันไม่กินแล้ว”
ไอศิกายื่นไอศกรีมไปตรงหน้าเขา แต่เขากลับยักไหล่ยียวน
“เอาน่า ถือว่าเป็นค่าเรียนไง”
“แต่ฉันไม่ได้ขอเรียน แล้วก็ไม่อยากเรียนด้วย”
“เรียนๆ ไปเถอะน่า รู้ตัวไหมว่าคุณโชคดีแค่ไหนที่ได้เรียนกับปรมาจารย์แบบผม”
“ปรมาจารย์ด้านหนีเที่ยวเนี่ยนะ”
หญิงสาวทำเสียงขึ้นจมูกอย่างดูแคลน ก่อนจะจำใจปล่อยให้เขาจูงเดินฝ่าผู้คนไปอย่างไม่สบอารมณ์เท่าใดนัก
“การหนีเที่ยวถือเป็นพื้นฐานของการเอาตัวรอดเลยนะ” หย่งเต๋ออารมณ์ดีจนตนเองยังประหลาดใจ “ถ้าคุณไม่อยากให้ใครตามตัวเจอก็ต้องหัดทำตัวให้กลมกลืนกับบรรยากาศรอบข้าง แต่งตัวอย่างปกติธรรมดาที่สุด ไม่จำเป็นต้องใส่แว่นดำหรือผ้าคาดปากปกปิดหน้าตาหรอก แต่หูตาต้องไว รู้จักประเมินสถานการณ์รอบด้าน”
“เคล็ดลับของอินเตอร์โพลเหรอคะ”
“ประสบการณ์ชีวิตต่างหาก” ชายหนุ่มยักคิ้ว ก้มลงกัดไอศกรีมคำสุดท้ายในมือหญิงสาว เรื่องการพรางตัวนั้นเขาเรียนรู้มาจากเฉินหมิงต่างหาก รายนั้นได้ชื่อว่าแมวดำแห่งปารีสเชียวนะ ถึงจะมีรูปลักษณ์โดดเด่นสะดุดตา แต่เฉินหมิงกลับเก่งเรื่องการทำตัวกลืนไปกับบรรยากาศรอบข้างจนผู้คนลืมสังเกตเขาได้อย่างเยี่ยมยอด ขนาดหวังเสี้ยวเทียนบิดาของเขายังทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ “ทำหน้าแบบนี้อีกแล้ว คุณนี่งกจริงๆ แค่ไอศกรีมแท่งเดียวเอง เดี๋ยวผมชดเชยให้ก็แล้วกัน”
เจ้าของร่างสูงดึงคนหน้างอมาจนถึงซุ้มยิงปืนยาวจุกน้ำปลาที่อยู่ไม่ห่างออกไปนัก ซุ้มนั้นสร้างขึ้นง่ายๆ ตามคอนเซปต์งานที่อยากให้มีบรรยากาศย้อนยุคของงานวัดสมัยเก่า ซึ่งหย่งเต๋อไม่เข้าใจว่าเข้ากับงานเทศกาลดนตรีซึ่งนักร้องที่มาแสดงส่วนใหญ่เป็นนักร้องเพลงป๊อปร็อกตรงไหน ดูจากการจัดงานแล้วเหมือนแค่เอาคอนเสิร์ตมารวมกับงานวัดเสียมากกว่า แต่ก็...บันเทิงใจไปอีกแบบ ถ้ามันจะทำให้ใบหน้าซีดเซียวและหม่นหมองของไอศิกามีชีวิตชีวาน่ามองขึ้นบ้าง ความไม่กลมกลืนนี้ถือว่าพอให้อภัยได้
“เลือกเอาเลยว่าจะเอาตัวไหน”
หย่งเต๋อชี้ไปยังตุ๊กตายัดนุ่นในถุงพลาสติกที่ห้อยเรียงรายอยู่เหนือซุ้ม ตุ๊กตาหมีและกระต่ายหลากสีสันจำพวกนี้ จันทร์เจ้าน้องสาวของเขาไม่มีวันยอมให้นำเข้าห้องนอนเป็นอันขาด รายนั้นทั้งชีวิตมีแต่หนังสือเรียนและตำรับตำรา ไม่เคยสนใจตุ๊กตาหรือของเล่นแบบเด็กผู้หญิงเลยสักนิด
“นี่คุณเห็นฉันเป็นเด็กจริงๆ ใช่ไหม”
แม้จะทำปากยื่นเหมือนไม่พอใจ แต่ดวงตากลมโตกลับจ้องเป๋งไปที่ตุ๊กตากระต่ายสีชมพูตัวโตเหนือศีรษะ ชายหนุ่มอมยิ้ม หันไปหาเด็กวัยรุ่นที่เป็นคนเฝ้าซุ้มแล้วชี้ไปที่เป้าหมาย
“อยากได้ตัวนั้นต้องทำยังไง”
“ตัวนั้นแพงนะพี่ ต้องยิงแถวบนให้ร่วงหมด” เด็กหนุ่มพูดพลางหยิบถ้วยพลาสติกขนาดเท่าถ้วยน้ำจิ้มขึ้นมาวางบนเคาน์เตอร์ไม้เบื้องหน้าหย่งเต๋อ ภายในบรรจุกระสุนที่ทำจากฝาจุกขวดน้ำปลาไว้ราวสิบฝา “กระสุนถ้วยละสี่สิบ แต่เห็นแก่ที่พี่มีแฟนสวย ผมจะแถมให้อีกหนึ่งถ้วย ถ้าไม่ได้กระต่ายอย่างน้อยก็ได้อย่างอื่น จะได้ไม่เสียหน้า”
หนุ่มน้อยที่ตัดผมเกรียนและมีรอยสักตามสมัยนิยมชี้ไปยังของรางวัลชิ้นรองลงมา ซึ่งเป็นพวงกุญแจตุ๊กตาหมีที่ดูอย่างไรก็เหมือนแรกคูนผสมอุรังอุตัง มองแล้วน่าสะพรึงมากกว่าน่ารัก
“เดี๋ยว...ไม่ใช่แฟนนะ...”
ไอศิการีบปฏิเสธ แต่ดูเหมือนไม่มีใครสนใจฟังเธอสักคน
“แหม ขอบใจที่แถมให้ น้องนี่ใจดีจริงๆ งั้นพี่ไม่เกรงใจละนะ” หย่งเต๋อฉีกยิ้มกว้างขณะดึงธนบัตรใบละยี่สิบสองใบออกมาจากคลิปหนีบส่งให้เด็กหนุ่ม “คุณอยากได้ตัวไหนเป็นพิเศษอีกหรือเปล่า หรือแค่กระต่ายตัวนั้นตัวเดียว”
คำพูดคล้ายอวดตัวนิดๆ ของชายหนุ่มเรียกให้คู่หนุ่มสาวที่ยืนเล็งปืนอยู่ก่อนหน้าหันมามองด้วยแววตาขบขันแกมหมั่นไส้
“ไอ้ขี้โม้เอ๊ย...” เสียงพูดพึมพำนั้นแผ่วเบา แต่เรียกรอยยิ้มที่แฝงแววหยิ่งทะนงให้ขึ้นมาแตะแต้มบนเรียวปากของหย่งเต๋อแทบจะในทันที “ตัวเอง ตัวเองอยากได้กระต่ายหรือเปล่า เดี๋ยวเค้าจะเอามาให้”
ชายหนุ่มเจ้าของรูปร่างผอมสูงส่งเสียงล้อเลียนอีกคำรบ เขากับแฟนสาวหัวเราะคิกคัก ในขณะที่หย่งเต๋อทำเพียงปรายตามองทั้งคู่ด้วยหางตาอยู่แวบหนึ่ง ก่อนจะยกปืนยาวเล็งไปยังตุ๊กตาพลาสติกขนาดเล็กที่ตั้งเรียงอยู่บนชั้นแถวบนสุด ขนาดของตุ๊กตาเหล่านั้นเล็กมากเมื่อเทียบกับขนาดของกระสุนจุกน้ำปลา อีกทั้งระยะที่ยิงยังอยู่ห่างเกือบสองเมตร จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่คนทั่วไปจะใช้กระสุนไม่กี่นัดในการยิงให้ร่วงลงมาทั้งหมด
แต่...เขาไม่ใช่คนธรรมดานี่ เขาคือเปี้ยนเหลี่ยนหวัง แล้วเขาก็หมั่นไส้ไอ้เวรที่ยืนส่งเสียงเห่าหอนอยู่ข้างๆ เต็มแก่!
ปัง!
กระสุนนัดแรกกระแทกตุ๊กตาตัวเล็กร่วงหล่นจากชั้นอย่างแม่นยำราวจับวาง ไอศิกาไม่แปลกใจนัก ด้วยเคยเห็นฝีมือฉกาจฉกรรจ์ของเขามาแล้วครั้งหนึ่ง หัวใจของหญิงสาวเต้นรัวไม่เป็นจังหวะเมื่อเห็นนิ้วชี้ของชายหนุ่มลั่นไกเป็นนัดที่สองและเข้าเป้าอย่างง่ายดายอีกครั้ง เมื่อครู่...เธอยังอยากให้เขาปล่อยมือเธออยู่เลย ทว่าตอนนี้เธอกลับรู้สึกแปลกๆ ที่มือของเขาไม่ได้เกาะเกี่ยวอยู่กับมือของเธออีกแล้ว
“ก็แค่ฟลุกละว้า”
คนที่ตั้งตัวเป็นปรปักษ์กลายๆ ส่งเสียงลอยลมทั้งที่สีหน้าจืดเจื่อนเต็มทน ยิงเข้าเป้าสองนัดติดๆ กันเช่นนี้ ไม่มีทางเรียกว่าฟลุกได้หรอก แต่ถึงจะรู้อย่างนั้นก็ยังอดหมั่นไส้ไม่ได้อยู่ดี
ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!
เสียงกระสุนจุกน้ำปลาที่ดังติดๆ กันหลายนัดทำเอาเด็กหนุ่มที่เฝ้าซุ้มต้องสูดปากด้วยความทึ่ง นอกจากพี่ชายรูปหล่อคนนี้จะมีท่วงท่าการยิงปืนที่สง่างามเป็นธรรมชาติอย่างยิ่งแล้ว ทุกนัดที่เขายิงยังเข้าเป้าทั้งหมดอีกด้วย เพียงพริบตาเดียวตุ๊กตาพลาสติกที่วางเรียงบนชั้นบนสุดก็ไม่เหลือแม้แต่ตัวเดียว!
“แฟนพี่โคตรเจ๋งเลย กระสุนยังเหลืออีกตั้งหลายนัด”
เด็กหนุ่มเอ่ยพลางดึงตุ๊กตากระต่ายที่ห้อยอยู่ด้านบนมาส่งให้ไอศิกาที่ไม่รู้จะวางหน้าอย่างไรดี เธอรู้ว่าแก้มทั้งสองข้างในยามนี้คงแดงก่ำจนน่าขันนัก
“เขา...ไม่ใช่แฟน...”
ปัง! ปัง! ปัง!
หย่งเต๋อยังคงยิงอย่างต่อเนื่องกระทั่งเป้าที่ชายหนุ่มข้างๆ กำลังเล็งอย่างตั้งอกตั้งใจ
“เฮ้ย! อะไรวะ”
ชายหนุ่มคนนั้นร้องเสียงดังอย่างเหลืออด ก่อนจะเงียบเสียงลงเมื่ออีกฝ่ายเล็งปืนยาวจุกน้ำปลามาทางตนและแฟนสาว
“เรื่องฟลุกเรื่องเดียวในคืนนี้ก็คือ แกรอดชีวิตครบสามสิบสอง”
น้ำเสียงของลูกมังกรเรียบเรื่อยทว่าแฝงไอสังหารไว้อย่างล้นปรี่ รอยยิ้มที่มักฉาบอยู่บนใบหน้าของเขาจนเหมือนหน้ากากชั้นที่สองสร้างความกดดันให้คนมอง ชนิดที่ต้องรีบวางปืนแล้วฉุดคนรักให้เดินหนีไปเสียเดี๋ยวนั้น
ไอ้หมอนี่...อันตราย!
“คุณนะโม” ไอศิการีบปราดเข้าไปคว้าข้อมือชายหนุ่มเอาไว้อย่างร้อนรน “ทำอะไรของคุณ ไม่เห็นต้องทำถึงขนาดนี้เลย เขาเป็นคนธรรมดานะ สู้เจ้าหน้าที่อินเตอร์โพลอย่างคุณไม่ได้หรอก”
“อย่าไว้ใจทางอย่าวางใจคนเป็นดีที่สุด เดี๋ยวนี้พวกหมาป่าสวมหนังแกะมันเยอะนะคุณ ยิงก่อนถามทีหลังมันเป็นคติประจำใจของแก๊ง...ผมหมายถึง...คติประจำใจของผมอยู่แล้ว” หย่งเต๋อมองไปยังฝูงชนที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่ด้านหลังแล้วถอนใจยาว เขาส่งปืนคืนให้คนเฝ้าซุ้มแล้วจับมือไอศิกาเอาไว้แน่นอีกครั้ง “เสียดายที่เรื่องสนุกของเราคงต้องจบลงแค่นี้เสียแล้ว”
“เอ๊ะ...มีอะไรเหรอคะ”
สีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้งของเขาทำให้หญิงสาวรู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ
ความคิดเห็น |
---|