10

ง้อ (1)



 ฉันก็ไม่แน่ใจ’ เหม่ยอิงมือสั่น แต่ได้ยินนายพูดว่า ถ้ามันกล้าลงมืออุกอาจขนาดวางระเบิดคุณฟ้าใสและลอบสังหารภามแบบนี้ เป้าหมายต่อไปของมันก็น่าจะเป็นลูกสาวของภามกับ...หวังหย่งเต๋อ!’

“พี่ใบป่าน...ไม่อยู่เหรอคะ” ไอศิกาหน้าเจื่อน “แล้ว...เขาจะกลับมาเมื่อไหร่คะพี่ภัทร”

“ก็คงตอนที่ทำธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วนั่นละจ้ะ”

ภัทรพลรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูกตอนที่ลูกน้องมารายงานว่าจู่ๆ เฉินกุ้ยก็ผลุนผลันออกจากเซฟเฮาส์ไปเสียเฉยๆ และจะยิ่งดีใจถ้าไอ้หมอนั่นหายตัวไปจากชีวิตไอศิกาเสียได้ เขาจะได้ไม่ต้องคอยกังวลเรื่องความปลอดภัยของเธอแทบจะทุกลมหายใจเข้าออกเช่นนี้ หลายครั้งที่เขาลังเลว่าควรแหกกฎแล้วกระซิบบอกเรื่องตัวตนที่แท้จริงของทั้งเฉินกุ้ยและหย่งเต๋อให้หญิงสาวรับรู้หรือไม่ ทว่า...ด้วยนิสัยดื้อรั้นของเธอ หากรู้ความจริงเข้า จะต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่โตกว่าที่เป็นอยู่อีกหลายเท่า จึงได้แต่คอยพูดอ้อมๆ ให้เธออยู่ห่างลูกเสือและลูกมังกรจากนรกเอาไว้เท่านั้น

“เหรอคะ”

หญิงสาวพูดเสียงอ่อย ผู้ชายที่ชื่อใบป่านแทบจะเป็นคนเดียวที่ใส่ใจเธอทั้งเรื่องอาหารการกินไล่ไปจนถึงเรื่องความรู้สึก ถึงสีหน้าเขาจะเฉยชาเหมือนไม่รู้สึกรู้สมกับสถานการณ์รอบกาย แต่กลับเป็นคนแรกที่เสนอตัวให้ความช่วยเหลือเธออยู่เสมอ ในขณะที่เจ้าหน้าที่คนอื่นๆ มักเลี่ยงไม่ค่อยสุงสิงกับเธอนักเหมือนเธอเป็นภาระยุ่งยากน่ารำคาญที่พวกเขาถูกบังคับให้มาดูแลอย่างไม่เต็มใจนัก ดังนั้นเมื่อพี่ใบป่านของเธอไม่อยู่ เธอจึงรู้สึกไม่มั่นคงขึ้นมาเสียเฉยๆ มิหนำซ้ำ...ผู้ชายมือไวอีกคนก็พึ่งพาไม่ได้!

“ลูกแก้วไม่ควรทำตัวสนิทสนมกับเฉิน...เอ่อ พี่หมายถึงใบป่านกับนะโมนักนะ พี่เคยบอกแล้วว่าสองคนนั้นไว้ใจไม่ได้”

ชายหนุ่มอ่านสีหน้าของสาวน้อยที่นั่งอยู่ตรงหน้าออกอย่างทะลุปรุโปร่งจึงเริ่มไม่สบายใจขึ้นมาอีกครา นี่ละ...คือสิ่งที่เขากังวลนัก ไอศิกาเป็นลูกสาวคนเดียวของภาม แม้จะไม่ได้คลุกคลีกับโลกมืดนัก แต่เธอมีแนวโน้มที่จะคุ้นเคยและสนิทสนมกับผู้คนที่มีกลิ่นอายอันตรายแบบเดียวกับผู้เป็นบิดาอย่างง่ายดายโดยไม่รู้ตัว

“แต่พี่ภัทรก็ไม่เคยบอกเหตุผลลูกแก้วนี่คะว่าเพราะอะไร” ไอศิกาเถียงเสียงเบา “อีกอย่าง...ลูกแก้วก็ไม่เห็นว่าพี่ใบป่านเป็นคนไม่ดีตรงไหนเลย พี่ภัทรก็เห็นแล้วนี่คะว่าเขาใจดีแค่ไหน เขาทำกับข้าวเผื่อลูกแก้วทุกมื้อ อร่อยด้วยนะคะ แถมพอเห็นว่าลูกแก้วมือเจ็บแบบนี้ เขายังอาสาช่วยลูกแก้วตากผ้าด้วย แต่ลูกแก้วห้ามไว้ ใครจะกล้าให้เขาแตะของใช้ส่วนตัวของผู้หญิงกันเล่าคะ”

“ตากผ้า?”

ภัทรพลเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ สมัยเรียนอยู่อังกฤษ เขาพอรู้อยู่บ้างว่าเฉินกุ้ยรับหน้าที่ทาสในเรือนเบี้ยของหวังหย่งเต๋อ ตั้งแต่ทำอาหาร ซักผ้า ทำความสะอาด ไปจนถึงแต่งตัวและผูกเชือกรองเท้าให้นายน้อยจอมสันดานเสียก่อนออกไปร่อนจีบสาวในลอนดอน ทั้งที่มีคนรับใช้คอยรองมือรองเท้าอยู่แล้ว แต่เท่าที่รู้ เฉินกุ้ยไม่เคยยอมลดตัวลงมาดูแลใครอื่นนอกจากหย่งเต๋อเพียงคนเดียว แล้วทำไมถึงได้อาสาให้ความช่วยเหลือลูกสาวของศัตรูกันเล่า หรือมัน...มีแผนชั่วอยู่ในใจกันแน่

“ลูกแก้วว่าพี่ภัทรอาจจะเข้าใจพี่ใบป่านผิดก็ได้นะคะ เขาเป็นคนน่ารักออกค่ะ”

เป็นอีกครั้งที่หญิงสาวเลี่ยงไม่ยอมพูดถึงผู้ชายอีกคนตรงๆ แต่ภัทรพลกลับไม่รู้สึกผิดสังเกต ด้วยมัวแต่เป็นกังวลเรื่องของเฉินกุ้ยอยู่

“เขาเป็นคนของเมอสิเออร์กุสโต ใครๆ ก็รู้ว่าเมอสิเออร์กุสโตมีความสัมพันธ์สนิทสนมกับพวกแก๊งผู้มีอิทธิพลต่างๆ หลายแก๊ง รวมไปถึงแก๊งฮวงหลงด้วย”

ชายหนุ่มรู้สึกขนลุกซู่พิกล ให้ตาย ถ้าบอกว่ามือเชือดขาโหดอย่างไอ้เฉินกุ้ยน่ารัก ก็เหมือนบอกว่าหนามของปลาปักเป้านิ่มเหมือนสำลีนั่นละ!

“เอ๊ะ...คุณฌอง-ปอลสนิทสนมกับ...ฮวงหลงเหรอคะ” ดวงตาของหญิงสาวเต้นระริกอย่างตื่นตระหนก “แต่...แต่...เขารับปากช่วยเหลือเรื่องค่ารักษาพยาบาลของคุณพ่อ...เขาดูเป็นคนดีมากนะคะพี่ภัทร แถมยังพูดให้กำลังใจลูกแก้วตั้งเยอะ”

“พี่ก็...ไม่แน่ใจว่าเขามีจุดประสงค์อะไร แต่ในสถานการณ์ตอนนี้ เราเชื่อใจใครไม่ได้หรอกนะลูกแก้ว พี่อยากให้ลูกแก้วระวังตัวให้มาก แล้วก็อย่าสนิทสนมกับคนของเมอสิเออร์กุสโตนัก ถ้าเป็นไปได้ก็อย่าพูดเรื่องคุณลุงภามให้เขารู้เด็ดขาด” สุดท้ายภัทรพลก็ไม่กล้าปริปากพูดเรื่องตัวตนของเฉินกุ้ยและหย่งเต๋อให้ไอศิกาฟังตรงๆ ได้ เขาเอื้อมไปกุมมือของหญิงสาวเอาไว้หลวมๆ “พี่ขอโทษที่ไม่ได้บอกเรื่องเมอสิเออร์กุสโตให้ลูกแก้วรู้แต่แรก พี่เห็นว่าลูกแก้วมีเรื่องเครียดเยอะแล้ว แถมยังใกล้จะสอบไฟนัลอีก...”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ลูกแก้วเข้าใจ จริงๆ ต้องขอบคุณพี่ภัทรด้วยซ้ำที่ดูแลลูกแก้วเป็นอย่างดีมาตลอดตั้งแต่ก่อนเกิดเรื่องกับคุณพ่อ ทั้งที่พี่ภัทรกับคุณลุงจะตีตัวออกห่างจากพวกเราอย่างที่คนอื่นๆ ทำก็ได้” ไอศิกาค่อยๆ ดึงมือออกจากการเกาะกุมของชายหนุ่มอย่างนุ่มนวล เธอเห็นว่าสีหน้าของเขาจืดเจื่อนลงนิดหนึ่ง แต่เสทำเป็นมองไม่รู้ จริงอยู่ว่าเธอสนิทสนมกับเขามาตั้งแต่เด็ก แต่พักหลังมานี้สัมผัสจากเขาให้ความรู้สึกอึดอัดอย่างประหลาดชอบกล “ลูกแก้วจะพยายามระวังตัวให้มากขึ้นนะคะ พี่ภัทรไม่ต้องเป็นห่วง”

แม้ปากจะเอ่ยออกไปแบบนั้น แต่หญิงสาวก็ยังไม่คิดว่าพี่ใบป่านของตนและ ฌอง-ปอล กุสโต จะเป็นคนไม่ดีดังที่เขาว่าเลยสักนิด เธอเพียงแค่พูดให้เขาคลายกังวลลงบ้างก็เท่านั้น

“ได้ยินอย่างนี้พี่ก็สบายใจจ้ะ เพราะพี่เองก็ต้องทำงาน ไม่ได้อยู่ดูแลลูกแก้วตลอดเวลา” ภัทรพลหลุบตาลงมองเรียวนิ้วงามที่เพิ่งหลุดจากการเกาะกุมของตนไปอย่างเสียดาย “แต่ลูกแก้วไม่ต้องกลัวเหงานะ เดี๋ยวแม่บ้านก็มาแล้ว แกอาจอายุมากหน่อยแต่ก็คล่องแคล่วดี ต่อไปลูกแก้วอยากกินอะไรก็สั่งให้ทำได้เลย แล้วพวกเสื้อผ้า แม่บ้านของพี่จะเป็นคนซักรีดให้ ลูกแก้วจะได้มีเวลาอ่านหนังสือมากๆ”

“จริงๆ ลูกแก้วก็พอจะดูแลตัวเองได้นะคะพี่ภัทร ถึงจะทำกับข้าวไม่เก่ง แต่งานบ้านอื่นๆ ลูกแก้วก็เริ่มทำเป็นบ้างแล้ว อย่างน้อยก็ซักผ้ารีดผ้าเป็นแล้วละค่ะ ถ้ายังไงให้คุณป้าแม่บ้านทำกับข้าวอย่างเดียวก็ได้”

ชายหนุ่มมองรอยยิ้มของหญิงสาวด้วยความรู้สึกสะท้อนในอก แม้ก่อนหน้าที่เธอจะถูกส่งกลับมาอยู่ในความดูแลของภาม เธอมีชีวิตค่อนข้างเรียบง่าย แต่ถึงอย่างไรก็เป็นคุณหนูของตระกูลพิมพ์สุริยา ชีวิตของเธอจึงเต็มไปด้วยคนคอยพะเน้าพะนอเอาอกเอาใจ แทบไม่เคยรู้จักความยากลำบากใดๆ ทั้งสิ้น การต้องปรับตัวเมื่อครอบครัวพบกับภาวะวิกฤติอย่างคนเข้าใจโลกเช่นนี้จึงน่าชื่นชมพอๆ กับที่น่าเวทนายิ่งนัก

“อย่าดีกว่าจ้ะ พี่อยากให้ลูกแก้วตั้งสมาธิอ่านหนังสือมากกว่า อีกอย่าง ถ้าคุณลุงภามอาการดีขึ้นจนพอจะเคลื่อนย้ายได้ ลูกแก้วจะได้มีเวลาดูแลท่านได้อย่างเต็มที่ไงจ๊ะ”

“เคลื่อนย้าย?” ดวงตากลมโตทอประกายสุกใสด้วยความยินดี “นี่...หมายความว่าคุณพ่ออาการดีขึ้นมากแล้วใช่ไหมคะ”

“จะเรียกว่าดีขึ้นมากก็คงใช่จ้ะ ถึงท่านจะยังไม่ฟื้น แต่ระบบหายใจและการตอบสนองต่อฤทธิ์ยาต่างๆ ดีขึ้นเยอะเลย”

นั่น...คือสิ่งที่ไอศิกาพอรู้มาบ้างจากการยืมโทรศัพท์มือถือของใบป่านติดต่อพูดคุยกับแพทย์เจ้าของไข้ ถึงเขาจะยืนยันหนักแน่นหลายต่อหลายครั้งว่าอาการของบิดาดีขึ้นมากแล้ว แต่เขาไม่เคยพูดถึงการส่งตัวท่านมาพักฟื้นที่หัวหินเลยสักครั้ง

“อีกไม่นาน ท่านก็คงจะมาอยู่กับลูกแก้วที่นี่ได้แล้ว”

ชายหนุ่มรู้ดีว่าตนเองกำลังหลอกให้ไอศิกามีความหวัง ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าอินเตอร์โพลใช้เธอเป็นเครื่องมือในการแยกหวังหย่งเต๋อและเฉินกุ้ยออกจากภามโดยไม่ใส่ใจอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับเธอแม้แต่นิด เขาจึงจำเป็นต้องหาทางปกป้องเธอด้วยตนเองเช่นนี้อย่างไรเล่า

“ลูกแก้วคิดถึงคุณพ่อมากเลยค่ะพี่ภัทร อยากเจอคุณพ่อไวๆ”

รอยยิ้มของเธอทำให้เขารู้สึกผิดมากขึ้นไปอีก ถึงกระนั้นก็ยังฝืนยิ้มตอบอย่างเป็นธรรมชาติที่สุดเพื่อให้ไอศิกาสบายใจ

“พี่รู้จ้ะ คุณลุงเองก็คงคิดถึงลูกแก้วมากเหมือนกัน” ภัทรพลระบายลมหายใจยาวพลางหยัดกายขึ้นยืน “ห้าโมงเย็นแล้วพี่คงต้องกลับก่อน คืนนี้พี่ประชุมวิดีโอคอนเฟอเรนซ์กับอินเตอร์โพลสำนักงานใหญ่”

“อ้าว เหรอคะ” ไอศิกาทำหน้าม่อย “ลูกแก้วก็นึกว่าพี่ภัทรจะอยู่กินข้าวเย็นด้วยกันเสียอีก”

“เดี๋ยวพรุ่งนี้ช่วงเที่ยงๆ พี่จะมากินข้าวเป็นเพื่อนนะจ๊ะ พี่จะซื้อเชอร์รีของโปรดลูกแก้วมาให้ด้วยดีไหม”

“ไม่ดีค่ะ!” หญิงสาวโพล่งเสียงดังจนชายหนุ่มสะดุ้ง ก่อนที่จะรีบลดเสียงในประโยคถัดมา “คือ...คือ...ลูกแก้วอยากกินพวกส้มหรือแอปเปิลมากกว่าค่ะ”

จูบหวานฉ่ำที่มีรสเชอร์รีเคล้ารสปะแล่มของน้ำตาทำให้หญิงสาวตัดสินใจว่าจะไม่กินผลไม้ชนิดนี้ไปอีกตลอดชีวิต!

“ได้จ้ะ” ภัทรพลเอื้อมมือไปขยี้ศีรษะไอศิกาด้วยความเอ็นดู “ลูกแก้วไม่ต้องกังวลนะ พี่จะดูแลลูกแก้วกับคุณลุงให้ดีที่สุด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พี่ก็จะเลือกยืนอยู่ข้างลูกแก้วเสมอ”

 

“ผมขอโทษ แต่...ผมโกรธมาก” เฉินกุ้ยกระซิบชิดริมหูของหญิงสาวที่นอนสั่นสะท้านอยู่ในอ้อมแขน ก่อนจะลากริมฝีปากไปบนลำคอและไหล่เปลือยเปล่าของเจ้าตัวอย่างโหยหา กลิ่นกายหอมกรุ่นผสมกับกลิ่นขนมอบหวานๆ ฉุดรั้งหัวใจของเขาให้ดำดิ่งลงสู่ห้วงดำฤษณาอีกครั้งดังที่เป็นมาแล้วเกือบค่อนคืน “โกรธแล้วก็คิดถึงคุณพร้อมๆ กัน ฟังดูบ้าไหม คุณเหม่ยอิง”

หญิงสาวเจ้าของชื่อหายใจหอบ แต่ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากบวมช้ำเพราะฤทธิ์จูบแม้แต่นิด เธอพลิกตัวกลับไปหาชายหนุ่มเจ้าของอ้อมแขนแล้วมองเขาด้วยแววตาที่อัดแน่นไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งโกรธเกรี้ยว ทั้งสับสนและรู้สึกอบอุ่นระคนกัน

“คุณเหม่ยอิง”

เฉินกุ้ยอ่านแววตาของเธอไม่ออก แต่กลับถูกดึงดูดให้ประทับจูบบนริมฝีปากของเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวต้องมนตร์ เขาพร่ำเพรียกเรียกชื่อเธอไม่หยุดในขณะที่อ้อมแขนกระชับร่างขาวยวนตาของเธอแน่นเข้า ผิวกายที่สนิทแนบแทบหลอมละลายเป็นหนึ่งเดียวกันนั้นเป็นสิ่งเดียวที่ยืนยันได้ว่าเขาไม่ได้ฝันไป

...เหม่ยอิง...อยู่ในอ้อมแขนของเขาจริงๆ...

นับตั้งแต่เขาบึ่งรถจากหัวหินมาถึงบ้านของอัณณ์ในช่วงบ่ายแก่ๆ อารมณ์เดือดดาลและการปะทะคารมโดยที่เขาเป็นคนพูดอยู่ฝ่ายเดียวก็จบลงด้วยจุมพิตรุ่มร้อนที่นำพามาสู่การทะเลาะกันด้วย ’ภาษากาย’ บนเตียงของหญิงสาวยาวนานจนเกือบเที่ยงคืน

‘หยุด...พอได้แล้ว...’ เหม่ยอิงหายใจหอบ เธอดันใบหน้าชายหนุ่มให้ออกห่างแล้วยกมือขึ้นขยับเป็นภาษามืออย่างอ่อนแรง ‘เธอ...ควรกลับไปได้แล้ว’

“กลัวว่าคุณอัณณ์จะมาเห็นเราเข้าหรือครับ”

เฉินกุ้ยหน้าตึง ดวงตายาวเรียวหรี่มองดวงหน้าแดงจัดของหญิงสาวอย่างหงุดหงิดใจ ในตอนแรกเขาตั้งใจจะเปิดอกพูดกับอัณณ์ว่าแท้จริงแล้วเคยคิดเกินเลยกับเหม่ยอิงบ้างหรือไม่ แต่ต้องผิดหวังเมื่อพบว่าอัณณ์ไปประชุมงานต่างจังหวัด กว่าจะกลับก็คงเป็นพรุ่งนี้บ่าย

‘ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไหร่ เธอก็ยังเป็นเด็กไม่รู้จักโตเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน อากุ้ย’

เหม่ยอิงผละจากเฉินกุ้ยแล้วลุกขึ้นเดินตุปัดตุเป๋ไปหยิบเสื้อผ้าที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นห้องขึ้นมาสวมลวกๆ

“ผมไม่ใช่เด็กแล้ว คุณก็น่าจะรู้ดีที่สุด”

ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเข้มพลางขยับลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง ดวงตากวาดมองแผ่นหลังขาวลออตาที่กำลังถูกเดรสตัวยาวคลุมทับอย่างสุดแสนเสียดาย เหม่ยอิงหันกลับมาตวัดตาค้อนเขาครั้งหนึ่งแล้วรีบเบือนหน้าหนีไปทางอื่น เมื่อสายตาปะทะเข้ากับรอยเล็บของตนเองที่ฝากไว้บนแผงอกหนาหนั่นอย่างจัง

‘เธอมันก็โตแต่ตัว’ หญิงสาวยื่นมือส่งภาษาแทนคำพูด แก้มทั้งสองข้างเห่อร้อนจนไม่กล้าให้เด็กโค่งบนเตียงเห็นสีหน้าในยามนี้ตรงๆ ‘เอาแต่งอแงเป็นเด็กๆ ไม่มีเหตุผล’

“ถอดเสื้อผ้าให้คนอื่นดูนี่คงเป็นเรื่องที่มีเหตุผลมากเลยสินะครับ ถ้าพี่เจี๋ยรู้เข้าได้อาละวาดใหญ่โตแน่”

เฉินกุ้ยดึงผ้าห่มมาพันกายท่อนล่างอย่างหัวเสียแล้วลุกขึ้นเดินวนรอบเตียงเพื่อหากางเกงแต่ไม่พบ หน้ากากน้ำแข็งที่เคยสวมใส่ไว้จนเหมือนเป็นผิวหนังชั้นที่สองถูกไออุ่นจากเรือนกายของหญิงสาวหลอมละลายจนสิ้นไปเมื่อหลายชั่วโมงก่อน เผยให้เห็นโฉมหน้าดั้งเดิมที่เหม่ยอิงเคยรู้จักมานานแรมปี

‘เธอน่าจะรู้ดีว่าพี่เจี๋ยไม่ตีฉันแน่ แต่จะควักตาคนที่กล้ามองฉันแทน โดยเฉพาะเธอ’

เหม่ยอิงโยนกางเกงใส่ชายหนุ่ม เขากัดกรามกรอดแล้วสวมกางเกงอย่างรวดเร็ว ให้ตายเถอะ...เขาลืมไปได้อย่างไรกันหนอว่าพยัคฆ์นัยน์ตาเดียวของไป๋หู่มักเข้าข้างสองดอกไม้งามแห่งตระกูลเฉินชนิดไม่ลืมหูลืมตา ต่อให้คนของตนเป็นฝ่ายผิดก็พร้อมหักคอฝ่ายตรงข้ามชนิดไม่ฟังอีร้าค่าอีรมแม้แต่วินาทีเดียว ยายลูกแมวแสบเฉินเพ่ยเพ่ยถึงได้นิสัยเสียนักอย่างไรเล่า แต่ไม่นึกเลยว่าเหอเหม่ยอิงผู้แสนอ่อนหวานของเขาจะพลอยเกเรไปด้วย!

“ถ้าอย่างนั้นพี่เจี๋ยคงต้องตัดแขน ตัดขาแล้วก็ควักหัวใจผมด้วยนั่นละ เพราะผมไม่ได้แค่มองคุณอย่างเดียวนี่ จริงไหม โอ๊ย!”

เฉินกุ้ยร้องลั่นเมื่อรองเท้าหนังของตนลอยหวือมากระแทกเข้ากลางอกเต็มรัก และอีกข้างในมือที่กำลังเงื้อง่าของหญิงสาวกำลังจะตามมา เขาจำไม่ได้สักนิดว่าทำไมรองเท้าคู่นี้ถึงได้มาอยู่ในห้องนอนของเธอด้วย จนกระทั่งเจ้าของห้องขว้างมันใส่เขานี่ละ จึงระลึกได้ว่า ตอนที่มาถึงบ้านหลังนี้ตนโกรธจัดถึงขนาดวิ่งเข้ามาในบ้านโดยไม่ถอดรองเท้าด้วยซ้ำ

‘ออกไป!’

เหม่ยอิงขยับปากคล้ายตะโกนสุดเสียง แต่ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา ก่อนที่จะขว้างรองเท้าอีกข้างใส่คนตรงหน้า แต่เขากลับเอี้ยวหลบได้อย่างคล่องแคล่วแล้วพุ่งเข้ามารวบร่างของเธอไว้แนบอก

“ว่าแต่ผมเป็นเด็ก แต่คุณกลับทำตัวเป็นเด็กยิ่งกว่าผมเสียอีก” เฉินกุ้ยสูดปากเมื่อนางฟ้าในอ้อมแขนแปลงร่างเป็นนางแมวป่า ทั้งจิกทั้งข่วนจนท่อนแขนและแผงอกได้แผลเลือดออกซิบๆ “เห็นได้ชัดว่าคุณเองก็ไม่ได้เป็นผู้ใหญ่ไปกว่าผมนักหรอก”

เหม่ยอิงตวัดตามองค้อนอีกครั้งแล้วรัวหมัดลงไปบนอกของอีกฝ่าย แต่เขาไม่มีทีท่าจะสะดุ้งสะเทือนสักนิด มิหนำซ้ำยังถูกเขาอุ้มจนตัวลอยเหมือนเป็นเพียงตุ๊กตายัดนุ่นไร้น้ำหนัก

‘ปล่อยฉันลง!’ หญิงสาวใช้ภาษามือสลับกับฟาดมือลงบนเนื้อตัวที่แดงเถือกไปหมดแล้วของเฉินกุ้ย

“ไม่ปล่อย” ชายหนุ่มวางคนที่ดิ้นพราดเหมือนถูกน้ำร้อนลวกลงนอนบนเตียง ก่อนจะทาบกายตามลงไปอย่างรวดเร็วและกักเธอไว้ใต้ร่างอย่างแน่นหนา “อย่างน้อยก็จนกว่าคุณจะบอกผมมาก่อนว่า ทำไมจู่ๆ คุณถึงได้ทำตัวเกเรแบบนี้ คุณทำตัวไม่เหมือนคุณเหม่ยอิงที่ผมรู้จักเลยสักนิด”

‘อย่าพูดเหมือนเธอรู้จักฉันดีหน่อยเลย’

เหม่ยอิงขยับมือรัวเร็ว หากแต่ดวงตาหลุบลงต่ำไม่ยอมมองหน้าเขาตรงๆ เฉินกุ้ยก็ยังคงเป็นเฉินกุ้ยคนเดิมที่เธอรู้จักมาแทบตลอดชีวิต ถึงเขาจะโกรธเธอเพียงไหน เขาก็ยังสัมผัสเธออย่างทะนุถนอมเหมือนเธอเป็นเครื่องแก้วที่เต็มไปด้วยรอยร้าวซึ่งทำให้หัวใจของเธอเจ็บปวดอย่างที่สุด เธอไม่ต้องการความเวทนาสงสารชนิดนี้จากเขา สิ่งที่เธอต้องการก็คือ...

“ไม่มีผู้ชายหน้าไหนรู้จักคุณดีเท่าผมอีกแล้ว”

...แม้แต่เหวินฟง...เฉินกุ้ยเก็บวลีที่เหลือไว้ในใจ จริงอยู่ว่าผู้ชายคนนั้นเป็นคนรักคนแรกและคนเดียวของเหม่ยอิง แต่รายนั้นแทบไม่เคยมีโอกาสล่วงเกินเธอมากไปกว่าจุมพิต มีแต่เขานี่ละที่ทำเรื่องต่ำช้ากับเธออย่างน่าละอายยิ่งนัก ทว่า...เขาไม่เคยกล้าปริปากว่าเธอ...เป็นของเขาแม้แต่เพียงครั้ง ในความเป็นจริงแล้ว เขาต่างหากที่ถูกเธอครอบครองทั้งตัวและหัวใจ

‘เธอก็ดีแต่พูดเรื่องน่าเกลียดแบบนี้’ สายตาคมกริบที่กวาดมองไปทั่วใบหน้าไล่ลงมายังลำคอทำเอาหญิงสาวสั่นไปทั้งตัว ‘ฉันบอกแล้วว่าถ้าเธอไม่ยอมถอนตัวจากเรื่องของพวกฮวงหลง ฉันจะไม่บอกอะไรเธอทั้งนั้น’

“คุณเป็นห่วงผมเหรอครับ” ดวงตาของเฉินกุ้ยเต้นระริกเมื่อเห็นอีกฝ่ายหน้าแดงก่ำแล้วเม้มริมฝีปากแน่นเหมือนเด็กที่ถูกจับได้ว่ากำลังทำความผิดร้ายแรงอะไรสักอย่าง “คุณ...เป็นห่วงผม...”

‘ใช่...ฉันห่วง...’ เหม่ยอิงผินหน้าไปอีกทางจนแก้มแนบไปกับฟูกที่นอน อับอายเกินกว่าจะมองใบหน้าขาวจัดของชายหนุ่มได้ ‘เธอเป็นลูกของลุงเฉินเปียว เป็นญาติของเพ่ยเพ่ย ฉันก็ต้องเป็นห่วงเป็นเรื่องธรรมดา’

“ผมดีใจที่คุณเป็นห่วง” เฉินกุ้ยแนบริมฝีปากบนแก้มแดงแจ๋ของหญิงสาว แม้เหม่ยอิงจะอายุมากกว่าเขาถึงเจ็ดปี แต่เธอกลับยังคงดูอ่อนเยาว์เหมือนวันแรกที่เขาตกหลุมรักเธออยู่เสมอ “มันอาจฟังซ้ำซาก แต่ผมละทิ้งหน้าที่ของตัวเองไม่ได้ ก่อนหน้านี้ผมอธิบายไปหมดแล้ว แต่คุณก็ไม่ยอมฟังผมเลย”

เขาไม่กล้าคิดเข้าข้างตนเองว่า สาเหตุที่เหม่ยอิงอาละวาดและทำตัวเกเรผิดปกติเช่นนี้ เป็นเพราะเธอเองก็มีความรู้สึกให้เขาเช่นกัน แต่...ห้วงความคิดของชายหนุ่มสะดุดลงเพียงเท่านั้นเมื่อเหลือบตาไปเห็นสร้อยทองคำขาวที่ส่วนปลายร้อยเข้ากับแหวนเพชรของผู้ชายวงโตเอาไว้หล่นอยู่บนเตียง ที่จริง...จะเรียกว่าหล่นไม่ได้หรอก เขาจงใจถอดออกจากลำคอขาวผ่องของเจ้าของต่างหาก แหวนวงนี้...เป็นแหวนหมั้นที่เหม่ยอิงมอบให้เหวินฟงเมื่อเจ็ดปีก่อน และเขาก็เป็นคนนำมันกลับมาให้เธอในคืนที่เหวินฟงจากไปตลอดกาล เฉินกุ้ยรู้สึกแสลงใจทุกครั้งที่เห็นมัน เหมือน...อดีตคนรักของเหม่ยอิงยังยืนอยู่ข้างหลังเธอ แล้วมองตรงมาด้วยแววตาโกรธแค้นยามเขาจุมพิตหรือแตะต้องเธอด้วยแรงสิเน่หา แหวนนั่น...ตอกย้ำความผิดที่เขามีส่วนทำให้คนที่เธอรักสุดหัวใจต้องตายอย่างน่าเวทนา

‘ฟังแล้วมีประโยชน์อะไรเล่า ในเมื่อสุดท้ายแล้วมันก็เป็นแค่ข้ออ้างหาเรื่องฆ่าตัวตายเท่านั้น’ เหม่ยอิงขยับมืออันสั่นเทาช้าๆ สัมผัสจากเขามีอิทธิพลต่อความรู้สึกของเธออย่างประหลาด ‘ทำไมถึงต้องเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยงตายเพื่อคนอื่นด้วย ไม่รู้บ้างหรือไงว่าเรื่องระหว่างภามกับฮวงหลงมันอันตรายกว่าที่คิด’

“ผมไม่กลัวเรื่องอันตราย”

เสียงของเฉินกุ้ยหนักแน่นเสียจนเหม่ยอิงอดรู้สึกหวาดหวั่นไม่ได้ คนรอบตัวเธอล้วนพูดจาด้วยน้ำเสียงแสดงความห้าวหาญและทะนงตนเช่นนี้ทั้งสิ้น ทั้งจวิ้นเจี๋ย เหวินฟง และเฉินกุ้ย ทุกคน...บ้าระห่ำและใช้ชีวิตอยู่บนความเสี่ยงทุกลมหายใจเข้าออก เส้นทางบนโลกมืดนั้นโหดร้าย มันไม่เคยปรานีคนที่ก้าวพลาด และเธอ...ไม่อยากให้เฉินกุ้ยพลาด เธอไม่อยากให้เขาต้องจบชีวิตลงเหมือนเหวินฟงและคนอื่นๆ ในแก๊ง

“ถ้าคุณเป็นห่วงผมจริงๆ ก็บอกผมเถอะว่าคุณได้ยินอะไรมา ผมจะได้เตรียมตัวรับมือ”

‘เธอมันนิสัยเสีย ฉันพูดอะไรก็ไม่เคยฟังฉันเลย’ หญิงสาวหันกลับมามองเขาด้วยดวงตาแดงก่ำเหมือนจะร้องไห้ ‘เธอแปลคำว่าอันตรายไม่ออกหรือไง’

“แปลออก แล้วก็พูดคำว่าอันตรายได้ในหกภาษาด้วย คุณอยากฟังไหม”

ชายหนุ่มใช้ปลายนิ้วเกลี่ยไรผมออกจากดวงหน้ากระจ่างใสของเหม่ยอิงอย่างนุ่มนวล

‘นี่ไม่ใช่เวลามาพูดตลกหน้าตายนะ อากุ้ย!’

“ผมก็ไม่ได้ตั้งใจให้มันตลกนี่ครับ”

เฉินกุ้ยระบายลมหายใจยาว ยิ่งมองความงามชวนฝันของคนในอ้อมแขนนานเท่าใด เขาก็ยิ่งรู้สึกผิดมากเท่านั้น เหม่ยอิงคือผลไม้ต้องห้ามที่เขาไม่ควรริอ่านแตะต้องแต่แรก ไม่ควรเลย...

‘ฉันเกลียดเวลาเธอทำนิสัยแบบนี้จริงๆ’

ความหวาดกลัวที่ฉายชัดอยู่ในดวงตาของหญิงสาวพาให้หัวใจของชายหนุ่มสั่นไหว แต่ถึงกระนั้นก็ยังต้องทำเป็นใจแข็ง ไม่โน้มใบหน้าลงจูบปลอบขวัญเธอ ทั้งที่อยากทำใจจะขาด

‘เธอจะไม่ยอมถอนตัวจากเรื่องนี้จริงๆ ใช่ไหม’

“คุณรู้คำตอบดีอยู่แล้ว”

เฉินกุ้ยยิ้มเจื่อน ก่อนจะคลายวงแขนปล่อยเหม่ยอิงให้เป็นอิสระแล้วหยัดกายขึ้นนั่ง แต่หญิงสาวกลับยังนอนนิ่งอยู่เช่นนั้น เนิ่นนานกว่าที่เธอจะเริ่มขยับมือเพื่อสื่อสารอีกครั้ง

‘ฉันแอบได้ยินพี่เจี๋ยกับนายคุยกันเรื่องที่ภามถูกใครบางคนสั่งเก็บ เพื่อเป็นข้ออ้างในการล้างบางฮวงหลง’

“ล้างบางฮวงหลง? นั่น...แทบเป็นไปไม่ได้เลย ฮวงหลงทรงอิทธิพลแค่ไหน ใครๆ ก็รู้ ท่านหวังเสี้ยวเทียนมีสายสัมพันธ์แนบแน่นกับคนระดับบิ๊กในองค์กรระดับโลกหลายประเทศ ถ้าบอสล้ม คนพวกนี้ก็ต้องล้มด้วย เผลอๆ ไส้มีกี่ขดก็คงถูกสาวออกมาให้สื่อยำข่าวกันสนุก คงไม่มีใครยอมให้เกิดขึ้นแน่”

‘อย่าเพิ่งแน่ใจนักอากุ้ย’ เหม่ยอิงยกมือขึ้นปิดหน้าอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะขยับมือต่อ ‘เท่าที่ได้ยินนายพูดมา อินเตอร์โพลมีการเปลี่ยนแปลงภายในหลายอย่าง บางที...คนพวกนั้นอาจจะพร้อมปลดระวางสุนัขรับใช้อย่างพวกเราแล้วหาตัวใหม่มาแทนที่แล้วก็ได้ ตัวใหม่...ที่อาจให้ผลประโยชน์ได้มากกว่า ภามเองก็น่าจะรู้เรื่องบางอย่างมาถึงได้ถูกสั่งเก็บ แต่ในเมื่อภามไม่ตาย พวกมันก็อาจเปลี่ยนเป้าหมายเพื่อให้แน่ใจว่าจะมีหลักประกันให้ภามยอมปิดปากเงียบจนกว่าจะล้างบางฮวงหลงสำเร็จ’

“หลักประกัน? นี่หมายความว่า...พวกมันคิดจะใช้ลูกสาวไอ้ภามเป็นหลักประกันอย่างนั้นหรือครับ”
 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น