หัวใจทรยศ (๒)
“มาทำอะไรที่นี่”
หย่งเต๋อยืนกอดอกพิงผนังบุนวมของห้องจัดเลี้ยง เขาจับจ้องสาวน้อยในชุดสีงาช้างที่ยืนพูดคุยกับเพื่อนๆ อยู่อีกมุมหนึ่งของห้องไม่วางตา จนคู่สนทนาถึงกับหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ
“ก็มาออกงานแทนพ่อ” จันทร์เจ้ายกแก้วไวน์ขึ้นจิบ เรียวปากสีแดงเบอร์กันดียกแย้มขึ้นเป็นรอยยิ้มพิมพ์เดียวกับแดเนียลผู้เป็นบิดา เสื้อสูทเปิดออกนิดๆ เผยให้เห็นว่าข้างใต้นั้นไม่ได้สวมสิ่งใดอยู่เลย “พี่นั่นละ มาทำอะไร”
“เราก็รู้อยู่แก่ใจว่าพี่มาทำอะไร” หย่งเต๋อทำเสียงจึ๊กจั๊กในลำคอ “แล้วนั่นแต่งตัวอะไรของเรา หยูเยว่ ไหนจะทรงผมอีก ตัดผมตั้งแต่เมื่อไหร่ คุณย่ารู้หรือเปล่า”
ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา จันทร์เจ้าก็เป็นตุ๊กตาแสนสวยให้พริมาผู้เป็นย่าจับแต่งตัวและถักเปียเล่นเสมอ น้องสาวของเขาจึงไม่เคยตัดผมสั้นเลย แต่วันนี้กลับตัดจนสั้นกุดและแต่งตัวแปลกตามาก...มากจนชวนให้รู้สึกตงิดๆ ใจพิกล
“รู้สิ คุณย่าพาไปตัดเองนั่นละ” จันทร์เจ้ายักไหล่ “พี่ไม่ได้กลับบ้านมานาน คงไม่รู้ว่าที่บ้านมี ‘อะไรๆ’ เปลี่ยนไปเยอะ”
“อ้อ กล้าเปิดตัวกับคุณย่าแล้วว่าอย่างนั้นเถอะ แล้วพ่อว่ายังไงบ้าง”
มีเพียงเขากับมารดาที่รู้...ว่าแม่น้องสาวผู้แสนสมบูรณ์แบบมีรสนิยมทางเพศแบบใด สิ่งที่จันทร์เจ้าเป็นไม่อาจลดทอนคุณค่าความเป็นคนหรือความเก่งกาจเหนือมนุษย์ของเธอลงได้แม้แต่น้อย ตัวเขาไม่มีปัญหาใดๆ ทั้งสิ้น เขารักน้อง และพร้อมสนับสนุนเธอในทุกทาง ตราบใดที่ไม่คิดแย่งผู้หญิงคนเดียวกัน!
“พ่อมีน้องสาวอย่างอาหลิงหลิงนะคะพี่ชาย คงไม่มีอะไรน่าตกใจอีกแล้วมั้ง” จันทร์เจ้าหัวเราะ “พ่อยังบอกเลยว่าทำไมเพิ่งมาบอกตอนนี้ พ่อรู้มานานแล้ว คนที่ตกใจก็คงเป็นคุณปู่นั่นละ”
“สมเป็นพ่อจริงๆ รู้ไปหมดทุกเรื่อง”
หย่งเต๋อแค่นยิ้มในขณะที่คนเป็นน้องเลิกคิ้วนิดๆ อย่างขบขัน
“ก็รู้กันอยู่ว่าหวังเสี้ยวเทียนหัวหน้าแก๊งฮวงหลงธรรมดาเสียที่ไหน อยู่ที่จะพูดหรือไม่พูดก็เท่านั้น” หญิงสาวขยับตัวมายืนพิงผนังเคียงข้างพี่ชาย ดวงตามองตรงไปยังสาวสวยผู้เป็นจุดรวมสายตาของเขาแล้วจิบไวน์ต่อด้วยท่าทางสบายๆ “ลูกแก้วน่ารักนะ ตัวเล็กๆ หน้าหวานๆ สเปกพี่เลยนี่”
“สนิทกันเหรอ” ชายหนุ่มปรายตามองใบหน้าสวยคมนิดหนึ่ง ก่อนจะมองตรงไปเบื้องหน้าต่อเหมือนไม่ใส่ใจสิ่งที่เพิ่งถามไปนัก แต่คนฟังรู้ดีว่าเขากำลังรอคอยคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ
“อือฮึ เป็นรุ่นน้องที่คณะน่ะ”
“แล้วลูกแก้วรู้หรือเปล่าว่าเราเป็นใคร”
“ไม่รู้หรอก แล้วก็ไม่คิดจะบอกด้วย ความบาดหมางของผู้ใหญ่ไม่เกี่ยวอะไรกับเรานี่”
เธอรู้ว่าไอศิกาเป็นลูกสาวสุดที่รักของภาม แม้ในตอนที่รู้จักกัน ความขัดแย้งระหว่างฮวงหลงกับภามเริ่มเด่นชัดขึ้นทุกที แต่ไม่ได้หมายความว่าลูกๆ จะต้องตั้งตัวเป็นศัตรูกันไปด้วยไม่ใช่หรือ อีกประการหนึ่ง เธอไม่เคยแสดงตัวให้ใครรู้ว่าเป็นหนึ่งในทายาทของตระกูลหวังเพื่อความปลอดภัย และเป็นโอกาสอันดีที่ได้ใช้ชีวิตแบบคนปกติธรรมดาที่สุด
“ไม่เกี่ยว?” หย่งเต๋อหันกลับไปมองจันทร์เจ้าตรงๆ “ทั้งที่ไอ้ภามอาจเป็นคนวางระเบิดแม่เราเนี่ยนะ”
“ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดเสียหน่อย” จันทร์เจ้าระบายลมหายใจยาว “ต่อให้มันเป็นคนทำจริงๆ เรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับลูกแก้วเลยสักนิด พี่จะโยนบาปให้คนบริสุทธิ์ไม่ได้หรอกนะพี่นะโม จะแค้นทั้งทีก็เอาให้ถูกคนสิ”
“พูดจาเหมือนพ่อไม่มีผิด เลือดพ่อแรงจริงจริ๊ง” หย่งเต๋อแบะปากเมื่อนึกถึงบทสนทนาของตนกับบิดาเมื่อคืน “พ่อเล่าอะไรให้ฟังหรือไง”
“พ่อไม่เปิดปากพูดอะไรง่ายๆ หรอก พี่ก็น่าจะรู้” จันทร์เจ้ากระดกไวน์อึกสุดท้าย แล้ววางแก้วเปล่าลงในถาดของบริกรที่เดินผ่านมาพอดี ก่อนจะหยิบแก้วใหม่มาถือไว้ “ถ้าพูดถึงคนที่เลือดพ่อแรงน่ะ ฉันว่าน่าจะหมายถึงพี่มากกว่านะ รู้ตัวหรือเปล่าว่าพี่เหมือนพ่อตอนหนุ่มๆ มากกว่าที่คิดอีก ฉันไม่ได้หมายถึงรูปร่างหน้าตาอย่างเดียวนะ นิสัยก็ด้วย คุณอาหลิงหลิงเคยเล่าให้ฟังว่าพ่อน่ะ ลองตัดสินใจอะไรไปแล้วจะไม่ยอมถอย ตัดสินใจถูกก็ดีไป แต่ถ้าตัดสินใจพลาดเมื่อไหร่ ต้องมานั่งเสียใจทีหลังทุกที”
“เราเคยเห็นพี่เสียใจทีหลังด้วยหรือไง”
ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งแล้วเหยียดยิ้มหยัน ไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้ยินผู้คนพูดถึงความคล้ายคลึงอันไม่น่าเป็นไปได้ระหว่างเขากับหวังเสี้ยวเทียนผู้ยิ่งใหญ่ เพียงแต่น่าประหลาดใจอยู่สักหน่อยที่มาจากปากของน้องสาวผู้มักวางเฉยต่อทุกเรื่องที่เขาทำ ต่อให้เป็นเรื่องเฮงซวยเพียงไหนก็ตามที
“ก็ยังไม่เคยหรอก แล้วก็ไม่อยากเห็นด้วย” จันทร์เจ้าเอียงคอมองหน้าพี่ชาย “แม่เองก็คงคิดแบบเดียวกับฉันนี่แหละ”
‘นะโม...’
เพียงเอ่ยถึงนายหญิงของฮวงหลง น้ำเสียงนุ่มนวลและสัมผัสอ่อนหวานยามฝ่ามือเล็กๆ วางลงบนศีรษะของเขาเมื่อคืนก็ย้อนกลับเข้ามาในห้วงความคิด แม่เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่เรียกเขาด้วยชื่อไทย และเรียกได้หวานจับใจที่สุดอีกด้วย...ภาพตอนที่ท่านลืมตาขึ้นแล้วเรียกให้เขาเข้าไปหาใกล้ๆ เป็นภาพเดียวที่ทำให้คนที่แทบไม่เคยหลั่งน้ำตาให้แก่เรื่องใดถึงกับกลั้นน้ำตาไม่อยู่ ต้องซบหน้าแนบไปบนฝ่ามือของแม่เพื่อซ่อนน้ำตาแห่งความตื้นตัน เขาดีใจที่แม่ยังหายใจอยู่ และเขาจะไม่มีวันให้อภัยคนที่คิดพรากท่านไปจากเขาเป็นอันขาด!
“พี่รู้ตัวดีว่ากำลังทำอะไรอยู่ เราไม่ต้องยุ่งเรื่องของพี่หรอก ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีเถอะ”
“ถ้ารู้ตัวจริงๆ ก็ดี ฉันจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง” กลัวแต่จะไม่รู้นี่ละ...จันทร์เจ้าลอบถอนใจอีกครา “ลูกแก้วน่ะ เป็นเด็กดีมากนะ จิตใจดี มีเมตตา ไม่เคยคิดร้ายกับใคร ถ้าเป็นไปได้ ฉันก็อยากให้พวกเราได้พบกันในสถานการณ์ที่ต่างออกไปจากนี้”
“อยู่ๆ ก็เปลี่ยนเรื่องพูดเสียอย่างนั้น” น้ำเสียงของชายหนุ่มขุ่นขึ้นในพริบตาจนคนฟังอยากหัวเราะ “นี่จะบอกว่าชอบเด็กคนนั้นหรือไง พอเปิดตัวปุ๊บก็รีบหาสะใภ้ไปฝากพ่อปั๊บเชียวนะ แต่ฉันว่าพ่อคงไม่ชอบใจนักหรอก”
“ความชอบของฉันไม่เกี่ยวกับพ่อนี่”
คำตอบที่เหมือนยอมรับกลายๆ ทำให้หย่งเต๋อรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเสียเฉยๆ มิน่าเล่า ภาพตอนที่จันทร์เจ้าจูบกระหม่อมของไอศิกาถึงได้กวนใจเขานัก!
“ดูๆ ไปแล้ว สเปกของพี่กับฉันก็ไม่ได้หนีกันเท่าไหร่หรอกว่าไหม”
“มาดักรอเจอพี่เพื่อพูดเรื่องไร้สาระแค่นี้เหรอหยูเยว่” เสียงของหย่งเต๋อแข็งกระด้างขึ้นอีกระดับ
จันทร์เจ้าเลิกคิ้วแล้วคลี่ยิ้มเยือกเย็น “ใครว่าฉันมาดักรอเจอพี่ ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพี่จะมาที่นี่ ฉันก็แค่มางานนี้ตามคำสั่งของพ่อพร้อมพี่เจี๋ยเฉยๆ”
“พี่เจี๋ย? เหอจวิ้นเจี๋ยอยู่ที่นี่งั้นเหรอ” พยัคฆ์นัยน์ตาเดียวของไป๋หู่ไม่มีทางยอมทิ้งเมียเด็กที่กำลังตั้งครรภ์อ่อนๆ ไว้ที่ปารีสแล้วเหาะข้ามฟ้ามาเมืองไทยโดยไม่มีเรื่องสำคัญชนิดคอขาดบาดตายเป็นแน่ รู้ๆ กันอยู่ว่ารายนั้นทะนุถนอมพุดพิชญาเสียยิ่งกว่าอะไรในโลกหล้า ห่างเมียได้ที่ไหนกันเล่า ร้องหาอย่างกับลูกหมาไม่ยอมหย่านม “มีอะไรที่พี่ควรรู้หรือเปล่า”
“ฉันไม่รู้รายละเอียดมากนักหรอก รู้แค่ตาแก่พิบูลย์ยื่นข้อเสนอบางอย่างให้แก๊งไป๋หู่ ที่แน่ๆ เกี่ยวข้องกับฮวงหลงแล้วก็ภามด้วย พี่เจี๋ยเลยเป็นตัวแทนของคุณอาเฉินหมิงมาตามคำเชิญ”
“หือ? เป็นเรื่องของเรากับไอ้ภาม แต่ยื่นข้อเสนอให้ไป๋หู่งั้นเหรอ ฟังทะแม่งๆ นะว่าไหม คิดจะเสี้ยมให้เรากับไป๋หู่เชือดกันเองสิท่า ไอ้แก่นี่มันไปมุดอยู่ในรูไหนมาถึงได้คิดว่าพ่อกับแมวดำจะหักหลังกัน สองคนนั้นผ่านร้อนผ่านหนาวมาด้วยกันตั้งเท่าไหร่แล้ว หรือว่า...” หย่งเต๋อเดาะลิ้นแล้วหรี่ตามองหน้าน้องสาว “พ่อกับเฉินหมิงแกล้งส่งสัญญาณว่าเริ่มไม่ลงรอยกันเพื่อล่อเหยื่อ”
“ทำนองนั้นมั้ง บอกแล้วไงว่าไม่รู้รายละเอียด ต้องรอจนกว่าพี่เจี๋ยจะคุยกับไอ้พิบูลย์เรียบร้อยเสียก่อน” จันทร์เจ้าส่งยิ้มให้พี่ชายอย่างมีเลศนัย หย่งเต๋อหัวไวจะตาย เรื่องแค่นี้น่าจะเดาได้ไม่ยากหรอก
“วันนี้ลูกแก้วก็มาพบไอ้พิบูลย์เหมือนกัน ดูเหมือนมันกำลังวางแผนอะไรอยู่จริงๆ ด้วยสินะ”
จุดประสงค์ก็คงไม่พ้นล้างบางถอนรากถอนโคนบรรดาแก๊งใหญ่ แล้วขึ้นมาครองอำนาจแทนที่นั่นละ
“เท่าที่รู้ พิบูลย์กว้างขวางก็จริง แต่ไม่น่ากล้ายื่นข้อเสนอให้ไป๋หู่แน่ถ้าไม่มีคนคอยหนุนหลัง คำถามก็คือใครกันที่คอยชักใยอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้”
“คุณลูกแก้วใช่ไหมครับ”
ชายหนุ่มหน้าตาดีในชุดสูทสีเทาเข้มเดินตรงมาหาไอศิกาด้วยรอยยิ้ม ไอศิกาหันไปสบตากับกชกรและนิราอรนิดหนึ่งก่อนจะพยักหน้ารับอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“ใช่ค่ะ”
“นึกแล้วเชียวว่าต้องใช่” เขายิ้มกว้าง ท่าทางเหมือนโล่งอกที่ได้พบหน้าหญิงสาว “สวัสดีครับ ผมวิสูตร เป็นเลขาฯ ของท่านพิบูลย์”
“สวัสดีค่ะ” ไอศิการีบกระพุ่มมือไหว้อย่างอ่อนน้อมทำเอาอีกฝ่ายรีบรับไหว้แทบไม่ทัน “ฉันต้องขอโทษด้วยนะคะที่ไม่ได้รีบโทรศัพท์หาคุณ ฉันเห็นว่ายังไม่ถึงเวลานัด ก็เลย...”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ยังไม่ถึงเวลานัดจริงๆ นั่นละ ท่านพิบูลย์เองก็กำลังคุยธุระอยู่กับแขกจากฝรั่งเศสอยู่ ก็เลยให้ผมมาเชิญคุณลูกแก้วไปรอที่ห้องรับรองก่อน ท่านเสร็จธุระแล้วจะรีบมาพบคุณทันที”
“ผู้ใหญ่ที่เธอมาพบคือท่านพิบูลย์เหรอลูกแก้ว”
กชกรมีสีหน้าลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด เธอเหลือบมองเลขานุการหนุ่มแล้วนิ่งไป คล้ายมีบางสิ่งในใจ แต่ไม่กล้าพูดต่อหน้าเขา
“จ้ะ” ไอศิกาตอบสั้นๆ “ท่านเป็นเพื่อนของคุณพ่อน่ะ ถ้ายังไงเดี๋ยวฉันกลับมานะ ขอไปคุยธุระกับท่านให้เรียบร้อยก่อน”
“เชิญทางนี้ครับคุณลูกแก้ว”
วิสูตรผายมือ ไอศิกาหันกลับไปมองชายหนุ่มร่างสูงที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่งของห้องกับจันทร์เจ้าครู่หนึ่ง นึกประหลาดใจที่เห็นทั้งสองคนพูดคุยเหมือนรู้จักกันมาก่อน อีกทั้งยังมีความคล้ายคลึงบางอย่างในตัวของทั้งคู่อย่างไม่น่าเป็นไปได้ แต่เมื่อเขาพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ว่าเธอกำลังจะออกไปจากห้องจัดเลี้ยง แล้วตั้งท่าจะเดินตามมา เธอก็สลัดความคิดฟุ้งซ่านทิ้งไปทันที เพียงแค่รู้ว่ามีเขาคอยดูแลอยู่ใกล้ๆ ความกังวลต่างๆ ก็ปลาสนาการไปสิ้น
“คุณรู้ได้ยังไงคะว่าเป็นฉัน ทั้งที่เราไม่เคยเจอกันมาก่อนเลย”
ไอศิกาเอ่ยถาม เดินตามวิสูตรออกมาที่ลิฟต์ในล็อบบี คะเนคร่าวๆ ผู้ชายคนนี้น่าจะมีอายุมากกว่าเธอไม่เกินสามหรือสี่ปี แต่มีบุคลิกเป็นผู้ใหญ่กว่ามาก เขาหันกลับมายิ้มให้อย่างเป็นมิตรพลางกดปุ่มเรียกลิฟต์
“คุณองอาจส่งรูปคุณมาให้ผมครับ งานเลี้ยงวันนี้จัดเป็นการส่วนตัวก็จริง แต่ก็มีแขกในห้องจัดเลี้ยงเกือบร้อยท่าน มีรูปไว้แบบนี้ก็สะดวกดี เสียอย่างเดียว ตัวจริงของคุณสวยกว่าในรูปเยอะเชียว ผมเกือบจำไม่ได้”
วิสูตรชะงักเมื่อเห็นชายหนุ่มตัวโตคนหนึ่งเดินตรงมายืนประกบไอศิกาด้วยใบหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ แต่กลับแฝงไว้ด้วยกลิ่นอายอันตรายจนกดดันให้เขาเผลอถอยหลังไปสองก้าว
“เอ่อ...นี่คุณใบป่าน เป็น...”
“ผู้ติดตามของคุณลูกแก้วครับ” เฉินกุ้ยพูดต่อด้วยน้ำเสียงโมโนโทนเหมือนหุ่นยนต์ สั้นง่าย ไม่มีการเอ่ยทักทายและไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายถามต่อ “พี่นะโมบอกว่าจะตามมาทีหลัง”
เขาเอ่ยเรียบๆ เมื่อเห็นหญิงสาวมองไปทางด้านหลังเขาคล้ายกำลังรอคอยใครอีกคนอยู่ สีหน้าของเธอเจื่อนลงเมื่อได้ยินคำตอบ
“คือ...ท่านพิบูลย์สั่งไว้ว่าให้คุณลูกแก้วขึ้นไปพบได้คนเดียวนะครับ” เมื่อตั้งสติได้ วิสูตรก็พูดตะกุกตะกัก ผู้ชายคนนี้ตัวโตมากจนข่มให้เขาซึ่งมีความสูงถึง ๑๗๘ เซนติเมตรดูตัวเล็กจ้อยไปในพริบตา “ถ้ายังไง ผมขอความกรุณา...”
“ผมจะรออยู่ด้านหน้าห้องครับ รับรองว่าไม่เข้าไปวุ่นวายแน่” พูดจบก็ก้าวเข้าไปปักหลักยืนรอในลิฟต์ที่เพิ่งเปิดออก สองมือกุมประสานไว้ด้านหน้าตามแบบฉบับบอดีการ์ดทั่วไป แต่ดวงตาฉายแววเยือกเย็นชวนเสียวสันหลัง
วิสูตรพูดไม่ออกจึงได้แต่ทำหน้าปูเลี่ยน แล้วผายมือให้ไอศิกาเดินนำหน้าเข้าไปในลิฟต์ก่อน แล้วเดินตามเข้าไปโดยไม่แม้แต่จะสบตากับบอดีการ์ดหน้าตี๋ที่ยืนนิ่งเหมือนรูปปั้นกวนอูในวัดจีน จะหายใจแรงก็ไม่กล้า กลัวว่าอีกฝ่ายจะตวัดง้าวในมือตัดคอเอา
ไอศิกาเงยหน้าขึ้นมองเสี้ยวหน้านิ่งสนิทของชายหนุ่มเจ้าของดวงตายาวเรียวชั้นเดียวแล้วอดสงสัยไม่ได้ เขามักหายตัวไปเฉยๆ โดยไม่บอกไม่กล่าวและปรากฏตัวขึ้นโดยที่เธอไม่ทันตั้งตัวเสมอ เธอเห็นเขาเดินแยกตัวไปตั้งแต่ตอนที่เข้าไปในห้องจัดเลี้ยง แล้วก็ไม่เห็นเขาอีกเลย จู่ๆ ก็โผล่มายืนตีหน้าเฉยเมยอยู่ด้านหลังเช่นนี้ทำเอาตกใจอยู่เหมือนกัน
ภัทรพลเคยเตือนเธอว่าอย่าไว้ใจนะโมกับใบป่านเป็นอันขาด แต่ถ้าไม่ไว้ใจสองคนที่คอยดูแลปกป้องและช่วยชีวิตเธอมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว จะให้เธอเชื่อใจใครได้อีกกันเล่า หากพวกเขาคิดร้ายต่อเธอจริงๆ ก็สู้ฆ่าเธอทิ้งไปเสียเลยจะไม่ง่ายกว่าหรือไร
ลิฟต์โดยสารขึ้นมาหยุดอยู่ที่ชั้นยี่สิบ ทันทีที่ประตูเปิดออก เฉินกุ้ยก็กวาดตามองสำรวจโถงทางเดินเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว เขาเลิกคิ้วนิดๆ อย่างประหลาดใจเมื่อเห็นหมายเลขห้องบนบานประตูไม้โอ๊กสีเข้ม ที่นี่เป็นห้องพักค้างแรม ไม่ใช่ห้องรับรองดังที่วิสูตรกล่าวอ้างถึง
แปลก...ทำไมถึงให้ไอศิกามาคุยบนห้องพักส่วนตัวเช่นนี้เล่า...
“เชิญทางนี้ครับ”
วิสูตรเดินนำหน้าชายหนุ่มและหญิงสาวตรงไปยังห้องพักที่อยู่สุดโถงทางเดิน เฉินกุ้ยเดาจากทิศที่เดินไปได้ว่าห้องพักนี้น่าจะหันไปทางสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ของโรงแรมที่อยู่ด้านล่าง วิวดีเกินกว่าจะเป็นเพียงห้องที่เปิดไว้สำหรับคุยธุระชั่วคราวเฉยๆ
“ลูกแก้ว” เฉินกุ้ยกระซิบ “ถ้ามีอะไรตะโกนเรียกผมดังๆ นะ”
“เอ๊ะ?” ไอศิกาหันกลับไปมองคนพูดอย่างไม่เข้าใจ สีหน้าขึงขังของเขาทำให้เธอรู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังฝืนยิ้มสู้ “โธ่ ไม่มีอะไรหรอกค่ะพี่ใบป่าน ท่านมีเวลาคุยกับลูกแก้วแค่ ๑๕ นาทีเอง”
“ดูเหมือนแขกของท่านพิบูลย์จะคุยธุระเสร็จแล้วนะครับ”
วิสูตรชี้ไปยังประตูห้องพักที่เปิดออก พร้อมกับที่ร่างสูงในชุดสูทอิตาลีสีดำก้าวออกมาจากด้านใน ใบหน้าหล่อเหลาชวนมองของเขาขาวจัดตามแบบฉบับคนมีเชื้อสายจีน เรือนผมที่ตัดสั้นตามสมัยนิยมทำให้เขาดูอ่อนเยาว์จนคาดเดาอายุไม่ถูก แต่ดวงตายาวเรียวทรงกลีบบัวของเขาดูกร้านโลกและแข็งกร้าวฟ้องชัดว่าผ่านประสบการณ์ชีวิตในมุมมืดมามากมาย...ทันทีที่เขาเห็นเฉินกุ้ยเดินตามหลังสาวสวยหน้าตาจิ้มลิ้มมา เรียวคิ้วเข้มได้รูปสวยก็เลิกขึ้นนิดๆ คล้ายจะทักทาย
เมื่อเฉินกุ้ยเห็นคนตรงหน้าชัดถนัดตาก็ถึงกับสะดุดขาตนเองเกือบล้ม ความเยือกเย็นที่เป็นประหนึ่งอาภรณ์ชั้นที่สองแทบสลายหายไปในพริบตาในวินาทีที่ชายผู้นี้ปรากฏกายขึ้น ชายที่เขาไม่กล้าสู้หน้าที่สุดในยามนี้
เหอจวิ้นเจี๋ย...พยัคฆ์นัยน์ตาเดียวของไป๋หู่ และพี่ชายของหญิงเดียวในดวงใจที่เขาล่วงเกินเธออย่างน่าละอาย!
“ทุกอย่างเรียบร้อยดีใช่ไหมครับคุณเหอ”
ภาษากายของวิสูตรแสดงความนอบน้อมอย่างเห็นได้ชัด จวิ้นเจี๋ยหันมาค้อมศีรษะให้ไอศิกาเป็นการทักทายนิดหนึ่งก่อนจะเอ่ยเป็นภาษาไทยสำเนียงแปร่งปร่า
“เรียบร้อยดีครับ ขอบคุณมาก”
คำตอบของเขาราบเรียบ ทว่าบ่งชัดว่าการเจรจาเรื่องข้อตกลงระหว่างเหอจวิ้นเจี๋ยมือขวาของเฉินหมิงกับพิบูลย์สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี วิสูตรจึงรู้สึกโล่งใจอย่างยิ่ง ที่จริงเจ้านายของเขาก็คงพอเดาได้อยู่แล้วว่าพวกไป๋หู่ต้องฮุบเหยื่อชิ้นงามในครั้งนี้แน่ ถึงได้เตรียม ‘ฉลอง’ เต็มคราบหลังการเจรจาอันตึงเครียด
“เดี๋ยวผมลงไปส่งนะครับคุณเหอ”
“ไม่ต้องหรอกครับ” จวิ้นเจี๋ยปรายตามองอินเตอร์โพลกำมะลอแล้วยิ้มกว้าง เขาหยิบตลับใส่บุหรี่สีทองอร่ามออกมาจากด้านในเสื้อสูทอย่างเป็นธรรมชาติ “ผมดูแลตัวเองได้ คุณไปดูแลท่านพิบูลย์เถอะ ผมว่าจะแวะสูบบุหรี่ก่อนกลับเข้าไปในงานเลี้ยงสักหน่อย”
“อ้อ ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”
วิสูตรค้อมศีรษะให้พยัคฆ์นัยน์ตาเดียวของไป๋หู่แล้วพาไอศิกาเดินเข้าไปในห้อง หญิงสาวหันมามองเฉินกุ้ยนิดหนึ่ง ท่าทางของเธอดูประหม่าอย่างเห็นได้ชัด เขาจึงพยักหน้าเป็นเชิงให้กำลังใจและย้ำเตือนว่าจะคอยเธออยู่ตรงนี้ เธอจึงค่อยเผยรอยยิ้มออกมาได้
“แหม มองตามตาไม่กะพริบเชียวนะอากุ้ย สวยดีนะ เด็กแกเหรอวะ”
เมื่อเห็นว่าหญิงสาวกับวิสูตรเดินหายเข้าไปในห้องแล้ว จวิ้นเจี๋ยก็พูดเป็นภาษาฝรั่งเศสพลางดึงบุหรี่ออกมาคาบไว้ในปาก เฉินกุ้ยหยิบไฟแช็กขึ้นมาจุดให้ทันทีอย่างเคยชิน บางครั้งเขาก็รู้สึกสมเพชตนเองอยู่เหมือนกันที่ติดนิสัยขี้ข้าผู้ซื่อสัตย์แบบนี้จากการตามรับใช้คุณชายน้อยตระกูลหวังมานานแรมปี
“ไม่ใช่เด็กผม ของพี่หย่งเต๋อต่างหาก ลูกสาวของ ภาม พิมพ์สุริยา”
“อ้อ ของเล่นใหม่ของไอ้ตัวแสบนี่เอง ได้ข่าวว่าท่านหวังเสี้ยวเทียนโมโหน่าดูนี่” จวิ้นเจี๋ยอัดควันเข้าปอดแล้วพยักพเยิดให้เฉินกุ้ยเดินตามไปยังมุมที่จัดไว้สำหรับสูบบุหรี่ แต่ชายหนุ่มมีทีท่าลังเลเล็กน้อย เขาจ้องไปที่ประตูห้องพักของพิบูลย์ไม่วางตา “ไม่ต้องกังวลน่า ข้างในห้องสวีตนั่นลูกน้องของมันอยู่กันเต็มไปหมด ถึงจะมีสันดานเป็นเฒ่าหัวงูแค่ไหนก็คงไม่กล้าประเจิดประเจ้อมากนักหรอก นี่อย่าบอกนะว่ากำลังจะมีรักสามเส้าระหว่างแกกับไอ้ลูกมังกรเฮงซวยแล้วก็แม่หนูนั่น”
“จะมีศึกชิงนางระหว่างพี่หย่งเต๋อกับหยูเยว่ละไม่ว่า ผมไม่เกี่ยวอะไรด้วยสักหน่อย”
เฉินกุ้ยสาวเท้าตามว่าที่หัวหน้าแก๊งไป๋หู่ไปด้วยสีหน้าเหมือนหัวเราะไม่ออก ร้องไห้ไม่ได้ ตอนที่เห็นจันทร์เจ้ากอดหอมไอศิกาต่อหน้าหย่งเต๋อวันนี้แล้ว ยังคิดว่าจะเกิดศึกสายเลือดแน่แล้วเสียอีก
“อ้าวเหรอ ฉันก็นึกว่าแกเลิกคลั่งน้องสาวฉันแล้วมากิ๊กกั๊กกับเด็กเอ๊าะๆ เสียอีก”
คำพูดที่มาพร้อมเสียงหัวเราะมีเลศนัยของจวิ้นเจี๋ยทำเอาคนฟังปั้นหน้าไม่ถูก จะเลิกได้อย่างไรกันเล่า ถึงไม่ได้พบหน้ากันมาเป็นเดือน แต่เขาก็วิดีโอคอลหาเหม่ยอิงทุกครั้งที่มีโอกาส แม้นานๆ เธอจะยอมกดรับและสนทนาด้วยภาษามือสั้นๆ ไม่กี่นาที แต่นั่นก็ทำให้เขาดีใจมากแล้ว
“พี่มาทำอะไรที่นี่ แล้วเพ่ยเพ่ยมาด้วยหรือเปล่า”
“มาสิ บอกแล้วว่ากำลังท้องกำลังไส้ ให้อยู่กับพี่บัวที่ปารีสก็ไม่ฟัง แกก็รู้ รายนั้นเคยฟังใครที่ไหน ดื้อจะตาย” ยามเอ่ยถึงภรรยาสาว น้ำเสียงของผู้ชายที่ขึ้นชื่อว่าเป็นพญามารประจำแก๊งพยัคฆ์ขาวจะอ่อนโยนขึ้นอย่างน่าฟัง “ตอนนี้ก็เลยทิ้งให้อยู่กับเหม่ยอิงที่บ้านคุณอัณณ์ จะได้ไม่งอแงวุ่นวายตอนฉันทำธุระให้นาย”
“ธุระที่ว่า เกี่ยวกับ ภาม พิมพ์สุริยา ด้วยใช่ไหม”
“เกี่ยวกับทุกคน” จวิ้นเจี๋ยระบายควันออกทางจมูกช้าๆ “แก ฉัน ไอ้เวรหย่งเต๋อ ฮวงหลง ไป๋หู่ รวมไปถึงไอ้ภามด้วย”
“เกี่ยวกับทุกคน? พี่กำลังพูดถึงเรื่องอะไร ข้อมูลเรื่องชั่วๆ ของภามไม่น่าเกี่ยวกับเราโดยตรงไม่ใช่เหรอ”
เท่าที่เขารู้...องอาจให้ไอศิกามาพบพิบูลย์เพื่อขอดูข้อมูลที่อาจทำให้ไอ้ภามติดคุกหัวโตได้ไม่ใช่หรือ
“คุยกันที่นี่คงไม่เหมาะเท่าไหร่มั้ง รายละเอียดไว้ค่อยคุยกันตอนแกเสร็จภารกิจปัญญาอ่อนคืนนี้ก่อนก็แล้วกัน” จวิ้นเจี๋ยขยี้ก้นกรองลงในถาดทรายทรงสูงที่ทางโรงแรมจัดไว้สำหรับเป็นที่เขี่ยบุหรี่ “ฉันจะได้ชวนแกไปก๊งด้วยกันสักหน่อย คลายเครียด”
“เพ่ยเพ่ยจะยอมเหรอ เดี๋ยวก็งอนอีกหรอก” เฉินกุ้ยส่ายหน้าอย่างระอาใจ เห็นเหี้ยมหาญปานมารร้ายแบบนี้ก็เถอะ แต่เหอจวิ้นเจี๋ยน่ะกลัวเมียเป็นที่หนึ่ง ไม่สิ...ต้องเรียกว่าเกรงใจมากถึงจะดูดีขึ้นมาหน่อย
“งอนก็ง้อสิวะ ทาสเทวีอย่างฉันง้อจนชินแล้ว” จวิ้นเจี๋ยหัวเราะแกนๆ ก่อนจะหยิบบุหรี่มวนใหม่ขึ้นมาคาบไว้ในปาก เฉินกุ้ยยกไฟแช็กขึ้นจุดบุหรี่ให้อีกครั้งโดยอัตโนมัติ “ฉันมีเรื่องอยากคุยกับแกด้วย เรื่องเหม่ยอิงน่ะ”
“หา...ระ...เรื่องคุณเหม่ยอิง...”
มือของชายหนุ่มสั่นนิดๆ ทำเอาเปลวไฟสั่นไม่โดนปลายบุหรี่ อีกฝ่ายจึงต้องโน้มตัวลงมาเพื่อจุดไฟให้ติด
“ใช่ เรื่องของเหม่ยอิง” พยัคฆ์หนุ่มนิ่งไปครู่หนึ่ง “เหม่ยอิงท้อง”
“หา!” เฉินกุ้ยคิดว่าตนเองตะโกนดังลั่นโลก แต่ในความเป็นจริงแล้ว เสียงแทบไม่หลุดพ้นลำคอออกมาเสียด้วยซ้ำ “คุณ...คุณเหม่ยอิง...ทะ...ท้อง...”
ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนเลือดในกายทุกหยาดหยดเย็นเฉียบจนเป็นน้ำแข็ง มือไม้ชาไปหมด นี่...นี่เขาไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหม...
“ถึงไม่บอกตอนนี้แต่อีกหน่อยแกก็ต้องรู้อยู่ดี” จวิ้นเจี๋ยยิ้มเครียด “ท้องได้เดือนกว่าๆ แล้ว แถมยังเริ่มแพ้ท้องหนักแล้วด้วย ฉันถามว่าไอ้สารเลวนั่นมันเป็นใคร เหม่ยอิงก็ไม่ยอมบอก คงกลัวฉันปาดคอละมั้ง”
“ไม่...ไม่ยอมบอกเหรอครับ”
ดวงตาที่จู่ๆ ก็ทอประกายกร้าวของคนตรงหน้า ทำเอาเฉินกุ้ยต้องลอบกลืนน้ำลายไปพร้อมกับคิดหาทางถอยหลังหนีให้พ้นรัศมีคมมีดของจอมโหด
“ใช่ ปลอบก็แล้ว ขู่ก็แล้ว ไม่ว่ายังไงก็ไม่ยอมพูด” จวิ้นเจี๋ยอัดควันเข้าปอดซ้ำๆ อย่างหงุดหงิด “นี่ถ้าไม่อาเจียนจนเป็นลม แล้วคุณอัณณ์พาไปโรงพยาบาล ก็คงไม่มีใครรู้ ไอ้เวรนั่นก็มุดหัวอยู่แต่ในรูไม่โผล่ออกมาดูดำดูดีน้องฉันเลย”
คนฟังยืนนิ่งเหมือนถูกสาป เมื่อตั้งสติได้ ความรู้สึกปีติก็แผ่ซ่านมาจากกลางอกจนรู้สึกอุ่นวาบไปทั้งร่าง...นี่เขากำลังจะเป็นพ่อคน...มีลูก...กับผู้หญิงที่เขารัก แม้ว่าเธออาจไม่ได้มีความรู้สึกใดๆ ให้เขาเลยก็ตามที
“เขา...ผมหมายถึงไอ้บ้านั่นมันอาจจะยังไม่รู้หรือเปล่าพี่เจี๋ย ขนาดกับพี่ คุณเหม่ยอิงยังไม่ยอมบอกเลยไม่ใช่เหรอ”
ไอ้บ้านั่นก็เพิ่งรู้เมื่อกี้นี้นี่ละว่ากำลังจะมีลูก เด็กในท้องต้องเป็นลูกเขาแน่ๆ อยู่แล้ว เหม่ยอิงไม่เคยมีสัมพันธ์กับผู้ชายหน้าไหนนอกจากเขาคนเดียว
“ก็จริง” จวิ้นเจี๋ยพยักหน้าเห็นด้วย “แต่ก็อดโมโหไม่ได้ ตั้งแต่เหวินฟงตาย เหม่ยอิงก็ปิดใจมาตลอด เอาแต่เก็บตัวเงียบ ไม่ยอมสุงสิงกับใคร จู่ๆ ก็ท้องกับไอ้สารเลวที่ไหนไม่รู้ ถามคุณอัณณ์ เขาก็ไม่รู้ บอกว่าเหม่ยอิงมาเมืองไทยทีไรก็แทบไม่ได้ออกจากบ้านไปไหน แกเทียวไปเทียวมาบ้านนั้นบ่อยๆ รู้บ้างไหมวะว่าไอ้ชาติชั่วนั่นมันเป็นใคร”
“หะ...หา...” เฉินกุ้ยเหงื่อแตก ไม่หลงเหลือความเยือกเย็นใดๆ บนใบหน้าอีกต่อไป “เอ่อ...”
“มันไม่ให้เกียรติฉันเลย จะคบหากับน้องฉันก็หลบๆ ซ่อนๆ ลักกินขโมยกิน ไม่เคยมาบอกกล่าวให้เป็นเรื่องเป็นเรื่องเป็นราว” จวิ้นเจี๋ยพ่นควันสีเทาหม่นระบายแค้น เขาดูเหมือนไม่ระแคะระคายสักนิดว่าตัวต้นเหตุก็อยู่เบื้องหน้านั่นเอง “ถ้ามันไม่รับผิดชอบก็ไม่เป็นไร เหม่ยอิงกับลูกน่ะฉันเลี้ยงได้ ส่วนไอ้ตัวพ่อ ถ้าฉันเจอมัน ฉันจะควักไส้มันให้หมากิน”
“อะ...เอาอย่างนั้นเลยเหรอพี่เจี๋ย” เฉินกุ้ยแลบลิ้นเลียริมฝีปากที่แห้งผาก ก่อนจะมองหน้าพยัคฆ์ร้ายของไป๋หู่ตรงๆ “ไอ้ผู้ชายชาติชั่วสารเลวคนนั้น...คือผมเอง”
“หา!”
คราวนี้เป็นจวิ้นเจี๋ยบ้างที่ต้องส่งเสียงอุทานออกมาดังลั่น เฉินกุ้ยยืดอกและสารภาพเสียงดังฟังชัด
“ผมคิดว่า...คุณเหม่ยอิงท้องกับผม...”
“สวัสดีค่ะคุณลุงพิบูลย์”
ไอศิกากระพุ่มมือไหว้ชายสูงวัยที่นั่งไขว้ห้างจิบวิสกี้อยู่บนโซฟาอย่างนอบน้อม เขามีใบหน้าอิ่มเอิบและดูใจดีแบบเดียวกับที่เธอเคยเห็นจนชินตามาตั้งแต่วัยเยาว์ เพียงแต่ดวงตาของคุณลุงผู้แสนอารีในวันนี้ฉายแววแปลกไปจากทุกทีโดยเฉพาะอย่างยิ่งยามเขากวาดมองเธอตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า และทำให้เธอรู้สึกอึดอัดจนหายใจไม่ทั่วท้อง
“หนูลูกแก้ว คนดีของลุง” พิบูลย์ยิ้มกว้าง เขารีบวางแก้วคริสตัลบรรจุน้ำสีอำพันลงบนโต๊ะ แล้วกุลีกุจอตรงเข้ามาหาหญิงสาวด้วยท่าทางยินดีเป็นที่สุด “ไม่ได้เจอกันนาน หนูสวยขึ้นมากจนลุงเกือบจำไม่ได้แน่ะ หนูสบายดีนะ”
“สบายดีค่ะ”
ไอศิกาขยับตัวหนีโดยอัตโนมัติเมื่อวงแขนของพิบูลย์พาดลงมาบนบ่าบอบบางอย่างสนิทสนม ทั้งที่แต่ก่อนเขามักเพียงรับไหว้และเว้นระยะห่างระหว่างกันไว้นิดหนึ่งตามมารยาทเสมอ เธอจึงมองว่าเขาเป็นผู้ใหญ่ที่น่าเคารพนับถือตลอดมา
ดวงตากลมโตมองสำรวจไปรอบห้องด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ จริงอยู่ว่าห้องพักนี้เป็นห้องสวีต มีพื้นที่ใช้สอยกว้างขวางสะดวกสบาย แถมยังมีลูกน้องของเขายืนกุมมือคุมเชิงอยู่ตามจุดต่างๆ เต็มไปหมด แต่การที่มีเตียงขนาดคิงไซซ์ตั้งอยู่กลางห้องเช่นนี้ชวนให้รู้สึกแปลกๆ พิกล
“แล้วคุณพ่อของหนูล่ะ เป็นยังไงบ้าง ต้อขอโทษด้วยนะที่ลุงไม่ได้ไปเยี่ยมเลย เผอิญช่วงนี้ยุ่งๆ อยู่”
เมื่อเห็นว่าไอศิกามีทีท่าอัดอัดใจ เขาก็เลยถอยหลังออกมาหนึ่งก้าวแล้วผายมือเป็นเชิงให้หญิงสาวนั่งลงบนโซฟาตัวยาวตัวเดียวกับที่เขานั่งอยู่เมื่อครู่ เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่เมื่อเห็นว่าบนโต๊ะรับแขกมีโน้ตบุ๊กสีเงินเปิดทิ้งไว้อยู่ ก็ระลึกไปถึงเรื่องข้อมูลที่องอาจพูดถึงได้ จึงทำตามอย่างว่าง่าย
“หนูต้องขอโทษด้วยนะคะที่มารบกวนคุณลุงตอนกำลังยุ่งๆ แบบนี้ แต่คุณลุงองอาจบอกหนูว่าคุณพ่ออาจจะเจอกับสถานการณ์ลำบาก และคุณลุงเป็นคนเดียวที่ช่วยคุณพ่อได้”
ไอศิการู้ว่าตนเองมีเวลาเพียง ๑๕ นาที ดังนั้นเธอจึงพูดเข้าประเด็นโดยไม่อ้อมค้อม พิบูลย์เป็นอดีตนักการเมืองผู้เคยดำรงตำแหน่งสำคัญระดับประเทศมากมาย ตารางการทำงานย่อมแน่นเอี้ยด เขาน่าจะชินกับการสนทนา สั้น กระชับ ได้ใจความมากกว่าการฟังอารัมภบทยืดยาวผสมการคร่ำครวญฟูมฟายว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาครอบครัวของเธอต้องเผชิญเรื่องราวเลวร้ายใดมาบ้าง
“หนูเป็นเด็กกล้าหาญมากนะลูกแก้ว สวยเหมือนแม่ แต่ใจกล้าเหมือนพ่อ” พิบูลย์ทิ้งตัวลงนั่งเคียงข้างหญิงสาวพลางพับโน้ตบุ๊กที่เปิดค้างอยู่ ไม่ยอมให้เธอเห็นสิ่งที่อยู่บนหน้าจอ “เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดลุงเองก็เห็นใจหนูนะ แต่คดีของพ่อหนูมันส่งผลกระทบในวงกว้าง มีคนเกี่ยวข้องหลายฝ่าย ลุงอยากช่วย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”
“ส่งผลกระทบในวงกว้าง?” ไอศิกาเม้มริมฝีปากแน่น พยายามข่มความประหม่าและความกังวลต่างๆ เอาไว้อย่างสุดความสามารถ “คุณลุงหมายถึงเรื่องที่คุณพ่อของหนูถูกยิงน่ะเหรอคะ”
“พ่อหนูน่ะมีชนักติดหลังอยู่หลายเรื่อง ไม่ใช่แค่เรื่องที่บาดหมางกับไอ้พวกมาเฟียจีนหรอก ยังมีเรื่องผิดกฎหมายอื่นๆ อีก ทั้งค้ายา ค้ามนุษย์ ยาวเป็นหางว่าว ขอโทษที่ต้องพูดแบบนี้ แต่ถ้าขุดลงไปลึกๆ พ่อหนูไม่น่ารอด”
“คุณลุงองอาจบอกว่าคุณลุงมีหลักฐาน ไม่ทราบว่าหนู...หนูจะขอดูได้ไหมคะ ไม่ว่ายังไงหนูก็ทำใจเชื่อไม่ได้จริงๆ ว่าคุณพ่อจะเกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนั้น คุณพ่อเกลียดเรื่องยาเสพติดกับค้ามนุษย์มาก คุณพ่อไม่น่าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องที่คุณลุงพูดมาได้เลย”
“ลูกแก้ว หนูไม่รู้หรอกว่าพ่อหนูเคยทำเรื่องอะไรมาบ้าง กว่าจะได้ฉายาเจ้าพ่อภาคกลางมา พ่อหนูต้องทำเรื่องที่ไม่โสภานักมาก็มาก มีทั้งคนที่ต้องเสียเลือดเสียเนื้อ เสียน้ำตาเพราะพ่อหนูมาก็เยอะ เรื่องค้ายาอะไรนั่นก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่เกินความคาดหมายอะไรไม่ใช่เหรอ”
รอยยิ้มของคนตรงหน้าสะกิดใจไอศิกาอย่างประหลาด เธอไม่เห็นความเอื้ออารีหรือน้ำใจที่มีต่อกันอย่างที่ควรเป็นในกิริยาของเขาแม้แต่น้อย หรือว่าเขาเองก็เป็นหนึ่งในบรรดาคนที่เปลี่ยนไปเมื่อบิดาของเธอตกต่ำกันหนอ
“หนูถึงได้ขอดูหลักฐานที่ว่านั่นไงคะ อย่างน้อยก็จะได้รู้ว่าเป็นเรื่องจริง หรือ...หรือว่ามีคนจงใจใส่ร้ายคุณพ่อของหนู” ไอศิกาเอ่ยอย่างกล้าๆ กลัวๆ เธอรู้ว่ากำลังทำตัวเสียมารยาท แต่เพื่อบิดาแล้ว เธอจำต้องเป็นฝ่ายรุก “ได้โปรดเถอะนะคะคุณลุง กรุณาหนูกับคุณพ่อด้วย พวกเราไม่มีที่พึ่งอื่นแล้วจริงๆ”
“ต่อให้หนูดูหลักฐานพวกนั้นไปก็ทำอะไรไม่ได้หรอกลูกแก้ว เรื่องมันซับซ้อนกว่าที่หนูคิดมากมายนัก แต่ว่านะ...ก็ใช่ว่าจะไม่มีวิธีช่วยพ่อหนูเอาเสียเลย” พิบูลย์มองดวงตาคู่งามที่เต้นระริกด้วยความหวาดหวั่นแล้วยิ้มกว้าง มือชื้นเหงื่อเลื่อนขึ้นมาวางบนเข่าของหญิงสาวแล้วลูบเบาๆ “เรื่องนี้ยากพอดู แต่ลุงจะพยายามช่วยเต็มที่ ถ้าหนูเป็นเด็กดี ตามใจลุง”
“คุณลุง!” ไอศิกาปัดมือเขาทิ้งทันควันแล้วลุกพรวดขึ้นยืนอย่างตื่นตกใจ “นี่...นี่คุณลุงทำอะไรคะ!”
“อย่าทำเป็นไร้เดียงสาไปหน่อยเลย ในโลกนี้ไม่มีอะไรได้มาเปล่าๆ หรอกนะ ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนทั้งนั้น” พิบูลย์คว้าข้อมือบอบบางแล้วกระชากหญิงสาวให้นั่งลงบนโซฟาตามเดิมอย่างไม่ออมแรง “หนูน่าจะรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าไอ้องอาจส่งหนูมาหาลุงทำไม ไม่สิ ต้องพูดว่าส่งมาแลกกับอะไร”
“ไม่จริง! คุณลุงองอาจไม่มีวันทำแบบนั้นแน่!” ไอศิกาตัวสั่น เธอกระตุกมือหนีแล้วกระถดตัวไปจนแผ่นหลังชนกับพนักวางมืออีกด้านหนึ่ง “หนู...หนูไม่ได้มาเพื่อ...แลก...หรือทำเรื่องอะไรแบบนั้น...”
“แล้วคิดว่าแค่เดินมาเจอหน้ากัน พูดจารำลึกความหลังคำสองคำแล้วฉันจะต้องให้ความช่วยเหลือหนูทันทีอย่างนั้นเหรอ ฝันไปหรือเปล่า”
สรรพนามแทนตัวเปลี่ยนไป พร้อมๆ กับหน้ากากนักบุญค่อยๆ ถูกปีศาจร้ายที่ซ่อนตัวอยู่ข้างใต้กะเทาะออกจนเผยให้เห็นธาตุแท้
“แต่...แต่คุณลุงเป็นเพื่อนกับคุณพ่อหนู...”
ภาพความทรงจำครั้งเก่าไหลย้อนกลับเข้ามาในห้วงความคิด ความสนิทสนมและมิตรภาพที่บิดาของเธอกับพิบูลย์มีให้กันมายาวนานไม่ใช่เรื่องจริงอย่างนั้นหรือ
“เพื่อน?” พิบูลย์หัวเราะ “องอาจคงไม่ได้เล่าให้ฟังสินะว่าพ่อหนูกับฉันเป็นเพื่อนกันแบบไหน เพื่อนที่ขายเพื่อนเพื่อเอาตัวรอด ไม่นับว่าเป็นเพื่อนหรอกลูกแก้ว”
ดวงตาของเขาวับวาวไปด้วยความขุ่นเคืองบางอย่าง ไอศิกาเหลียวมองรอบกายก็เห็นว่าบรรดาลูกน้องของพิบูลย์ยังคงยืนนิ่งเหมือนไม่สนใจเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นเบื้องหน้าแม้แต่นิด
“แต่เห็นแก่ความหลังครั้งเก่า ถ้าหนูปรนนิบัติฉันดี ฉันอาจจะให้หนูดูหลักฐานนั่นแล้วช่วยกันคิดหาทางออกให้พ่อหนูก็ได้” พิบูลย์ขยับตัวเข้าไปใกล้หญิงสาวแล้วคว้ามือเธอขึ้นมาจูบ ลมหายใจฟืดฟาดยามสูดกลิ่นจากมือเธอและสัมผัสจาบจ้วงของเขาทำให้เธอรู้สึกขยะแขยงเต็มกลืน แต่ไม่ว่าจะดึงมือหนีอย่างไร เขาก็บีบไว้แน่น ไม่ยอมปล่อย “ฉันน่ะมองหนูมาตั้งนานแล้ว หนูสวยมาก ผิวขาว ตัวก็หอม ติดตรงพ่อหนูหวงนักหวงหนา คอยเฝ้าไม่ยอมห่าง ไม่อย่างนั้นฉันคงได้ชื่นชมความสวยของหนูตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนแล้ว”
“ปล่อย!”
ไอศิการวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีกระชากมือออกแล้วกระโจนหนี แต่กลับถูกลูกน้องคนหนึ่งของอดีตนักการเมืองเฒ่าตรงเข้ามาขวางหน้าเอาไว้ พอจะวิ่งไปอีกทางก็มีคนมาดักเอาไว้อีก
“ไม่อยากช่วยพ่อแล้วเหรอ ลูกแก้ว” พิบูลย์แสยะยิ้ม เขาเดินตรงมาหาหญิงสาวอย่างไม่รีบร้อน “คิดให้ดีๆ นะ ฉันคนเดียวที่ช่วยพ่อของหนูได้ ไอ้องอาจก็รู้ ถึงได้ส่งหนูมาหาฉัน ถ้าหลักฐานที่ฉันมีหลุดออกไป มันเองก็ต้องเดือดร้อนไม่น้อยเหมือนกัน”
เผลอๆ จะเดือดร้อนกว่าไอ้ภามหลายเท่า!
“คุณลุงองอาจ...ส่งหนูมา? นี่พูดเรื่องอะไร”
“ก็สอนเรื่องความเป็นจริงของโลกให้หนูได้เรียนรู้ไง มันโหดร้าย แต่ก็เป็นความจริง” พิบูลย์คว้ากรามของไอศิกาเอาไว้แล้วบีบแน่น “ไอ้ภามน่ะหมดอำนาจวาสนาแล้ว มันเป็นเรือที่กำลังจะล่ม ใครๆ ก็พร้อมจะสละเรือทิ้งทั้งนั้น ถ้าอยากกู้ซากเรือก็ต้องเสียสละอะไรนิดๆ หน่อยๆ”
“ไม่!”
ไอศิกาจิกเล็บข่วนหลังมือเหี่ยวย่นของอีกฝ่ายเต็มแรงจนได้เลือดซิบๆ พิบูลย์พลิกหลังมือขึ้นดูแล้วฟาดฝ่ามือใส่แก้มของหญิงสาวเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ร่างบางระหงเซถลาลงไปนั่งกองอยู่กับพื้นพรม รู้สึกหูอื้อตาลายไปหมด เจ็บจนน้ำตาไหล เนื้อตัวของเธอสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวระคนเจ็บใจ...เจ็บที่ศักดิ์ศรีความเป็นคนถูกย่ำยีจนไม่เหลือชิ้นดี
“ไม้อ่อนไม่ชอบ ชอบไม้แข็งสินะ” พิบูลย์หันไปพยักหน้ากับลูกน้อง “พวกแกออกไปก่อน ฉันจะสั่งสอนนังเด็กนี่ให้รู้จักที่ต่ำที่สูงสักหน่อย วิสูตร แกไปบอกคุณสงครามด้วยว่าฉันจะลงไปช้ากว่ากำหนดการสักสิบห้านาที”
“ครับท่าน”
วิสูตรพยักหน้ารับ ไอศิกาเงยใบหน้าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาขึ้นมองเขา ก่อนจะพบว่าสีหน้าและแววตาเป็นมิตรในตอนแรกได้หายไปแล้ว เหลือไว้เพียงรอยยิ้มชืดชาและสายตาที่มองมาอย่างเหยียดหยาม เห็นได้ชัดว่าเขารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเจตนาของพิบูลย์ที่มีต่อเธอนั้นคืออะไร และเขาก็ไม่ใส่ใจชะตากรรมอันโหดร้ายที่เธอต้องเผชิญแม้แต่น้อย “เดี๋ยวผมจะให้เลื่อนพวกโชว์มายากลกับพวกการแสดงของดารานักร้องที่เตรียมไว้มาแสดงให้แขกดูก่อนได้เลย แขกจะได้ไม่รู้สึกว่ารอนาน ดีไหมครับ”
เลขาฯ หนุ่มพูดพลางเปิดประตู แต่ยังไม่ทันก้าวขาออกไปก็ถูกหมัดลุ่นๆ ของคนที่เดินสวนเข้ามาซัดจนฟันหน้าหักกระเด็น ล้มลงนอนคว่ำวัดพื้น
“เฮ้ย! อะไรวะ!”
ลูกน้องคนหนึ่งของพิบูลย์กรากเข้าไปหาเจ้าของร่างใหญ่โตในชุดสูท แต่กลับถูกท่อนขายาวยันอกจนนอนหงายไม่เป็นท่า คนอื่นๆ เห็นท่าไม่ดีจึงพากันชักปืนออกมาแล้วจ่อไปยังอาคันตุกะไม่ได้รับเชิญที่ยืนจังก้า ไม่แม้แต่จะแสดงทีท่าหวาดกลัวแม้แต่นิด
“คุณ...คุณนะโม...” ไอศิกาครางเสียงแหบโหย หยาดน้ำตาร้อนผ่าวรื้นขึ้นมาเอ่อคลอขอบตาอีกคราเมื่อเห็นใบหน้าถมึงทึงของเขา “ช่วย...ช่วยฉันด้วย...”
“เกินเวลา ๑๕ นาทีที่ทางคุณแจ้งไว้แล้ว” หย่งเต๋อขบกรามแน่นเมื่อเห็นรอยฝ่ามือสีแดงประทับอยู่บนแก้มขาวผ่องที่เขาเคยขโมยหอมบ่อยๆ
พวกมันกล้าแตะต้องไอศิกา!
“ผมมารับตัวคุณหนูลูกแก้วกลับ”
ไอสังหารที่แผ่ซ่านออกมาจากกายสูงใหญ่กดดันเหล่ามือปืนที่อยู่รอบด้านจนตัวสั่นกันไปหมด ไม่มีใครรู้ว่าเทพบุตรหน้าละอ่อนคนนี้เป็นใคร รู้เพียงเขามีกลิ่นอายน่าสะพรึงราวปีศาจร้าย
“แก...แกเป็นใคร กล้าดียังไงถึงบุกเข้ามาแบบนี้ รู้ไหมว่าฉันเป็นใคร!” พิบูลย์ตะโกนก้อง
หย่งเต๋อแสยะยิ้มยียวน “ถามฉันเหรอ ขนาดแกยังไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใครเลย แล้วฉันจะรู้ได้ยังไงวะ ไอ้แก่”
ดวงตาคมกล้ากวาดมองไปยังคนที่อยู่ในห้องเร็วๆ แล้วคิดคำนวณอยู่ในใจ ซัดไปแล้ว 2 เหลืออีก 6 ไม่รวมไอ้เฒ่ากระจอก
“ทำอะไรกันอยู่เล่า จัดการมันสิ!”
พิบูลย์ตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด แต่ลูกน้องของเขากลับยังละล้าละลังด้วยเหตุผลสองข้อ ข้อแรก...หากพวกเขายิงคนในโรงแรมหรูกลางเมืองจริงๆ ต่อให้ยิ่งใหญ่มีอิทธิล้นเหลืออย่างไรก็ใช่ว่าจะเคลียร์ให้รอดคุกได้โดยง่าย และข้อสอง...ไอ้หนุ่มคนนี้น่ากลัว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...แววตาเพชฌฆาต!
“ถ้าไม่อยากเจ็บตัวฟรี ก็หยุดเสียเท่านี้ดีกว่า”
เฉินกุ้ยก้าวเข้ามาในห้องด้วยสภาพดูไม่จืด เส้นผมที่เคยจัดทรงเรียบร้อยบัดนี้ยุ่งเหยิงเหมือนถูกแมวรุมทึ้ง มุมปากแตกยับเยินจนเลือดไหลอาบ ตาข้างหนึ่งเขียวช้ำอย่างน่ากลัว เสื้อผ้าที่สวมอยู่แทบไม่ต้องพูดถึง ฉีกขาดและเต็มไปด้วยรอยรองเท้าที่มีขนาดใหญ่โต บ่งชัดว่าคนที่ประทับรอยไว้ต้องเท้าหนักเอาเรื่อง!
“ไปฟัดกับหมามาหรือไงวะ ไอ้ตี๋เล็ก” หย่งเต๋อเลิกคิ้วนิดๆ อย่างประหลาดใจ “ฉันบอกให้แกดูแลลูกแก้ว แล้วสะเออะไปไหนมา”
“ฟัดกับเสือมาต่างหาก” เฉินกุ้ยตีหน้านิ่ง มือล้วงไปหยิบมีดคู่ที่เหน็บไว้ในซองคาดอกออกมากระชับเอาไว้มั่น “เรื่องอื่นเอาไว้คุยกันทีหลัง ตอนนี้ช่วยคนก่อน”
“ยืนบื้อกันอยู่ทำไมวะ! ฉันบอกให้พวกแกจัดการมันยังไงเล่า!”
เสียงตะโกนซ้ำของพิบูลย์เป็นสัญญาณให้หย่งเต๋อตวัดขาเตะปืนในมือของบอดีการ์ดที่อยู่ใกล้ตนเองที่สุดจนหลุดกระเด็นไปไกล ก่อนจะหันไปต่อยอีกคนจนล้มศีรษะกระแทกโต๊ะเลือดอาบหน้า ส่วนเฉินกุ้ยก็จ้วงมีดใส่อกคนที่ปืนหลุดจากมือ แล้วตวัดมีดปาดคอคนที่พุ่งตรงเข้ามาหาอย่างเลือดเย็น
พิบูลย์อ้าปากค้าง ไม่คาดคิดว่าจะได้เห็นเหตุการณ์เหมือนฉากในภาพยนตร์แอกชันต่อหน้าต่อตาในเวลาชั่วพริบตาเช่นนี้!
ปัง!
เสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด กระสุนเฉี่ยวแก้มของหย่งเต๋อไปชนิดเส้นยาแดงผ่าแปด ทิ้งรอยแผลเลือดซับไว้จางๆ ลูกมังกรหนุ่มหันกลับมาหามือปืนแล้วกระโจนเข้าใส่ เจ้าตัวเห็นท่าไม่ดีคิดจะยิงซ้ำอีกครั้งแต่กลับถูกมือใหญ่โตของชายหนุ่มตะปบเข้าที่รังเพลิงแล้วบีบไว้แน่นด้วยเรี่ยวแรงมหาศาลผิดธรรมดาจนไม่อาจลั่นไกได้
“กะ...แก...”
ดวงตาของชายเคราะห์ร้ายเหลือกลานเมื่อปีศาจร้ายตรงหน้าดันปากกระบอกปืนให้พลิกกลับมาทางตนเองแล้วลั่นไกเปรี้ยงทะลุหัวไหล่ เลือดสีแดงไหลทะลักออกมาจากบาดแผลก่อนที่จะล้มลงไปนอนกองกับพื้น คนอื่นๆ ที่เหลือก็มีชะตากรรมไม่ต่างกันเท่าใดนัก ถูกเฉินกุ้ยหักแขนและเชือดเส้นเอ็นขาดชนิดที่ว่าไม่ตายก็ต้องพิการไปตลอดชีวิต
“อา...เหลือแค่แกแล้วสินะ”
หย่งเต๋อหยิบปืนลูกโม่ที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมาดูจำนวนกระสุนที่เหลืออยู่ในรังเพลิงด้วยแววตาเย็นเยียบ จากนั้นจึงเดินตรงไปหาพิบูลย์ที่ถอยหลังกรูดไปทรุดนั่งอยู่บนโซฟา
“กะ...แกเป็นใคร”
อดีตนักการเมืองชื่อดังตัวสั่น ดวงตาเบิกกว้างเมื่อเห็นชายหนุ่มก้าวมาประชิดแล้วโน้มตัว ยัดปากกระบอกปืนเข้ามาในปากของตน ยิ่งได้เห็นเขาง้างไกดังกริ๊ก ก็ยิ่งกลัวตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า
“ฉันก็เป็นพ่อแกไง ไม่น่าถาม” หย่งเต๋อหัวเราะเสียงเหี้ยม “แกใช่ไหมที่แตะต้องลูกแก้วของฉัน”
“คุณนะโม...อย่า...อย่าทำเขา มัน...มันจะเป็นเรื่องใหญ่ คุณพ่อ...คุณพ่อจะเดือดร้อน” ไอศิการีบร้องห้าม เธอไม่สนว่าคนเลวคนนี้จะเป็นหรือตาย แต่ไม่อยากให้มีเรื่องกระทบกระเทือนไปถึงบิดามากไปกว่านี้
ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!
เสียงปืนดังขึ้นห้านัด แต่ไม่ดังนักเพราะปากกระบอกปืนกดอยู่กับพนักโซฟาติดกับใบหูของพิบูลย์ที่ร้องโหยหวนเสียงดังลั่นด้วยความกลัว เสียงกระสุนที่ดังในระยะประชิดทำให้หูของเขาอื้อและมีเสียงวี้ๆ จนแสบแก้วหูไปหมด ไอร้อนและเขม่าควันที่ลอยคลุ้งไปทั่วบริเวณทำเอาเขากลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ต้องปล่อยให้เรี่ยราดนองเบาะรองนั่งอย่างน่าสมเพชที่สุด
“วันนี้แกโชคดีมากที่ลูกแก้วขอชีวิตแกไว้ ถ้าแกกล้าแตะต้องเธออีก หรือเอาเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ไปแจ้งตำรวจให้เป็นข่าวใหญ่โตจนเธอเดือดร้อน รับรองว่าฉันจะกลับมาหาแกแน่ และฉันจะทำให้แกเสียใจที่ไม่ตายไปเสียตั้งแต่วันนี้”
เสียงกระซิบเหี้ยมเกรียมของหย่งเต๋อพาให้พิบูลย์หนาวเยือกจับขั้วหัวใจ เขาพยักหน้ารับเร็วๆ ไม่กล้ามองร่างของมัจจุราชที่ถอยห่างออกไปช้าๆ
หย่งเต๋อหยิบโน้ตบุ๊กส่งให้เฉินกุ้ย แล้วเดินไปอุ้มร่างสั่นเทาของไอศิกาขึ้นแนบอก
“ไม่ต้องกลัวนะลูกแก้ว ผมอยู่นี่แล้ว” ชายหนุ่มกดจูบบนหน้าผากกลมมนของคนที่ปล่อยโฮออกมาเสียงดังอย่างสิ้นอาย “ผมจะปกป้องคุณ เด็กดีของผม ผมจะปกป้องคุณเอง”
ความคิดเห็น |
---|