18

ในอ้อมกอดของเทพยดา


 

๑๘

ในอ้อมกอดของเทพยดา

 

“อุ๊ย นั่นคุณนะโมของแกนี่ปริม”

เพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มสะกิดเรียกปริมลที่เพิ่งออกมาจากห้องน้ำให้ดูชายหนุ่มในชุดสูทสีดำกำลังก้าวฉับๆ อย่างมั่นคงผ่านด้านหน้าล็อบบี

ปริมลขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจเมื่อเห็นว่าเขาอุ้มผู้หญิงตัวเล็กบางไว้อย่างทะนุถนอม ใบหน้าของสาวน้อยคนนั้นแนบซุกอยู่กับแผงอกกว้าง จึงเห็นไม่ชัดนัก เห็นเพียงว่าสวมชุดราตรีแบบค็อกเทลสีงาช้าง และสวมรองเท้าส้นสูงเพียงข้างเดียว อีกข้างเหมือนจะหล่นหายไปที่ใดที่หนึ่ง สภาพของเจ้าหล่อนเหมือนเพิ่งถูกหมีป่าตะปบมา ไม่ต่างอะไรกับชายหนุ่มเชื้อสายจีนอีกคนที่เดินตามมาติดๆ

“คุณนะโมคะ” ปริมลร้องเรียก แต่เจ้าของชื่อกลับเดินผ่านเลยไปเหมือนเธอเป็นเพียงอากาศธาตุ ที่จริงเขาไม่สนใจสายตาของผู้คนที่จับจ้องมายังเขาและหญิงสาวในอ้อมแขนเลยแม้แต่นิดเดียว “เอ๊ะ...นั่นมัน...นังลูกแก้ว!”

แม้เห็นเสี้ยวหน้าเพียงนิดเดียว แต่ปริมลแน่ใจว่าผู้หญิงคนนั้นต้องใช่ไอศิกาแน่! คิดถึงตรงนี้ เรียวปากสีพลัมเม้มเข้าหากันแน่น ก่อนที่มือจะล้วงลงไปในกระเป๋าคลัชต์สีทองแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาถ่ายคลิปอย่างรวดเร็ว

“แอบถ่ายแบบนี้ไม่กลัวโดนฟ้องเหรอ”

เสียงดังขึ้นจากข้างหลัง พร้อมๆ กับที่โทรศัพท์มือถือของเธอถูกมือเรียวขาวกระชากไปต่อหน้าต่อตา

“นี่! ทำอะไรน่ะ!” ปริมลโวยวาย แต่เมื่อหันมาเห็นอีกฝ่ายชัดๆ ก็ถึงกับหน้าถอดสี ขนอ่อนบนหลังคอของเธอลุกชัน “พะ...พี่...พี่จันทร์เจ้า...”

ในสายตาของคนอื่น จันทร์เจ้าคือหญิงสาวผู้สมบูรณ์แบบ สวยสะดุดตา เรียนเก่ง เป็นนิสิตตัวอย่างและเป็นรุ่นพี่ที่ใครต่อใครให้ความเคารพ มีเพียงไม่กี่คนที่รู้ว่านางสาวจันทร์เจ้า ทิพยศาสตร์ ผู้นี้น่ากลัวเพียงใด ปริมลเคยแกล้งทำน้ำอัดลมหกใส่กระเป๋าถือราคาแพงของจันทร์เจ้าที่วางอยู่บนโต๊ะในโรงอาหารด้วยหมั่นไส้ที่เจ้าตัวชอบออกหน้าปกป้องไอศิกาอยู่เสมอ แน่นอนว่าจันทร์เจ้าไม่โวยวายแม้แต่แอะเดียว เพียงส่งยิ้มบางๆ รับคำขอโทษจอมปลอมของเธออย่างสุภาพ แต่กว่าจะรู้ว่านั่นเป็นเพียงเปลือกนอกที่ซ่อนนางมารร้ายเอาไว้ รถยนต์คันหรูของเธอที่จอดไว้ในลานจอดรถก็ถูกกรีดจนยับเยินทั้งคัน พร้อมมีโน้ตแปะเอาไว้บนกระจกหน้าที่ถูกทุบแตกว่า ‘ครั้งต่อไปช่วยระวัง อย่าทำน้ำหกเรี่ยราด’

ในตอนแรกปริมลคิดจะเอาเรื่อง จึงเดินดุ่มๆ ตรงไปหาสาวรุ่นพี่ที่กำลังสนทนาอยู่กับกลุ่มเพื่อนอย่างออกรสออกชาติ แต่เพียงแค่จันทร์เจ้าเงยหน้าขึ้นมาสบตาพร้อมควงมีดพับในมือเล่น เธอก็รู้สึกหนาวเยือกจับขั้วหัวใจ สัญชาตญาณเบื้องลึกร้องเตือนเสียงดังว่าผู้หญิงแสนสวยคนนี้อันตรายอย่างที่สุด เธอจึงเลือกที่จะเป็นฝ่ายหลบหน้าหลบตาเสียเองตลอดระยะเวลาที่เจ้าตัวเรียนอยู่ที่คณะ อีกประการหนึ่ง เธอเองก็ไม่มีพยานหลักฐานใดๆ เพราะกล้องวงจรปิดถูกทุบจนยับไม่ต่างจากรถของเธอ แถมยามรักษาความปลอดภัยก็เอาแต่อมพะนำคล้ายกลัวอะไรบางอย่างจนไม่กล้าพูด ตอนที่จันทร์เจ้าเรียนจบไปเสียได้เธอจึงโล่งใจเป็นที่สุด ไม่นึกเลยว่าจะได้มาพบหน้ากันที่นี่อีก!

“นิสัยไม่เคยเปลี่ยนเลยนะเธอน่ะ”

จันทร์เจ้าลบคลิปวิดีโอในโทรศัพท์มือถือทิ้งแล้วส่งคืนให้เจ้าของ ดวงตาคมกริบตวัดมองเพื่อนของปริมลที่พากันย่นคอโดยอัตโนมัติด้วยความกลัว แล้วก้าวเท้าฉับๆ ตรงไปหานะโมที่กำลังจะก้าวขาออกจากประตูอัตโนมัติของโรงแรมอยู่แล้ว

“นะโม” จันทร์เจ้าเรียกเขา “อย่าใช้รถคันเดิม”

หย่งเต๋อผินหน้ากลับมามองคนที่ร้องเตือนนิดหนึ่ง แล้วเดินตรงไปยังรถเก๋งสีดำกลางเก่ากลางใหม่ที่จอดหลบมุมอยู่ที่ถนนฝั่งตรงข้ามกับโรงแรม จันทร์เจ้ามองตามแผ่นหลังของพี่ชายกับเฉินกุ้ยก่อนจะถอนใจ...นั่นสินะ มาเหยียบรังงูเห่าทั้งที เปี้ยนเหลี่ยนหวังย่อมเตรียมการพร้อมแต่แรกอยู่แล้ว ห่วงก็แต่ ‘ของร้อน’ ที่เพิ่งล้วงจากคองูไปนี่ละ เขาตั้งใจจะจัดการอย่างไรกันแน่

“พี่ล่วงหน้าไปก่อนเลย ไม่ต้องห่วงผม ผมมีเรื่องต้องจัดการให้เรียบร้อยก่อน” เฉินกุ้ยเอ่ยขณะวางโน้ตบุ๊กไว้ที่เบาะหลัง

หย่งเต๋อขมวดคิ้ว เขารีบหย่อนร่างของไอศิกาไว้ที่เบาะหน้า แล้วปิดประตูเพื่อไม่ให้เธอได้ยินสิ่งที่เขาจะพูดกับคนสนิท

“แกคิดจะทำอะไร ไม่จำเป็นต้องอยู่ระวังหลังให้ฉัน สภาพแกยับเยินขนาดนี้ ลุยคนเดียวไม่ไหวแน่”

“ผมไม่ได้คิดจะลุยกับใคร ตอนนี้พวกไอ้พิบูลย์ไม่กล้าทำอะไรผลีผลามแน่ มันกล้าลวนลามผู้หญิงแบบนั้น ถ้าเป็นข่าวใหญ่ขึ้นมา คนที่กำลังคิดจะกลับมาลงเล่นการเมืองอย่างมันมีแต่เสียกับเสีย”

เฉินกุ้ยเสยผมไปข้างหลังเร็วๆ แล้วระบายลมหายใจยาว เป็นครั้งแรกในรอบ ๗ ปีที่หย่งเต๋อเห็นสีหน้ากังวลแกมประหลาดใจของหนุ่มรุ่นน้อง

“ผมมีเรื่องส่วนตัวที่ต้องจัดการให้จบ”

“เกี่ยวกับคนที่ซัดแกจนเยินขนาดนี้หรือเปล่า ให้ฉันไปเหยียบหน้ามันคืนให้ไหม”

เฉินกุ้ยมีจุดเด่นเรื่องการต่อสู้ในระยะประชิดตัว เขามักโจมตีจุดตายของศัตรูในคราวเดียวและไม่เคยเปิดโอกาสให้ใครแตะต้องตัวเสียด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้กลับมีรอยฟกช้ำ ปากแตกเลือดซิบ เหมือน...ไม่ได้ป้องกันตัวเสียด้วยซ้ำไป

“พี่ไม่กล้าหรอก” เฉินกุ้ยแค่นยิ้ม “นั่นน่ะ พยัคฆ์นัยน์ตาเดียวของไป๋หู่เชียวนะ”

“หา? แก...หมายถึงพี่เจี๋ย? เหอจวิ้นเจี๋ยเนี่ยนะ” หย่งเต๋อต้องพูดย้ำเพื่อให้แน่ใจว่าตนเองไม่ได้หูฝาดไป “แกไปทำเรื่องหนักหนาอะไรมาวะ พี่เจี๋ยถึงได้เสิร์ฟยำตีนให้แกเสียยับแบบนี้”

“เรื่องที่ต้องเคลียร์กันเองก่อนถึงจะบอกคนอื่นได้ เอาไว้จะเล่าให้ฟังทีหลัง พี่ไปเถอะ ที่นี่ไม่ปลอดภัย” เฉินกุ้ยหน้าเครียด “พี่ก็อย่าเพิ่งก่อเรื่องวุ่นวายตอนที่ผมไม่อยู่ล่ะ”

“ห่วงคอหอยตัวเองเหอะไอ้ตี๋เล็ก พี่เจี๋ยตวัดมีดไวกว่าพูดเสียอีก”

หย่งเต๋อตบบ่าคู่หูแล้วเดินอ้อมไปขึ้นรถทางประตูรถฝั่งคนขับ อาจดูเหมือนเขาไม่ค่อยใส่ใจความเป็นความตายของเฉินกุ้ยนัก แต่คนใกล้ชิดจะรู้กันดีว่ามิตรภาพของทั้งคู่แน่นแฟ้นเพียงใด เพียงแต่วิถีของโลกมืดไม่เปิดโอกาสให้พวกเขาได้พูดจาร่ำไรใส่กันเท่าใดนัก การกระทำของพวกเขาคือตัวบ่งชี้ถึงความผูกพันที่มีให้กันมาแต่ครั้งยังเด็ก

เฉินกุ้ยเคยพูดว่าหากเขาต้องตายก่อน อย่าร้องไห้ แต่ให้แก้แค้นให้ด้วย หย่งเต๋อรับปาก แต่...ครั้งนี้คู่กรณีดันเป็นเหอจวิ้นเจี๋ยผู้มีพระคุณต่อพวกเขาทั้งคู่นี่สิ แถมยังเป็นชายที่ยากจะต่อกรได้ง่ายๆ เสียด้วย

ซวยไปนะไอ้ตี๋เล็ก จะเผากงเต็กชุดใหญ่ตามไปให้ก็แล้วกัน...

“คาดเข็มขัดด้วย ลูกแก้ว”

หย่งเต๋อสตาร์ตรถแล้วหันไปบอกสาวน้อยข้างกาย แต่เธอกลับนั่งนิ่ง เนื้อตัวสั่นเทาอย่างน่าเวทนา ชายหนุ่มจึงต้องเป็นฝ่ายโน้มตัวไปคาดเข็มขัดนิรภัยให้เธอเสียเอง รอยแดงช้ำเป็นปื้นบนแก้มของเธอทำให้เขาโกรธจนแทบข่มอารมณ์ไม่อยู่ ต้องสารเลวขนาดไหนกันถึงทำร้ายตบตีผู้หญิงอ่อนแอไร้ทางสู้แบบนี้ได้!

“...หน่อย...”

ขณะที่เขากำลังจะถอยกลับไปนั่งประจำที่ เสียงสั่นพร่าก็หลุดออกมาจากริมฝีปากบางเฉียบของหญิงสาว

“หือ? ว่าอะไรนะ”

“ขอ...ยืมโทรศัพท์หน่อย...”

ไอศิกาช้อนตาแดงก่ำขึ้นมองเขา ดวงตาคู่งามเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตาจนกลบประกายที่เคยสุกสกาวไว้จนสิ้น แต่ถึงกระนั้นก็ยังพอมองเห็นความปวดร้าวระคนเจ็บแค้นได้อย่างชัดเจน

“ขอยืมโทรศัพท์หน่อย”

หญิงสาวพูดซ้ำอย่างชัดถ้อยชัดคำขึ้น หย่งเต๋อจึงส่งโทรศัพท์มือถือให้แล้วเงยหน้าขึ้นมองกระจกมองหลังนิดหนึ่ง เมื่อไม่เห็นร่างของเฉินกุ้ยแล้วจึงออกรถ เขาได้ยินเสียงคนข้างตัวกดตัวเลขหน้าจอแบบทัชสกรีนทีละตัวอย่างเชื่องช้า จนเกือบหลุดปากเป็นฝ่ายขอกดหมายเลขให้แล้ว แต่ก็ได้ยินเสียงเธอเอ่ยคำว่า “ฮัลโหล” เสียก่อน

“ลุงองอาจคะ...” เสียงของไอศิกาสั่น “นี่...ลูกแก้วเองนะคะ”

“คุณหนู!” เสียงเกรี้ยวกราดของคนปลายสายดังก้องรถ ดูเหมือนไอศิกาจะเผลอกดถูกปุ่มสปีกเกอร์เข้า หย่งเต๋อจึงพลอยได้ยินบทสนทนาที่เกิดขึ้นด้วยโดยไม่ต้องเงี่ยหูแอบฟัง “คุณหนูอยู่ที่ไหน นี่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมท่านพิบูลย์ถึงได้โทรศัพท์มาอาละวาดฟาดหัวฟาดหางเอากับลุงใหญ่โตแบบนั้น!”

“อ้อ...สรุปว่าลุงกับท่านพิบูลย์มีเบอร์ติดต่อกันส่วนตัวอยู่แล้วเหรอคะ ถ้าอย่างนั้นก็น่าจะพูดคุยเจรจาอะไรกันเองได้ ไม่จำเป็นต้องให้ลูกแก้วมาก็ได้”

แม้เสียงของหญิงสาวจะยังเจือสะอื้นสลับกับเสียงสูดน้ำมูกเป็นระยะ แต่ก็ชัดถ้อยชัดคำเสียจนทำให้องอาจนิ่งไปครู่ใหญ่

“ท่านคุยกับลุงผ่านโทรศัพท์ของเลขาฯ คุณวิสูตร คุณหนูก็น่าจะได้เจอแล้ว”

คำตอบขององอาจทำเอาคนแอบฟังอย่างหย่งเต๋อหัวเราะอยู่ในใจ...โกหกทั้งทีก็ไม่แนบเนียนเอาเสียเลย ไอ้เลขาฯ เวรนั่นถูกเขาซัดจนฟันร่วง นอนสลบไม่เป็นท่า จะลุกขึ้นมาต่อสายให้เจ้านายอย่างไรไหว

“หนูเจอแล้ว...” ไอศิกาแทบปล่อยโฮ “หนู...เจอทุกอย่างที่หนูไม่ควรได้เจอ ลุงรู้ไหมว่าไอ้...ไอ้คนชั่วนั่นทำอะไรหนูบ้าง...”

“ใจเย็นๆ ก่อนนะคุณหนู” องอาจเอ่ยละล่ำละลักผ่านลำโพง “เรื่องนั้น...”

“ลุงรู้แต่แรกแล้วใช่ไหมคะว่าเขาคิดจะทำอะไรลูกแก้ว” มือไม้ของไอศิกาเย็นเฉียบ เธอปล่อยหยาดน้ำตาแห่งความคับแค้นระคนหวาดกลัวให้ไหลออกมาอาบแก้มไม่ขาดสาย “ลุงรู้...แต่ก็ยังส่งหนูไป ไม่สิ...ลุงคิดจะเอาตัวหนูไปแลกกับหลักฐานพวกนั้น ลุงทำแบบนี้กับหนูได้ยังไง...”

“มันไม่ควรเป็นแบบนี้...”

“แล้วมันควรเป็นแบบไหน!” หญิงสาวกรีดร้อง ภาพใบหน้าบิดเบี้ยวของพิบูลย์ที่ปรากฏในห้วงความทรงจำนั้นทั้งน่ารังเกียจและน่าขยะแขยงจนเธอไม่อยากนึกถึงอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัมผัสจาบจ้วงของเขา! “ที่ลุงไปตกลงกับไอ้คนชั่วนั่นมันเลวร้ายกว่านี้ใช่ไหม! มิน่า...ลุงถึงไม่ให้หนูบอกใคร พยายามบอกให้หนูมาพบหน้ามันคนเดียว ลุงคิดคำนวณทุกอย่างเอาไว้หมดแล้ว!”

“ไม่นะคุณหนู ใจเย็นๆ แล้วฟังลุงก่อน เอาอย่างนี้ เรา...เรามาเจอกันก่อน แล้วคุยกันแบบเห็นหน้าเห็นตา ลุงจะได้อธิบายให้ฟัง...”

“ไม่...เราไม่มีอะไรต้องพูดกันอีกต่อไปแล้ว”

“เดี๋ยว...คุณหนู...”

เสียงขององอาจขาดหายไปทันทีที่ไอศิกากดตัดสาย เธอวางโทรศัพท์ไว้บนตัก ความหวาดกลัวจากเหตุการณ์ที่เพิ่งพ้นผ่านยังคงเกาะกุมหัวใจจนเธอไม่อาจควบคุมร่างกายไม่ให้สั่นสะท้านได้

หย่งเต๋อละมือข้างหนึ่งจากพวงมาลัยแล้วเอื้อมมากุมมือของเธอเอาไว้หลวมๆ น้ำตาของผู้หญิงไม่เคยทำให้เขาใจอ่อน แต่ไม่รู้ทำไมน้ำตาของไอศิกาถึงทำให้เขารู้สึกหน่วงๆ อยู่ลึกๆ ในอกเช่นนี้ได้

“คุณได้ยินหมดแล้ว” ไอศิกาหันกลับมามองเขาด้วยแววตาปวดร้าว น้ำตาชะมาสคาราและอายไลเนอร์จนไหลเลอะเป็นคราบ แต่น่าแปลกที่หย่งเต๋อกลับยังรู้สึกว่าเธอสวยและน่าทะนุถนอมไม่เปลี่ยน “รอบตัวฉันกับพ่อไม่เหลือคนจริงใจเลยสักคน ฉันเชื่อใจใครไม่ได้เลย...”

หย่งเต๋อมองถนนตรงหน้าด้วยความรู้สึกสะท้อนใจอยู่ลึกๆ เขาเองก็เป็นหนึ่งในคนที่เธอไม่ควรไว้ใจเช่นกัน ไอศิกาแทบไม่เหลือใครที่พอจะฝากฝังชีวิตไว้ได้เลย บิดาก็อยู่ในสภาพที่ไม่อาจช่วยเหลือตนเองได้ คนรอบตัวก็ตีจาก บางคนคิดหาประโยชน์และเอาเปรียบเธอ ภัทรพลเองก็ไม่มีความสามารถในการปกปักรักษาเธออย่างที่ปากพูดจริงๆ ด้วยซ้ำ...คิดมาถึงตรงนี้ เขาก็เลื่อนมือขึ้นโอบบ่าบอบบาง แล้วดึงให้เธอเอนซบไหล่เขาด้วยความรู้สึกเวทนาระคนสับสน ไม่รู้ว่าควรทำอะไรมากกว่ากันระหว่างซ้ำเติมเธอเพื่อเอาคืนภามให้เจ็บแสบกับกอดเธอไว้แบบนี้...ซึ่งสุดท้ายเขาก็เลือกอย่างหลัง

“ผมจะพาคุณกลับบ้าน”

“ฉัน...ไม่มีบ้าน...” ไอศิกาสะอื้น “ฉันไม่มี...อะไรทั้งนั้น...”

“ถ้าอย่างนั้นก็กลับไปหาคุณพ่อคุณก็ได้ คุณยังมีท่านอยู่ไม่ใช่หรือไง ที่ไหนมีคนในครอบครัวอยู่ ที่นั่นก็คือบ้าน” เขากดจูบบนกระหม่อมของหญิงสาวทั้งที่ดวงตายังคงมองถนนที่การจราจรหนาแน่นเบื้องหน้า

เธอส่ายหน้าแล้วปิดเปลือกตาลง ปล่อยให้น้ำตาหยดลงเปียกเสื้อสูทของเจ้าของวงแขนอบอุ่นจนเปียกชุ่ม

“ฉัน...ให้พ่อเห็นฉัน...ในสภาพแบบนี้ไม่ได้...” ที่สำคัญ...องอาจน่าจะรอเธออยู่ที่โรงพยาบาล เธอไม่นึกเลยว่าเมื่อบิดาไม่มีอำนาจแล้ว คนที่เธอเคยคิดว่าปรารถนาดีต่อเธออย่างแท้จริงกลับปฏิบัติต่อเธอเหมือนเป็นขยะไร้ค่าชิ้นหนึ่ง “ฉันไปเจอพ่อไม่ได้ อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตอนนี้...”

“ถ้าอย่างนั้นอยากไปไหน...”

กริ๊ง...

เสียงโทรศัพท์มือถือบนตักของไอศิกาดังขึ้น เธอหลุบตาลงมองหมายเลขขององอาจที่ปรากฏบนหน้าจอแล้วรีบกดตัดสาย

“ไปที่ไหนก็ได้” หญิงสาวปล่อยโฮออกมาอีกครั้งอย่างสุดกลั้น “ที่ไหนก็ได้...ที่ไม่มีใครหาฉันพบ”

“โอเค ตามนั้น” หย่งเต๋อคว้าโทรศัพท์มือถือจากมือของเธอ แล้วกดสวิตช์ลดกระจกหน้าต่างลง จากนั้นจึงขว้างโทรศัพท์ทิ้งข้างทาง ตัวเครื่องกระแทกพื้นและแตกเป็นเสี่ยงในพริบตา “ผมจะพาคุณไปในที่ที่ไม่มีใครรังแกคุณได้อีก ลูกแก้ว จะไม่มีใครหาคุณพบ ถ้าผมไม่อนุญาต”

 

เหม่ยอิงสะดุ้งตื่นเมื่อรู้สึกว่าขอบฟูกที่กำลังนอนอยู่ไหวยวบคล้ายมีคนทิ้งน้ำหนักตัวลงนั่ง หญิงสาวผงกศีรษะขึ้นนิดหนึ่งพลางขยี้ตาไล่ความง่วงงุน เธอจำได้ว่าอาเจียนจนหมดไส้หมดพุงมาตั้งแต่ช่วงเช้า ไม่ว่ากินอะไรเข้าไปก็ขย้อนออกมาจนสิ้น ร่างกายจึงอ่อนเพลีย ไม่มีแม้แต่แรงจะทรงตัวนั่ง พุดพิชญาจึงประคองพาเธอขึ้นมานอนพักผ่อนบนห้อง ลูกแมวน้อยของแก๊งไป๋หู่ยกอาหารใส่ถาดขึ้นมาให้สองครั้งทั้งมื้อกลางวันและมื้อเย็น แต่เธอก็ปฏิเสธ ไม่ยอมกินอะไรทั้งสิ้น เอาแต่นอนหลับอย่างเดียว

“คุณเหม่ยอิง”

เสียงกระซิบอันแสนคุ้นเคยทำเอาเธอหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง เธอรีบผุดลุกขึ้นนั่งโดยอัตโนมัติ ก่อนที่แสงสีส้มสลัวจากโคมไฟหัวเตียงจะเผยให้เห็นเงาร่างของชายหนุ่มที่สวมเสื้อเชิ้ตปล่อยชายรุ่ยร่าย มีรอยรองเท้าและรอยเลือดกระเซ็นอยู่ประปราย กางเกงสแล็กส์สีดำยับย่นและเปื้อนฝุ่น แทบไม่เหลือเค้าคนเจ้าสำอางที่มักแต่งตัวเนี้ยบตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้าสักนิด แต่ที่ทำเอาเธอตกใจจนแทบสิ้นสติก็คือรอยฟกช้ำบนใบหน้าของเขา

‘เกิดอะไรขึ้น ทำไมมีแผลเต็มไปหมดแบบนี้ ใครทำอะไรเธอ อากุ้ย’

เหม่ยอิงส่งภาษามือรัวเร็ว สีหน้าเต็มไปด้วยความห่วงใยอย่างเห็นได้ชัดและนั่นทำให้คนมองรู้สึกตื้อๆ อยู่ในอก เขารวบร่างของคนที่อยู่ในชุดนอนกระโปรงตัวยาวเข้ามาไว้แนบอก จมูกโด่งซุกเรือนผมหอมกรุ่นอย่างโหยหา

“ทำไมคุณไม่บอกผม” เฉินกุ้ยหลับตา ไออุ่นจากกายนุ่มนิ่มเติมเต็มความรู้สึกอ้างว้างในหัวใจจนเต็มตื้น “เรื่องลูกของเรา”

‘ใครบอกเธอ’ เหม่ยอิงรีบดันตัวออกห่าง แล้วขยับมือแทนคำพูด ‘อย่าบอกนะว่า...แผลพวกนี้เป็นฝีมือพี่เจี๋ย พี่เจี๋ยทำร้ายเธอใช่ไหม’

“พี่เจี๋ยบอกว่าจะฆ่าผม” เฉินกุ้ยหัวเราะเสียงแห้ง...ฆ่ายังนับว่าน้อยไป ถ้าจะพูดให้ถูกต้องตรงกับสิ่งที่จวิ้นเจี๋ยพูดก็คือ ‘จะฆ่าแล้วควักไส้ให้หมากิน’ ต่างหากเล่า “นี่ถ้าพี่เจี๋ยรู้ว่าผมย่องมาหาคุณกลางดึกแบบนี้ ต้องโกรธมากแน่ๆ”

‘เดี๋ยวนะ แล้วนี่เธอเข้ามาในห้องนี้ได้ยังไง’ เหม่ยอิงหันไปมองประตูห้องก็เห็นยังลงกลอนอยู่ตามที่ได้บอกพุดพิชญาให้ช่วยล็อกห้องให้ด้วย เพราะไม่อยากให้พี่ชายเข้ามาคาดคั้นเรื่องใครเป็นพ่อเด็กอีก เมื่อหันไปมองประตูระเบียงจึงเห็นว่าเปิดแง้มอยู่ ไม่ได้ปิดสนิทเหมือนตอนก่อนเธอเข้านอน ‘อย่าบอกนะว่าเธอปีนหน้าต่างเข้ามา’

“เลียนแบบนายไง” เฉินกุ้ยยิ้ม เขายังจำเรื่องที่เฉินเปียวผู้เป็นบิดาเล่าตำนานรักระหว่างเฉินหมิงกับบัวบูชาได้ พ่อบอกว่าบัวบูชาเป็นผู้หญิงคนเดียวในโลกที่ทำให้แมวดำจอมหยิ่งผยองยอมลดทิฐิปีนหน้าต่างไปหาถึงสองครั้งสองครา ครั้งแรกเพื่อช่วยชีวิตเธอไว้ และครั้งที่สอง เป็นการปีนตามเสียงเรียกของหัวใจแบบเดียวกับที่เขากำลังทำอยู่นี่ละ “คุณอย่าเพิ่งไล่ผมไปไหนนะ กว่าจะปีนเข้ามาได้แทบแย่ กำแพงว่าสูงแล้ว แต่ห้องนี้สูงกว่าอีก คุณลุงอั๋นของคุณออกแบบบ้านเสียชะลูดอย่างกับปราสาทราพันเซล คงกลัวผมปีนขึ้นมาหาคุณแน่ๆ”

‘ยังจะพูดเล่นอีก’ เหม่ยอิงหยิกเขาหมับแล้วบิดเต็มแรง ‘รู้ไหมว่ามันอันตรายแค่ไหน ถ้าตกลงไปคอหักตายจะทำยังไง หา! อากุ้ย เธอนี่ไม่รักตัวกลัวตายบ้างหรือไง’

“ผมกลัวไม่ได้เจอคุณกับลูกมากกว่า”

ที่จริง...กลัวคมมีดของพยัคฆ์นัยน์ตาเดียวของแก๊งไป๋หู่มากกว่าร้อยเท่า ตอนนี้ยิ่งเกลียดขี้หน้าเขาจนร่ำร่ำจะควักลูกตาไปต้มกินอยู่ด้วย แค่คิดก็เสียวสันหลังจะแย่แล้ว

‘รู้ได้ยังไงว่าเด็กเป็นลูกเธอ’ มือไม้ของเหม่ยอิงสั่นจนเฉินกุ้ยสังเกตได้ ‘เขาอาจเป็นลูกของคนอื่นก็ได้ เธอชอบพูดไม่ใช่เหรอว่าฉันกับคุณลุงอั๋นมีอะไรกัน’

ความน้อยเนื้อต่ำใจฉายชัดในแววตา...ชัดเสียจนคนมองรู้สึกผิด

“ผมหึง” ชายหนุ่มสารภาพ เขาคว้ามือทั้งสองข้างของหญิงสาวขึ้นมาจุมพิตแรงๆ “ผมไม่ชอบเห็นคุณอยู่กับเขา เวลาคุณอยู่กับเขา คุณดูมีความสุขมากกว่าตอนอยู่กับผม”

‘ยังคงชอบคิดเองเออเองเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน’ เหม่ยอิงชักมือหนีก่อนจะเริ่มใช้ภาษามืออีกครั้ง ‘ก็เพราะเธอชอบทำตัวเหมือนเด็กไม่รู้จักโตแบบนี้นี่ละ ฉันถึงไม่อยากพูดกับเธอ’

“ผมไม่ใช่เด็กแล้ว เด็กที่ไหนจะเสกลูกเข้าท้องคุณได้กันเล่า”

‘อากุ้ย!’ เหม่ยอิงถลึงตาแล้วกำหมัดทุบเขาตุ้บตั้บ ‘พูดจาน่าเกลียด!’

“ผมพูดเรื่องจริงนี่” ชายหนุ่มพูดหน้าตาย “เด็กคนนี้เป็นลูกผม ผมปั้นมากับมือ หรือจะเถียง”

‘ลูกฉันต่างหาก’ เหม่ยอิงเถียง แก้มสองข้างแดงแจ๋เมื่อใจไพล่นึกถึงวิธีการ ‘ปั้นลูก’ ที่เขาอ้างถึง ‘เขาอยู่ในท้องฉัน ก็เป็นของฉัน เธอไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบอะไรทั้งนั้น’

“คุณเห็นผมเป็นผู้ชายขี้ขลาดสารเลว กล้าทำแต่ไม่กล้ารับหรือไง คุณน่าจะรู้จักผมดีกว่าใครๆ ทั้งนั้น”

เฉินกุ้ยเชยคางอีกฝ่ายขึ้นสบตากันตรงๆ ประกายอบอุ่นเจือเศร้าที่ฉายชัดอยู่ในดวงตาของเขาทำเอาเหม่ยอิงสะท้านไปทั้งตัว เขามักมองเธอด้วยแววตาเหมือนสมเพชเวทนาแกมรู้สึกผิดเช่นนี้อยู่เสมอ แววตาแบบนี้นี่ละที่ทำให้เธอโกรธเขานัก...โกรธที่เขามองเห็นแต่ตัวเธอในอดีต เป็นผู้หญิงที่สูญเสียคนรักไปและเขามีหน้าที่ต้องรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนั้นทั้งหมด...คืนที่เหวินฟงจากเธอไปอย่างไม่มีวันกลับ

‘ฉันบอกแล้วไงว่าไม่ต้องการให้เธอมารับผิดชอบอะไรทั้งนั้น’ เหม่ยอิงเน้นประโยคเดิม ‘เธอไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดหรอกนะอากุ้ย เลิกทำตัวเป็นคนดีได้แล้ว’

“ผมไม่ได้ทำตัวเป็นคนดีหรือว่ารู้สึกผิด บอกตามตรง ผมไม่รู้สึกผิดต่อเรื่องที่ทำลงไปเลยสักนิด ผมดีใจด้วยซ้ำที่มีส่วนหนึ่งของผมอยู่ในตัวคุณ” เขาโน้มใบหน้าลงประทับจุมพิตบนกลีบปากเย็นชืดของหญิงสาวอย่างอ่อนหวาน บดคลึงจนค่อยๆ อุ่นขึ้นทีละนิดโดยที่ครั้งนี้เธอไม่ได้ขัดขืนหรือเบือนหน้าหลบเหมือนครั้งอื่นๆ ที่ผ่านมา และนั่นทำให้หัวใจของเขาพองโตคับอก “ผมรู้ว่าเห็นแก่ตัวที่คิดแบบนี้ แต่...แต่ผมรักคุณ รักมาก คุณคือรักแรกและรักเดียวของผม ถึงคุณไม่ได้รักผมตอบเลยสักนิด ผมก็ไม่เสียใจ ผมขอแค่ได้เป็นคนที่ดูแลคุณกับลูกไปตลอดชีวิตก็ดีใจ...”

ประโยคที่เหลือขาดหายไปทันทีที่เหม่ยอิงยืดตัวขึ้นจุมพิตเขาแผ่วเบา ดวงตาคู่งามหลุบลงและเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา

‘เธอรู้เหรอว่าฉันรู้สึกยังไง’ มือเรียวเล็กเคลื่อนไหวช้ากว่าปกติ ‘เธอเคยถามฉันบ้างไหมว่าตลอดระยะเวลา ๗ ปีที่ผ่านมา ฉันรู้สึกยังไง’

“ผม...” เฉินกุ้ยนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ เหม่ยอิงไม่เคยเป็นฝ่ายจูบเขาก่อน แม้ในยามที่มีสัมพันธ์ลึกซึ้งกันเขาก็ต้องเป็นฝ่ายบังคับให้เธอจูบตอบด้วยซ้ำ “ผมรู้แค่...คุณไม่ได้รักผม...”

‘ถ้าเธอคิดอย่างนั้นเราก็คงไม่มีอะไรต้องพูดกันอีก’ จู่ๆ เหม่ยอิงก็ผลักเขาเต็มแรง ‘เธอกลับไปได้แล้ว ฉันจะพักผ่อน’

“เดี๋ยวสิครับ” เฉินกุ้ยโผเข้ากอดเหม่ยอิงไว้แน่น “จะใจร้ายกับผมไปถึงไหนกัน ใจคอจะไม่ให้ผมคุยกับลูกบ้างเลยเหรอ”

ไม่พูดเปล่า ชายหนุ่มยังก้มลงแนบหูกับหน้าท้องแบนราบจนดูไม่รู้ว่ากำลังตั้งครรภ์ของหญิงสาวด้วยท่าทางเหมือนตั้งอกตั้งใจเต็มที่จนน่าขัน

‘จะบ้าหรือไงอากุ้ย ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้นะ’

เหม่ยอิงทุบไหล่เขาเบาๆ แล้วพยายามผลักไส แต่เขากลับยิ่งกอดรัดเอวเธอแน่นขึ้น เมื่อเขาไม่เงยหน้าขึ้นมองภาษามือของเธอ ย่อมไม่เห็นว่าเธอกำลังพร่ำบ่นต่อว่าเขาว่าอะไรบ้าง

“เรามาทำทุกอย่างให้ถูกต้องกันเถอะ คุณเหม่ยอิง” เฉินกุ้ยจุมพิตหน้าท้องของเธอผ่านชุดนอนเนื้อหนา “แต่งงานกับผมนะ มาเป็นเฉินเหม่ยอิงของผม”

ประโยคเรียบง่ายที่เพิ่งได้ยินพาให้หัวใจของเหม่ยอิงเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ แม้จะรู้ว่าเขาพูดเพราะส่วนหนึ่งต้องการรับผิดชอบการกระทำของตน แต่เป็นประโยคที่ทำให้หัวใจอันเคยแห้งผากของเธอชุ่มชื่นขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์

‘อย่ามาพูดพล่อยๆ นะ อากุ้ย’ เหม่ยอิงดันศีรษะของเฉินกุ้ยจนตกจากตักได้ในที่สุด ‘ฉันอายุมากกว่าเธอตั้งหลายปี เธอควรจะได้แต่งงานกับสาวๆ วัยเดียวกันมากกว่า ฉัน...’

“ผมรักคุณคนเดียว และจะแต่งงานกับคุณเท่านั้น”

เฉินกุ้ยยืดตัวขึ้นนั่งหลังตรง ดวงตาของเขามองไปยังสร้อยบนลำคอระหงของเหม่ยอิงแล้วระบายลมหายใจยาว แหวนเพชรที่ปลายสร้อยส่องประกายวิบวับล้อแสงไฟ ย้ำเตือนให้เขาจดจำเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนั้น...คืนที่เลือดนองบองลิเยอและพรากชีวิตคนที่สำคัญที่สุดสำหรับเหม่ยอิงไป

‘นี่เป็นคำขอร้องสุดท้ายจากฉัน...ดูแลเขาแทนฉันด้วย...’

เสียงของเหวินฟงยังคงดังก้องอยู่ในความทรงจำเจือกลิ่นคาวเลือดและดินปืน ต่อให้หนุ่มลูกครึ่งจีน-ฝรั่งเศสไม่ร้องขอ เขาก็คิดที่จะดูแลเหม่ยอิงไปตลอดชีวิตอยู่แล้ว ไม่ใช่เพียงแค่ชดเชยความผิด แต่เพราะหัวใจของเขาสั่งการมาเช่นนั้น

“เรื่องนี้พ่อกับแม่ก็เห็นด้วย”

‘หา นี่เธอ...บอกคุณลุงเฉินเปียวกับคุณป้าปุยฝ้ายแล้วงั้นเหรอ’

“บอกแล้วครับ” เฉินกุ้ยพยักหน้ารับ “ผมบอกแม่ว่าคุณแพ้ท้องมาก แม่ก็เลยฝากไข่ตุ๋นกับขนมปังกรอบมาให้ด้วย แม่บอกว่าตอนท้องผม แม่ก็แพ้ท้องหนัก กินได้แค่นี้เหมือนกัน ก็เลยคิดว่าหลานแม่ในท้องคุณก็น่าจะชอบกินของแบบเดียวกัน”

ชายหนุ่มกุลีกุจอเปิดเถาปิ่นโตที่วางอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียงในขณะที่หญิงสาวทำหน้าไม่ถูก ทั้งขำทั้งฉิว แค่นึกภาพคนตัวโตปีนขึ้นมาบนห้องของเธอพร้อมหิ้วปิ่นโตมาด้วยก็อดขันไม่ได้ ดีเท่าใดแล้วที่ไม่ตกลงไปคอหัก

‘อย่าเพิ่งมาโมเมนะ ฉันยังไม่ได้บอกเลยว่าจะแต่งงานกับเธอ อีกอย่าง...พี่เจี๋ยคงไม่ยอมแน่’

“พ่อบอกนายแล้ว นายบอกว่าจะออกหน้าเป็นผู้ใหญ่ให้” เฉินกุ้ยหยิบถ้วยไข่ตุ๋นเล็กๆ ออกมา แล้วใช้ช้อนที่มารดาแนบมาให้ด้วยตักเนื้อไข่เนียนนุ่มจ่อไปที่ริมฝีปากของหญิงสาว “อ้าปากสิครับ ลองกินสักหน่อย เพ่ยเพ่ยโทร. บอกผมว่าคุณไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เช้า เดี๋ยวจะไม่สบายนะ”

‘นี่เธอคุยกับเพ่ยเพ่ยแล้วเหรอ’ เหม่ยอิงหรี่ตามองคนตรงหน้าอย่างคาดโทษ ‘รวมหัวกันแบบนี้คิดจะทำอะไรอีก อื๊อ...’

พอเผยอปากพูดตามภาษามือ เฉินกุ้ยก็ถือโอกาสนั้นป้อนไข่ตุ๋นให้เธอทันที กลิ่นน้ำซุปหอมอ่อนๆ และรสชาติกลมกล่อมทำให้ท้องของเธอร้องจ๊อกขึ้นมาทันที และก็เป็นอย่างที่มารดาของเฉินกุ้ยเดาไว้จริงๆ นี่เป็นอาหารที่เธอกินได้โดยไม่เกิดอาการพะอืดพะอมเลยแม้แต่นิด

“ถามแปลก ถ้าไม่มีเพ่ยเพ่ยปิดสัญญาณกันขโมยให้ ผมจะปีนขึ้นมาหาคุณได้ยังไงกันเล่าครับ เพ่ยเพ่ยน่ะอยู่ทีมผมนะ” เฉินกุ้ยยิ้มแฉ่งด้วยความยินดี เมื่อเห็นหญิงสาวกลืนอาหารที่เขาป้อนได้โดยไม่มีทีท่าจะขย้อนทิ้ง

เหม่ยอิงเผลอยิ้มตอบโดยอัตโนมัติ นานแล้ว...ที่เธอไม่ได้เห็นรอยยิ้มแบบนี้ของเขา เป็นรอยยิ้มที่ทำให้ใบหน้าที่เคยเคร่งขรึมเป็นนิตย์ดูอ่อนเยาว์ลงทันตา

“อร่อยไหมครับ ถ้าคุณชอบ เดี๋ยวผมจะให้แม่ทำมาให้คุณอีก บางทีพรุ่งนี้เช้าพ่อกับแม่อาจมาเยี่ยมคุณแล้วพูดเกริ่นเรื่องของเรากับพี่เจี๋ยก่อน จากนั้นค่อยให้นายมาเป็นเถ้าแก่อย่างเป็นทางการอีกที”

เฉินกุ้ยป้อนไข่ตุ๋นให้แม่ของลูกอย่างอิ่มอกอิ่มใจ ยิ่งเห็นเธอกินอย่างเอร็ดอร่อยเขาก็ยิ่งยิ้มไม่ยอมหุบ

‘ฉันบอกแล้วไงว่ายังไม่ได้ตอบตกลงแต่งงานกับเธอ’ หญิงสาวแทบไม่เคี้ยวไข่ตุ๋นด้วยซ้ำ เธอปล่อยให้เนื้อนุ่มลื่นของมันไหลลงคอไป รู้สึกหิวโหยอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ‘เรื่องของพวกเราไม่ควรไปรบกวนนายเลย เดี๋ยวนายกับพี่เจี๋ยจะทะเลาะกันใหญ่โตเปล่าๆ เธอก็รู้ว่าเวลาโกรธ พี่เจี๋ยยอมฟังอะไรที่ไหน ขนาดพี่เจี๋ยเอ็นดูเธออย่างกับอะไรดี เธอยังเจ็บขนาดนี้เลย’

เธอเอื้อมมือไปแตะมุมปากที่แตกยับเยินของเฉินกุ้ยแล้วอดโกรธจวิ้นเจี๋ยอยู่นิดๆ ไม่ได้ รู้ว่าพี่ชายรักเธอเพียงใด แต่ถึงขนาดลงไม้ลงมือกับเฉินกุ้ยรุนแรงขนาดนี้ก็ออกจะเกินไปสักหน่อย

“เจ็บกว่านี้ผมก็ทนได้ ขอแค่ให้ได้อยู่กับคุณ” เฉินกุ้ยแสร้งงับปลายนิ้วเรียวเบาๆ อย่างยั่วเย้า “เรื่องนี้พี่เจี๋ยไม่ผิดหรอก ผมผิดเองที่ดันสารภาพไม่ดูตาม้าตาเรือ ผมแค่อยากบอกพี่เจี๋ยไปตรงๆ ว่าผมเป็นพ่อเด็ก ผมไม่อยากปิดบังแล้วทำให้คุณต้องมานั่งทุกข์ใจหรือแบกรับปัญหาเพียงลำพังหรอกนะครับ”

เขารู้ดีว่าเหอจวิ้นเจี๋ยไม่มีทางกล้างัดข้อกับเฉินหมิงแน่ เพราะตนเองก็มีชนักติดหลังเมื่อครั้งพาพุดพิชญาหนีตามกันไปอยู่ ว่ากันตามจริงเขาไม่อยากใช้เฉินหมิงมาบีบบังคับให้มือขวาของหัวหน้าแก๊งไป๋หู่ยอมรับการแต่งงานของเขากับเหม่ยอิง แต่ถ้าไม่เล่นไม้นี้มีหรือที่รายนั้นจะยอมง่ายๆ

หากจวิ้นเจี๋ยยังดื้อแพ่ง ไม่ยอมลงให้เฉินหมิง เขาก็ยังมีไม้ตายที่ชื่อ ‘บัวบูชา’ อยู่ จวิ้นเจี๋ยทั้งรักและเคารพนายหญิงของแก๊งประดุจพี่สาวแท้ๆ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเกรงใจอยู่บ้าง ขนาดเฉินหมิงผู้ไม่เคยยอมใครยังต้องยอมภรรยาสุดที่รักอย่างไร้ข้อแม้ อย่างที่พวก ‘แก๊งสุดขอบนรก’ เคยนินทากันนั่นละว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือเฉินหมิงยังมีบัวบูชา!

‘ฉันไม่เคยคิดว่าลูกเป็นปัญหา เขาเป็นสิ่งล้ำค่าของฉัน ฉัน...รักเขาตั้งแต่ยังไม่ได้เห็นหน้าด้วยซ้ำ’ เหม่ยอิงลูบหน้าท้องของตนเองอย่างนุ่มนวล ‘แต่เธอไม่จำเป็นต้องมาติดแหง็กอยู่กับพวกเราหรอกนะอากุ้ย ฉันไม่อยากเป็นภาระที่เธอต้องคอยรับผิดชอบเพราะรู้สึกผิด ทั้งเรื่องระหว่างเรา แล้วก็...เรื่องของเหวินฟง...’

“คุณเหม่ยอิง” เฉินกุ้ยถอนใจ เขาวางถ้วยไข่ตุ๋นคืนกลับไปในปิ่นโต แล้วหันกลับมามองดวงหน้าซีดเผือดไร้สีเลือดของเธอตรงๆ “ผมรู้ว่าคุณยังไม่ลืมพี่ฟง แล้วผมก็ไม่เคยคิดอยากให้คุณลืม คุณมีสิทธิ์ที่จะโกรธเกลียดผมทุกอย่างในฐานะคนที่ทำให้พี่ฟงจากคุณไป แต่ผมไม่ได้คิดรับผิดชอบคุณเพราะเรื่องนั้น นี่เป็นเรื่องระหว่างเราสองคน ความรู้สึกที่ผมมีให้คุณเป็นเรื่องจริงและไม่มีวันเปลี่ยนแปลง”

ความในใจที่กักเก็บมานาน ไม่กล้าเอื้อนเอ่ยพรั่งพรูออกมาราวธารน้ำ ก่อนหน้านี้เขาขลาดเขลาและไม่กล้าเอื้อนเอ่ยกับเธอตรงๆ เพราะยังรู้สึกลึกๆ ว่าเธอไม่มีวันรักเขาได้มากเท่าที่รักเหวินฟงอีกแล้ว แต่ในวันนี้...วันที่เธอมีเจ้าตัวเล็กของเขาอยู่ในท้อง เธอเป็นแม่ของลูกเขา หนทางเดียวที่จะได้มีโอกาสใช้ชีวิตอยู่กับนางฟ้าในดวงใจก็คือ ต้องรวบรวมความกล้าแล้วบอกทุกความรู้สึกที่มีให้เธอได้รับรู้ เขาต้องสู้เพื่อจะได้อยู่กับเธอและลูก...ลูกที่ทั้งเธอและเขารักหมดใจตั้งแต่ยังไม่รู้ว่าเป็นหญิงหรือชาย ไม่รู้จักแม้แต่หน้าตา...

‘อากุ้ย...’

“ผมรักคุณ ต่อให้คุณผลักไสผมอีกกี่ร้อยกี่พันครั้ง ผมก็ยังยืนยันคำเดิม ผมจะแต่งงานกับคุณ ไม่ใช่เพราะผมรู้สึกผิด แต่เป็นเพราะผมรักคุณจริงๆ ในฐานะผู้ชายรักผู้หญิง...ในฐานะที่คุณเป็นผู้หญิงของผม”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น