คงมีสักวันที่เราจะได้พบกันอีกครั้ง...ใช่ไหม
“รบกวนช่วยเซ็นชื่อตรงนี้ด้วยนะคะ”
เสียงเจ้าหน้าที่ฝ่ายธุรการดังผ่านกระจกของเคาน์เตอร์ชำระเงินของโรงพยาบาลพร้อมกับที่ใบเสร็จรับเงินสีขาวที่มีรายละเอียดค่าใช้จ่ายทั้งหมดถูกเลื่อนออกมาจากช่องด้านใต้ ไอศิกาซึ่งยังอยู่ในชุดคนไข้หลุบตาลงมองตัวเลขกลมๆ ที่เขียนบนกระดาษแล้วรู้สึกคล้ายมีน้ำรสขมปร่าวิ่งขึ้นจากกระเพาะอาหารมายังโคนลิ้น
...งวดแรก...120,000 บาทถ้วน...
หญิงสาวใช้มือข้างที่เพิ่งถอดสายน้ำเกลือด้วยตนเองและยังมีคราบเลือดติดอยู่นิดๆ กดกระดาษเอาไว้ แล้วใช้อีกมือจดปากกาเซ็นชื่อด้วยความรู้สึกเหมือนปากกาที่ถืออยู่เป็นแท่งหินดึกดำบรรพ์ที่ทั้งหนักและฝืด เธอคิดไม่ตกว่างวดต่อไปจะหาเงินจากไหนมาจ่ายหนอ คุณพ่อเองก็...ยังไม่ฟื้น...
“แบบนี้ค่ากำไลที่เพิ่งขายไปก็หมดเกลี้ยงพอดีเลยสินะ”
เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นจากด้านหลัง จากนั้นมือหนาก็เอื้อมมาดึงใบเสร็จไปดูหน้าตาเฉย ดวงตาคมกริบกวาดมองตั้งแต่หัวกระดาษไล่มาจนถึงลายเซ็นขยุกขยุยของหญิงสาวแล้วอมยิ้ม
...ลายมือไม่ยักสวยเหมือนหน้าแฮะ...
“เสียมารยาท! เอาคืนมานะ!”
ไอศิกากระตุกแผ่นกระดาษคืนจากชายหนุ่มคู่อาฆาตที่เช้าวันนี้สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวที่รีดจนเรียบเสียกลีบโง้งเข้าคู่กับกางเกงสแล็กส์สีดำและคาดทับด้วยเข็มขัดหนัง ดูเกือบจะเป็นทางการอยู่แล้วหากเขาจะผูกเนกไทและติดกระดุมเสื้อเสียหน่อย ไม่ใช่...ปลดสามเม็ดบนออกหมดจนเห็นแผงอกหนาหนั่นไปด้วยกล้ามเนื้อสวยงามเช่นนี้ ผู้ชายคนนี้...หล่อเสียจนน่าจะผิดกฎหมายจริงๆ ถ้าไม่อ้าปากพูดละก็นะ...
“แหม...พูดกับผู้มีพระคุณแบบนี้จะดีหรือครับคุณหนูลูกแก้ว ผมอุตส่าห์เสี่ยงชีวิตช่วยคุณจนช้ำไปทั้งตัว”
...นั่นอย่างไรเล่า ยังไม่ทันไรก็เริ่มอ้าปากกวนประสาทอีกแล้ว...
“ช่วยซ้ำเติมให้ฉันเสี่ยงตายมากขึ้นละไม่ว่า ถ้าไม่ใช่เพราะคุณฉันคงไม่ระบมไปทั้งตัวแบบนี้หรอก” ไอศิกาเถียงไม่เต็มปาก ด้วยรู้ดีว่าหากไม่ได้คนตรงหน้าปกป้องเอาไว้ เธอก็คงไม่รอดชีวิตมาจนถึงป่านนี้ “คุณใบป่านก็ช่วยฉัน แต่ไม่เห็นมาทวงบุญคุณแบบคุณเลย เป็นสุภาพบุรุษมากกว่าคุณไม่รู้กี่เท่า”
“สุภาพบุรุษ?” หย่งเต๋อเลิกคิ้วซ้ายขึ้นนิดหนึ่งแล้วหัวเราะ “แสดงว่าคุณยังไม่รู้จักมันดี จะบอกอะไรให้นะ ไอ้ใบป่านขาของคุณน่ะ ห่างไกลจากคำว่าสุภาพบุรุษไปเกือบล้านปีแสงเชียวละ”
จริงอยู่ว่าเฉินกุ้ยมักดูเหมือนสุภาพใจดีกับเด็ก สตรี และคนชรา แต่เขาไม่เคยลังเลยามต้องลั่นกระสุนเจาะกะโหลกคนพวกนี้แม้แต่วินาทีเดียว เหตุการณ์ในบองลิเยอคืนนั้นไม่ได้พรากวัยเยาว์ของเฉินกุ้ยไปเพียงอย่างเดียว แต่ยังพราก...ความไว้วางใจในมนุษย์ของเขาไปด้วย เหลือไว้เพียงหัวใจอันด้านชาและใบหน้าเฉยเมยเหมือนไม่ยินดียินร้ายต่อโลกใบนี้เลยสักนิด
“อย่าใส่ร้ายคนอื่นหน่อยเลย ฉันไม่เชื่อคุณหรอก”
ดวงหน้าขาวซีดเชิดขึ้นอย่างทะนงตน รอยขีดข่วนจางๆ บนแก้มและตามเนื้อตัวไม่อาจลดทอนความงามของหญิงสาวลงได้เลย จริงอยู่ว่ารูปลักษณ์ภายนอกของเธอดูเปราะบาง แต่หัวใจกลับแข็งแกร่งเหลือเชื่อ ทั้งที่เพิ่งผ่านเหตุการณ์อกสั่นขวัญแขวนมาหมาดๆ เธอกลับตั้งสติได้ในระยะเวลาสั้นๆ และลุกขึ้นมาจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้บิดาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
...สมเป็นลูกเจ้าพ่ออยู่เหมือนกันแฮะ เห็นร้องกรี๊ดๆ ลั่นรถอยู่เมื่อวานแท้ๆ...
“ก็ไม่ได้ขอให้เชื่อนี่” หย่งเต๋อยักไหล่ “ไม่คิดบ้างเหรอว่าที่ไอ้หมอนั่นไม่มาทวงบุญคุณ เพราะมันไม่สนใจคุณสักนิดน่ะคุณหนู”
“ถึงเป็นอย่างนั้นฉันก็ยังรู้สึกขอบคุณเขาอยู่ดี”
น้ำเสียงนุ่มนวลยามเจ้าตัวเอ่ยถึงเฉินกุ้ยทำให้ชายหนุ่มรู้สึกหมั่นไส้ไอ้ลูกไล่ตัวดีเต็มแก่ เดี๋ยวเจอหน้ากันจะหาเรื่องแกล้งเสียให้เข็ดเชียว!
“แล้วไม่รู้สึกขอบคุณผมบ้างเหรอ”
“ตอนแรกก็รู้สึกอยู่หรอก แต่หายไปหมดตั้งแต่คุณอ้าปากทวงบุญคุณฉันแล้ว”
หญิงสาวย่นจมูกใส่คนพูดแล้วตั้งท่าจะเดินหนี แต่ชายหนุ่มถือวิสาสะรั้งข้อมือเอาไว้เสียก่อน
“แหม...น่าน้อยใจจริงจริ๊ง” หย่งเต๋อหัวเราะพลางล้วงมืออีกข้างลงไปในกระเป๋ากางเกง หยิบช็อกโกแลตแท่งออกมาแล้วส่งให้ไอศิกา “คุณไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เมื่อวาน รองท้องสักหน่อยไหม”
“ฉันไม่หิว” ไอศิกาพยายามชักมือหนี แต่ไม่อาจสู้แรงคนตัวโตเป็นยักษ์ปักหลั่นได้ “ปล่อย!”
“ถึงได้น้ำเกลือไปขวดหนึ่งแล้วก็ใช่ว่าจะอิ่มทิพย์นะครับคุณหนู ข้าวต้มที่โรงพยาบาลจัดให้ก็ไม่ยอมกิน เดี๋ยวก็เป็นลมจนได้” ดวงตาคมกริบหลุบลงมองรอยเลือดจางๆ บนหลังมือของหญิงสาว จริงอยู่ว่าผิวของเธอขาวมากจนมองเห็นเส้นเลือดอย่างชัดเจน แต่ดูเหมือนเส้นเลือดของเธอจะเล็กมากและจม แพทย์ถึงได้เลือกเจาะเข็มบนหลังมือแทนข้อพับแขน “รับๆ ไปเถอะน่า อย่าลีลานักเลย ของโปรดคุณไม่ใช่เหรอ เอ...หรือว่าอยากเป็นลมแล้วให้ผมช่วยผายปอดครับ”
“พูดบ้าๆ!” ไอศิกาแหวเข้าให้ ดวงตาพราวระยับไปด้วยแววยั่วเย้าของเขาทำให้แก้มทั้งสองข้างของเธอแดงปลั่ง นี่เขาคอยตามติดเธอทุกฝีก้าวหรืออย่างไรนะ ถึงได้เห็นว่าเธอไม่ยอมกินข้าว “เดี๋ยวก่อน...คุณรู้ได้ยังไงว่าฉันชอบช็อกโกแลต ใครบอกคุณ พี่ภัทรเหรอ”
“จริงๆ ก็ไม่รู้หรอก แต่ตอนนี้รู้แล้ว” หย่งเต๋อขยิบตาแล้วแกะห่อขนมยัดใส่มือหญิงสาว เด็กๆ นี่หลอกถามอะไรง่ายชะมัด ยังไม่ทันไรก็เผยไต๋เสียแล้ว “กินให้อร่อยนะครับคุณหนู บ่ายนี้จะได้มีแรงเดินทาง”
“เดินทาง? เดินทางไปไหนคะ” ดวงตากลมโตกะพริบปริบๆ อย่างงุนงง
“ไปเซฟเฮาส์สิครับคุณหนู จะอยู่รอให้ไอ้พวกเมื่อวานมันย้อนกลับมาถล่มอีกหรือไงกันเล่า ไอ้พี่ภัทรยังไม่ได้บอกคุณเหรอ”
“กรุณาพูดจาให้เหมือนสุภาพชนด้วยค่ะ คุณนะโม เช้านี้ฉันยังไม่เจอพี่ภัทรเลย โชคร้ายมาเจอก็แต่คุณนี่ละ” ไอศิกาตวัดตามองชายหนุ่มอย่างขุ่นเคือง “แต่คุณพ่อฉันยังไม่ฟื้นเลย อาการก็เดี๋ยวทรงเดี๋ยวทรุด จะเดินทางได้ยังไงกันคะ”
การย้ายตัวบิดาทั้งที่อาการยังอยู่ในภาวะวิกฤติเช่นนี้เป็นเรื่องเสี่ยงเกินไป อีกทั้งด้วยสถานะทางการเงินในตอนนี้ เธอไม่มีปัญญาจ้างพยาบาลพิเศษมาคอยดูแลท่านตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงแน่
“คุณต้องเดินทางไปคนเดียวก่อน ส่วนพ่อคุณ ถ้าอาการดีขึ้น ทางอินเตอร์โพลจะขนย้ายด้วยเฮลิคอปเตอร์ไปลงในค่ายทหารแล้วค่อยส่งตัวไปโรงพยาบาลใกล้ๆ เซฟเฮาส์อย่างเป็นความลับที่สุด”
“ฉันจะไม่ทิ้งคุณพ่อเด็ดขาด ฉันจะรอไปพร้อมกับท่านด้วย”
ไอศิกาหน้าตื่น แค่คิดว่าต้องห่างจากบิดาในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ หัวใจก็แทบหล่นวูบลงไปกองที่ตาตุ่ม
“ก็อยากจะอนุญาตอยู่หรอกนะ แต่ไม่ได้ เพราะเป็นคำสั่งโดยตรงจากสำนักงานใหญ่ ถ้าไม่เชื่อก็ลองไปถามไอ้คุณพี่ภัทรดูก็ได้ แต่เชื่อเถอะ คุณจะได้คำตอบแบบเดียวกับที่ผมบอกคุณนี่ละ” หย่งเต๋อเลิกคิ้วยียวนเมื่อเห็นอีกฝ่ายเริ่มทำหน้าง้ำ แหม...เติมคำว่าคุณให้แล้ว สุภาพขึ้นตั้งเยอะ ยังจะไม่พอใจอะไรอีก แม่คุณ! “เหตุผลที่อินเตอร์โพลให้คุณเดินทางแยกกันก็เพื่อความปลอดภัยล้วนๆ คุณเป็นถึงลูกสาวเจ้าพ่อ น่าจะรู้ไม่ใช่เหรอว่าทำไมเวลาเดินทางพ่อคุณถึงไม่เคยนั่งรถคันเดียวกับคุณหรือสมาชิกครอบครัวคนอื่นๆ”
สมัยเด็ก เวลาต้องเดินทางไปไหนมาไหนพร้อมครอบครัว เขาไม่เคยเข้าใจเลยว่าทำไมท่านหวังเสี้ยวเทียนผู้ยิ่งใหญ่ถึงไม่เคยนั่งรถคันเดียวกับเขาและมารดาเลยสักครั้ง เว้นแต่จำเป็นจริงๆ เท่านั้น เมื่อเติบใหญ่จึงรู้คำตอบว่า ทั้งหมดนั้นก็เพื่อความปลอดภัยของเขานั่นเอง แก๊งฮวงหลงมีศัตรูมากมายเสียยิ่งกว่าดวงดาวบนท้องฟ้า การลอบสังหารอันไม่คาดฝันอาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ดังนั้นบิดาจึงแยกนั่งรถคนละคันกับมารดาและเขาอยู่เสมอ หากเกิดเหตุการณ์รุนแรงขึ้น คนที่ตนรักจะได้ไม่ถูกลูกหลง หรือร้ายกว่านั้น...หากใครคนใดคนหนึ่งเสียชีวิตไป ก็ยังเหลืออีกคนไว้คอยดูแลลูกต่อไป
“ข้อนั้นฉันรู้...” สีหน้าของไอศิกาเต็มไปด้วยความอึดอัดใจ “แต่...แต่ถึงยังไงฉันก็ไม่อยากทิ้งพ่ออยู่ดี”
“โตแล้วนะครับคุณหนู อย่างอแงเป็นเด็กนักเลย นี่มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะ”
สิ่งที่ไอศิกาไม่รู้ก็คือ...อินเตอร์โพลไม่ได้ห่วงเรื่องสวัสดิภาพของเธอมากเท่าที่คิดไว้ คนพวกนั้นสนใจเพียงความปลอดภัยของ ภาม พิมพ์สุริยา เพียงคนเดียว จึงได้พยายามแยกลูกสาวซึ่งอาจตกเป็นเป้าโจมตีของคนร้ายให้อยู่ห่างจากพยานคนสำคัญของพวกตนมากที่สุดเพื่อรักษาชีวิตของเขาเอาไว้ อย่างน้อย...ก็จนกว่าจะหมดประโยชน์ละนะ หากเกิดเรื่องร้ายแรงกับไอศิกาจริงๆ คนเดียวในหน่วยปฏิบัติการพิเศษของอินเตอร์โพลที่จะเป็นเดือดเป็นร้อนแทบบ้าก็คงมีแต่ภัทรพลคนเดียวเท่านั้นกระมัง...
“ฉันไม่ได้งอแงเสียหน่อย” หญิงสาวเม้มริมฝีปากแน่น “คุณก็พูดง่ายสิ คุณไม่ได้ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับฉัน คุณไม่มีทางเข้าใจหรอกว่าการที่ต้องเห็นพ่อตัวเองนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงแบบนั้นมันรู้สึกยังไง ท่านจะฟื้นหรือเปล่าก็ไม่รู้ แล้วคุณจะให้ฉันทิ้งท่านไว้ได้ยังไง”
“อย่าพูดในสิ่งที่ตัวเองไม่รู้หน่อยเลย ผมน่ะเข้าใจสถานการณ์ของคุณมากกว่าที่คุณคิดไว้มากเชียวละคุณหนู”
เรียวปากหยักงามยกแย้มขึ้นเป็นรอยยิ้มหวานฉ่ำ แต่แววตากลับกร้าวกระด้างเย็นชาอย่างน่าขนลุก ภาพของมารดาที่นอนแน่นิ่งเป็นเจ้าหญิงนิทราโดยมีสายน้ำเกลือและอุปกรณ์พยุงชีพห้อยระโยงระยางลอยแวบเข้ามาในสมอง ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าไอศิการู้สึกเช่นไร ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าการรอคอยให้บุคคลอันเป็นที่รักลืมตาตื่นขึ้นมามองหน้ากันนั้นทุกข์ทรมานใจเพียงไหน หากไม่เพราะมีความแค้นใหญ่หลวงต้องชำระ เขาไม่มีวันยอมห่างจากข้างกายมารดาเป็นอันขาด!
“หมายความว่ายังไง”
“ก็หมายความว่า ถ้าคุณอยากร้องไห้กระจองงอแงเป็นเด็กๆ ก็เชิญเสด็จไปซบอกไอ้พี่ภัทรได้เลย แต่กรุณาสะอึกสะอื้นให้เสร็จก่อนบ่ายโมงด้วย เพราะผมต้องรับช่วงพาคุณไปส่งที่เซฟเฮาส์ ไอ้ผมมันความอดทนต่ำ คงทนฟังเสียงคร่ำครวญของคุณจนกว่าจะถึงที่หมายไม่ไหวหรอก” ชายหนุ่มชะงักไปครู่หนึ่งเมื่อเห็นว่าดวงหน้าของคนฟังซีดเผือดจนแทบไม่มีสีเลือด เขาเอื้อมมือไปคว้าข้อมือหญิงสาวแล้วโน้มตัวลงกัดช็อกโกแลตในมือเธอหน้าตาเฉย “หาอะไรกินให้เรียบร้อยก่อนออกเดินทางด้วยนะคุณหนู เกิดเป็นลมเป็นแล้งกลางทาง เดี๋ยวจะเดือดร้อนผมกับไอ้ใบป่านเปล่าๆ”
“ฉันจะไม่ไปกับพวกคุณ!”
ไอศิกาพยายามกระชากมือหนี แต่ด้วยแรงที่มีอยู่เพียงน้อยนิด เธอจึงทำได้เพียงดึงมือของชายหนุ่มให้ตามมาด้วย
“ยังมีแรงอยู่แบบนี้ก็ดีแล้ว” หย่งเต๋อหัวเราะเสียงต่ำแล้วก้มลงกัดขนมอีกคำ พลางมองดวงหน้าหวานที่แดงก่ำด้วยความโกรธระคนเคอะเขินอย่างไม่วางตา “จะแนะนำอะไรให้อย่างนะคุณหนู มีปากก็หัดพูดบ้าง แล้วก็อย่ายึดติดเรื่องศักดิ์ศรีบ้าบออะไรให้มากนัก พ่อคุณยังเป็นพยานคนสำคัญของอินเตอร์โพลอยู่ คุณมีสิทธิ์เรียกร้องขอความช่วยเหลือได้ ไอ้ค่ารักษาพยาบาลพวกนี้ ไม่ต้องมานั่งจ่ายเองหรอก”
“เรื่องนั้น...”
“ไอ้พี่ภัทรคงไม่ได้บอกอะไรอีกละสิท่า มันเคยบอกอะไรคุณบ้างเนี่ย ฮึ แต่อย่างว่าละนะ คุยกับเจ้าหน้าที่ระดับล่างไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก” ชายหนุ่มละมือจากหญิงสาวแล้วหยิบนามบัตรจากกระเป๋าเสื้อเชิ้ตออกมาส่งให้เธอ “นี่เป็นเบอร์โทร. ของ ฌอง-ปอล กุสโต เจ้าหน้าที่ระดับสูงของอินเตอร์โพล เขาเป็นคนฝรั่งเศส แต่พูดภาษาอังกฤษคล่องมาก ไม่ต้องห่วงว่าจะคุยกันไม่รู้เรื่อง”
“ฉันพูดฝรั่งเศสได้” ไอศิกาหลุบตาลงมองตัวอักษรบนนามบัตรอย่างลังเล “แต่คุณพ่อยังไม่ฟื้นเลย ถ้าฉันทำอะไรโดยพลการ ท่านอาจจะโกรธ อีกอย่าง...จู่ๆ จะให้ฉันไปขอความช่วยเหลือจากคนที่ไม่รู้จัก มัน...”
“อย่าไร้เดียงสาไปหน่อยเลยน่า ถ้าพ่อคุณไม่ใช่พยานคนสำคัญ อินเตอร์โพลจะลงทุนส่งคนมาคุ้มกันขนาดนี้ไปเพื่ออะไรเล่า ตอนนี้อำนาจต่อรองอยู่ในมือคุณแล้ว หัดใช้ให้เป็นหน่อย” หย่งเต๋อพอมองออกว่าหญิงสาวไม่รู้เรื่องตื้นลึกหนาบางระหว่างภามกับอินเตอร์โพลมากนัก การส่งเธอไปคุยกับฌอง-ปอลอาจช่วยให้เขาได้เบาะแสใหม่เพิ่มขึ้นก็เป็นได้ “ถ้าคุณคิดว่าตัวเองยังเหลือทองหย็องให้ขายมาจ่ายค่ารักษาพยาบาลแพงหูฉี่ได้อีกก็ตามใจเถอะนะ”
พูดจบเจ้าของร่างสูงใหญ่ก็หมุนตัวเดินหันหลังไปตามทางเดินเสียเฉยๆ
“เดี๋ยวสิ คุณนะโม”
“เจอกันบ่ายโมงตรง อย่าโอ้เอ้ล่ะ”
เจ้าของชื่อพูดโดยไม่หันกลับมามองหญิงสาวที่ยืนหน้าซีดสลับแดงอยู่ด้านหลังแม้แต่แวบเดียว เธอก้มลงมองช็อกโกแลตที่เขากัดแหว่งสลับกับนามบัตรที่อยู่ในมืออีกข้างด้วยความรู้สึกอัดอั้นจนไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ เธอเดาไม่ออกเลยว่าผู้ชายที่ชื่อ นะโม ทิพยศาสตร์ คนนี้เป็นคนอย่างไรกันแน่ คำพูดคำจาของเขาบาดหูไม่น่าฟัง แต่กลับทำให้รู้สึกอบอุ่นใจอย่างประหลาด ไอศิการู้สึกเหมือน...เขาพึ่งพาได้...
...คุณนะโม คุณเป็น...เทพบุตรหรือปีศาจกันแน่หนอ...
“เพ่ยเพ่ยบ่นคิดถึงคุณอยู่นะ ถามว่าเมื่อไหร่จะกลับปารีส”
เฉินกุ้ยพูดพลางลูบหัวพูเดิลทอยขนฟูในอ้อมแขนอย่างนุ่มนวล ดวงตายาวเรียวลอบมองหญิงสาวที่กำลังปักกุหลาบขาวใส่แจกัน ดวงหน้าสวยจัดของเธอนิ่งสนิทเหมือนไม่ใส่ใจคำพูดของเขาแม้แต่นิด แต่ชายหนุ่มไม่ใส่ใจนัก ด้วยชินกับท่าทีเย็นชาของเธอเสียแล้ว
“เมื่อคืนก่อนอาเจี๋ยก็เฟซไทม์มาคุยกับเหม่ยอิงอยู่นานเชียวละ ช่วงนี้อาเจี๋ยดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษเลยนะ”
อัณณ์พูดพลางวางกระเป๋าเอกสารลงบนโต๊ะในห้องนั่งเล่น ก่อนจะสวมเสื้อสูทและจัดเนกไทให้เข้าที่ แม้จะล่วงเข้าสู่วัยกลางคนแล้ว แต่สถาปนิกหนุ่มใหญ่ก็ยังดูอ่อนกว่าอายุจริงอยู่มาก เค้าโครงของความหล่อเหลาเมื่อครั้งยังเยาว์วัยปรากฏให้เห็นเด่นชัดพอๆ กับร่างกายที่ยังคงสูงใหญ่แข็งแรงเสียจนคนรุ่นหนุ่มยังอาย ถึงเส้นผมจะเริ่มมีสีขาวแซมอยู่ประปรายก็ยังไม่อาจทอนความสง่างามที่มีให้ลดถอยลงไปได้
“กำลังจะมีลูก ก็ต้องเห่อเป็นธรรมดาละครับ” สีหน้าปลาบปลื้มลืมตายของจวิ้นเจี๋ยตอนที่รู้ว่าพุดพิชญาตั้งครรภ์ได้สองเดือนแล้วยังคงติดตาเฉินกุ้ยอยู่ไม่หาย นานหลายปีแล้วที่เขาไม่เคยเห็นแววตาตื่นเต้นของพยัคฆ์นัยน์ตาเดียวแห่งไป๋หู่ “แต่เพ่ยเพ่ยสิครับ บ่นยาวเลยว่าพี่เจี๋ยทำเหมือนตัวเองเป็นคนพิการ ไม่ยอมให้ไปไหนมาไหนเลย จะเดินจะเหินก็แทบจะอุ้มอยู่แล้ว”
“มีลูกตอนแก่ก็แบบนี้ละ อากุ้ย ถ้าฉันมีลูกตอนอายุเท่านั้นฉันก็คงเห่อไม่แพ้กันแน่ๆ” อัณณ์หัวเราะอย่างอารมณ์ดีโดยไม่ทันสังเกตสีหน้าที่เริ่มมึนตึงขึ้นทีละนิดของชายหนุ่มรุ่นลูก เขาหันไปหาเหม่ยอิงที่ยืนมองกุหลาบขาวในแจกันแล้วเอ่ยอย่างนุ่มนวล “วันนี้อามีประชุมที่บริษัทตั้งแต่เช้าจนถึงช่วงค่ำๆ คงกลับดึกหน่อย เหม่ยอิงกินข้าวก่อนได้เลยนะ ไม่ต้องรออา”
หญิงสาวยิ้มรับ เมื่อเรียวปากบางเฉียบขยับแย้ม ดวงตาคู่งามก็พลอยเปล่งประกายระยับวับวาวดุจดวงดารา ทำเอาเฉินกุ้ยถึงกับต้องลอบทอดถอนใจ เขาอิจฉาอัณณ์นัก ตลอดระยะเวลาเจ็ดปีที่ผ่านมา เหม่ยอิงไม่เคยยิ้มให้เขาแบบนี้สักครั้ง อย่างดีก็กระตุกมุมปากขึ้นนิดหนึ่งคล้ายจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม แต่เพียงแค่นั้นก็ทำเอาหัวใจเขาพองโตไปหลายวัน
“อากุ้ย อยู่เป็นเพื่อนกินข้าวเที่ยงกับเหม่ยอิงก่อนแล้วค่อยกลับนะ ช่วงนี้ฉันงานเยอะ ตั้งแต่เหม่ยอิงมาถึง ฉันยังไม่มีเวลาอยู่เป็นเพื่อนหรือพาไปเที่ยวไหนเลย ถ้าได้เธอช่วยดูแล ฉันก็เบาใจ”
ไม่ต้องเป็นคนอาบน้ำร้อนมาก่อนค่อนชีวิตเช่นเขาก็มองออกว่าเฉินกุ้ยยังคงปักใจรักเหม่ยอิงมากเพียงไหน ชายหนุ่มคอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของหญิงสาวอยู่แทบตลอดเวลา รู้...ถึงขนาดว่าเธอจะบินมาพักผ่อนที่ไทยวันไหน และส่งดอกกุหลาบขาวมารอท่าก่อนเธอเดินทางมาถึงบ้านหลังนี้สองชั่วโมงทุกครั้ง ผู้ชายที่ส่งดอกไม้ให้ผู้หญิงทุกวันเป็นเวลาเจ็ดปีติดกัน ถ้าไม่หลงรักเจ้าหล่อนหัวปักหัวปำก็คง...อยากไถ่บาปกระมัง ซึ่งเขามั่นใจว่าเฉินกุ้ยน่าจะรู้สึกอย่างแรกมากกว่าอย่างหลัง ที่ไม่แน่ใจก็คือความรู้สึกของเหม่ยอิงต่างหาก ช่วงสามปีแรก เธอไม่ยอมพบหน้าเฉินกุ้ย และโยนดอกไม้และของขวัญที่ได้รับจากเขาทิ้งทั้งหมด ทว่าเมื่อล่วงเข้าสู่ปีที่สี่และได้รับเจ้ามะยม พูเดิลตัวน้อยเป็นของขวัญ เฉินกุ้ยก็ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในห้องนั่งเล่นได้ แต่หญิงสาวกลับไม่ค่อยยอมสนทนากับเขามาจนถึงทุกวันนี้
...ไม่มองหน้า ไม่ใส่ใจ แต่อนุญาตให้อยู่ใกล้ๆ ได้...จิตใจของผู้หญิงนี่ช่างยากแท้หยั่งถึงเสียจริงๆ...
“ผมคงอยู่นานขนาดนั้นไม่ได้หรอกครับ ช่วงบ่ายผมต้องไปกับพี่หย่งเต๋อ”
คำตอบของเฉินกุ้ยทำให้เหม่ยอิงชะงัก เธอเหลือบตามองเขาอยู่ชั่วเสี้ยววินาทีก่อนจะตีหน้าเฉยเหมือนไม่ใส่ใจเช่นเดิม
“อ้อ...” อัณณ์พยักหน้ารับรู้ เขาได้ยินจากจวิ้นเจี๋ยเรื่องที่ทายาทหนุ่มของทั้งฮวงหลงและไป๋หู่กำลังตามสืบเรื่องการลอบสังหารภรรยาของหวังเสี้ยวเทียนมาบ้าง แต่ไม่รู้รายละเอียดมากนัก รู้แต่เพียงหลังเกิดเรื่องนั้น เหม่ยอิงก็ส่งข้อความมาว่าจะบินมาเมืองไทยทันที ทั้งที่ตามปกติแล้วเธอมักจะมาพักอยู่กับเขาช่วงคริสต์มาสเสียมากกว่า “น่าเสียดายนะ เอาไว้คราวหน้าก็แล้วกัน ฉันไปก่อนละ เดี๋ยวจะสาย”
เจ้าของบ้านก้มลงมองนาฬิกาข้อมือก่อนจะคว้ากระเป๋าเอกสารแล้วรีบเดินออกไปอย่างเร่งรีบ เฉินกุ้ยนับหนึ่งถึงสิบในใจช้าๆ รอจนแน่ใจว่าเสียงรถยนต์ของอัณณ์ห่างออกจากตัวบ้านไปแล้วจึงปล่อยเจ้ามะยมลงจากอ้อมแขน ดวงตามองตรงไปยังแผ่นหลังบอบบางของหญิงสาวที่ยืนหันหลังให้อยู่หน้าเคาน์เตอร์บาร์
“ผมไม่ชอบเลย” ชายหนุ่มระบายลมหายใจยาวขณะสาวเท้าตรงไปหาหญิงสาว เขาหยุดยืนห่างจากแผ่นหลังของเธอราวคืบหนึ่ง กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ที่ลอยกรุ่นมาเตะจมูกเกือบทำให้เขาลืมความยับยั้งชั่งใจและรวบร่างเธอเข้ามากอดไว้แนบแน่นให้สมใจอยากเหมือนเมื่อครั้งนั้น...แต่ท่าทีหมางเมินของเธอทำให้มือที่กำลังจะเอื้อมไปแตะบ่าลาดมนต้องหยุดชะงักและตกลงข้างตัวตามเดิม “ผมไม่ชอบ...ให้คุณยิ้มให้เขาแบบนั้น...”
เหม่ยอิงยังคงยืนนิ่ง ปลายนิ้วเรียวแตะกลีบดอกบอบบางของกุหลาบขาวเหมือนไม่ได้ยินสิ่งที่เขาพูด แต่ดวงตาเต้นระริกเหมือนผิวน้ำที่สั่นไหวเพราะพายุฝน
“คุณอัณณ์พูดเหมือนอยากมีลูกตอนแก่ เหมือนเขากำลังจะบอกอะไรคุณเป็นนัยๆ อยู่หรือเปล่า” ทุกครั้งที่อยู่ต่อหน้าเธอ เฉินกุ้ยรู้สึกเหมือนกลับไปเป็นเด็กหนุ่มช่างพล่ามคนเดิม พูด...ในสิ่งที่ไม่ควรพูด พูด...ทุกความรู้สึกที่อยู่ในใจ แม้จะรู้ว่าเธอไม่เคยเปิดใจรับฟัง เขาก็ยังหวังลึกๆ ว่าสิ่งที่เขาต้องการสื่อนั้นจะส่งไปถึงหัวใจของเธอบ้าง “คุณเคยบอกว่าชอบเขานี่ เขาเองก็น่าจะชอบคุณมากเหมือนกัน”
ทันทีที่ได้ยินประโยคสุดท้าย เหม่ยอิงก็หันกลับมามองหน้าเขาด้วยแววตาขุ่นเคือง มือเรียวขาวยกขึ้นขยับเป็นภาษามือรัวเร็ว
‘มันไม่ใช่กงการของเธอ’
“ผมก็ไม่อยากก้าวก่ายเรื่องของคุณหรอกถ้าพี่เจี๋ยไม่ขอ” เฉินกุ้ยรู้สึกเหมือนมีก้อนแข็งๆ แล่นขึ้นมาจุกที่คอหอย “พี่เจี๋ยอยากรู้ว่าทำไมคุณถึงดึงดันที่จะมาพักที่บ้านคุณอัณณ์เวลานี้”
ไม่ใช่แค่จวิ้นเจี๋ยคนเดียวหรอก เฉินกุ้ยเองก็อยากรู้ว่าทำไมจู่ๆ เธอถึงแล่นมาหาอัณณ์ที่เมืองไทย ทั้งที่ปกติแล้วเธอจะมาเยี่ยมเขาปีละครั้งเฉพาะช่วงปลายปีเท่านั้น เพราะเธอไม่อาจทนดูหิมะแรกของฤดูหนาวที่ทำให้นึกถึงเหวินฟงได้ ทุกคนในตระกูลเฉินเข้าใจความรู้สึกของเธอดีจึงไม่เคยคิดห้ามปราม อีกประการหนึ่ง อัณณ์เอ็นดูเหม่ยอิงมาตั้งแต่ยังเด็ก เขาเคยถึงขนาดเสนอตัวขอรับอุปการะหญิงสาวเป็นลูกบุญธรรมเสียด้วยซ้ำ แต่ทั้งจวิ้นเจี๋ยและเฉินหมิงค้านหัวชนฝา เขาจึงเป็นพ่อบุญธรรมของเธอได้แต่เพียงในนามเท่านั้น แมวดำจอมอาฆาตถึงขนาดสั่งห้ามไม่ให้เหม่ยอิงเรียกอัณณ์ว่าพ่อด้วยซ้ำไป เพราะยังผูกใจเจ็บเรื่องที่เคยเป็นศัตรูหัวใจกันมาเมื่อครั้งยังหนุ่ม
‘แกว่าเหม่ยอิงสนิทกับคุณอัณณ์เกินงามไปหน่อยไหมวะ ไอ้แมวเฒ่า’
เสียงของบิดายังคงดังก้องอยู่ในสมอง เฉินเปียวเป็นคนแรกและคนเดียวที่ตั้งข้อสังเกตนี้ขึ้นมาหลังจากเห็นความสนิทสนมของสถาปนิกหนุ่มใหญ่กับหญิงสาวอายุรุ่นราวคราวลูก แน่นอนว่าทุกคนในตระกูลเฉินมองเป็นเรื่องไร้สาระ ใครๆ ก็รู้กันทั้งนั้นว่าอัณณ์ครองตัวเป็นโสดมาจนอายุปูนนี้เพราะไม่อาจลืมบัวบูชาได้ คงมีแต่ไอ้เฉินกุ้ยคนนี้คนเดียวกระมังที่คิดต่อยอดจากที่บิดาพูดไปไกล และยังคงจับตามองทั้งคู่ด้วยความรู้สึกไม่สบายใจนัก อัณณ์หล่อเหลาและดูหนุ่มกว่าอายุอยู่มาก จึงไม่น่าแปลกใจที่สาวน้อยสาวใหญ่จะเวียนกันมาหว่านเสน่ห์ใส่ไม่ขาดสาย แต่เขากลับไม่เคยชายตาแลผู้หญิงคนไหน และเลือกใช้เวลาช่วงวันหยุดกับเหม่ยอิงเพียงคนเดียว
แล้วจะไม่ให้รู้สึกหึงหวงเลยได้อย่างไรกันเล่า!
‘ฉันแค่อยากมาเยี่ยมคุณลุงอั๋นก็ต้องรายงานเธอด้วยหรือไงกัน เฉินกุ้ย ทีเธอยังไปไหนมาไหนได้ตามใจชอบ ทำไมฉันจะไปบ้างไม่ได้’ เหม่ยอิงรัวภาษามือกลับ
“ผมไม่ได้ไปไหนมาไหนตามใจชอบ ผมไปทำงาน คุณก็รู้ว่าหน้าที่ของผมคืออารักขาพี่หย่งเต๋อ พี่หย่งเต๋อไปไหนผมก็ต้องไปด้วย” เฉินกุ้ยเสยผมไปด้านหลังอย่างยุ่งยากใจ “คุณเป็นน้องสาวคนเดียวของพี่เจี๋ย จะไปไหนมาไหนโดยไม่มีคนคุ้มกันแบบนี้ไม่ได้”
‘ถ้าอย่างนั้นเธอก็มาดูแลฉันสิ ปล่อยพวกฮวงหลงให้จัดการเรื่องของตัวเองไป เธอเป็นไป๋หู่นะ ไม่ใช่ฮวงหลง’
ชายหนุ่มเบิกตากว้างเมื่ออ่านคำตอบจากภาษามือของเธอ เป็นครั้งแรก...ที่เหม่ยอิงบอกให้เขาดูแลเธอ ทั้งที่ปกติแล้ว เธอแทบไม่ยอมเฉียดใกล้เขาด้วยซ้ำไป
“ผมเป็นไป๋หู่ก็จริง แต่ท่านหวังเสี้ยวเทียนเป็นผู้มีพระคุณต่อพ่อ ชาตินี้ทั้งชาติพวกเราคงทดแทนบุญคุณท่านไม่หมด แล้วพี่หย่งเต๋อก็เป็นเหมือนพี่ชายแท้ๆ ของผม จะให้ผมทิ้งพี่หย่งเต๋อตอนที่กำลังมีเรื่องแบบนี้ผมทำไม่ได้...”
เสียงของเฉินกุ้ยขาดช่วงไปในทันทีที่เหม่ยอิงก้าวเข้ามาประชิดแล้วเขย่งปลายเท้าขึ้นประทับจุมพิตเขาอย่างเก้ๆ กังๆ
“คุณเหม่ยอิง...”
ชายหนุ่มครางเสียงแผ่ว ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีถูกริมฝีปากนุ่มหยุ่นของคนตรงหน้าตีจนแตกกระเจิงไปสิ้น เขาหลุบตาลงมองดวงหน้าแดงก่ำของเธอครู่หนึ่ง ก่อนจะตวัดวงแขนรัดรอบเอวคอดกิ่วแล้วลากเข้ามาแนบชิดกายแกร่ง จากนั้นจึงโน้มลงบดจูบบนกลีบปากหวานละมุนอย่างโหยหา เขาจำไม่ได้แล้วว่าจูบเธอมาแล้วกี่ครั้ง รู้เพียง...เขาพร้อมยอมทำทุกสิ่งเพียงเพื่อให้ได้ตระกองกอดเธอไว้เช่นนี้
...นี่คือ...ความลับที่เขาไม่เคยบอกใครแม้แต่ลูกพี่ใหญ่อย่างหวังหย่งเต๋อ...ความลับ...ที่เขาพูดออกไปคงถูกเหอจวิ้นเจี๋ยควักนัยน์ตาให้สุนัขกินแล้วปาดคอทิ้ง...
เฉินกุ้ยพยายามสลัดภาพเรือนกายขาวผุดผาดที่สั่นสะท้านยามเขาครอบครองเป็นเจ้าของออกไปจากห้วงความคิด แต่ทุกอณูกายกลับจำทุกตารางนิ้วของผิวเนื้อนุ่มนิ่มที่ฝ่ามือหยาบกร้านของตนเคยลากไล้ได้อย่างแม่นยำ จำได้กระทั่งกลิ่นหอมหวานของขนมอบที่แทรกอยู่ในเรือนผมของเธอ เรื่องที่เขารักเหม่ยอิงไม่ใช่ความลับของจักรวาลแต่อย่างใด เธอเองก็รู้ แต่แสร้งทำเป็นเมินเฉย กระทั่งความสัมพันธ์ลึกซึ้งที่เกิดขึ้นในคืนคริสต์มาสเมื่อปีก่อนก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงท่าทีเย็นชาของเธอที่มีต่อเขาได้
...แล้วทำไม...วันนี้เธอถึงดูแปลกไป...ทำไมเธอถึง...โผเข้าหาอ้อมแขนของคนที่เธอแสดงออกมาตลอดว่าไม่อยากแม้แต่จะมองหน้าอย่างเขา...
เนิ่นนาน...กว่าชายหนุ่มจะดึงสติให้กลับคืนสู่ร่างได้ เมื่อเขาคลายวงแขน เรียวปากบางเฉียบของเหม่ยอิงก็ถูกบดขยี้เสียจนบวมเจ่อไปหมดแล้ว
“ผม...ขอโทษ...”
เฉินกุ้ยถอยหลังไปสองสามก้าว ดวงตายาวเรียวหลุบลงต่ำอย่างละอายใจเมื่อเหลือบไปเห็นสร้อยทองคำขาวที่คอของหญิงสาว ที่ปลายสร้อยมีแหวนของผู้ชายคล้องอยู่ แหวน...ของเหวินฟง! หัวใจของชายหนุ่มดิ่งวูบลงสู่ห้วงเหวลึก เขา...ทำผิดต่อพี่ฟงอย่างไม่น่าให้อภัย นอกจากเป็นสาเหตุให้อดีตมือขวาของจวิ้นเจี๋ยต้องจบชีวิตลงอย่างน่าเวทนาแล้ว เขายังบังอาจแตะต้องผู้หญิงที่เหวินฟงรักอีกด้วย
‘ฉันไม่ต้องการคำขอโทษ แต่ฉันอยากให้เธอรักษาสัญญา...เธอ...เธอติดค้างฉัน’ ดวงตาของเหม่ยอิงแดงก่ำขณะพูดกับเขาด้วยภาษามือ
“ผมรู้...ว่าตัวเองติดค้างคุณมากแค่ไหน” เฉินกุ้ยกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคออย่างยากเย็น “เอาเป็นว่าผมจะส่งคนของไป๋หู่มาคอยดูแลคุณตอนที่ผมไม่อยู่ ผมสัญญาว่าจะรีบกลับมาให้เร็วที่สุด...”
‘อย่าสัญญาในสิ่งที่ตัวเองทำไม่ได้หน่อยเลย!’ เหม่ยอิงขยับมืออย่างโกรธเกรี้ยว เนื้อตัวสั่นเทาจนเฉินกุ้ยตกใจ ‘คนอย่างพวกเธอก็ดีแต่โกหก หลอกคนอื่นไปวันๆ คนอย่างพวกเธอไม่เคยรักษาสัญญา!’
“คุณเหม่ยอิง คุณเป็นอะไรไป” เฉินกุ้ยปราดเข้าไปคว้ามือของหญิงสาวเอาไว้ เขาไม่เคยเห็นเหม่ยอิงเป็นแบบนี้มาก่อน มือน้อยๆ ของเธอสั่นสะท้านจนสะเทือนมาถึงหัวใจเขาอย่างประหลาด ดวงตาคู่งามเต้นระริกด้วยความหวาดหวั่น “หรือคุณ...คุณรู้อะไรมาอย่างนั้นเหรอครับ คุณรู้...เรื่องระหว่างฮวงหลงกับไอ้ภาม พิมพ์สุริยา มาใช่ไหม”
‘เรื่องของแก๊งฮวงหลงก็ควรปล่อยเป็นเรื่องของพวกเขา เธอไม่ควรไปยุ่ง มันอันตราย’ เหม่ยอิงขยับมืออันสั่นเทาตอบ
“คุณรู้อะไรมา บอกผมได้ไหม”
หัวใจของเฉินกุ้ยเต้นรัวขณะปะติดปะต่อเรื่องราวเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว เหม่ยอิงรีบรุดมาจากปารีสทันทีที่รู้ว่าเขาต้องติดตามอารักขาหย่งเต๋อ ซึ่งก็หมายความว่าเธอไม่ได้มาเมืองไทยเพราะคิดถึงอัณณ์ แต่เธอ...มาที่นี่เพราะเป็นห่วงเขา บ้าน่า...นี่เขากำลังคิดเข้าข้างตัวเองมากไปหรือเปล่า...
‘ฉันจะบอก ถ้าเธอสัญญากับฉันว่าจะถอนตัวจากเรื่องนี้’
“คุณก็รู้...ว่าผมทำแบบนั้นไม่ได้” สีหน้าของเฉินกุ้ยเต็มไปด้วยความลำบากใจ “พี่หย่งเต๋อเหมือนพี่ชายแท้ๆ ของผม...”
‘แต่เขาก็ไม่ใช่พี่น้องแท้ๆ ของเธอ ทำไมต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงเพื่อเขาด้วย เธอเคยคิดถึงคนที่รออยู่ข้างหลังบ้างหรือเปล่า’ เหม่ยอิงตัวสั่นคล้ายพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้อย่างสุดความสามารถ ความสูญเสียหลายต่อหลายครั้งในอดีตทำให้จิตใจของเธอเปราะบางและพร้อมจะแหลกสลายตลอดเวลา ‘ถ้าเธอไม่รับปากฉัน เราก็ไม่มีอะไรต้องคุยกันอีก’
“คุณเหม่ยอิง...”
‘เรื่องนี้อันตรายกว่าที่เธอคิดไว้มาก ถอนตัวออกมาซะ’
“ผม...ทำแบบนั้นไม่ได้...คุณบอกผมมาเถอะครับว่านี่มันเรื่องอะไรกัน คุณได้ยินอะไรมา”
หากเป็นคนอื่น เขาคงใช้ทุกวิถีทางบีบบังคับให้เจ้าตัวคายความลับออกมา แต่กับเหม่ยอิง...แค่พูดให้เธอเสียใจเขายังไม่กล้า
‘ฉันจะไม่บอกจนกว่าเธอจะรับปากฉันก่อน เลิกยุ่งกับเรื่องนี้ซะ อากุ้ย’
นานแล้ว...ที่เหม่ยอิงไม่ได้เรียกเขาอย่างสนิทสนมเช่นนั้น แม้ในยามที่กายหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน เธอก็เอาแต่หลับตาเหมือนหัวใจล่องลอยไปที่อื่น เหมือน...คนที่กอดเธออยู่ในตอนนั้นไม่มีตัวตน...
“ผมต้องไปแล้ว” หลังจากยืนนิ่งอยู่พักใหญ่ เฉินกุ้ยก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้เป็นปกติที่สุด “ผมจะวิดีโอคอลมาหาคุณตอนค่ำๆ เราเอาไว้คุยกันอีกทีตอนนั้นก็ได้”
‘ฉันจะไม่คุยกับเธอ’
ชายหนุ่มแค่นยิ้มก่อนจะค้อมศีรษะ แล้วตัดใจเดินหันหลังจากมาก่อนที่จะโผเข้าไปรวบร่างของเธอเข้ามากอดเอาไว้อีกครั้ง ที่จริง...เขาชินกับคำตอบไร้เยื่อใยของเธอเสียแล้ว แต่ที่ทำใจให้ชินไม่ได้เสียทีคงเป็นแววตาที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวระคนเสียใจของเธอมากกว่า เธอยังคงมองเขาด้วยแววตาแบบเดียวกับวันนั้นเมื่อเจ็ดปีที่แล้ว วันที่...เหวินฟงจากไปอย่างไม่มีวันกลับ หัวใจของเฉินกุ้ยหนักอึ้งขณะที่บทเพลงสุดท้ายที่เหวินฟงฝากเขาไปอำลาเหม่ยอิงดังขึ้นในสมองอีกครา เพลงเดียวที่เฝ้าตามหลอกหลอนเขามาตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ยิน
再见我的爱人
zai jian wo de ai ren
ไจ้ เจี้ยน หว่อ เตอ อ้าย เหริน
ลาก่อน...คนรักของฉัน
我将永远不会忘记你
wo jiang yong yuan bu hui wang ji ni
หว่อ เจียง หยง หย่วน ปู๋ ฮุ่ย วั่ง จี้ หนี่
ฉันจะไม่ลืมคุณตราบชั่วดินฟ้า
也希望你不要把我忘记
ye xi wang ni bu yao ba wo wang ji
เหย่ ซี วั่ง หนี่ ปู๋ เย่า ป่า หว่อ วั่ง จี้
และหวังว่าคุณจะไม่ลืมฉัน
也许我们还会有见面的一天不是吗?
ye xu wo men hai hui you jian mian de yi tian bu shi ma?
เหย่ สี่ว์ หว่อ เหมิน หาย ฮุ่ย โหย่ว เจี้ยน เมี่ยน เตอ อี้ เทียน ปู๋ ซื่อ มะ
ความคิดเห็น |
---|