20

โลกแห่งความฝัน


๒๐

โลกแห่งความฝัน

 

ไอศิกาลืมตาขึ้นช้าๆ เมื่อสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่เปียกชื้นและเย็นเฉียบแตะบนหน้าผากและพวงแก้มทั้งสองข้างอย่างนุ่มนวล เธอกะพริบตาถี่ๆ เพื่อปรับสายตาให้ชินกับแสงสว่างจ้าที่ส่องลอดหน้าต่างเข้ามากระทบใบหน้า ก่อนจะเห็นร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มที่สวมเพียงกางเกงวอร์มตัวเดียว อวดกายท่อนบนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามสวยงามปานรูปสลักในวิหารนั่งอยู่บนขอบเตียง ในมือของเขาถือผ้าชุบน้ำเย็นเฉียบคอยซับไปบนใบหน้าและลำคอของเธออย่างเบามือ

เอ๊ะ? เดี๋ยวก่อน เตียง...เตียงอย่างนั้นเหรอ...

ภาพความทรงจำอันเร่าร้อนระหว่างเธอกับคนตรงหน้าค่อยๆ ผุดขึ้นมาในห้วงความคิดทีละภาพ ช้าและชัดเจนเสียจนรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งหน้าทั้งตัว อ้อมกอดของเขาและเสียงกระซิบแผ่วเบายามหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันนั้นยังคงทิ้งร่องรอยไว้ตามผิวกาย กลิ่นอายของเขาประทับแน่นราวไม่มีวันลบเลือน ทุกเหตุการณ์ที่ว่ามานั้นเกิดขึ้นบนโซฟาตัวโตในห้องรับแขก ไม่ใช่บนเตียงนี้

“ตื่นแล้วเหรอ” หย่งเต๋อวางผ้าขนหนูกลับลงไปในชามแก้วบรรจุน้ำเย็นใบโตที่วางอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียง “เมื่อตอนเช้ามืดคุณจับไข้ตัวร้อนมาก ผมก็เลยอุ้มคุณเข้ามานอนในห้อง เห็นไหม ผมบอกแล้วว่าให้เช็ดผมให้แห้ง เดี๋ยวไม่สบาย แล้วก็ไม่สบายจริงๆ”

ชายหนุ่มขยิบตายั่วเย้าเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหน้าแดงแจ๋เป็นลูกตำลึงสุก ก็รู้อยู่หรอกว่าเธอไม่ได้เป็นไข้เพราะปล่อยให้ผมเปียก แต่เป็นเพราะ ‘พายุ’ ที่เธอกับเขาร่วมกันสร้างในห้องรับแขกมาค่อนคืนต่างหากเล่า เธอหอมหวานเสียจนเขาอดใจไม่อยู่ วนเวียนเอารัดเอาเปรียบเธออย่างเห็นแก่ตัวที่สุด กว่าจะตัดใจปล่อยเธอให้ได้พักผ่อนก็เล่นเอาเกือบรุ่งสาง ทำเอาคนไม่ประสาเรื่องระหว่างชายหญิงไข้ขึ้นเสียนี่

“คุณก็เช็ดผมไม่แห้งนี่คะ ไม่เห็นจะป่วยบ้างเลย” ไอศิกาพูดอ้อมแอ้มไม่เต็มเสียง พยายามทำเป็นไม่เห็นรอยเล็บที่ตนเองทิ้งไว้บนแผงอกและลำคอของเขา เธอลอบหลุบตามองตัวเองแล้วยิ่งหน้าแดงมากขึ้นไปอีกเมื่อเห็นว่าตนเองสวมเสื้อยืดตัวที่เขาถอดทิ้งเมื่อคืนอยู่ เสื้อนั้นตัวใหญ่โคร่งและยังมีกลิ่นกายของเจ้าของติดอยู่อย่างชัดเจน มิน่าเล่า...เธอถึงได้รู้สึกคล้ายถูกเขากอดเอาไว้ตลอดเวลาแบบนี้

“ผมแข็งแรง ตายยาก เชื้อโรคยังไม่อยากยุ่งด้วยเลย” หย่งเต๋อหัวเราะ เขาประคองร่างบอบบางให้ลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงอย่างทะนุถนอม “หิวหรือยัง ผมไปซื้อโจ๊กเป๋าฮื้อมาให้ อร่อยนะ กินเสียหน่อยจะได้กินยาแก้ไข้แล้วนอนพัก”

“โจ๊กเป๋าฮื้อ?” ไอศิกาเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ “แถวนี้มีโจ๊กเป๋าฮื้อขายด้วยเหรอคะ นึกว่ามีขายแต่ในโรงแรมหรูๆ เสียอีก นี่ซื้อมาแพงหรือเปล่าคะ คุณไม่น่าลำบากเลย เพิ่งเสียเงินซื้อกำไลมาให้ฉันแท้ๆ”

เธอพูดพลางลูบกำไลเพชรที่อยู่บนข้อมือตนเอง เป็นสิ่งเดียวที่เธอมีโอกาสได้สวมติดกายไว้เมื่อคืน

“ไม่แพงหรอกน่า ผมพอรู้จักร้านเจ๋งๆ แถวนี้อยู่บ้าง” หย่งเต๋อตอบเลี่ยงๆ จะบอกเธอได้อย่างไรเล่าว่าตะโกนสั่งสมาชิกแก๊งฮวงหลงที่เดินลาดตระเวนตรวจตราความปลอดภัยอยู่แถวนี้ให้ไปสั่งโจ๊กมาจากห้องครัวของรีสอร์ต “รีบกินเถอะ เดี๋ยวจะเย็นเสียก่อน”

เขาพูดกลบเกลื่อนแล้วกุลีกุจอหยิบชามโจ๊กมาคน แล้วเป่าไล่ความร้อนก่อนจะตักป้อนให้ไอศิกาอย่างเก้ๆ กังๆ นอกจากจะไม่ถนัดทำอาหารแล้ว ยังไม่รู้จักวิธีปรนนิบัติคนอื่นอีกด้วย แต่เขากลับอยากดูแลหญิงสาวตรงหน้าด้วยความรู้สึกเต็มใจเสียยิ่งกว่าอะไรทั้งนั้น

“โอ้โห อร่อยจัง” เนื้อโจ๊กเนียนนุ่มจนเหมือนครีมข้นๆ ที่ไหลผ่านลงคอไปนั้นเลิศรส น้ำซุปหวานกลมกล่อม เนื้อหอยเป๋าฮื้อก็อร่อย เคี่ยวมาจนเปื่อยแทบไม่ต้องเคี้ยวเลยสักนิด “รสเหมือนที่เคยไปกินกับคุณพ่อที่ฮ่องกงเลยค่ะ”

“ถ้าชอบก็กินเยอะๆ จะได้มีแรงให้ผมรังแกอีก”

หย่งเต๋อตักโจ๊กป้อนเธออีกคำ...รสชาติจะไม่เหมือนที่ฮ่องกงได้อย่างไรกันเล่า ก็พ่อของเขาอิมพอร์ตพ่อครัวมาจากโรงแรมห้าดาวที่นั่น โจ๊กเป๋าฮื้อเป็นเมนูโปรดของแม่ แค่แม่เอ่ยปากชมพ่อครัวคำเดียว พ่อถึงกับยอมจ่ายเงินก้อนโตเพื่อซื้อตัวเขามาทำงานด้วยเพียงเพราะอยากให้แม่ได้กินของโปรดทุกเมื่อที่ต้องการ เมื่อก่อนเขาไม่เคยเข้าใจความทุ่มเทชนิดนี้ของพ่อเลย แต่ตอนนี้เขาเริ่มเข้าใจขึ้นมานิดๆ แล้วแฮะ

“คุณก็...ชอบพูดจาแบบนี้อยู่เรื่อย” ไอศิกาแทบสำลักโจ๊กเมื่อใจไพล่คิดไปถึง ‘การรังแก’ ที่เขาพูดเป็นนัยๆ “ไม่เอาแล้วค่ะ ฉันอิ่มแล้ว”

“ไม่ได้ ต้องกินเยอะๆ เอาให้มีเนื้อมีหนังหน่อย ผมกอดแล้วกลัวกระดูกคุณหักจะแย่” ชายหนุ่มยื่นหน้าไปหอมแก้มหญิงสาวฟอดใหญ่ “คิดเมนูเอาไว้เลยนะว่ากลางวันอยากกินอะไร เดี๋ยวผมจะไปซื้อมาให้ คุณชอบกินพวกสเต๊กไหม”

“ชอบค่ะ ฉันชอบกินสเต๊กปลาแซมอน แต่ไม่ต้องซื้อมาให้ฉันหรอกนะคะ ฉันกินข้าวไข่เจียวง่ายๆ ก็ได้”

“มักน้อยจริงนะ” หย่งเต๋อมองดวงหน้าที่ยังคงซีดเซียวด้วยพิษไข้ด้วยความเอ็นดู เขาวางชามโจ๊กไว้ข้างๆ ชามแก้วแล้วโน้มลงจูบเธอเร็วๆ “คิดว่าผมไม่มีปัญญาเลี้ยงคุณ ต้องกัดก้อนเกลือกินหรือไงครับคุณหนูลูกแก้ว”

“ไม่ใช่อย่างนั้น แต่คุณไม่จำเป็นต้องซื้ออะไรแพงๆ ให้ฉันก็ได้ ฉันไม่อยากให้คุณลำบาก” ไอศิการีบดันใบหน้าของชายหนุ่มให้ออกห่าง “อย่าค่ะ เดี๋ยว...เดี๋ยวคุณจะติดไข้”

“บอกแล้วไงว่าเชื้อโรคไม่กล้ายุ่งกับผมหรอก ผมถึกจะตาย” ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ เขาทิ้งวงแขนโอบรัดรอบร่างคนป่วยไว้แนบอก “อากาศเย็นแบบนี้กอดกันเอาไว้แน่นๆ ดีที่สุด จะได้อุ่น”

“หรือไม่ก็หรี่แอร์เสียหน่อยสิพี่ เล่นลดอุณหภูมิเสียต่ำอย่างกับขั้วโลกเหนือแบบนี้ใครจะไปทนไหว”

เฉินกุ้ยถือวิสาสะเปิดประตูเข้ามาในห้องโดยไม่เคาะเรียก ดวงตายาวเรียวมองตรงไปยังสองร่างที่ตระกองกอดกันอยู่บนเตียงนิ่ง เขากดปุ่มของรีโมตเครื่องปรับอากาศที่ติดอยู่บนผนังห้องเพิ่มอุณหภูมิจาก ๒๑ องศาเป็น ๒๕ องศาโดยไม่เอ่ยปากขออนุญาตเจ้าของห้องสักคำ

“พี่ใบป่าน...” ไอศิกามองคนที่มีรอยฟกช้ำดำเขียวบนใบหน้าแล้วรู้สึกกระอักกระอ่วนใจยิ่งนัก เธออยากดันตัวออกห่างจากชายหนุ่มเจ้าของอ้อมแขนด้วยความกระดากอาย แต่ในยามนี้เธอสวมเพียงเสื้อยืดตัวโคร่งเพียงตัวเดียวโดยไม่ได้สวมอะไรไว้ข้างใต้เลยจึงไม่เหมาะนักที่จะให้คนอื่นเห็น

“ผมมีเรื่องต้องคุยกับพี่” เฉินกุ้ยเบนสายตาไปทางอื่นเมื่อเห็นหญิงสาวขยับตัวอย่างอึดอัด

“ได้ ไปคุยกันข้างนอก” หย่งเต๋อดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวให้ไอศิกาอย่างหวงแหนจนเฉินกุ้ยอดรู้สึกหมั่นไส้นิดๆ ไม่ได้ “ผมวางยากับน้ำดื่มไว้ข้างๆ ชามโจ๊ก คุณกินต่อให้หมดแล้วกินยานะ ถ้าผมกลับมาแล้วเห็นว่าคุณไม่ยอมนอนพัก ผมจะทำโทษให้ไข้กลับเชียว”

เขาจุมพิตหน้าผากของหญิงสาวแล้วลุกขึ้นเดินออกจากห้องไป ทิ้งให้เธอนั่งหน้าแดงก่ำเพราะคำพูดของเขาเพียงลำพัง

 

“เมื่อคืนนี้ลืมปิดหน้าต่างเหรอพี่ พายุถึงพัดถล่มเข้ามาในบ้านด้วย”

เฉินกุ้ยกวาดตามองไปบนโซฟาตัวยาวที่ผ้าคลุมและหมอนอิงกระเด็นกระดอนไปคนละทิศละทาง บนโต๊ะรับแขกมีชุดนอนผู้หญิงสีชมพูวางพาดไว้ลวกๆ บนถุงข้าวของที่ไม่ได้เก็บให้เรียบร้อย บนพื้นมีผ้าเช็ดตัวผืนโตกองขยุ้มอยู่ เห็นปุ๊บก็รู้ปั๊บว่า ‘พายุหย่งเต๋อ’ คงพัดกระหน่ำทั้งคืน ทำเอาไอศิกาถึงกับจับไข้ไม่สบายทีเดียว

และแล้วเรื่องที่เขากังวลก็เกิดขึ้นจนได้...พี่หย่งเต๋อนะพี่หย่งเต๋อ...

“พูดมากน่า” หย่งเต๋อคว้าชุดนอนกระโปรงโยนไปทางอื่นให้พ้นสายตาของคนจอมสอดรู้ แล้วทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาด้วยหน้าตาไม่ค่อยสบอารมณ์นัก เขาควานมือลงไปในถุงพลาสติกพักใหญ่ก่อนจะดึงซองบุหรี่ออกมา “รู้ได้ยังไงว่าฉันอยู่ที่นี่”

“ตอนแรกผมก็ไม่คิดว่าพี่จะพาลูกแก้วมาที่นี่เหมือนกันนั่นละ” เฉินกุ้ยหยิบไฟแช็กออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วจุดบุหรี่ให้ลูกพี่ด้วยความเคยชิน “แต่พี่เล่นไปขนของกินมาจากรีสอร์ตให้พวกพนักงานเห็นกันโต้งๆ แบบนั้นใครบ้างจะไม่รู้ ขนาดบอสยังรู้แล้วเลย”

เขาปรายตามองถุงที่บรรจุขนมนมเนยราคาแพงไว้ด้านในแล้วถอนใจอย่างเหนื่อยหน่าย เห็นได้ชัดว่าลูกพี่ของเขาไม่ได้ตั้งใจปิดบังเรื่องที่พาไอศิกามาที่นี่เลยสักนิด ตรงกันข้าม...เหมือนตั้งใจจะประกาศให้บิดารู้เสียด้วยซ้ำ

“พ่อก็รู้ทุกเรื่องอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง” หย่งเต๋ออัดควันเข้าปอดแล้วเอนตัวพิงพนักโซฟา “แล้วนี่แกเคลียร์ธุระกับพี่เจี๋ยเรียบร้อยแล้วเหรอวะ เท่าที่ดู แกก็ยังอยู่ครบสามสิบสองนี่หว่า แสดงว่าพี่เจี๋ยไม่เอาเรื่องหรือว่าฝีมือตกวะ แกถึงรอดมาได้”

เขากวาดตามองหนุ่มรุ่นน้องด้วยความรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย รอยช้ำบนใบหน้าของเฉินกุ้ยเริ่มเป็นสีม่วงคล้ำ แต่เจ้าตัวกลับดูสดใสชนิดผิดหูผิดตา...เออ เพิ่งเคยเห็นคนโดนยำเละแล้วทำหน้าระรื่นเป็นครั้งแรกนี่ละ

“ก็ยังเคลียร์ไม่เรียบร้อยหรอก พี่เจี๋ยไม่ยอมคุยด้วย ต้องรอให้นายบินจากปารีสมาช่วยเคลียร์อาทิตย์หน้า” เฉินกุ้ยยิ้มเนือยๆ เขาไม่ห่วงเรื่องที่จวิ้นเจี๋ยจะฆ่าปาดคอเขามากเท่ากับเรื่องที่เหม่ยอิงไม่ยอมตอบรับคำขอแต่งงานของเขาหรอก แม้ท่าทางของเธออ่อนลงมากแล้ว แต่ก็ยังใจแข็ง ยืนยันจะเลี้ยงลูกในท้องตามลำพังให้ได้

เรื่องอะไรจะยอม นั่นลูกของเขาทั้งคน!

“เฉินหมิงจะมา?” หย่งเต๋อเลิกคิ้วซ้ายอย่างประหลาดใจ รู้สึกเหมือนตัวเองหูฝาดไป “แมวดำถึงขนาดต้องออกหน้าเองแบบนี้ แกไปก่อเรื่องใหญ่มากมาใช่ไหมเนี่ย”

“จะว่าใหญ่ก็ใหญ่ แต่คงไม่ใหญ่เท่าเรื่องของพี่แน่” เฉินกุ้ยมองหน้าลูกพี่ตรงๆ ด้วยแววตาแสดงความเป็นกังวลอย่างไม่ปิดบัง “พี่รู้ใช่ไหมว่ากำลังทำอะไรอยู่ ไอ้ภัทรพลกำลังตามหาตัวลูกแก้วแทบพลิกแผ่นดิน ผมไม่รู้ว่าภามรู้เรื่องหรือยังว่าพี่เอาลูกสาวของมันมาซุกไว้ที่นี่ ทางที่ดีรีบพาเธอกลับไปส่งคืนเสียเถอะ ก่อนที่เรื่องจะวุ่นวายไปกันใหญ่”

“ก็ให้มันตามหาไปสิวะ ให้ตายก็หาไม่เจอหรอก” หย่งเต๋อยักไหล่พลางพ่นควันออกทางจมูก “ลูกแก้วอยู่กับฉันปลอดภัยที่สุดแล้ว ไก่อ่อนอย่างไอ้พี่ภัทรไม่มีปัญญาปกป้องเธอได้แน่”

“สรุปว่าจะไม่คืนว่าอย่างนั้นเถอะ” เฉินกุ้ยดักคออย่างรู้ทัน

“ไม่คืน” ลูกมังกรหนุ่มยักไหล่ยียวน “คนของฉันก็ต้องอยู่กับฉันสิ”

เพียงแค่คิดว่าสาวน้อยที่เขากกกอดมาทั้งคืนต้องกลับไปอยู่ในความดูแลของภัทรพล เขาก็พร้อมฆ่าหั่นศพไอ้อินเตอร์โพลหน้าหล่อนั่นแล้วโยนทิ้งทะเลแล้ว!

“คนของพี่? พูดขนาดนี้แสดงว่าพี่รักเด็กคนนั้นจริงๆ ใช่ไหม”

คำถามของเฉินกุ้ยง่าย แต่ยากที่จะตอบ...ไม่สิ ยากที่จะยอมรับต่อหน้าคนอื่นตรงๆ ต่างหาก

“จะรู้ไปทำไม” หย่งเต๋ออัดควันเข้าปอดซ้ำๆ พยายามกดความรู้สึกอ่อนหวานที่เอ่อล้นขึ้นมาจากเบื้องลึกของหัวใจให้กลับลงไปช้าๆ...ความรู้สึกที่ไม่ควรมีอยู่แต่แรก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันเกิดขึ้นผิดที่และผิดเวลาเช่นนี้ “ฉันจะรักหรือไม่รัก มันไปหนักกบาลแกตรงไหนไม่ทราบ”

“ที่จริงผมไม่ได้อยากยุ่งเรื่องรักๆ ที่หนักไปทางใคร่ของพี่นักหรอก มาเร็วไปเร็วฉิบ ไม่เคยเห็นสาวคนไหนอยู่ทนอยู่นานสักคน” เฉินกุ้ยแสร้งยักไหล่เลียนแบบลูกพี่บ้าง “แต่บอกตามตรงนะ ผมเวทนาลูกแก้ว พี่ก็เห็นแล้วว่าเธอเจอมาแต่ละเรื่องหนักหนาสากรรจ์เกินกว่าคนปกติจะรับได้ทั้งนั้น เด็กนั่นเป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ นะพี่ จะทนกับความทุกข์ระดับนี้ไปได้นานแค่ไหนกัน”

“พูดอย่างกับเป็นผู้หญิงของฉันต้องทนทุกข์ทรมานแสนสาหัสอย่างนั้นละ” หย่งเต๋อแบะปาก เขาพ่นควันออกทางจมูกเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะขยี้ก้นกรองในจานรองบนโต๊ะรับแขก “แกก็น่าจะรู้ว่าในสถานการณ์ตอนนี้ ลูกแก้วอยู่กับฉันปลอดภัยที่สุดแล้ว”

“ข้อนั้นผมไม่เถียง แต่พี่เคยคิดบ้างหรือเปล่าว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเธอรู้ว่าตัวจริงของพี่เป็นใคร พี่คิดว่าเธอจะยอมรับศัตรูของพ่อตัวเองเป็นคนรักได้เหรอ”

“คนที่น่าจะรับไม่ได้ที่สุดก็คงเป็นไอ้ภามนั่นละมั้ง” รอยยิ้มเหี้ยมเกรียมที่ผุดพรายขึ้นบนริมฝีปากหยักลึกทำให้ใบหน้าของชายหนุ่มดูแข็งกระด้างเหมือนรูปปั้นปีศาจ “ถ้ามันรู้ว่าลูกแก้วอยู่กับฉันคงสนุกพิลึกละ”

“นี่คือแผนชั่วที่พี่วางเอาไว้แต่แรกสินะ พี่ตั้งใจใช้ลูกแก้วเป็นเครื่องมือทำให้ภามเจ็บว่าอย่างนั้นเถอะ ให้ตาย...พี่นี่มันโคตรเลว”

“ขอบคุณที่ชม ไอ้ตี๋เล็ก ฉันโคตรภูมิใจที่รักษาความเลวได้คงเส้นคงวาในสายตาของแกจริงๆ” หย่งเต๋อแยกเขี้ยว “แต่ต้องขอโทษด้วยที่ทำให้แกต้องผิดหวัง นั่นมันเป็นแผนเก่าแล้ว แผนใหม่ของฉันคือเชือดตัวพ่อทิ้งแล้วเก็บลูกไว้ต่างหาก”

“ก็ยังนับเป็นแผนชั่วไม่ต่างจากเดิมเลยสักนิด ตรรกะเดียวกับไอ้พวกนายพรานเถื่อนที่ยิงชะนีแล้วพรากเอาลูกมาเลี้ยงชัดๆ” เฉินกุ้ยถอนใจ เรื่องตรรกะความคิดวิบัติต้องยกให้ทายาทตระกูลหวังจริงๆ พับผ่า คนตระกูลนี้มันเป็นยังไงกันหนอ ฉลาดทุกเรื่องยกเว้นเรื่องหัวใจ “เฮ้อ แค่ยอมรับมาตรงๆ ว่ารักเด็กคนนั้นมันยากนักหรือไงวะพี่”

“อย่าเอาลูกแก้วไปเปรียบเทียบกับชะนีสิวะไอ้เวร” ดวงตาคมกล้าคอยมองไปทางประตูห้องที่ปิดสนิทเป็นระยะ ความห่วงใยที่ฉายอยู่บนใบหน้านั้นฟ้องชัดว่าเขากำลังตกอยู่ในห้วงรัก...ชัดชนิดที่ตอบทุกคำถามของเฉินกุ้ยได้โดยไม่จำเป็นต้องถามซ้ำ “แกคงไม่ได้ถ่อมาหาฉันถึงที่นี่เพื่อพูดเรื่องงี่เง่าแค่นี้ใช่ไหมเฉินกุ้ย”

“จริงๆ ก็อยากจะถ่อมาพูดแค่นี้เหมือนกัน แต่ไหนๆ มาตั้งไกลขนาดนี้แล้วก็ต้องเอาให้คุ้ม เลยต้องพูดเรื่องอื่นด้วย” เฉินกุ้ยรวนกลับหน้าตาย “คิดว่าพี่คงเห็นข้อมูลในโน้ตบุ๊กของไอ้พิบูลย์แล้วใช่ไหม”

“อือฮึ เห็นแล้ว” หย่งเต๋อหยิบบุหรี่อีกมวนออกมาจากซองแล้วคาบไว้ในปาก รอให้เฉินกุ้ยเดินมานั่งข้างๆ แล้วจุดให้ ทันทีที่ไฟปลายมวนแดงวาบเขาก็เริ่มต้นอัดควันเข้าปอดอย่างหนักหน่วงอีกครา

เมื่อคืนหลังจากปล่อยให้ไอศิกาไปอาบน้ำ เขาก็รีบทำสองสิ่งอย่างรวดเร็วที่สุด อย่างแรก...เอาเสื้อคลุมอาบน้ำและข้าวของในห้องที่มีตราสัญลักษณ์ของรีสอร์ตดุจแดนสรวงไปซ่อนไว้บนห้องของบิดาและมารดาบนชั้นสอง อย่างที่สองคือดอดออกไปหยิบโน้ตบุ๊กในรถออกมาเปิดดู และได้เห็นในสิ่งที่คาดเอาไว้แล้วว่าจะต้องเห็น

“ถ้าอย่างนั้นพี่คงรู้แล้วว่าไอ้พิบูลย์ต้องการขายข้อมูลอะไรให้ไป๋หู่”

“เห็น ดูน่าเชื่อถือด้วยนะ” หย่งเต๋อหัวเราะ “สร้างข้อมูลกับหลักฐานแวดล้อมขึ้นมาแน่นหนาเชียวว่าฮวงหลงมีเอี่ยวเรื่องค้ามนุษย์ตามแนวตะเข็บชายแดนในไทย คิดดูสิ มีรายชื่อซ่องชั้นต่ำที่อ้างว่าพ่อฉันเป็นเจ้าของด้วยนะ ตลกสิ้นดี ระดับหวังเสี้ยวเทียนไม่ลดตัวไปเกลือกกลั้วกับเรื่องไร้รสนิยมพรรค์นั้นแน่”

“พ่อบอกผมว่าข้อมูลที่พี่เจี๋ยได้มาจากไอ้พิบูลย์มีการซัดทอดท่านหวังเสี้ยวเทียนหลายกระทง ดูเหมือนมีคนคิดล้างบางฮวงหลงอย่างที่คุณเหม่ยอิงเคยบอกผมไว้จริงๆ นั่นละพี่”

จวิ้นเจี๋ยไม่ยอมพบหน้าเฉินกุ้ย ทำให้ข้อมูลที่ได้รับทั้งหมดล้วนมาจากเฉินเปียวผู้เป็นบิดาทั้งสิ้น

“ไอ้พิบูลย์มันคิดว่าไป๋หู่กับฮวงหลงเริ่มแตกกันอย่างที่บอสกับนายวางเหยื่อล่อไว้ มันเลยติดต่อไปทางพี่เจี๋ย เพราะเคยดีลธุรกิจเรื่องของเถื่อนกันอยู่ พี่ก็รู้ว่าพวกผับบาร์ใต้ดินในเขตรอบนอกปารีสน่ะไป๋หู่คุมทั้งนั้น ถ้าคิดจะทำมาหากินในเขตนั้นต้องผ่านพี่เจี๋ยคนเดียว ไอ้แก่นั่นกับหุ้นส่วนฝรั่งต้องการเอายาไปปล่อย แต่อย่างที่รู้กันนั่นละว่าพี่เจี๋ยไม่ยุ่งเรื่องยา แต่ปล่อยให้มันขายเพราะต้องการเก็บหลักฐานไว้ให้อินเตอร์โพลตลบหลังมันอีกที ไม่นึกว่าไอ้ฝรั่งที่เป็นหุ้นส่วนของไอ้พิบูลย์จะเป็นเจ้าหน้าที่อินเตอร์โพลระดับสูง ตอนนี้คุณลุงฌอง-ปอลกำลังรวบรวมหลักฐานจากพี่เจี๋ยเตรียมเช็กบิลอยู่”

“ล้างบางฮวงหลง...” ลูกมังกรหนุ่มทวนคำแล้วเดาะลิ้นช้าๆ รอยยิ้มของเขาดูชืดชาและเหี้ยมเกรียมชวนขนลุก “ก็คอยดูกันไปว่าใครจะล้างบางใครกันแน่”

“แล้วข้อมูลอีกเรื่องล่ะ พี่ได้เห็นหรือเปล่า”

“หมายถึงเรื่องชั่วยาวเป็นหางว่าวของไอ้ภามน่ะเหรอ” หย่งเต๋อพ่นควันใส่หน้าเฉินกุ้ยที่นั่งนิ่งไม่สะทกสะท้านสักนิด “เห็นชัดทุกอย่างนั่นละ ทั้งรูป ทั้งคลิปและหลักฐานแวดล้อมอื่นๆ ถึงได้บอกว่าจะเชือดพ่อแล้วเก็บลูกเอาไว้ไง”

หลักฐานที่ระบุชัดว่าภามเป็นคนสั่งวางระเบิดจนแม่ได้รับบาดเจ็บสาหัส!

“ขนาดหลักฐานเกี่ยวกับบอสยังปลอมทั้งดุ้น แล้วพี่เชื่อด้วยเหรอว่าเรื่องของไอ้ภามจะเป็นเรื่องจริง”

“ถ้าให้พูดตรงๆ ก็ไม่เชื่อเต็มร้อยหรอก หลักฐานทุกอย่างมันชัดเจนเกินไปจนเหมือนเป็นการจัดฉาก ระดับภามไม่น่าโง่ขนาดนั้น มีอย่างเหรอวะ ปล่อยให้หลุดออกมาทั้งคลิปเสียงสั่งการ ทั้งภาพแอบถ่ายตอนให้ลูกน้องไปส่งมอบเงินว่าจ้าง ทำงานใหญ่ขนาดลอบสังหารนายหญิงของฮวงหลงจะเลินเล่อขนาดนั้นได้ยังไงกันเล่า” หย่งเต๋อหัวเราะเสียงต่ำอยู่ในลำคอ “แต่จะให้เชื่อว่าภามไม่รู้เห็นเป็นใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดก็ไม่น่าเป็นไปได้ มันเกลียดฮวงหลงอย่างกับอะไรดี ถ้ามีจังหวะกระทืบเราได้ มันต้องไม่รอช้าแน่”

นั่นคือความจริงที่เฉินกุ้ยไม่อาจปฏิเสธได้ นับตั้งแต่แดเนียลเริ่มมาตั้งรกรากใจประเทศไทยอย่างจริงจังและมีเรื่องไม่ลงรอยกับเจ้าพ่อภาคกลางอยู่เป็นระยะก่อนจะทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงสองสามปีหลังมานี้ ต่างฝ่ายต่างก็รอเวลาให้อีกฝ่ายล้มเพื่อกระทืบซ้ำให้จมดิน หากหย่งเต๋อจะเชื่อว่าภามเป็นคนลอบวางระเบิดฟ้าใสก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด เพียงแต่...เรื่องที่เกิดขึ้นครั้งนี้มันมีบางอย่างผิดปกติมาก

“ทุกอย่างมันประจวบเหมาะเกินไปจริงๆ อย่างที่พี่ว่านั่นละ ผมว่าเรื่องนี้กลิ่นไม่ค่อยดีเท่าไหร่” เฉินกุ้ยพยักหน้าเห็นด้วย “ไอ้ภามถูกยิง นายหญิงถูกวางระเบิด แถมยังพยายามดึงไป๋หู่ลงมาเล่นด้วย ถ้าไม่ตาบอดก็น่าจะมองเห็นแพตเทิร์นแล้วว่ามีคนพยายามเขี่ยฟืนใส่กองไฟให้ทุกฝ่ายขย้ำกันเอง เข้าทำนองนั่งบนภูดูหมากัดกัน”

“แถมยังพยายามปล่อยข้อมูลเรื่องที่ไอ้ภามเคยค้ายากับค้ามนุษย์ข้ามชาติในเวลาเดียวกันด้วย” หย่งเต๋อพ่นควันบุหรี่เป็นวงแหวนอย่างชำนิชำนาญแล้วแสยะยิ้มหยัน “ดูท่าไอ้ภามคงเหยียบหางหมาตัวใหญ่น่าดู ถึงได้โดนกัดจมเขี้ยวขนาดนี้”

“พี่ดูหลักฐานทั้งหมดแล้ว เห็นอะไรบางอย่างไหม” เฉินกุ้ยสบตาหย่งเต๋อนิ่ง “เรื่องเฮงซวยที่เกิดขึ้นกับไอ้ภามมีจุดเชื่อมโยงอยู่หนึ่งจุดที่เหมือนกัน”

“เห็นสิ” ดวงตาของหย่งเต๋อทอประกายวูบวาบ “ไอ้องอาจไง”

 

“ติดต่อลูกแก้วได้หรือยังภัทร”

ภามเอ่ยถามทันทีที่เห็นภัทรพลเปิดประตูก้าวเข้ามาในห้อง สีหน้าของเขาดูอิดโรยและหมองคล้ำประสาคนที่อดนอนติดๆ กันมาหลายคืน ความทุกข์ใจอย่างแสนสาหัสเปลี่ยนเจ้าพ่อผู้ยิ่งใหญ่ให้กลายเป็นชายชราผู้อ่อนแอได้ในระยะเวลาอันสั้น

“ติดต่อได้แล้วครับ เมื่อคืนนี้เอง”

ภัทรพลกระพุ่มมือไหว้คนที่เอนกายกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงคนไข้อย่างนอบน้อมเพื่อเลี่ยงการสบตากันตรงๆ ด้วยเกรงว่าอีกฝ่ายจะรู้ว่าเขากำลังปั้นน้ำเป็นตัวเพื่อความสบายใจของทุกคน

“แล้ว...แล้วตอนนี้ลูกแก้วอยู่ที่ไหน” ภามมองเลยไปทางด้านหลังชายหนุ่ม หวังว่าจะเห็นลูกสาวเดินผ่านประตูเข้ามา แต่กลับพบเพียงความว่างเปล่า “นี่น้องไม่ได้มาด้วยเหรอ”

“คุณลุงไม่ต้องห่วงนะครับ ลูกแก้วสบายดี ตอนนี้น้องมาพักอยู่กับกุ้งแก้วแล้ว มีเจ้าหน้าที่อินเตอร์โพลคอยดูแลเป็นอย่างดี รับรองว่าปลอดภัย”

ที่จริงเขาเป็นห่วงไอศิกาจับใจก็เพราะมีเจ้าหน้าที่อินเตอร์โพลกำมะลอสองหน่อนั่นอยู่ด้วยนี่ละ ไม่รู้ว่าพาเธอไปตกระกำลำบากอยู่ที่ไหนกันแน่ ไม่รู้ว่าหย่งเต๋อฉวยโอกาสกับเธอบ้างหรือเปล่า

ใจหนึ่งเขาก็อยากบอกภามไปให้รู้แล้วรู้รอดว่าสองคนนั้นเป็นใคร แต่อีกใจก็รู้ดีว่าถ้าพูดออกไปจะต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่ เมื่อภามถามซ้ำเรื่องที่องอาจตั้งข้อสังเกตว่าทั้งสองคนไม่ใช่เจ้าหน้าที่อินเตอร์โพล เขาจำต้องโกหกด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วนและรอดูสถานการณ์ไปก่อน อย่างน้อยก็จนกว่าจะตามหาตัวไอศิกาพบ

“แล้วทำไมน้องไม่มากับภัทร ลุงไม่ได้เจอน้องมาหลายวันแล้ว น้องสบายดีจริงๆ เหรอ ลุงไม่อยากเชื่อ” ภามจ้องหน้าหนุ่มรุ่นลูกเขม็ง “ลูกแก้วไม่มีทางหายไปเฉยๆ แบบนี้โดยไม่ติดต่อมาหาลุงแน่ ภัทรไม่ได้โกหกลุงใช่ไหม”

“โธ่ คุณลุงครับ ผมจะกล้าโกหกคุณลุงได้ยังไงกัน” ภัทรพลฝืนฉีกยิ้มกว้างอีกนิดให้ดูเหมือนตื่นเต้นดีใจเรื่องที่พบตัวไอศิกาแล้ว ทั้งที่ในใจอัดแน่นไปด้วยความกังวลและร้อนใจไม่แพ้คนตรงหน้าแม้แต่น้อย “ที่ลูกแก้วไม่ได้ติดต่อมาแต่แรกเพราะกลัวจะทำให้คุณลุงไม่สบายใจ น้องยังขวัญเสียอยู่นะครับ ยังไม่อยากออกมาข้างนอก ผมเองก็ไม่ได้บอกน้องว่าคุณลุงรู้เรื่องที่เกิดขึ้นหมดแล้ว ผมไม่อยากให้น้องเป็นกังวล”

คืนนั้นเมื่อรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูกสาวสุดที่รัก ภามไม่ได้ด่าทอต่อว่าองอาจแม้แต่คำเดียว เขาเพียงฟาดฝ่ามือใส่ลูกน้องคนสนิทจนหน้าหันแล้วมอบสายตาเย็นเยียบที่ชวนให้หนาวเยือกจับขั้วหัวใจให้ ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องอย่างเงียบเชียบ ภัทรพลรีบเดินตามไปและพบว่าเจ้าพ่อผู้ยิ่งใหญ่กำลังนั่งตัวสั่นเทาอยู่บนเตียงอย่างน่าเวทนา ทว่าความหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีทำให้ไม่อาจหลั่งน้ำตาได้เหมือนคนทั่วไป หลังจากนั้นองอาจก็ไม่โผล่หน้ามาให้เห็นอีกเลยและไม่รู้ว่าหายตัวไปอยู่ที่ใด คฤหาสน์พิมพ์สุริยาที่เคยโอ่อ่าใหญ่โตจึงถูกทอดทิ้งไร้ผู้คอยดูแลอย่างแท้จริงอีกครั้ง

“ถ้าลุงยังมีอำนาจในมือ ไม่สิ้นไร้ไม้ตอก น้องก็ไม่ต้องเจอกับเรื่องต่ำทรามหยามเกียรติกันแบบนี้” ดวงตาของภามแดงก่ำด้วยความคับแค้นใจ มือที่ยังมีเข็มน้ำเกลือปักคาอยู่กำแน่นจนเส้นเลือดปูดโปนอย่างเห็นได้ชัด “ลุงไม่นึกเลยนะว่าองอาจจะกล้าส่งลูกแก้วไปหาไอ้พิบูลย์ทั้งที่รู้ว่าลุงตัดขาดกับมันไปนานมากแล้ว มันเป็นคนสารเลวแค่ไหน องอาจก็รู้ดี...รู้ดีที่สุดด้วย”

ภามไม่เคยสังเกตสายตาที่พิบูลย์ใช้มองไอศิกาเลย จนกระทั่งเธอเป็นนิสิตชั้นปีที่หนึ่งและเริ่มแตกเนื้อสาวสะพรั่ง ยิ่งได้รู้เรื่องรสนิยมวิตถารของเฒ่าตัณหากลับที่เคยคิดว่าเป็นนักบุญผู้แสนดีด้วยแล้ว เขาก็ยิ่งรังเกียจพิบูลย์จนพยายามซ่อนลูกสาวไม่ให้พบปะกับอดีตนักการเมืองชื่อดังผู้นี้อีก และค่อยๆ ลดระดับความสัมพันธ์ฉันมิตรที่มีต่อกันลงจนเหลือเพียงความเหินห่าง แม้เมื่อหมดอำนาจวาสนาและจนตรอกเต็มทนก็ไม่ยอมบ่ายหน้าไปขอความช่วยเหลือจากคนสารเลวเหลิงอำนาจเป็นอันขาด ไม่นึกเลยว่าองอาจจะจับไอศิกาไปประเคนให้ไอ้คนเลวนั่นได้ลงคอ!

“คุณลุงไม่ได้สิ้นไร้ไม้ตอกนะครับ คุณลุงแค่ทำในสิ่งที่ถูกต้องและดีที่สุดสำหรับลูกแก้ว”

“ตอนนี้ลุงชักไม่แน่ใจแล้วว่าสิ่งที่ลุงเลือกมันถูกต้องหรือเปล่า” ภามหลับตาอย่างเหนื่อยอ่อน “ลุงรู้ดีว่าตัวเองไม่ได้อยู่ค้ำฟ้าและคงไม่ได้อยู่ดูแลลูกแก้วไปตลอด ถ้าวันหนึ่งลุงตายไป ลูกแก้วก็อาจถูกศัตรูของลุงหรือคนชั่วช้าที่อยู่ในวงการนักเลงบ้าๆ นี่รังแกเอาก็ได้ ลุงถึงได้อยากถอนตัว อยากล้างมือในอ่างทองคำ แล้วใช้ชีวิตบั้นปลายอยู่กับลูก แต่ไม่คิดเลยว่ากลับยิ่งทำให้ลูกแก้วต้องเจอกับเรื่องเลวร้ายไม่จบไม่สิ้น”

ในชีวิตเขาทำเรื่องเลวร้ายมามากมาย ไม่เคยคิดเรื่องถูกหรือผิด รู้เพียงการจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในเส้นทางสายนี้ต้องเหยียบย่ำชีวิตของผู้อื่นเพื่อสะสมอำนาจบารมี โดยต้องแลกมาซึ่งชีวิตอันโดดเดี่ยวเดียวดายท่ามกลางวงล้อมศัตรู จนเมื่อต้องสูญเสียไอลดา ภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากไป เขาเริ่มตระหนักว่าอาจต้องเสียไอศิกา สมบัติล้ำค่าเพียงหนึ่งเดียวที่ไอลดาทิ้งไว้ให้ไปได้ทุกเมื่อเช่นกัน เขาจึงเลือกทำในสิ่งที่ยากที่สุดของคนในวงการนักเลง นั่นก็คือ ‘ล้างไพ่’ เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ ซึ่งสำหรับคนมีชนักติดหลังยาวเป็นหางว่าวเช่นเขาแล้วแทบเป็นไปไม่ได้เลยสักนิด

ทางเดียวที่จะสร้างโอกาสหลุดพ้นให้ตนเองและลูกได้ก็คือ การทำสัญญาตกลงกับอินเตอร์โพลว่าจะมอบรายชื่อกลุ่มอาชญากรค้ามนุษย์ข้ามชาติและเอเจนต์ยาเสพติดรายใหญ่ในแถบภูมิภาคนี้ให้เท่านั้น แน่นอนว่าการเดิมพันครั้งนี้มีความเสี่ยงสูงมาก เพราะกระทบกับข้าราชการระดับสูงและนักการเมืองหลายต่อหลายคนที่มีเอี่ยวในกระบวนการนี้ รวมไปถึงไอ้พิบูลย์ด้วย

“คุณลุงน่าจะรู้จักลูกแก้วดีกว่าใครๆ เห็นตัวเล็กแค่นั้นก็เถอะ น้องเป็นเด็กเข้มแข็งมากกว่าที่คิดนะครับ ถึงบางครั้งจะดูฝืนอยู่บ้าง แต่น้องก็ไม่เคยปริปากบ่นเลยสักครั้ง น้องบอกผมเสมอว่าภูมิใจในสิ่งที่คุณลุงเลือกและทำเพื่อน้อง น้องไม่เคยเสียใจเลยนะครับ” ภัทรพลถอนใจ “ตอนนี้คุณลุงทำใจให้สบายก่อนดีกว่า ถึงอาการของคุณลุงจะดีขึ้นมากแล้ว แต่ยังต้องอยู่ในการดูแลของหมอ ถ้าเครียดจนอาการทรุดไปอีกจะทำให้ลูกแก้วเครียดไปด้วยนะครับ”

ชายหนุ่มกวาดตามองผู้สูงวัยกว่าด้วยความรู้สึกอัดอั้นเหมือนมีก้อนแข็งๆ แล่นขึ้นมาจุกอยู่ที่คอหอย การรอดตายของภามถือเป็นปาฏิหาริย์อย่างแท้จริง มีไม่กี่คนหรอกที่ถูกยิงเจาะกะโหลกแล้วจะรอดตายมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ แถมยังลุกขึ้นมานั่งพูดคุยรู้เรื่องได้เหมือนคนปกติเช่นนี้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสร้างสมบุญไว้มากพอหรือเพราะเบื้องบนต้องการให้อยู่ต่อเพื่อชดใช้กรรมกันแน่ วิถีกระสุนอันแสนแปลกประหลาดในวันนั้นจึงไม่ได้พรากชีวิตของเจ้าพ่อภาคกลางผู้นี้ไปด้วย

มองจากภายนอกเขาอาจดูปกติดี จนไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วหัวกระสุนได้กระแทกโหนกแก้มจนแตก ต้องฝานกระดูกเชิงกรานมาทดแทน เศษหัวกระสุนชิ้นเล็กๆ กระทบกับจอตาทำให้เกิดบาดแผลเล็กซึ่งส่งผลให้ตาข้างซ้ายของภามใช้การได้เพียงครึ่งเดียว กล่าวคือหากมองหน้าคนตรงๆ จะเห็นเพียงใบหน้าตั้งแต่ส่วนที่เป็นจมูกลงมา ส่วนด้านบนนั้นเห็นเพียงสีดำสนิทเหมือนจมอยู่ในหนองน้ำอันมืดมิด

ภามต้องนอนอยู่ในห้องผ่าตัดยาวนานถึงหกชั่วโมงเพื่อให้ทีมแพทย์มือฉมังยื้อชีวิตเอาไว้ รวมไปถึงใส่เหล็กดามต้นแขนที่ถูกกระสุนทำลายจนเกือบแหลกละเอียดทั้งหมดด้วย เรียกได้ว่าต่อให้หายดีก็ไม่อาจใช้แขนซ้ายได้คล่องแคล่วดังเดิม การทำกายภาพบำบัดก็เป็นเพียงการฟื้นฟูเบื้องต้นเพื่อให้ขยับแขนได้บ้างและไม่เป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิตประจำวันเท่านั้น

แต่ถึงจะเหลือแขนที่ใช้งานได้อย่างสมบูรณ์เพียงข้างเดียว เสือก็ยังเป็นเสือ ดูอย่างเรื่องที่เขาซัดองอาจด้วยแขนข้างที่ใช้ได้เป็นไร เล่นเอาฝ่ายนั้นเลือดกบปาก รีบเดินกระแทกเท้าปึงปังหนีจากไปแทบไม่เป็นกระบวน

“ภัทร” ภามระบายลมหายใจยาว สีหน้าอมทุกข์เพิ่มอายุให้เขามากขึ้นอีกราวห้าปีในชั่วพริบตาเดียว “เรื่องที่ภัทรเคยขอลุงก่อนเกิดเรื่อง ภัทรยังไม่เปลี่ยนใจใช่ไหม”

“ถ้าคุณลุงหมายถึงเรื่องความรู้สึกที่ผมมีต่อลูกแก้ว ผมไม่มีวันเปลี่ยนใจหรอกครับ ผมรักลูกแก้ว และพร้อมดูแลลูกแก้วเสมอ” ใบหน้าของภัทรพลอ่อนโยนลงยามเอ่ยถึงหญิงสาวในดวงใจ “แต่ผมรอได้ นานแค่ไหนผมก็รอได้ ผมจำที่คุณลุงบอกผมเรื่องให้ลูกแก้วเรียนจบเสียก่อนค่อยให้คุณพ่อ...”

“ภัทรบอกลุงเองนะว่าลูกแก้วสอบวิชาสุดท้ายเสร็จแล้ว อีกไม่นานก็คงจะรับปริญญา” ภามมองคนตรงหน้าด้วยแววตาเจือความกังวลอยู่ลึกๆ “ถ้าภัทรจะให้ชัยมาสู่ขอน้อง ลุงก็ไม่ขัดข้องอะไร กลัวแต่ทางภัทรเองจะรังเกียจที่พวกเราอยู่ในสภาพจนตรอกแบบนี้เสียมากกว่า”

“พูดอะไรอย่างนั้นเล่าครับคุณลุง มีอะไรให้ต้องรังเกียจกัน คุณลุงคือผู้ใหญ่ที่ผมเคารพ ส่วนลูกแก้วคือผู้หญิงที่ผมรัก เพียงแต่ผมไม่รู้ว่าน้องจะเต็มใจแต่งงานกับผมหรือเปล่า”

หัวใจของชายหนุ่มลิงโลดด้วยความยินดี แม้ลึกๆ แล้วจะรู้ดีว่าไอศิกาแทบไม่เคยมองเขาเป็นมากกว่าพี่ชายต่างสายเลือดเลยสักนิด

“แต่ไหนแต่ไรมา น้องก็มีแต่ภัทรไม่ใช่หรือไง” ถ้าจะพูดตามจริงก็คือ ภามไม่เคยยอมให้ผู้ชายหน้าไหนเข้าใกล้บุตรสาวเกินรัศมีสองเมตรต่างหากเล่า “เดี๋ยวลุงจะพูดกับน้องเอง ถ้าน้องยังไม่พร้อมก็หมั้นกันเงียบๆ ไว้ก่อนก็ได้ รอเรื่องทั้งหมดจบลงแล้วค่อยมาคุยเรื่องงานแต่งกันอีกที ลุงคงไม่ได้เร่งรัดภัทรจนเหมือนยัดเยียดลูกแก้วให้ภัทรใช่ไหม”

“ไม่เลยครับคุณลุง ผมดีใจมากจนอยากโทรศัพท์หาคุณพ่อตอนนี้เลยด้วยซ้ำ”

“ถ้าอย่างนั้นก็โทร. เลยสิ ลุงมีเรื่องอยากคุยกับเจ้าชัยอยู่เหมือนกัน” ภามยิ้มเนือยๆ “ลุงฝากน้องด้วยนะภัทร มีแค่ภัทรเท่านั้นที่จะดูแลน้องได้ พาน้องไปจากเรื่องบ้าๆ ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ที ถือว่าลุงขอร้อง”

“ถึงคุณลุงไม่ขอร้อง ผมก็เต็มใจอยู่แล้วครับ ผมดีใจมากจริงๆ ที่คุณลุงวางใจให้ผมเป็นคนดูแลลูกแก้ว ผมจะทำให้ลูกแก้วมีความสุขที่สุดเท่าที่คนอย่างผมจะทำได้”

ภัทรพลคว้ามือของว่าที่พ่อตามากุมไว้อย่างยินดี ทว่าดวงตาฉายแววหนักใจ...ก่อนที่จะดีใจได้เต็มร้อย เขาคงต้องหาตัวไอศิกาให้พบก่อน จากนั้นค่อยคุกเข่าขอเธอแต่งงานอย่างเป็นทางการอีกที

“ขอบคุณภัทรมาก ลุงเชื่อว่าคนดีอย่างภัทรจะทำให้ลูกแก้วมีความสุขที่สุดได้แน่ๆ”

และมากกว่าการใช้ชีวิตในฐานะลูกสาวของ ภาม พิมพ์สุริยา นับร้อยเท่า

ลูกแก้ว พ่อจะต้องปกป้องลูกให้ได้...

 

พระอาทิตย์คล้อยลงต่ำ กำลังจะลาลับขอบฟ้า แสงสีแสดเหลือบชมพูอ่อนจางย้อมผืนฟ้าและท้องทะเลจนแทบกลืนเป็นสีเดียวกัน สายลมยามเย็นพัดกลิ่นเค็มอ่อนๆ ลอยมาในอากาศพร้อมกับเสียงคลื่นกระทบฝั่งที่ไอศิกาฟังแล้วรู้สึกผ่อนคลายจนเหมือนตกอยู่ในห้วงความฝัน แต่เสียงดนตรีจากท้องทะเลยังไม่อาจไพเราะเทียบเท่าเสียงหัวใจที่เต้นสม่ำเสมอใต้แผงอกหนาหนั่นที่เธอแนบหน้าซบอยู่ได้เลย ไออุ่นและกลิ่นบุหรี่เมนทอลที่ลอยอวลจากกายใหญ่โตของชายหนุ่มที่นอนเหยียดยาวอยู่เคียงข้างกันบนเตียงชายหาดทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นจนไม่อยากขยับตัวไปไหน อยากนอนอยู่ในอ้อมแขนของเขาอย่างนี้...ตลอดไป

แต่คงเป็นไปไม่ได้ ถึงอย่างไรเธอก็ต้องกลับไปสู่โลกแห่งความเป็นจริงอันโหดร้ายอยู่ดีไม่ใช่หรือ

“กำลังคิดอะไรอยู่ คิดถึงเมนูพรุ่งนี้เช้า หรือว่าคิดถึงผู้ชายอื่นนอกจากผม ถ้าเป็นอย่างหลัง ผมไม่ยอมนะ”

หย่งเต๋อกดจุมพิตบนกระหม่อมของสาวน้อยในอ้อมแขนอย่างนุ่มนวล นานแล้วที่เขาไม่ได้นอนมองทิวทัศน์ของท้องทะเลจากชานระเบียงของบ้านหลังน้อยแห่งนี้ กี่ปีแล้วหนอ ห้าหรือหกปี? เขาไม่เคยนึกเลยว่าการนอนกอดใครสักคนและฟังเสียงลมหายใจของกันและกันเคล้าเสียงคลื่นจะทำให้รู้สึกผ่อนคลายขนาดนี้

กลิ่นหอมที่รวยรินมาจากคนตัวนุ่มนิ่มช่วยให้เขาลืมกลิ่นดินปืนผสมกลิ่นคาวเลือดไปชั่วขณะ เขารักทุกอย่างที่ก่อร่างสร้างรูปขึ้นมาเป็นไอศิกา ทั้งดวงตากลมโตที่ช้อนขึ้นมองเขาอย่างอ่อนหวาน ทั้งริมฝีปากหวานฉ่ำที่จูบตอบเขาอย่างไม่เป็นประสา ทั้งเรือนผมนุ่มลื่นที่เขาชอบพันนิ้วเล่นยามเธอนอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงเดียวกันในยามค่ำคืน

เขารักไอศิกา...รักโดยไม่ต้องหาเหตุผลมารองรับ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นนั้นไม่มีที่มาที่ไป ไม่มีคำอธิบาย รู้เพียงว่ารักก็คือรัก...เท่านั้น

“เพิ่งกินอิ่มๆ แบบนี้ฉันคงคิดถึงเมนูพรุ่งนี้ไม่ออกหรอกค่ะ คุณน่ะเลี้ยงฉันดีเกินไปแล้วนะคะ ฉันจะอ้วนเป็นหมูอยู่แล้ว” ไอศิกาหัวเราะเสียงแผ่ว ริมฝีปากบางที่ขยับพูดชิดอกกว้างทำให้ชายหนุ่มรู้สึกจักจี้นิดๆ เธอชี้ไปที่จานสเต๊กปลาแซมอนที่ถูกกวาดจนเกลี้ยง ชามสลัดกับชามผลไม้ที่เต็มไปด้วยเชอร์รีสีแดงฉ่ำน่ารับประทานและน้ำส้มคั้นที่พร่องไปกว่าครึ่งแก้ว “คุณไม่น่าสิ้นเปลืองกับฉันขนาดนี้เลย แค่คุณ...”

“ซื้อกำไลคืนมาให้ ฉันก็ดีใจมากแล้วค่ะ” หย่งเต๋อทำเสียงเล็กเสียงน้อยเลียนแบบหญิงสาวแทรกขึ้นมาโดยไม่รอให้เจ้าตัวได้พูดจนจบประโยค เขาคว้ามือข้างที่เธอสวมกำไลเพชรไว้ขึ้นมาจูบ “ผมขอซื้อได้ไหมประโยคนี้น่ะ พูดจริ๊ง จนผมจะเก็บไปฝันแล้ว”

“นิสัยไม่ดี ล้อฉันอยู่นั่นละ ก็ฉันเกรงใจคุณนี่คะ” ไอศิกาหยิกเอวเขาหมับ “คุณบอกฉันเองว่าเงินเดือนน้อย แต่ก็ยังซื้ออาหารแพงๆ มาให้ฉันกินทุกมื้อ ไหนจะขนมนมเนยแล้วก็เสื้อผ้าที่ฉันใส่อยู่พวกนี้อีก”

สองสามวันมานี้เธอนอนเป็นไข้รุมๆ อยู่ในห้องตลอดโดยมีชายหนุ่มคอยดูแลเป็นอย่างดี เขาจัดหาทั้งอาหารอ่อนๆ รสเลิศ รวมไปถึงเสื้อผ้าง่ายๆ จำพวกเสื้อยืดและกางเกงขาสั้นซึ่งแม้ไม่ได้พะยี่ห้อหรู แต่เมื่อสัมผัสดูก็รู้ว่าตัดเย็บจากผ้าเนื้อดีแบบเดียวกับที่ผลิตมาใช้ตามรีสอร์ตระดับไฮเอนด์โดยเฉพาะ เมื่อเอ่ยปากถาม เขาก็บอกเพียงได้มาจากร้านค้าแถวนี้ ซึ่งไม่ว่าจะมองไปทางใดก็เห็นแต่ทะเล ผืนทราย และต้นสนริมหาดเท่านั้น ไม่เห็นวี่แววว่าจะมีร้านรวงให้เลือกซื้อสินค้าเลยสักร้าน...บางทีเขาอาจขับรถไปซื้อมาให้ตอนที่เธอหลับอยู่กระมัง

“ถ้าเกรงใจก็ใช้ทุกอย่างที่ผมหามาให้คุณให้คุ้มค่าสิครับคุณหนู อ้อ แล้วก็กินเยอะๆ ด้วย จะได้กอดเต็มไม้เต็มมือกว่านี้หน่อย เป็นผู้หญิงมีเนื้อมีหนังนิดๆ น่ารักจะตาย” หย่งเต๋อบีบจมูกเล็กโด่งอย่างมันเขี้ยว

“คุณชอบผู้หญิงมีเนื้อมีหนังเหรอคะ” ไอศิกาดันตัวออกห่างนิดหนึ่ง ดวงตากลมโตจ้องหน้าเขาเป๋ง “ชอบแบบสูงๆ สวยๆ เหมือนพี่จันทร์เจ้าด้วยหรือเปล่าคะ”

เมื่อหลุดปากพูดออกไปแล้วก็แทบกัดลิ้นตนเองด้วยความอับอาย...บ้าจัง นี่เราพูดเหมือนกำลังหวงเขาอยู่อย่างนั้นละ

“จันทร์เจ้า?” หย่งเต๋อชะงักเมื่อได้ยินชื่อน้องสาว แต่ยังคงแสร้งทำเป็นเลิกคิ้ว ตีสีหน้าประหลาดใจได้อย่างแนบเนียน “จันทร์เจ้าไหนเหรอครับคุณหนู”

“ก็คนที่คุณคุยด้วยที่งานเลี้ยงวันนั้นไง ฉันเห็นคุณคุยกับพี่จันทร์เจ้าตั้งนาน ก็ว่าจะถามอยู่ว่ารู้จักกันด้วยเหรอคะ”

“เปล่านี่ ผมยืนอยู่ตรงนั้นพอดี พี่จันทร์เจ้าของคุณก็มาชวนผมคุยเอง ส่วนมากก็ถามไถ่เรื่องคุณนั่นละ” ชายหนุ่มคลึงนิ้วโป้งบนหัวคิ้วของหญิงสาวเบาๆ “แล้วนี่ทำหน้ามุ่ยทำไม หึงเหรอ”

“เปล่าเสียหน่อย ฉันก็แค่ถามดูเฉยๆ”

แม้ปากจะปฏิเสธ แต่ไม่อาจซ่อนเร้นความรู้สึกหวงแหนที่ฉายชัดในแววตาได้...หย่งเต๋อยิ้มกว้าง เขาตวัดวงแขนรั้งร่างเล็กให้ขึ้นมานอนคว่ำอยู่บนกายแกร่งแล้วแนบริมฝีปากจุมพิตกลีบปากนุ่มละมุนเร็วๆ

“คุณคงต้องทำใจหน่อยนะ ไอ้ผมมันคนเสน่ห์แรง” เขาพรมจูบไปทั่วดวงหน้ากระจ่างใส มือหนาที่เกาะเกี่ยวอยู่รอบเอวคอดกิ่วค่อยๆ เลื้อยเข้าไปสัมผัสเนื้อแท้ใต้เสื้อยืดอย่างยั่วเย้า ปลายนิ้วสากลากขึ้นไปตามแนวกระดูกสันหลังของหญิงสาว ไล่ไปจนถึงขอบบราเซียร์ลูกไม้ที่เขาเป็นคนซื้อให้ “ให้ตาย เวลาคุณหึงนี่น่ารักเป็นบ้า”

“คุณนะโม!” ไอศิการีบตะครุบมือเขาเอาไว้ทันควัน “อย่า...เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า มัน...มันจะไม่ดี...”

ดวงหน้าเล็กแดงแจ๋ ยิ่งเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังมองมาด้วยดวงตาวับวาวสื่อความนัยลึกซึ้งด้วยแล้ว แก้มทั้งสองข้างก็เห่อร้อนเหมือนถูกนาบด้วยถ่านติดไฟแดงๆ ถึงจะผูกพันลึกซึ้งกับเขาอยู่ทุกคืน แต่เธอก็ยังไม่ชินกับเรื่องความสัมพันธ์ทางกายระหว่างชายหญิงอยู่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานที่ซึ่งค่อนข้างเปิดโล่งเช่นนี้

“ถ้าใครที่คุณว่าหมายถึงไอ้พี่ใบป่านขาของคุณละก็ มันคงไม่โผล่หัวมาตอนนี้แน่” มือร้อนจัดของชายหนุ่มเคลื่อนจากแผ่นหลังบอบบางมายังด้านหน้า ริมฝีปากหยักลึกขบเม้มไปตามลำคอขาวผ่องอย่างโหยหา “อา...ตัวนี้ตะขอหน้าเหรอเนี่ย ต่อไปจะไม่ซื้อแบบตะขอหน้าให้แล้ว มันถอดยากชะมัด”

“ไม่ใช่!” ไอศิกาพยายามยุดข้อมือเขาเอาไว้ แต่ไม่ทัน เพียงเสี้ยววินาทีเขาก็สะกิดตะขอจนหลุดออกจากกันได้แล้ว หน็อย...ชำนาญขนาดนี้ยังจะมีหน้ามาพูดอีกว่าถอดยาก! “ฉัน...ฉันหมายถึงคนอื่น...คนอื่นอาจจะเดินผ่านมาแล้วเห็นเข้า อุ๊ย!”

หญิงสาวอุทานเสียงแผ่วเมื่อคนตัวโตเป็นตึกพลิกกายให้เธอลงไปนอนอยู่ใต้ร่าง ดวงตาคมกล้าของเขาพราวระยับไปด้วยแววขบขัน

“ไม่มีใครผ่านมาหรอก เชื่อผมสิ” เขาโน้มตัวลงจูบคนช่างจำนรรจาอย่างดูดดื่ม เขาสั่งการ์ดของฮวงหลงเอาไว้แล้ว ไอ้ตัวไหนกล้าเดินผ่านมาตอนที่เขาอยู่กับไอศิกา เขาจะยิงเจาะกบาลทิ้งให้หมด “ขอชื่นใจหน่อยเถอะนะคนดีของผม นิดเดียวก็ได้”

“ไม่เอาค่ะ พอแล้ว” ไอศิกาประท้วงเสียงอู้อี้ “ไหน...คุณบอกว่าวันนี้จะให้ฉันโทร. หาคุณพ่อไงคะ”

คำทวงถามถึงสัญญาที่เคยให้ไว้ทำให้เขาชะงักไปครู่หนึ่ง แต่สีหน้ายังคงแย้มยิ้มไม่สะทกสะท้านสักนิด

“อีกวันสองวัน ใบป่านบอกว่าจะเอาโทรศัพท์เครื่องใหม่มาให้ รอหน่อยละกันนะ” เขาโน้มใบหน้ามาชิดอีกครั้ง แต่หญิงสาวกลับดันให้ออกห่างแล้วหรี่ตามองเขาด้วยแววตาเต็มไปด้วยคำถาม “อะไรอีกฮึ ทูนหัว”

“คุณซื้อของแพงๆ ได้สารพัด แต่ซื้อโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ไม่ได้เนี่ยนะ คุณกำลังปิดบังอะไรฉันอยู่หรือเปล่า หรือว่า...เกิดอะไรขึ้นกับคุณพ่อ”

“อย่ากังวลไปเลย ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับพ่อคุณทั้งนั้นละน่า ผมบอกคุณแล้วนี่ว่าใบป่านไปรายงานไอ้...ผมหมายถึงพี่ภัทรของคุณแล้วว่าคุณปลอดภัยดี คุณพ่อคุณก็คงรู้แล้ว” หย่งเต๋อจูบปลอบคนที่จู่ๆ ก็ทำหน้าเหยเกเหมือนจะร้องไห้ “ส่วนโทรศัพท์ ของไอ้ใบป่านก็พังไปตั้งแต่วันนั้นแล้วรอเครื่องใหม่อยู่เหมือนกัน ไม่มีให้คุณยืมใช้หรอก ผมเองใช้เครื่องอื่นที่ไม่ได้ผ่านการตรวจสอบและรับรองจากอินเตอร์โพลไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเกิดถูกดักฟังหรือดักจับสัญญาณขึ้นมา คุณนั่นละที่จะเป็นอันตราย เห็นไหมว่าผมเป็นห่วงคุณแค่ไหน”

เรื่องโกหกเป็นไฟ ขอให้ไว้ใจหวังหย่งเต๋อเถอะ!

“ฉันรู้ว่าคุณเป็นห่วง” ไอศิกาลากปลายนิ้วไปตามแนวหยักโค้งราวคันศรของริมฝีปากบนของชายหนุ่ม เชื่อในถ้อยคำออดอ้อนของเขาอย่างหมดใจ “แล้วฉันก็รู้ด้วยว่าตัวเองโง่มากที่หนีปัญหามาอยู่ที่นี่โดยไม่คิดว่าถ้าคุณพ่อรู้เข้าท่านจะรู้สึกยังไง”

โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ารู้เรื่องที่เธอไม่รักดี ประพฤติตัวเหลวแหลกอย่างที่ทำอยู่ ท่านคงต้องผิดหวังจนหัวใจแทบแหลกสลาย

“ถ้าท่านรู้ว่าคุณต้องเจอกับอะไรมาบ้าง ท่านจะเข้าใจ” รอยช้ำจางๆ บนแก้มของเธอย้ำเตือนให้หย่งเต๋อจดชื่อไอ้พิบูลย์ใส่บัญชีหนังหมารอโอกาสชำระแค้น หากเจอกันคราวหน้าเขาจะหักมือมันเสีย โทษฐานแตะต้องผู้หญิงของเขา คนที่จะทิ้งรอยไว้บนผิวขาวๆ ของเธอได้ มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้น! “สถานการณ์ตอนนี้ไม่ค่อยปลอดภัย คุณเก็บตัวอยู่ที่นี่สักพักจะดีกว่า เชื่อผมนะ พอเรื่องเริ่มคลี่คลายแล้ว เราจะไปพบพ่อคุณด้วยกันแล้วค่อยบอกท่านเรื่องของเรา ต่อให้ท่านไม่ยอมรับ ผมก็จะไม่มีวันปล่อยมือจากคุณเป็นอันขาด”

ลูกมังกรหนุ่มล่อหลอกไอศิกาด้วยจุมพิตแสนหวานอีกครา หากภามรู้ว่าลูกสาวของตนเองเป็นผู้หญิงของเปี้ยนเหลี่ยนหวัง คงตกใจแทบช็อกตายแน่ แค่คิดก็สนุกแล้ว...

“ฉันรู้สึกเหมือนเรากำลังทำความผิดยังไงก็ไม่รู้ค่ะ” ไอศิกากระซิบเสียงเบาหวิว ท่อนแขนเรียวราวสลักเสลาโอบรอบคอเขาไว้หลวมๆ ทว่าแสดงชัดถึงความไว้เนื้อเชื่อใจที่มีต่อเขาอย่างที่สุด

“ไม่ผิดหรอก นี่ละถูกต้องที่สุดแล้ว” หย่งเต๋อผละออกจากหญิงสาวแล้วช้อนตัวเธอขึ้นอุ้มแนบอก แม้จะอยากรังแกเธอเสียตรงนี้เพียงใด แต่ก็รู้ว่าควรถนอมและให้เกียรติเธอบ้าง อย่างน้อยก็ในฐานะผู้หญิงที่มีค่าต่อหัวใจของเขา “มืดแล้ว ลมเริ่มแรง เข้าข้างในกันดีกว่า คุณเพิ่งหาย เดี๋ยวจะไข้กลับอีก”

“คุณก็อย่ารังแกฉันสิคะ ฉันจะได้ไม่ป่วย” หญิงสาวซุกหน้ากับบ่ากว้าง ปล่อยให้เขาอุ้มกลับเข้าไปในบ้านแต่โดยดี อ้อมแขนอบอุ่นของเขาคือสิ่งเดียวที่เป็นที่ยึดเหนี่ยวให้เธอในช่วงเวลาที่เคว้งคว้างที่สุดเช่นนี้

“ต้องรังแกตอนป่วยนี่ละ จะได้ไม่มีแรงสู้” หย่งเต๋อจูบขมับของเธอซ้ำๆ “จำเอาไว้นะว่าผมเป็นคนเดียวที่รังแกคุณได้ แล้วก็อย่าได้คิดหนีผมไปไหนเชียว เพราะผมไม่มีวันปล่อยคุณไปง่ายๆ แน่”

“พูดอย่างกับจะล่ามโซ่ขังฉันเอาไว้อย่างนั้นละ” ไอศิกาหัวเราะ

“อย่าท้าเชียว คุณไม่รู้หรอกว่าคนขี้หวงอย่างผมทำอะไรได้บ้าง” ชายหนุ่มคลี่ยิ้มหวานฉ่ำ ดวงตาของเขาวับวาวยามทอดมองดวงหน้างดงามของคนในอ้อมแขน “ถ้าคิดหนีไปจากผม รับรองว่าผมล่ามโซ่คุณจริงๆ แน่ สาวน้อย”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น