“เมื่อคืนผมเห็นนะพี่”
เฉินกุ้ยเอ่ยเสียงเรียบขณะมองเจ้าของร่างสูงสวมเสื้อยืดคอวีสีขาวทับลงไปบนเนื้อตัวกำยำที่มีรอยแผลอยู่ประปราย ทั้งรอยแผลจากมีดและกระสุน คืนนองเลือดในบองลิเยอเมื่อเจ็ดปีก่อนได้เปิดประตูพาทั้งหย่งเต๋อและเขาสู่โลกมืดอย่างเต็มตัว คุณชายน้อยแห่งตระกูลหวังประสาทแข็งกว่าเขามาก สามารถตั้งสติและรับมือการสังหารศัตรูครั้งแรกได้ดีกว่าเขานับร้อยเท่า และในเวลาไม่นาน หย่งเต๋อก็เลือดเย็นพอจะฆ่าคนได้โดยมีรอยยิ้มหวานฉาบบนหน้าไม่ต่างจากหวังเสี้ยวเทียนผู้เป็นบิดาแม้แต่นิด
“เห็นอะไรของแกวะ อากุ้ย” หย่งเต๋อปรายตามองคนที่แต่งตัวด้วยชุดสูทสีดำเกือบเต็มยศ ขาดแต่เพียงเนกไท แล้วหัวเราะอย่างครึ้มอกครึ้มใจ “แล้วนั่นแต่งตัวจะไปขึ้นศาลหรือไง เดาะใส่สูทเสียด้วย ร้อนตายโหง”
“ก็แต่งตัวให้สมกับเป็นเจ้าหน้าที่อินเตอร์โพลไงเล่า” เฉินกุ้ยระบายลมหายใจยาว “หรือพี่ลืมไปแล้วว่าเราต้องแฝงตัวให้แนบเนียน”
“แนบเนียน? ตรงไหนวะ” หย่งเต๋อพูดเสียงขึ้นจมูกพลางเสยผมไปพร้อมๆ กับมองเงาของตนเองในกระจกติดผนังบานใหญ่ภายในห้องนอน เขาคาดซองปืนคู่รัดเข้ากับสายหนังรอบแผงอกกว้างแล้วสวมแจ็กเกตสีเดียวกับกางเกงยีนทับอย่างว่องไวเพื่อซ่อนอาวุธเอาไว้ ก่อนจะเลิกเสื้อยืดด้านหลังขึ้นแล้วเหน็บปืนอีกกระบอกไว้ที่ขอบกางเกงด้านหลัง “แกนั่นละที่ลืมไปแล้วว่าเราแฝงตัวเป็นอินเตอร์โพลที่กำลัง ‘ซ่อนตัวอยู่’ ขืนแต่งตัวอย่างแกเดินไปเดินมาในหมู่บ้าน คนได้สงสัยกันพอดี อยู่กับฉันมาตั้งนาน ไม่ซึมซับความชาญฉลาดไปบ้างหรือไงวะ อากุ้ย”
“มันเป็นสไตล์ของผมน่า” แม้จะพูดเช่นนั้น แต่เฉินกุ้ยก็รีบถอดเสื้อสูทโยนลงไปบนเตียงจนเหลือเพียงเสื้อเชิ้ตและกางเกงสแล็กส์แบบที่หย่งเต๋อเห็นจนชินตา เขากระแอมแก้เกี้ยวอยู่สองสามครั้งแล้วพูดต่อด้วยสีหน้าที่ตีให้เคร่งขรึมกว่าปกติเพื่อกลบเกลื่อนอาการเสียหน้า “พี่อย่าเฉไฉเปลี่ยนเรื่องหน่อยเลย ตกลงเรื่องเมื่อคืนมันยังไงกันแน่ ยังจำได้ใช่ไหมว่า ไอศิกา พิมพ์สุริยา เป็นลูกศัตรู”
“หึงสิท่า”
หย่งเต๋อขยิบตายียวนในขณะที่คนมองต้องพยายามถลึงตาเล็กๆ ใส่
“พี่อย่ากวนตีนผมได้ไหม นี่ผมจริงจังนะ”
“โอ้โห เดี๋ยวนี้ปากกล้าจริงนะ ไอ้ตี๋เล็ก” หย่งเต๋อเดินตรงเข้าไปล็อกคอเฉินกุ้ย แล้วใช้มืออีกข้างขยี้ผมของลูกไล่ประจำตัวแรงๆ จนยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง “ฉันรู้หน้าที่ของตัวเองดีหรอกน่า แกไม่ต้องมาคอยจับตามองฉันตลอด 24 ชั่วโมงก็ได้ ทีแกวิดีโอคอลหาสาว แล้วสาวเจ้ากดทิ้งไม่ยอมคุยด้วย ฉันยังไม่ล้อหน้าตาโง่ๆ เซ่อๆ เหมือนลูกหมาถูกทิ้งของแกเลย”
“เรื่องของผมกับพี่มันเหมือนกันเสียที่ไหนเล่า” เฉินกุ้ยดิ้นรนจนหลุดจากท่อนแขนที่รัดแน่นราวปลอกเหล็ก มือหนายกขึ้นจัดทรงผมอย่างหงุดหงิดใจ ในขณะที่ใบหน้าแดงก่ำเพราะถูกล็อกคอจนแทบหายใจไม่ออก “ถ้าพี่รู้หน้าที่ของตัวเองจริงๆ ก็ไม่ควรไปยุ่งวุ่นวายกับเด็กคนนั้นให้มากนัก ถ้าบอสรู้เข้าต้องไม่ชอบใจแน่”
“พ่อก็ไม่เคยชอบใจเรื่องที่ฉันทำสักเรื่องนั่นละ เพิ่มอีกเรื่องจะเป็นไรไป”
ชายหนุ่มยักไหล่อย่างไม่ยี่หระแล้วเดินออกจากห้องไปหน้าตาเฉย
“พี่หย่งเต๋อ” เฉินกุ้ยสาวเท้าตามติดลูกพี่อย่างไม่ยอมลดละ “เดี๋ยวสิพี่”
“เลิกโวยวายได้แล้วน่า แกไปชงกาแฟให้ฉันกินดีกว่า ทอดไข่ดาวปิ้งขนมปังมาให้ด้วย หิวจะตายโหงแล้ว”
หย่งเต๋อปรายตามองเจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบสองนายที่เดินสวนออกมาจากห้องครัว ทั้งคู่ผงกศีรษะให้เขานิดหนึ่งตามมารยาทก่อนจะพากันออกไปสูบบุหรี่นอกตัวบ้าน
...สองคนนี้...เป็นคนที่ภัทรพลเรียกตัวมาช่วยงานเมื่อวาน...ไม่ใช่แค่คุ้มครองแม่ลูกสาวเจ้าพ่อหรอก แต่ให้คอยจับตาดูพวกเขาด้วยนั่นละ...
“อย่าคิดเล่นอะไรพิเรนทร์ๆ นะพี่ ไอ้ภัทรพลมันวางกำลังคนไว้รอบด้าน ท่าจะหวงของน่าดู” เฉินกุ้ยกดเสียงลงต่ำพอให้ได้ยินกันแค่สองคนขณะเดินเข้าไปในห้องครัว “อินเตอร์โพลสี่ ตำรวจอีกสอง แถมให้แยกห้องอยู่กับเราเพื่อไม่ให้รู้เรื่องของกันและกันด้วย มันต้องมีแผนการอะไรอยู่แน่ๆ”
“ยิ่งหวงยิ่งดี แย่งของรักของหวงคนอื่นมันงานถนัดของฉันอยู่แล้ว”
หย่งเต๋อผิวปากอย่างสบายอารมณ์ เขาทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ทรงกลมไม่มีพนักหน้าเคาน์เตอร์ มือหนาลูบไปบนพื้นผิวเรียบลื่นของหินควอตซ์ เรียวปากหยักลึกโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มเยาะหยัน แหม...วัสดุในห้องครัวก็ยังเลือกใช้ของระดับพรีเมียมเสียด้วย แม้บ้านหลังนี้จะไม่ใหญ่โตนัก แต่ก็โอ่โถงน่าอยู่ แถมยังตั้งอยู่ในหมู่บ้านของพวกเศรษฐีเงินถุงเงินถัง ดูอย่างไรก็เหมือนภัทรพลตั้งใจจะเลือกเรือนหอไว้รอเจ้าสาวมากกว่าเลือกเซฟเฮาส์ที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับไอศิกาเสียอีก
“ถามจริงๆ เถอะ พี่สนใจเด็กคนนี้จริงๆ ใช่ไหม”
เฉินกุ้ยเทกาแฟในกาที่ตำรวจสองนายกินเหลือไว้ทิ้งในอ่างล้างจานแล้วชงใหม่อย่างเคยชิน เส้นทางชีวิตอันโหดร้ายบังคับให้พวกเขาต้องระมัดระวังเรื่องอาหารการกินเป็นพิเศษ กฎเหล็กข้อแรกก็คือ ไม่กินอาหารหรือดื่มเครื่องดื่มใดๆ ที่ไม่ผ่านการตรวจสอบเป็นอันขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งยามต้องอยู่ท่ามกลางคนที่รู้หน้าแต่ไม่รู้ใจเช่นนี้
“ก็แค่หาอะไรทำแก้เซ็ง” ปลายนิ้วหนาเคาะบนเคาน์เตอร์หินควอตซ์อย่างอารมณ์ดี “บรรยากาศแถวนี้แห้งเหี่ยวอย่างกับอะไรดี มองไปทางไหนก็มีแต่ผู้ชายหน้าตาไม่ได้เรื่อง ถ้ามีควายผ่านมาสักตัว ยังเห็นควายสวยเล้ย”
“ถ้าอย่างนั้นก็รอให้ควายผ่านมาแล้วพี่ค่อยไปเจ๊าะแจ๊ะควายก็แล้วกัน” เฉินกุ้ยกลอกตาขึ้นมองเพดานอย่างระอาใจ เขาจัดแจงวางกระทะเทฟลอนลงบนเตาแล้วทอดไข่ดาว ตามด้วยปิ้งขนมปังตามคำสั่งของลูกพี่อย่างคล่องแคล่ว “ถ้าจะคิดเล่นสนุกอย่างทุกครั้งก็อย่าเลย หลอกเด็กบาปเปล่าๆ”
“ต้องหลอกผู้ใหญ่อย่างแกทำถึงจะไม่บาปว่างั้นเถอะ” หย่งเต๋อยักคิ้วแผล็บเมื่อเห็นสีหน้าบึ้งตึงของลูกน้องคนสนิท “แกนี่ขี้บ่นฉิบ อย่างกับเมียแก่ๆ ที่ชอบทำตัวเป็นแม่ไม่มีผิด”
“จะเมียจะแม่ ผมก็ไม่อยากเป็นทั้งนั้นละ แค่นี้ก็เหนื่อยแทบกระอักแล้ว” ไม่พูดเปล่า เฉินกุ้ยยังกระแทกจานกระเบื้องที่มีไข่ดาวและขนมปังปิ้งวางเรียงรายอย่างสวยงามลงตรงหน้าหย่งเต๋อ “ผมจริงจังนะพี่ อย่าไปยุ่งกับแม่คุณหนูของไอ้ภัทรพลเลย เดี๋ยวจะเป็นเรื่องใหญ่เสียเปล่าๆ”
“ไม่ต้องหึงหรอกน่า ยังไงฉันก็ให้แกเป็นเมียหลวงอยู่แล้ว”
หย่งเต๋อมองหนุ่มรุ่นน้องรินกาแฟหอมกรุ่นใส่แก้วแล้วยกขึ้นจิบครู่หนึ่งก่อนจะหลุบตาลงมองอาหารในจานด้วยความรู้สึกหน่วงๆ ในอก เฉินกุ้ยเกลียดกาแฟดำด้วยทำให้นึกถึงเหวินฟง แต่กลับต้องดื่มแทบทุกเช้าเพราะเขาชอบ หากไม่ได้อยู่ในถิ่นฮวงหลง เฉินกุ้ยจะรับหน้าที่ชิมอาหารทุกอย่างก่อนเสิร์ฟให้เขา แม้เจ้าตัวจะเป็นทายาทคนสำคัญคนหนึ่งของแก๊งไป๋หู่ ทว่าภาระผูกพันที่มีต่อแก๊งฮวงหลงทำให้เจ้าตัวอาสาทำหน้าที่นี้อย่างเต็มใจ และจะโกรธทุกครั้งที่เขาขอร้องว่าให้เลิกเสี่ยงตายแทนเขาเสียที มิหนำซ้ำยังพูดด้วยว่า
‘ผมกินครึ่งหนึ่ง พี่กินครึ่งหนึ่ง ถ้ามีพิษตายก็ตายด้วยกัน ถึงตอนนั้นผมค่อยลงไปดูแลพี่ต่อในนรกก็แล้วกัน’
“พอเถอะพี่ ขนลุกฉิบหา...” ดวงตาของเฉินกุ้ยมองเลยไปยังประตูครัวแล้วชะงักไปนิดหนึ่ง ก่อนจะเดินอ้อมมาทางด้านหลังของหย่งเต๋อ แล้ววางแก้วกาแฟที่เพิ่งจิบเมื่อครู่ลงตรงหน้าทายาทตระกูลหวังอย่างนุ่มนวลกว่าคราแรก ส่วนมืออีกข้างเลื่อนขึ้นไปบีบบ่ากว้างของอีกฝ่ายเบาๆ “เอาอย่างนั้นก็ได้ เมียหลวงก็เมียหลวง พูดแล้วอย่าคืนคำก็แล้วกัน”
“ไม่คืนคำหรอกน่า ฉันให้แกเป็นเมียหลวงแน่ ไม่ต้องห่วง...”
ประโยคที่เหลือกลืนหายลงไปในลำคอทันทีที่เงยหน้าขึ้นมาเห็นร่างบอบบางของหญิงสาวยืนนิ่งงันอยู่หน้าประตูครัว หย่งเต๋อหันไปถลึงตาใส่เฉินกุ้ย ไอ้เวร...นี่แกเล่นฉันอีกแล้วนะ!
“อ้าว อรุณสวัสดิ์ครับคุณลูกแก้ว กินอาหารเช้าด้วยกันไหมครับ”
เฉินกุ้ยทำเป็นไม่เห็นสายตาพิฆาตของลูกพี่ สีหน้าของเขานิ่งสนิทในขณะที่ไอศิกาวางหน้าไม่ถูก เธอเคยเห็นสองคนนี้กอดรัดฟัดเหวี่ยงกันมาแล้วครั้งหนึ่งที่คฤหาสน์พิมพ์สุริยา แต่หลังจากเกิดเหตุวุ่นวายเธอก็แทบลืมไปเสียสนิท ดูจากความสนิทสนมแบบแปลกๆ และการพูดการจาเรื่อง ‘เมียหลวง’ เมื่อครู่นี้แล้ว สองคนนี้น่าจะ...
...มิน่าเล่า...ถึงได้รู้ใจกันนัก...
“เอ่อ...ฉันไม่รบกวนเวลาของพวกคุณดีกว่าค่ะ”
“ไม่รบกวนหรอกครับ ผมกำลังจะทำออมเล็ตกินพอดี คุณจะรับด้วยไหมครับ”
เฉินกุ้ยเอ่ยเสียงเรียบ ดวงตาลอบกวาดมองไปทั่วร่างบอบบางของหญิงสาวเร็วๆ เด็กคนนี้สวยจริงๆ เสียด้วย ขนาดเนื้อตัวมีรอยฟกช้ำดำเขียวเต็มไปหมด แถมยังสวมเสื้อยืดตัวโคร่งกับกางเกงขาสั้นเหมือนเด็กกะโปโล แต่กลับไม่อาจลดทอนเสน่ห์ที่มาพร้อมความไร้เดียงสาของเธอได้เลยสักนิด
...ชักเข้าใจแล้วว่าทำไมภัทรพลถึงหวงเจ้าหล่อนนัก...
“ขอบคุณนะคะ แต่ไม่ดีกว่า เช้าๆ แบบนี้ฉันกินแต่ซีเรียลกับนมอย่างเดียวก็พอค่ะ”
หญิงสาวเอ่ยพลางเดินตรงไปที่ตู้ชั้นลอยติดผนังแล้วหยิบกล่องซีเรียลรสช็อกโกแลตออกมา หย่งเต๋อแบะปากเมื่อเห็นว่าในตู้นั้นอัดแน่นไปด้วยซีเรียลหลากรส ภัทรพลคงเตรียมไว้เอาใจแม่เจ้าประคุณอีกตามเคย น่าหมั่นไส้ฉิบ!
“ได้ยินว่าคุณกำลังอ่านหนังสือสอบ กินแค่นี้จะอยู่ท้องเหรอครับ ในตู้มีของสดเยอะแยะเลย ถ้าคุณอยากกินอะไรก็บอกผมได้ ผมทำอาหารพอกินได้นะครับ”
“เก่งนะคะ ทำกับข้าวได้ด้วย ฉันเป็นผู้หญิงแท้ๆ ยังทำไม่เป็นสักอย่าง ทอดไข่ยังไหม้เลย” ไอศิกายิ้มเนือยๆ ผู้ชายคนนี้เป็นแม่บ้านแม่เรือนมากกว่าเธอเสียอีก เธอเทซีเรียลและนมลงในชามกระเบื้องก่อนจะเลือกนั่งเก้าอี้ตัวที่อยู่ห่างจากหย่งเต๋อที่สุด “ช่วงสอบฉันกินอะไรไม่ค่อยลงหรอกค่ะ น้ำหนักลดทุกที”
“ถ้าลดมากกว่านี้ก็คงไม่เหลืออะไรให้ดูแล้วมั้ง”
หย่งเต๋อพูดลอยๆ แล้วกัดขนมปังกร้วมๆ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหน้าตึงก็ลอบอมยิ้ม เช้านี้ไอศิการวบผมเป็นมวยหลวมๆ เผยให้เห็นโครงหน้าสวยหวานและลำคอระหงอย่างชัดเจน แสงแดดยามเช้าที่กระทบดวงหน้าปราศจากเครื่องสำอางทำให้เธอดูเด็กกว่าอายุจริงอยู่สักหน่อย
น่ารักแฮะ...
“ผมต้องคอยดูแลพี่นะโมน่ะครับ เลยต้องหัดทำกับข้าวไว้บ้าง พี่เขาอยู่ยากกินยาก”
เฉินกุ้ยพูดหน้าตาย ทำเอาหย่งเต๋อสำลักกาแฟ ส่วนไอศิกายกช้อนที่เพิ่งตักซีเรียลไว้ค้างกลางอากาศ
“ไอ้ตี๋เล็ก...จองเวรไม่เลิกนะแก...”
หย่งเต๋อเค้นเสียงลอดไรฟัน แต่ก่อนที่จะทันได้อ้าปากแก้ตัว ไอศิกาก็เอ่ยแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“เอ่อ...คุณใบป่านคะ ถ้าฉันอยากโทร. หาพี่ภัทรเพื่อสอบถามอาการของคุณพ่อ ฉันจะใช้โทรศัพท์เครื่องไหนได้บ้าง”
โทรศัพท์มือถือเครื่องที่เคยใช้ประจำถูกเจ้าหน้าที่อินเตอร์โพลริบไปตั้งแต่ก่อนออกเดินทางมาที่หัวหิน แถมบ้านหลังนี้ยังไม่มีโทรศัพท์ให้เห็นสักเครื่อง ภัทรพลบอกเธอว่า หากต้องการติดต่อเขา ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ที่คอยดูแลความปลอดภัยได้เลย แต่เธอไม่คุ้นเคยกับคนอื่นๆ จึงไม่รู้จะเริ่มต้นเอ่ยปากอย่างไรดี คนที่เธอเคยพูดคุยด้วยก็มีเพียงชายหนุ่มสองคนนี้เท่านั้น
“คุณใช้ของผมได้เลยครับ” เฉินกุ้ยหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วส่งให้หญิงสาว “โทร. หาคุณหมอเจ้าของไข้โดยตรงเลยก็ได้ครับ ช่วงนี้คุณภัทรพลงานยุ่ง อาจจะไม่มีเวลาคอยรายงานอาการของท่านภามให้คุณทราบ คุณน่าจะมีเบอร์ของคุณหมออยู่แล้วใช่ไหมครับ”
“ก็มีอยู่ค่ะ แต่...จะดีเหรอคะ พี่ภัทรบอกไว้ว่าถ้าอยากรู้อาการคุณพ่อให้โทรหาพี่ภัทร...”
หญิงสาวลังเล จริงอยู่ว่าเธออยากรู้อาการของบิดาทุกลมหายใจเข้าออก แต่ก็ควรทำตามที่ภัทรพลบอกอย่างเคร่งครัดเพื่อความปลอดภัยของบิดาเช่นกัน
“โทร. ไปเถอะ ถ้าพี่ภัทรดุคุณ เดี๋ยวผมรับผิดชอบเอง” หย่งเต๋อกวาดอาหารคำสุดท้ายในจานเข้าปาก “หรือคุณไม่ไว้ใจพวกผม”
“พูดอะไรอย่างนั้นเล่าคุณ พวกคุณช่วยชีวิตฉันเอาไว้นะคะ ฉันจะคิดแบบนั้นได้ยังไง”
เธอรู้...ว่าภัทรพลเตือนให้ระวังผู้ชายสองคนนี้เอาไว้ให้ดี แต่สำหรับเธอแล้วพวกเขาคือผู้มีพระคุณ และยังดูเป็นมิตรมากกว่าเจ้าหน้าที่อินเตอร์โพลคนอื่นๆ ในบ้านนี้เป็นไหนๆ
“ถ้าอย่างนั้นก็โทร. เลย จะคิดมากไปทำไม คุณอยากรู้อาการคุณพ่อไม่ใช่เหรอ ถ้าไม่โทร. เดี๋ยวคืนนี้ก็นอนไม่หลับอีกจนได้”
แม้คำพูดของชายหนุ่มติดจะห้วนนิดๆ แต่กลับทำให้หญิงสาวรู้สึกเคอะเขินอย่างประหลาด ภาพที่เขายืนพิงกำแพงเล่นฮาร์โมนิกาเพลง “The way you look at me” ลอยแวบเข้ามาในสมอง ยิ่งเห็นดวงตาของเขามองตรงมาด้วยแล้ว หัวใจของเธอก็ยิ่งเต้นรัวเร็วอย่างน่าตกใจ
...จะตื่นเต้นอะไรกันนักหนาเล่า ยายลูกแก้ว เขาไม่ชอบผู้หญิงเสียหน่อย...
“ถ้าอย่างนั้น...ฉันโทร. หาคุณหมอเลยก็ได้ค่ะ ขอบคุณนะคะคุณใบป่าน”
ไอศิกาหันไปขอบคุณเจ้าของโทรศัพท์ ก่อนจะขอตัวออกไปโทรศัพท์ด้านนอกโดยไม่หันกลับไปมองชายหนุ่มอีกคน ทำเอาเจ้าตัวอารมณ์เสีย
“แม่เด็กนั่นคงคิดว่าแกใจดีมากสินะ”
หย่งเต๋อทำเสียงจึ๊กจั๊กอยู่ในปากอย่างหงุดหงิดใจ
“ก็ควรจะเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ จะได้ล้วงข้อมูลง่ายขึ้น” เฉินกุ้ยเทออมเล็ตสีทองอร่ามของโปรดของตนใส่จานแล้วราดซอสมะเขือเทศ “พอเด็กคนนั้นโทร. หาหมอเจ้าของไข้ คนของบอสที่คอยดักฟังโทรศัพท์เครื่องนั้นอยู่จะได้บันทึกเสียงแล้วไปรายงานบอส เท่านี้ฮวงหลงก็จะได้รู้อาการของ ภาม พิมพ์สุริยา เป็นระยะ ง่ายจะตาย แค่ทำให้เด็กคนนั้นไว้ใจก็พอ ไม่เห็นต้องคิดคลุกวงในแบบตัวต่อตัวเสื้อผ้าไม่เกี่ยวอย่างที่พี่คิดทำสักนิด”
“ไม่คลุกวงในแล้วมันจะไปสนุกอะไรว้า”
หย่งเต๋อทำหน้าเมื่อย
“เรามาทำงาน ไม่ได้มาสนุก”
“แกนี่เริ่มเคร่งกฎเหมือนลุงเปียวขึ้นทุกวัน น่าเบื่อชะมัด”
“พี่ก็เหมือนคุณหลิงหลิงขึ้นทุกวันเหมือนกัน ผมว่าบอสคิดผิดจริงๆ ที่ยอมให้คุณหลิงหลิงช่วยคุณฟ้าใสเลี้ยงพี่”
เฉินกุ้ยหยุดพูดแต่เพียงเท่านั้นเมื่อเห็นสีหน้าของลูกมังกรหนุ่มเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นทันตาเมื่อได้ยินชื่อของมารดา ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาหย่งเต๋อไม่เคยเอ่ยถึงคนเป็นแม่แม้แต่คำเดียว ดูเผินๆ อาจคิดว่าเขาไม่อนาทรร้อนใจต่ออาการเพียบหนักของฟ้าใสนัก แต่เฉินกุ้ยรู้ดีกว่านั้นว่าหย่งเต๋อรักมารดามากเพียงใด เขาเพียงแต่เก็บซ่อนความเจ็บปวดและความหวาดกลัวว่าจะสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไว้ภายใต้หน้ากากแห่งรอยยิ้มเท่านั้น
“ผม...ขอโทษนะพี่...”
“ไร้สาระน่า ขอโทษทำไม” ชายหนุ่มล้วงซองบุหรี่ยับๆ ออกมาจากกระเป๋ากางเกงยีนด้านหลังแล้วจุดสูบ “แกไม่ต้องห่วงหรอก แม่เป็นนายหญิงของฮวงหลง แม่เข้มแข็งจะตาย อีกเดี๋ยวก็ลุกขึ้นมาดุฉันเรื่องทำตัวเสเพลได้อีกเป็นกระบุงโกย”
เสียงหัวเราะต่ำพร่าที่เพิ่งได้ยินนั้น สำหรับเฉินกุ้ยแล้วเหมือนเสียงร้องไห้เสียมากกว่า เท่าที่รู้จากพ่อและแม่ อาการโดยรวมของนายหญิงถือว่าดีขึ้นมาก แม้จะยังไม่ได้สติ แต่ก็ยังพอให้ใจชื้นขึ้นบ้าง
“ผมก็ว่าอย่างนั้นละพี่”
ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นคล้ายจะให้กำลังใจอีกฝ่าย หย่งเต๋อยิ้มรับก่อนจะลุกขึ้นไปยืนพิงกรอบหน้าต่างครัว มองตามร่างเล็กบางที่ยืนคุยโทรศัพท์อยู่ในสนามหญ้าข้างบ้านด้วยแววตาวับวาว
หากแม่เป็นอะไรไป...เขาจะไม่ยอมให้ไอ้ภามได้อยู่เป็นสุขแน่...
ในเมื่อมันกล้าพรากคนที่เขารักที่สุดในชีวิตไป เขาก็จะกระชาก ’ดวงใจ’ ของมันมาขยี้ให้แหลกคามือเช่นกัน!
ความคิดเห็น |
---|