๑๐
เหยื่อ
“อาจารย์คะ อาจารย์มานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้”
เสียงเรียกของดวงพรพร้อมกับมือที่แตะลงบนข้อศอกของเขา ทำให้ชายหนุ่มที่จมอยู่ในความคิดของตนเองถูกดึงกลับสู่โลกแห่งความจริง เขาเหลียวมองไปรอบๆ และเพิ่งตระหนักว่าตนนั่งอยู่ในห้องครัวของศูนย์บำบัด ปัญหาคือเขาไม่แน่ใจว่านั่งอยู่ตรงนี้นานเท่าไรแล้วนี่สิ
“คนไข้รออาจารย์อยู่นานแล้วนะคะ”
“ขอโทษครับ ผมจะรีบกลับเข้าไปเดี๋ยวนี้” เขาตอบพลางผุดลุกขึ้น และเดินตรงไปยังเคาน์เตอร์เพื่อจัดแจงธุระต่อให้เสร็จอย่างที่เคยทำ แต่เมื่อเห็นเขามัวแต่วุ่นวายกับการเปิดตู้นั้นตู้นี้ ดวงพรก็เอ่ยถาม คงไม่เข้าใจว่าเขามัวทำอะไร
“อาจารย์ทำอะไรคะนั่น”
“ชงชาให้คนไข้ไงครับ”
“ชงชา?” ดวงพรทวนคำอย่างงุนงง “ชงชาอะไรกันอีก เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนอาจารย์ชงไปให้คนไข้แล้วนี่”
ชายหนุ่มชะงักมือที่กำลังถือกา คิ้วเข้มขมวดมุ่นเข้าหากันอย่างทั้งแปลกใจและตกใจตัวเองเช่นกัน
“ผมชงให้คนไข้แล้วหรือ”
“ค่ะ ป้าเห็นอาจารย์คุณเดินไปชงให้คนไข้รายนี้เรียบร้อยแล้วนะ”
“ผมเนี่ยนะ แน่ใจหรือครับ”
“อ้าว ก็ต้องแน่ใจสิคะ อาจารย์ยังเดินถือแก้วชาผ่านหน้าป้าไปอยู่เลย ระหว่างคุยกับคนไข้ จู่ๆ อาจารย์ก็ขอตัวออกมาบอกว่าจะไปห้องน้ำ แต่อาจารย์ไปนานจนคนไข้ต้องมาถามหาอาจารย์จากป้า ให้ป้าช่วยไปตามอาจารย์ให้ที ป้าก็เลยต้องมาตามอาจารย์นี่แหละค่ะ”
“หรือครับ แปลกจริงที่ผมจำอะไรไม่ค่อยได้เลย ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าทำเรื่องพวกนั้นลงไป”
ดวงพรมองใบหน้าคมคายของชายหนุ่มอย่างห่วงใย
“อาจารย์โอเคหรือเปล่าคะ แน่ใจนะว่าไม่เป็นอะไร ท่าทางดูแปลกๆ ชอบกล”
ตรัยคุณพยักหน้า เสยเส้นผมอย่างกลุ้มๆ ในความหลงลืมของตนเอง สิ่งสุดท้ายที่เขามีสติพอจะจำได้ก็คือเพราะเวลางวดเข้าใกล้เวลาทำงานแล้ว เขาเลยรีบเข้ามาในออฟฟิศเลยโดยไม่ได้แวะกลับบ้าน เขาคุยกับคนไข้ในห้องทำงานของตนเอง แล้วจากนั้นเขาก็มานั่งโง่ๆ อยู่ในห้องครัว เหมือนคนลอยๆ เพิ่งตื่นจากฝัน
“ผมนอนน้อย แถมยังมีเรื่องให้ต้องคิด เช้านี้เลยทำอะไรแบบเบลอๆ ไม่ค่อยมีสติเท่าไร แต่ไม่เป็นไร ผมยังโอเค ยังไม่ถึงภาวะที่น่าเป็นห่วงอะไร ขอบคุณที่ห่วงใยครับ”
“ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดีค่ะ ทำงานเป็นนักจิตวิทยา วันๆ หนึ่งต้องรับฟังเรื่องราวของคนไข้มิรู้เท่าไรต่อเท่าไร ไม่แปลกถ้าจะมีเรื่องให้ต้องเครียดต้องคิด ยังไงถ้าไม่ไหวจริงๆ อาจารย์อย่าลืมนะคะว่ายังมีเพื่อนๆ ที่นี่ที่พร้อมช่วยเหลืออาจารย์อีกเยอะ อาจารย์ไม่ได้อยู่คนเดียว”
นักจิตวิทยาหนุ่มขอบคุณความห่วงใยจากดวงพร ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องทำงานที่ซึ่งคนไข้ของเขากำลังคอยอยู่ เขาต้องกล่าวขอโทษคนไข้หลายครั้งที่ปล่อยให้รอนาน แม้คนไข้จะไม่ถือสา แต่สำหรับตัวเขาเองนั้น เขากลับถือสาในความผิดนี้ การปล่อยให้คนไข้รอนั้นไม่ใช่วิสัยของมืออาชีพ เป็นข้อผิดพลาดที่เขาจะไม่ปล่อยให้มันเกิดขึ้นอีก
ก่อนอื่นเลยคงต้องพยายามสลัดเรื่องที่ทำให้จิตใจของเขาล่องลอยเช่นนี้ สาเหตุนั้นไม่ได้มาจากไหนเลย แต่มาจากแม่สาวตัวเล็กแต่เผ็ดแบบพริกขี้หนูอย่างวันเวลา เขามัวแต่คิดเรื่องเธอจนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
เมื่อเช้านี้เขาลืมตาขึ้นมาในห้องพักโรงแรม แทนที่จะมีร่างน้อยๆ คอยซุกตัวอยู่ในวงแขนของเขาเหมือนอย่างเมื่อคืน เขากลับนอนเคว้งคว้างอยู่คนเดียวบนเตียง วันเวลาจากไปแล้ว จากไปโดยไม่บอกกล่าวหรือล่ำลา ไม่แม้กระทั่งทิ้งโน้ตใดๆ ด้วยซ้ำ
เธอเคยบอกเขาว่าเธอจะลืมเรื่องที่เกิดขึ้นให้หมด แต่เขาก็ไม่คิดว่าเธอจะลืมได้เร็วขนาดนี้ บางทีก็เร็วจนเขาตั้งตัวไม่ทัน ใจจริงเขาก็อยากจะทำเป็นไม่สนใจ แต่ในความเป็นจริงเขาลืมเรื่องดังกล่าวไม่ได้ ส่วนหนึ่งอาจเพราะเขามีเรื่องบางอย่างต้องบอกเธอ...เรื่องเกี่ยวกับศึกรัก
ศึกรักอันหนักหน่วง นอกจากจะทำให้เมื่อยเนื้อเมื่อยตัวแล้ว ยังสร้างความยุ่งเหยิงให้แก่ห้องพักที่ใช้เป็นสนามรบอีกด้วย เพราะมีทั้งผ้าห่ม หมอน และเสื้อผ้าที่กระจัดกระจายทั่วห้อง ทว่าที่หนักกว่าเครื่องนอนทั้งหลายแหล่ก็คือถุงยางอนามัยใช้แล้วที่ถูกทิ้งเรี่ยราดตามพื้น วันเวลาเปิดเกมแบบต่อเนื่อง ไม่ปล่อยให้เขาได้มีเวลาพักหายใจหายคอ กว่าจะรู้ตัวอีกที อุปกรณ์ป้องกันก็เกลื่อนไปหมด เขาเลยต้องลุกขึ้นมาเก็บกวาดของพวกนั้น ก่อนที่แม่บ้านจะเข้ามาทำความสะอาดแล้วพานหัวใจวายเพราะความอุจาดลูกตาไปเสียก่อน ซึ่งในตอนที่เขากำลังเก็บกวาดขยะเหล่านั้น เขาก็ตระหนักถึงข้อผิดพลาดบางอย่าง เขาพบถุงยางอนามัยใช้แล้วชิ้นหนึ่งมีรอยฉีกขาดเล็กน้อย เขาไม่แน่ใจว่ามันขาดมาก่อนแล้ว หรือขาดหลังจากใช้ จึงพยายามหาคำตอบด้วยการไปตรวจสอบกล่องถุงยาง และเขาก็พบคำตอบที่สงสัย
บรรลัย...ถุงยางหมดอายุ
ตรัยคุณมึนตึ้บไปชั่วขณะ เขาสะเพร่าเองที่ไม่ทันตรวจสอบให้ดีก่อนนำมาใช้ แต่ก็นั่นละ มันใช่เรื่องไหมที่ร้านค้าจะนำสินค้าหมดอายุมาวางขายแบบนั้น แย่จนน่าร้องเรียนเสียให้เข็ด แต่ก่อนจะไปถึงขั้นนั้นคงต้องจัดการเรื่องเร่งด่วนกว่า เขาต้องบอกเรื่องนี้ให้วันเวลารู้ ต่อให้เขาจะมั่นใจว่าตนเองไม่มีโรคติดต่อ แต่อย่างน้อยเธอก็ควรมีสิทธิ์รู้ว่าเกิดเหตุไม่คาดฝันอะไรขึ้นเพื่อจะได้เตรียมตัวเตรียมใจถูก พอคิดได้อย่างนั้นหลังจากบำบัดคนไข้รายสุดท้ายของวันเรียบร้อย เขาจึงปราดมาหาดวงพรที่เคาน์เตอร์เพื่อถามหาเบอร์ติดต่อของวันเวลา
“หืม? อาจารย์อยากได้เบอร์ของคุณวิวหรือคะ”
คนถูกถามพยักหน้า
“ผมรู้ว่ามันอาจดูไม่เหมาะสมที่จะมาถามหาเบอร์ส่วนตัวจากคนไข้ ผมเองก็เคารพไพรเวซีของคนไข้นะ ถึงจะเป็นอดีตคนไข้ก็เถอะ แต่ครั้งนี้มันฉุกเฉินมากจริงๆ และผมไม่มีช่องทางที่จะติดต่อวิวได้ เลยจำเป็นต้องมารบกวนป้าเป็นการส่วนตัว ช่วยหาเบอร์เธอจากแฟ้มประวัติได้ไหมครับ...ขอร้องนะครับ แค่ครั้งนี้ครั้งเดียว”
ดวงพรเป็นมิตรที่ดีเสมอ ครั้นเขาชี้แจง ดวงพรก็ยินดีให้เบอร์ติดต่อของวันเวลามาทันที เกือบจะดีอยู่แล้วเชียว ถ้าไม่มีคำถามแถมท้าย
“มีเรื่องฉุกเฉินอะไรหรือคะ ท่าทางอาจารย์ร้อนใจเชียว”
“ผมไม่ได้ร้อนใจ” เขาปฏิเสธ ทั้งๆ ที่ยังพยายามต่อสายหาวันเวลาหลายสาย แต่อีกฝ่ายก็ไม่ยอมรับเลย
“ก็นี่แหละค่ะที่เรียกว่าร้อนใจ และไม่ใช่ร้อนใจธรรมดานะ เรียกว่าร้อนใจแบบสุดๆ” ดวงพรมองนักจิตวิทยาหนุ่มที่พยายามต่อสายโทรศัพท์วุ่นวายไปหมด รีบจนเกือบจะทำเครื่องมือสื่อสารหล่นลงพื้นแล้วด้วยซ้ำ “เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นใช่ไหมเนี่ย มีอะไรบอกป้าบ้างสิคะ เผื่อป้าช่วยได้”
“ขอบคุณครับ แต่ป้าช่วยไม่ได้หรอก เรื่องนี้ผมต้องคุยกับวิวเอง” เขาตัดบทกลายๆ และเดินห่างออกมา ไม่อยากให้ใครอื่นมารู้ ส่วนหนึ่งเพราะเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องส่วนตัว และอีกส่วนคือเขาอยากให้ป้าดวงยังคงเป็นป้าดวง ไม่ใช่กลายร่างเป็นป้าข้างบ้านที่ชอบสอดรู้สอดเห็นเรื่องชาวบ้านจนน่าเข็ดขยาด
หลังจากเพียรต่อสายได้สักพักใหญ่ๆ ในที่สุดตรัยคุณก็ได้ข้อสรุปว่าการไม่รับสายของวันเวลานั้นดูจะเป็นการตั้งใจมากกว่าไม่ตั้งใจ ไม่รู้ว่านั่นคือพฤติกรรม ‘ได้แล้วทิ้ง’ หรือเปล่า เขาเองก็ไม่อยากตามรบกวนเธอ แต่ทำอย่างไรได้ ในเมื่อเขาต้องแจ้งข่าวนั่น ดังนั้นเมื่อเธอไม่รับสาย ชายหนุ่มจึงตัดสินใจใช้วิธีการสุดท้าย นั่นคือการแวะไปหาวันเวลาที่บ้าน
ชายหนุ่มเตรียมแผนไว้ในใจ แต่เนื่องจากยังไม่ถึงเวลาเลิกงาน เขาจึงเอนหลังพักสายตาที่เก้าอี้ ตั้งใจว่าจะพักผ่อนสักสิบนาทีเพื่อให้คลายความอ่อนเพลียจากการอดนอน จะได้มีแรงเดินทางต่อไปยังบ้านวันเวลาเมื่อเลิกงาน ทว่าเหมือนเขาจะคิดผิด ในยามที่เขาหลับตาลง กว่าที่เขาจะรู้สึกตัวใหม่อีกครั้งก็เมื่อตอนที่ฟ้ามืดแล้ว และเขาเป็นคนเดียวที่ยังอยู่ในออฟฟิศ ส่วนคนอื่นๆ นั้นกลับบ้านไปกันหมดแล้ว เห็นได้จากบรรยากาศที่เงียบเชียบ วังเวง และหลอดไฟที่ดับสนิทเสียเป็นส่วนใหญ่ เหลือเพียงไฟดวงเล็กๆ ดวงสองดวงที่โถงทางเดินด้านนอกรำไรเท่านั้น
ดูนาฬิกาแล้ว...เขาไม่ได้หลับไปแค่สิบนาที แต่หลับไปถึงสองชั่วโมงกว่า
ตรัยคุณขยับตัวจากเก้าอี้ และพบว่าเนื้อตัวของเขาเปียกชื้นไปหมด โดยเฉพาะที่ฝ่ามือมันเปียกราวกับว่าเขาเพิ่งไปสัมผัสน้ำมา ดูเหมือนว่าเครื่องปรับอากาศในห้องของเขาจะไม่ทำงาน จึงทำให้ในห้องร้อนอบอ้าวจนเหงื่อท่วมกายเช่นนี้
ร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นยืน และหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเพื่อโทร. หาพี่สาว เขาตัดสินใจยกเลิกการเดินทางไปพบวันเวลา เพราะกว่าจะไปถึงคงยิ่งดึกดื่นไปกันใหญ่ จึงตั้งใจจะกลับบ้านของตนแทน ป่านนี้ตุลยาคงมาถึงแล้ว เพราะเธอบอกว่าจะเดินทางจากขนส่งไปรอเขาอยู่ที่บ้าน ซึ่งก็ไม่แน่ว่าตุลยาอาจจะพาวันเวลามาด้วยก็ได้เพราะสองสาวมีนัดกินข้าวกัน คิดได้อย่างนั้นเขาก็ใจชื้น คิดว่าคงหาเวลาจังหวะนั้นคุยกับวันเวลาได้
นักจิตวิทยาหนุ่มหยิบโทรศัพท์เพื่อโทร. หาตุลยา ทว่าหน้าจอก็แสดงเบอร์ที่เขาไม่ได้รับหลายสายขึ้นมาก่อน เป็นสายจากรชตนั่นเอง คงเพราะช่วงที่เขาหลับ เขาเผลอปิดเสียงและวางเครื่องมือสื่อสารห่างจากตัวเลยทำให้ไม่ทันรู้เลยว่ามีสายเข้า แต่ถึงจะรู้ว่ารชตโทร. มา เขาก็คงไม่รับสายฝ่ายนั้นอยู่ดี เพราะรู้อยู่แล้วว่าช่วงนี้รชตไม่มีธุระใด นอกจากมาตามตื๊อให้เขากลับไปร่วมทีมก็เท่านั้น ในเมื่อเขาปฏิเสธไปหลายครั้ง และรชตไม่เคยนำพา เขาก็คิดว่าจะไม่รับสายจากอีกฝ่ายเสียเลยเพื่อตัดปัญหา
ทว่าสายจากรชตคราวนี้ ทำให้เขานึกแปลกใจ ก็ตรงที่ว่ามันถี่และมากเกินกว่าปกติ ราวกับมีเรื่องด่วนอย่างไรอย่างนั้น ในขณะที่ชายหนุ่มกำลังชั่งใจอยู่ว่าจะโทร. กลับไปดีหรือไม่ ก็พอดีที่เขาได้ยินเสียงฝีเท้าเหมือนคนกำลังวิ่งเข้ามาในศูนย์บำบัด และเพียงไม่กี่วินาทีประตูห้องทำงานของเขาก็เปิดผางออก พร้อมกับการปรากฏตัวของรชตที่หน้าซีดเผือด และหอบหายใจถี่จากการออกแรงวิ่ง
“อาจารย์มาอยู่ที่นี่เอง ผมตามหาอาจารย์ตั้งนาน!”
ตรัยคุณเลิกคิ้วอย่างงุนงง ตั้งแต่รู้จักกันมา เขาไม่เคยเห็นรชตมีท่าทีลนลานขนาดนี้มาก่อนเลย
“ตามหาฉันทำไม มีเรื่องอะไรงั้นหรือ”
“มีสิครับ เรื่องใหญ่มากด้วย ผมโทร. หาอาจารย์ตั้งหลายสาย ทำไมอาจารย์ถึงไม่รับสายผมเลยล่ะ นี่ผมก็เพิ่งไปดูที่บ้านอาจารย์มา แต่อาจารย์ก็ไม่อยู่ที่นั่น โชคดีนะที่ผมลองเสี่ยงมาตามที่ศูนย์บำบัด ไม่งั้นผมคงไม่ได้พบอาจารย์หรอก”
“ฉันก็แค่เหนื่อยจนเผลอหลับไป เลยไม่ได้รับสาย ว่าแต่นี่แกลงทุนไปตามหาฉันที่บ้านด้วยหรือ”
“ใช่สิครับ วันนี้ผมต้องพบอาจารย์ให้ได้!”
“อะไรจะขนาดนั้น ไหนว่ามาซิว่าแกมีเรื่องอะไร ฉันหวังว่ามันจะใหญ่และด่วนพอคุ้มค่าเหนื่อยของแกนะ เรย์”
“คือว่าไอ้ชั่วนั่นมันออกล่าเหยื่อรายใหม่อีกแล้วครับ”
“แกหมายถึง...”
“ครับ โนเฟซ” รชตพยักหน้า ขบริมฝีปากอย่างเครียดจัด “เมื่อสักครู่มีผู้พบศพเหยื่อรายที่ห้าของโนเฟซถูกทิ้งที่ใต้สะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา”
“เรย์ ฉันเคยบอกไปแล้วนี่ว่า ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับคดีละก็ ฉันไม่...”
“ผมรู้ครับว่าอาจารย์ไม่อยากฟังเรื่องพวกนี้ แต่ครั้งนี้มันไม่เหมือนเดิม อาจารย์ต้องฟังสิ่งที่ผมจะพูด เพราะไม่อย่างนั้นอาจารย์อาจจะเสียใจไปตลอดชีวิต!” รชตโพล่งแทรกขึ้นทันควันแบบไม่เว้นวรรคหรือหายใจหายคอเลย ด้วยซ้ำ ซึ่งนั่นไม่ใช่นิสัยปกติของรชตเลย มันทำให้ตรัยคุณนึกสงสัยว่าสิ่งใดที่ทำให้รชตมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปเช่นนี้
“เสียใจไปตลอดชีวิตหรือ ทำไมถึงพูดแบบนั้น”
“เพราะเหยื่อรายที่ห้าของโนเฟซเป็นคนที่อาจารย์รู้จัก”
ชายหนุ่มชะงักค้าง ความจริงเรื่องเหยื่อเป็นคนที่เขารู้จัก ทำให้เลือดในกายของเขาแทบจับแข็งกะทันหัน
“แกหมายถึงใคร” แม้แต่น้ำเสียงที่ถามออกไปก็ยังโหวงพิกล ราวกับไม่ใช่เสียงของตัวเองด้วยซ้ำ
“อาจารย์ทำใจดีๆ นะครับ ครั้งนี้เราพบบัตรประชาชนของผู้ตาย” รชตเงียบไป ก่อนจะเปล่งเสียงอันสั่นเครือราว “ในบัตรระบุชื่อ...คุณตุลยา ตรีคุณากูร”
เมื่อได้ฟังชื่อ ดวงตาสีเข้มของตรัยคุณก็เบิกกว้าง ความหนาวยะเยือกจากการสูญเสียพุ่งจู่โจมเขาแบบไม่ทันได้ตั้งตัว
ไม่จริง พี่สาวของเขาคือเหยื่อรายล่าสุดของโนเฟซงั้นหรือ!
หลังจากได้รับแจ้งข่าวร้ายจากรชต เพียงไม่นานทางตำรวจก็โทรศัพท์มาประสานงานกับตรัยคุณถึงเรื่องดังกล่าวอีกครั้ง ในฐานะญาติของตุลยา เขาจึงต้องตามรชตไปยังที่เกิดเหตุเพื่อไปตรวจสอบว่าศพที่ถูกพบคือตุลยาจริงหรือไม่ เขาได้แต่หวังลึกๆ ว่าเหยื่อรายนั้นจะไม่ใช่พี่สาวของเขา ภาวนาว่าขอให้เกิดความเข้าใจผิดอะไรสักอย่าง แต่ความหวังของเขาก็พังทลาย เมื่อเขาเดินทางไปถึงสถานที่เกิดเหตุ
ใต้สะพานข้ามแม่น้ำที่บรรยากาศแทบจะมืดสนิทและเปลี่ยวเหงา มีร่างของหญิงสาวคนหนึ่งถูกคลุมผ้าขาวอยู่บนพื้น ตรัยคุณเดินผ่านเหล่าไทยมุง สื่อมวลชน และเจ้าหน้าที่ที่เคยทำงานร่วมกัน หลายคนทักทายเขา หลายคนให้กำลังใจเขา แต่เขาไม่มีกะจิตกะใจจะตอบอะไรกับใครเลย เพียงแค่ฝืนพยุงร่างกายให้เดินต่อได้ก็ยากเต็มที สมองเขาตื้อตันแทบคิดอะไรไม่ออก ในขณะที่เดินตรงไปหาร่างอันไร้ลมหายใจที่รอเขาอยู่
ผู้กำกับชยันต์ หัวหน้าทีมสืบสวนคดีของโนเฟซ ยืนคอยท่าเขาอยู่ใกล้ๆ ศพอยู่แล้ว เมื่อตรัยคุณเดินเข้ามาใกล้ ฝ่ายนั้นก็ยกบัตรประจำตัวประชาชนพร้อมกระเป๋าเงินที่ถูกเก็บใส่ซองพลาสติกเป็นหลักฐานให้เขาดู
“ผมรู้ว่ามันยาก แต่ครั้งนี้ผมต้องการความช่วยเหลือจากอาจารย์ อาจารย์ช่วยยืนยันให้หน่อยครับว่าผู้ตายคือคุณตุลยาจริงๆ ตามบัตรประชาชนที่เราพบหรือเปล่า”
ส่วนที่ยากยิ่งกว่าการรับฟังข่าวร้ายว่าพี่สาวของเขาเสียชีวิตแล้ว ก็คือการต้องมาดูศพว่าใช่เธอหรือเปล่า ในยามที่เจ้าหน้าที่เลิกผ้าคลุมขึ้นและเขามองเห็นสภาพศพนั้น ภาพที่เห็นก็ทำให้ลมหายใจของเขาแทบหยุดตามไปด้วย
ศพของหญิงสาวนอนทอดกายเปลือยเปล่า ที่ใบหน้าและเส้นผมเปียกโชกราวกับถูกกดให้จมน้ำ บริเวณลำคอมีรอยเขียวช้ำราวกับถูกบีบเค้นอย่างแรง และที่สะเทือนใจที่สุดก็คงจะเป็นส่วนของใบหน้า ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยบาดแผลฉกรรจ์จากการถูกสับด้วยของมีคมจนเละเทะ ถึงขนาดไม่เหลือสภาพว่าเคยเป็นใคร ไม่สิ ไม่เหลือสภาพว่าเคยเป็นมนุษย์ด้วยซ้ำ แน่นอนว่ามันยากมากที่จะดูให้ออกว่าผู้หญิงคนนี้คือพี่สาวของเขาหรือไม่ หากดูจากรูปร่างและสไตล์การแต่งกายก็ถือว่าคล้ายมาก แต่เขาก็ยังอยากตรวจดูให้ละเอียดอีกหน่อย
ต้องหาให้เจอ...อะไรก็ได้ที่จะพิสูจน์ว่าศพนี้แค่เพียงคล้าย แต่ไม่ใช่ตุลยา
ตรัยคุณคิดหวังอย่างลมๆ แล้งๆ เขาขอให้เจ้าหน้าที่พลิกศพเพื่อดูแผ่นหลังของหญิงสาว และเมื่อเขาได้ดูแผ่นหลังของเธอคนนี้ เขาก็ไม่สามารถเก็บกลั้นความโศกเศร้าเอาไว้ได้ ถึงขนาดเข่าอ่อน ทรุดฮวบลงกับพื้นเคียงข้างร่างอันเย็นชืดของสาวเจ้า
รอยแผลเป็นขนาดใหญ่ปรากฏอยู่บนแผ่นหลังอันขาวซีด เห็นเพียงเท่านั้นเขาก็แน่ใจว่าผู้เคราะห์ร้ายคือใคร จะเป็นใครอีก นอกจากตุลยา พี่สาวที่คอยปกป้องเขาเสมอมา เธอไม่เคยลังเลที่จะปกป้องเขาเลย แม้กระทั่งในตอนที่เป็นเพียงเด็กตัวเล็กๆ เธอก็ยังอุตส่าห์เสียสละ ใช้ตนเองเป็นโล่กำบังจากคมเขี้ยวสุนัขจรอันดุร้ายแถวหมู่บ้านที่พยายามจะเข้ามารุมทำร้ายเขา จนตัวเธอบาดเจ็บและมีแผลเป็นมาถึงทุกวันนี้ ตั้งแต่วันนั้นมา เขาก็ตั้งมั่นอยู่ในใจว่าเมื่อเขาเติบโตและแข็งแรงกว่านี้ เขาจะเป็นฝ่ายปกป้องพี่สาวคนนี้บ้าง
ทว่า...วันนี้เขาไม่มีโอกาสอีกแแล้ว เพราะเธอจากเขาไปตลอดกาล
“พี่ตุล...พี่ตุล”
ตรัยคุณไม่รู้ว่าตนร้องเรียกชื่อพี่สาวไปกี่ครั้ง อาจจะนับร้อยนับพันครั้งเลยก็ว่าได้ ก่อนหน้านี้เขาเคยปลอบใจผู้คนที่สูญเสียคนที่ตนเองรักมามากมาย แต่พอถึงคราวตนเอง เขากลับทำอะไรไม่ถูก การรับมือกับความสูญเสียในเชิงทฤษฎีกับในความเป็นจริงมันต่างกันมากจริงๆ เขาจะทำใจยอมรับอย่างรวดเร็วได้อย่างไร จะมองว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาที่คนเราต้องตาย กระทั่งคนข้างหลังต้องพยายามทำความเข้าใจได้อย่างไร ในเมื่อหัวใจของเขาเจ็บปวดเจียนจะตายตามอยู่รอมร่อ
พี่สาวของเขาต้องมาอยู่ในสภาพแบบนี้ ไม่เหลือแม้แต่ใบหน้าในช่วงสุดท้ายของชีวิตให้เขาได้จดจำ ทั้งยังต้องทนนอนหนาวอยู่ข้างทาง คนที่ทำกับพี่สาวเขาขนาดนี้ได้ มันต้องไม่ใช่มนุษย์ จะเรียกว่าเดนมนุษย์ก็ยังฟังดูดีเกินไปด้วยซ้ำ!
ดูเหมือนว่าอาการโศกเศร้าของตรัยคุณคงจะเป็นคำตอบที่แน่ชัดแล้วว่าเหยื่อรายนี้เป็นใคร ผู้กำกับชยันต์จึงพยักหน้าให้แก่ทีมเพื่อนำสิ่งของบางอย่างมามอบให้เขา
“ทีมเจ้าหน้าที่พบสิ่งนี้ครับ มันอยู่ในกระเป๋าย่ามของผู้ตาย”
ชายหนุ่มรับของมาด้วยมืออันสั่นเทา ของที่ถูกมอบมาให้เป็นกล่องพลาสติกสำหรับบรรจุอาหารสองกล่อง ข้างในนั้นมีน้ำพริกหน้าตาน่ารับประทานถูกบรรจุอยู่เต็มกล่อง บนฝากล่องมีกระดาษถูกเขียนด้วยลายมือของตุลยา แปะติดไว้เพื่อบอกชื่อน้ำพริกอย่างใส่ใจ
‘น้ำพริกมะขามผัด’ และ ‘น้ำพริกปลาทูคั่ว’
ภาพความทรงจำในวันที่เขาโทรศัพท์และแชตคุยกับตุลยาถึงเรื่องของฝากและการแซวเล่นกันเรื่องน้ำพริกหวนกลับมาในความนึกคิด ใครจะคิดว่านั่นจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาได้มีโอกาสหัวเราะไปพร้อมกับตุลยา
ตรัยคุณเก็บกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เขากอดกล่องสองใบนั้นไว้แนบอกแล้วร่ำไห้ เฝ้าเรียกหาคนที่จากไปอยู่เช่นนั้น แต่เรียกกี่ครั้ง เขาก็ไม่ได้ยินเสียงของตุลยาตอบกลับมาอีกแล้ว...ไม่ได้ยินอีกแล้วตลอดกาล
‘เลขหมายที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้...’
อีกครั้งแล้วที่วันเวลาไม่ประสบความสำเร็จในการติดต่อหาตุลยา แต่เดิมตุลยานัดเธอไว้ว่าค่ำนี้จะไปรับประทานอาหารด้วยกัน ตอนแรกเธอก็ตั้งใจจะไป เพราะคิดถึงและอยากเจอตุลยา แต่หลังเกิดเหตุการณ์ระหว่างเธอกับตรัยคุณแล้ว วันเวลาก็ไม่อยากไปตามนัดอีก เธอกลัวว่าตรัยคุณจะโผล่ไปร่วมนัดนี้ด้วย เพราะอย่างไรเสียสองคนนี้ก็เป็นพี่น้องกัน พักอาศัยอยู่บ้านเดียวกัน การเลี่ยงที่จะไม่เจอหน้าตรัยคุณคงเป็นเรื่องยาก ในเมื่อเธอไม่อยากเจอเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เห็นนิมิตว่าเขาเป็นฆาตกรต่อเนื่อง ฉะนั้นเธอจึงตั้งใจว่าจะยกเลิกนัดตุลยาเสีย จะได้ไม่ต้องปล่อยให้พี่สาวคนดีต้องคอยเก้อ ทว่าเพียรโทร. หากี่ครั้งก็โทร. ไม่ติดเลย ทั้งๆ ที่ดูจากเวลาแล้วตุลยาน่าจะถึงกรุงเทพฯ แล้ว
หญิงสาวกำลังสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นหรือไม่ ก็พอดีที่สายตาเหลือบไปเห็นข่าวด่วนในโทรทัศน์ เธอจะไม่สนใจเลย หากว่าในข่าวนั้นไม่รายงานข่าวเกี่ยวกับคดีฆาตกรรมต่อเนื่องของโนเฟซ
เหยื่อรายที่ห้า...นางสาวตุลยา ตรีคุณากูร ถูกพบเป็นศพใต้สะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา!
ลำพังได้ยินชื่อเหยื่อ หญิงสาวก็ช็อกแล้ว แต่การที่เห็นว่าผู้สื่อข่าวแพนกล้องไปยังชายหนุ่มตัวโตคนหนึ่งซึ่งกำลังทรุดตัวร้องไห้ปานจะขาดใจในที่เกิดเหตุ ทำให้เธอชะงักค้าง รู้สึกหนาวสะท้านไปทั่งสรรพางค์กาย นั่นตรัยคุณไม่ใช่หรือ
ลำคอผู้เฝ้ามองแห้งผาก สติการรับรู้ของวันเวลาเหมือนถูกชอร์ตให้หยุดการทำงานไปชั่วขณะ จนเผลอปล่อยโทรศัพท์หล่นลงพื้น ความรู้สึกหวาดกลัวปนสยดสยองแบบเดิมๆ เหมือนที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วยามที่เธอสัมผัสตัวตรัยคุณและเห็นภาพว่าเขาทำอะไรลงไป หวนกลับมาทำร้ายเธออีกครั้ง คราวนี้รุนแรงจนเธอแทบจะทรงตัวยืนไม่อยู่ ต้องนั่งพับเพียบลงกับพื้นอย่างคนหมดเรี่ยวแรง
ตุลยาถูกโนเฟซฆ่า...แล้วโนเฟซที่ว่าก็คือตรัยคุณ
เขาลงมือฆ่าพี่สาวของเขาเองงั้นหรือ แต่ทำไมกัน...แล้วถ้าฆ่า ทำไมเขาถึงกล้าร้องไห้ต่อหน้าศพได้ คงเป็นแค่การแสดงสินะ แต่การแสดงแบบนี้ช่างน่ากลัวมาก ตรัยคุณเป็นอะไร เขาป่วย หรือมีเหตุผล อุดมการณ์อะไร จึงตัดสินใจทำเรื่องโหดร้ายขนาดนี้ได้ลงคอ
วันเวลาซบหน้าลงกับฝ่ามือและร้องไห้ แม้จะไม่ใช่ญาติโดยสายเลือด แต่ตุลยาก็เปรียบเสมือนพี่สาวของเธอคนหนึ่ง การที่หล่อนจากไปก็เท่ากับเธอสูญเสียสมาชิกในครอบครัวด้วย สูญเสียเพราะฝีมือของคนใกล้ตัวที่เธอเคยรู้สึกดีๆ ให้ด้วยซ้ำ
ยิ่งคิดก็ยิ่งกลัว...ถ้าพี่สาวแท้ๆ ยังฆ่าได้ แล้ว ‘คนอื่น’ อย่างเธอจะรอดหรือ!
ความคิดเห็น |
---|