๖
บัวลอยไข่หวาน
วันต่อมาวันเวลาก็ยุ่งกับการขายของแทบทั้งวัน เธอวิ่งหน้าวิ่งหลังรับออร์เดอร์และนำสินค้าไปส่งที่ไปรษณีย์ แต่เพราะกลับมาช้า เธอเลยต้องกล่าวขอโทษขอโพยลูกจ้างสาวที่คอยดูแลแววดาวอยู่ที่บ้าน
“ขอโทษที่พี่กลับมาช้านะ กระถิน พอดีคิวที่ไปรษณีย์ยาวมากๆ เลย รอนานเลยสิเรา” แม่ค้าสาวที่เพิ่งเสร็จภารกิจส่งของยิ้มแห้งอย่างรู้สึกผิด
วันนี้ออร์เดอร์ทางอินเทอร์เน็ตไม่เยอะมาก เธอเลยไม่ได้ให้ไปรษณีย์นำรถมารับสินค้าที่บ้าน แต่ใช้วิธีขนสินค้าไปส่งที่ไปรษณีย์ด้วยตนเอง แต่ก็เหมือนจะคิดผิด เพราะแทนที่จะเร็วกลับช้ากว่าเสียนี่ เหตุเพราะคิวที่โน่นยาวเป็นหางว่าว กว่าจะทำธุระเสร็จ และขับรถกลับมาถึงบ้าน ก็เป็นเวลามืดค่ำแล้ว ลำบากกระถินต้องช่วยดูแลมารดาของเธอแบบล่วงเวลาอีกวัน จนกว่าวันเวลาจะกลับมาที่บ้านและเปลี่ยนเวรดูแลกัน
“ไม่เป็นไรค่า พี่วิว ไม่ได้รอนานเลยค่ะ หนูกับป้าแววยังคุยกันสนุกอยู่เลย”
ถึงกระถินจะตอบเช่นนั้น แต่วันเวลาก็เกรงใจอยู่ดี เธอจึงพยายามจะจ่ายค่าล่วงเวลาให้ แต่ลูกจ้างสาวไม่ยอมรับอีกตามเคยด้วยความเกรงใจ เธอจึงต้องเปลี่ยนจากเงินเป็นแบ่งอาหารและขนมให้กระถินนำกลับไปรับประทานที่บ้าน พอทำเช่นนั้นกระถินเลยสบายใจที่จะรับขึ้นมาหน่อย
“เมื่อกี้หนูให้ป้าแววกินยารอบเย็นไปแล้ว พี่ไม่ต้องให้ยาป้าเพิ่มอีกแล้วนะ เดี๋ยวจะซ้ำซ้อนกลายเป็นโอเวอร์โดส ระวังจะอันตราย” กระถินบอกอย่างห่วงใย ขณะสะพายเป้ขึ้นบ่าเพื่อเตรียมจะกลับบ้าน โดยมีวันเวลาเดินตามมาส่งที่หน้ารั้วเหมือนเช่นทุกวัน
“จ้ะ พี่จะระวัง ว่าแต่กระถินเถอะ นี่ก็มืดแล้วกลับบ้านได้หรือ”
“ได้สิคะ”
“ได้แน่หรือ นี่มันเลตกว่าเวลาเลิกงานปกติแล้วนะ” นายจ้างสาวมองท้องฟ้ายามค่ำคืนอย่างกังวล บ้านของกระถินอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ก็จริง เพียงขึ้นรถเมล์ต่อเดียวและเดินเข้าซอยไปอีกหน่อยก็ถึงแล้ว ทว่าในช่วงที่สถานการณ์ไม่ปกติ มีแต่ข่าวอาชญากรรมอุกอาจเช่นนี้ เธอรู้สึกเป็นห่วงกระถินแล้วสิ เพราะรู้มาว่าในการเข้าซอยบ้าน กระถินจะต้องเดินเท้าเข้าซอยที่เปลี่ยวอยู่พอสมควร
“ช่วงนี้พี่ดูข่าว มีแต่ข่าวผู้หญิงโดนทำร้าย ที่น่ากลัวที่สุดก็คือไอ้ฆาตกรต่อเนื่องโนเฟซอะไรนั่นก็ยังลอยนวลอยู่ เหมือนมันจะเลือกฆ่าเหยื่อที่เป็นผู้หญิงด้วย พี่เป็นห่วงจริงๆ นะ พี่ว่าวันนี้กระถินไปรถพี่ดีกว่า เดี๋ยวพี่ไปส่งเอง”
“ถ้าพี่เอารถออก แล้วป้าแววจะอยู่กับใคร พี่ทิ้งป้าแววไว้ที่บ้านคนเดียวไม่ได้นะคะ”
“ก็ใช่ แต่ให้แม่ไปด้วยกันก็ได้มั้ง หรือไม่ก็...เอาไงดี เดี๋ยวพี่เรียกแท็กซี่ให้ดีไหม กระถินจะได้ไม่ต้องเดินเข้าซอย ให้แท็กซี่ไปส่งถึงบ้านเลยน่าจะปลอดภัยกว่า”
กระถินยิ้มกว้าง ก่อนจะส่ายหน้า
“ไม่เป็นไรค่ะ หนูไม่อยากรบกวนพี่วิว แท็กซี่ก็ใช่ว่าจะถูกๆ อีกอย่างวันนี้หนูไม่ได้กลับคนเดียวสักหน่อย”
วันเวลาเลิกคิ้ว ยังไม่ทันได้ถามอะไรต่อ รถจักรยานยนต์คันหนึ่งก็โฉบมาจอดที่หน้ารั้วบ้านของเธอ ก่อนที่ชายคนขับหน้าตาเรียบๆ ย้อมผมสีทองแสบตา มาดแบบวัยรุ่นสร้างตัว จะบีบแตรปี๊บๆ แทนคำตอบ
“วันนี้แฟนหนูมารับค่ะ” กระถินเฉลยเขินๆ ในขณะที่ชายขี่รถจักรยานยนต์โบกมือให้กระถิน ก่อนจะยกมือไหว้วันเวลาด้วย
เธอเพิ่งเคยเห็น ‘สันต์’ แฟนของกระถินตัวจริงก็คราวนี้ ที่ผ่านมาฟังจากเรื่องเล่าตลอด ได้ข่าวว่าทั้งคู่รู้จักกันเพราะผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายเป็นผู้แนะนำให้ คบหากันได้ราวๆ สามปีแล้ว แต่ช่วงปีที่ผ่านมาแฟนของกระถินต้องไปทำงานต่างถิ่นเพื่อเก็บเงินมาสู่ขอ ไม่นึกเลยว่าจะกลับมาเร็วขนาดนี้ นี่แปลว่าคงเก็บเงินได้ครบตามจำนวนแน่เชียว จึงได้กลับมา ครั้นวันเวลากระเซ้าเรื่องนี้ไป กระถินก็หน้าแดง ยอมรับว่าฝ่ายนั้นขยันขันแข็ง เร่งเก็บเงินจนได้ครบแล้วจริงๆ
“ถ้าอย่างนั้นอีกไม่นานคงมีข่าวดีสิ พี่จะรอไปงานแต่งของกระถินนะ”
“หนูเขินนะเนี่ย งานแต่งของหนูน่ะมีตอนไหนไม่รู้ บางทีงานของพี่วิวอาจมาแรงแซงทางโค้งก็ได้”
“พูดไป๊ จะมีได้ไง ของพี่น่ะยังไม่เห็นแม้แต่เงาเจ้าบ่าวเลย”
“อย่าถอดใจสิคะ เดี๋ยวก็มาเองนั่นแหละ”
“เอาเถอะๆ เอาเรื่องกระถินก่อนดีกว่า ถ้ามีแฟนมารับแบบนี้ก็ดีแล้ว เวลากลับบ้านกลับช่อง ต่อไปนี้พี่จะได้สบายใจหายห่วงสักทีเนอะ” หญิงสาวพูดอย่างใจชื้น เธอโบกมือลาคู่รักที่ซ้อนรถจักรยานยนต์จากไปด้วยรอยยิ้ม
บรรยากาศของความรักมันดีเช่นนี้เอง ชื่นมื่น อิ่มเอม และอบอุ่น เมื่อไรหนอที่เธอจะมีโอกาสอยู่ในบรรยากาศแบบนั้นบ้าง ความรักที่แท้จริง ความรักที่ปราศจากการหลอกลวงเหมือนอย่างที่เธอเคยเจอมา ในชีวิตนี้เธอจะได้พบสักครั้งไหมนะ
ปี๊บ~
เสียงโทรศัพท์มือถือดังเป็นสัญญาณว่ามีข้อความเข้า เป็นข้อความเตือนนัดจากศูนย์บำบัดนั่นเอง
‘พรุ่งนี้เวลา ๑๕.๓๐ น. คุณมีนัดบำบัดกับ อ.ตรัยคุณ คอนเฟิร์มนัดไหมคะ’
ข้อความนัดดังกล่าวดึงสติเธอให้กลับสู่ความเป็นจริง จริงสินะ เธอจะมัวน้อยใจในชะตารักเพื่ออะไร ตอนนี้เธอมีเรื่องที่ต้องโฟกัสมากกว่าไม่ใช่หรือ เธอต้องทำภารกิจกู้คืนสัมผัสพิเศษให้สำเร็จ ส่วนเรื่องความรักนั่นน่ะ...
วันเวลาพิมพ์ข้อความตอบศูนย์ไปว่าคอนเฟิร์มนัด ก่อนจะเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าด้วยรอยยิ้มน้อยๆ เป็นรอยยิ้มของผู้ที่ยังมีหวังในชีวิต
ไม่วันใดก็วันหนึ่งข้างหน้า สักวันเธอต้องพบมันแน่...ความรักจริงแท้ที่คู่ควร เธอต้องพบแน่ เธอเชื่ออย่างนั้น
นี่มันวันรวมตลกสามช่าหรืออย่างไร!
ตรัยคุณตั้งคำถามกับตัวเองอย่างเหนื่อยๆ วันนี้เขาต้องพบเรื่องตลกที่ตลกไม่ค่อยออกตั้งแต่เช้า นับตั้งแต่เรื่องที่ล้านนาทีแบ่งสบู่หมีหวานที่ซื้อมาจากวันเวลาให้เขาตั้งหนึ่งขวด ต่อให้เขาจะไม่มีหมี แต่เขาก็หนีมันไม่พ้นจริงๆ ทั้งๆ เขายืนยันว่าไม่ขอรับ แต่ล้านนาทีก็บังคับกึ่งๆ ยัดเยียดมาให้เขาเสียอย่างนั้น พอตกเที่ยงเขาก็เลยต้องส่งข้อความไปบอกตุลยา ว่ามีของขวัญจะให้ พอรู้ว่าของที่จะให้เป็นสบู่ดังกล่าว ตุลยาก็โทรศัพท์มาเฉ่งเขา
‘บ้าจริง! นี่เราหาว่าพี่หมีเหม็นงั้นเรอะ!’
ตอนนั้นเขากำลังนั่งรับประทานอาหารเที่ยงอยู่ในร้านแฟมิลี่เรสเตอรองค์ใกล้ออฟฟิศ เสียงของตุลยาขึ้นชื่อเรื่องความดังกัมปนาทมาแต่ไหนแต่ไร แน่นอนว่าเสียงของพี่สาวและคำว่า ‘หมีเหม็น’ มันดังลอดจากโทรศัพท์ที่เปิดลำโพงไว้ ทำให้คนในร้านพากันหันมองที่เขาแล้วหัวเราะคิกคักกันใหญ่ แม้ต่อมาตุลยาจะหัวเราะก๊าก เฉลยว่าเธอไม่ได้โกรธเขาจริงๆ เพียงแค่ล้อเล่นเท่านั้น และเธอยินดีจะรับสบู่ไว้ แต่ก็ไม่ทันกาลแล้ว เพราะตอนนี้เขาตกเป็นเป้าสายตาของคนทั้งร้าน ต่อไปเขาคงต้องเลี่ยงการมารับประทานอาหารที่ร้านนี้สักพักแล้วละ
ชายหนุ่มคิดว่าเรื่องตลกที่ไม่ตลกเหล่านี้จะจบสิ้นแล้ว แต่ก็เปล่า เพราะเมื่อเขารับประทานอาหารเสร็จ และกลับเข้ามาทำงานต่อในภาคบ่าย เขาก็เห็นวันเวลานั่งรอเขาอยู่ในล็อบบีอยู่แล้ว ทั้งๆ ที่อีกตั้งหลายชั่วโมงกว่าจะถึงคิวนัดของเธอ แต่พอเห็นหน้าเขา เธอก็ยิ้มแป้นแล้นจนเห็นลักยิ้ม ดูกระตือรือร้นที่จะพบเขาเหลือเกิน
“วิวใจร้อน อยากมาบำบัดกับพี่คุณเร็วๆ เลยรีบมาก่อน กลัวไม่ทัน” วันเวลาตอบข้อสงสัย ก่อนจะเป็นฝ่ายถามต่อบ้าง “แล้วใช้ดีไหมคะ”
“ใช้ดีอะไร”
“ก็สินค้าของวิว สบู่หมีหวานไงคะ เมื่อกี้วิวเจอคุณที เธอบอกว่าเธอให้สบู่พี่คุณไปลองใช้ขวดหนึ่งด้วย พี่คุณใช้แล้วเป็นยังไงบ้าง รีวิวสินค้าให้วิวหน่อยสิ จะว่าไปพี่คุณเป็นลูกค้าผู้ชายรายแรกเลยน้าที่ได้ลองสินค้าของวิว วิวอยากรู้ว่าได้ผลดีเหมือนผู้หญิงใช้ไหม”
ตรัยคุณมีสีหน้าอยากจะบ้าตาย บรรยากาศมันชวนให้นึกถึงเหตุการณ์ในร้านอาหารเมื่อครู่เลย เพราะทันทีที่วันเวลาถามเสร็จ ทั้งเจ้าหน้าที่และคนไข้ที่มานั่งรอแถวนั้นก็มองมาที่เขาเป็นตาเดียวแล้วซุบซิบ
“เหลวไหล วิว พี่ไม่ได้ลองใช้”
“อ้าว วิวนึกว่าพี่จะลองใช้เอง เพราะจริงๆ มันก็ไม่ได้มีข้อห้ามห้ามผู้ชายใช้นะ”
“เธอทำพี่ปวดหัวนะ วิว พี่จะใช้เพื่ออะไร ก็บอกแล้วไงว่าพี่ไม่มี...”
“พี่ไม่มีหมี ใช่ค่ะ แต่ที่จริงวิวปรับชื่อสินค้าใหม่ให้เข้ากับพี่ได้นะ เอ...ก็อย่างจากสบู่หมีหวาน เป็นสบู่ไข่หวานก็ได้มั้ง แหม พูดแล้วหิว อยากกินบัวลอยไข่หวานขึ้นมาเลย” พูดเสร็จคนออกไอเดียก็หัวเราะสดใส ทำให้คนที่อยู่แถวนั้นเกือบจะกลั้นขำไม่อยู่ไปด้วย ส่วนคนที่เป็นประเด็นน่ะหรือ ได้แต่ส่ายหน้าแล้วหนีกลับเข้าห้องทำงานของตนทันที
ตลกกันเข้าไปเถอะ เป็นสาวเป็นแส้ทะลึ่งตึงตังขนาดนี้ ถ้ายังอยู่ข้างบ้านกันเหมือนก่อน เขาจะรายงานน้าแววดาวให้ทำโทษเด็กทะลึ่งเสียให้เข็ด!
ดอกเตอร์หนุ่มถอนหายใจอย่างเอือมๆ กลับเข้ามาในห้องก็เจอขวดสบู่ที่ว่าวางอยู่บนโต๊ะอีก เห็นแล้วก็ชวนนึกถึงหน้าแม่ค้า พอนึกถึงหน้าแม่ค้าก็จะพานนึกถึงจูบไม่ประสากับคำขอมีความสัมพันธ์ทางกายนั่นขึ้นมา จนบัดนี้เขายังไม่รู้เลยว่าวันเวลาทำเรื่องพวกนั้นไปเพื่ออะไร อาจจะเป็นอารมณ์ชั่ววูบหรือความคึกคะนองก็ตามที เขาเองก็อยากหาสาเหตุให้พบ แต่คงไม่ใช่ตอนนี้
ตรัยคุณเก็บขวดสบู่ลงลิ้นชัก และเริ่มทำงานตามปกติ พบคนไข้สองรายในช่วงบ่าย ก่อนจะปิดท้ายด้วยรายที่สามซึ่งเป็นรายสุดท้ายของวันนี้ และเป็นรายที่ยากที่สุดด้วย ที่บอกว่ายาก ไม่ใช่เพราะปัญหาเธอมันยากหรือซับซ้อน แต่เพราะวันเวลาเป็นคนไข้ที่เขาดีลด้วยยากที่สุดแล้ว
“วิวมาแล้วค่ะ พี่คุณ” หญิงสาวยิ้มหวาน เดินปรี่เข้ามาในห้องแล้วนั่งแหมะลงบนเก้าอี้แบบพร้อมสุดๆ คงคอยท่าที่จะเข้ามาหาเขานานแล้ว “เราพบกันอีกครั้งแล้วนะคะ”
“ใช่ เราพบกันอีกครั้งแล้ว” นักจิตวิทยาหนุ่มพยักหน้า “และครั้งนี้พี่ก็คาดหวังมากด้วยสิ”
ที่บอกว่าคาดหวัง เพราะที่ผ่านมาวันเวลาไม่ได้แสดงความสนใจในการบำบัดเท่าไร ขอความร่วมมืออะไรก็ไม่ยอมทำสักอย่าง เหมือนเธอใช้การบำบัดเป็นข้ออ้างเพื่อมาพบเขาเฉยๆ ครั้งนี้เขาจึงคาดหวังว่าเธอจะเปลี่ยนท่าทีและหันมาสนใจการบำบัดอย่างจริงๆ จังๆ บ้าง จะว่าเป็นโอกาสครั้งสุดท้ายก็ได้ เพราะเขาไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องเสียทั้งเงินและเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์
“ครั้งก่อนพี่ให้การบ้านเธอไปทำ วันนี้ได้ทำมาส่งพี่ไหม”
“การบ้านหรือคะ”
“ครับ พี่ให้วิวไปวางแผนการใช้ชีวิต ทำเช็กลิสต์ของตัวเอง รวมถึงเขียนบรรยายความรู้สึกของเหตุการณ์ในแต่ละวันไง พี่คาดหวังมากนะว่าวันนี้วิวจะมีการบ้านมาส่งพี่ ได้ทำมาส่งพี่ไหม”
“อ้อ เรื่องการบ้าน...” คนไข้สาวยิ้มแหย “วิวลืมทำมาอีกแล้ว ขอโทษนะคะ”
“ลืมทำหรือไม่อยากจะทำกันแน่”
“ไม่อยากทำ เอ๊ย ลืมค่ะ วิวยุ่งเลยลืมจริงๆ ขอเป็นครั้งหน้าได้ไหม ครั้งหน้าวิวจะทำมาส่ง”
“ขอเป็นครั้งหน้า เธอพูดแบบนี้มากี่รอบแล้วฮึ พี่ว่าเราพอแค่นี้ดีกว่า”
“อย่าพูดแบบนั้นสิคะ พอเพออะไรกัน วิวอยากบำบัดกับพี่คุณ”
“เธอไม่ได้อยากบำบัดกับพี่จริงๆ หรอกวิว ที่ผ่านมาเธอไม่เคยใส่ใจเรื่องบำบัดนี่เลยสักครั้ง ไม่แม้แต่จะให้ความร่วมมือด้วยซ้ำ พี่ไม่รู้ว่าเธอมีอะไรในใจ แต่อย่าทำแบบนี้เพราะเราจะเสียหายด้วยกันทั้งคู่ เธอเสียเวลาและเสียเงินไปโดยใช่เหตุ ส่วนพี่ก็เสียโอกาสที่จะได้ไปบำบัดรักษาคนไข้คนอื่น คนที่อยากจะบำบัดกับพี่ด้วยใจจริง” ตรัยคุณพูดพลางถอนหายใจก่อนขยับมือไปที่อินเตอร์คอมบนโต๊ะ “เดี๋ยวพี่จะคุยกับป้าดวงเรื่องเงินคืนให้เธอ ถ้าทางศูนย์ไม่สามารถจ่ายคืนให้ครบได้ พี่จะใช้คืนส่วนที่ขาดไปเอง ยังไงเธอก็จะได้เงินคืนครบเต็มจำนวน”
พอได้ยินอย่างนั้นวันเวลาก็มีท่าทีตื่นตกใจ เธอตะปบมือของชายหนุ่มไม่ให้เขากดอินเตอร์คอม
“พี่คุณทำแบบนี้ไม่ได้นะคะ!”
“ทำไมล่ะ ในเมื่อพี่คืนเวลาที่เธอเสียไปให้ไม่ได้ อย่างน้อยก็ขอให้พี่ได้คืนเงินให้ เราบำบัดกันไม่จบคอร์ส และที่ผ่านมาเธอก็คงไม่ค่อยได้อะไรกลับไปอยู่แล้ว เธอควรจะได้รับเงินที่จ่ายไปคืนแบบเต็มจำนวน”
“ช่างเรื่องเงินเถอะค่ะ วิวไม่ได้สนใจเรื่องนั้น วิวสนใจเรื่องที่พี่คุณพูดเมื่อกี้ต่างหาก พี่จะทำแบบนี้ไม่ได้นะ จะเลิกบำบัดวิวกลางคันแล้วลอยแพวิวหรือยังไง”
“พี่ไม่เคยลอยแพคนไข้กลางคัน ไม่เคยเลยสักครั้ง” เขาโต้อย่างปวดใจที่ถูกกล่าวหา “แต่สำหรับเธอเป็นข้อยกเว้น เพราะอย่างที่บอกเธอไม่ได้ตั้งใจบำบัดกับพี่ตั้งแต่แรก มันเสียเวลานะพี่ให้โอกาสเธอมาก็หลายครั้งแล้ว ทำไมไม่พูดมาเลยล่ะว่าเธอต้องการอะไร พี่ไม่ได้โง่ขนาดจะดูไม่ออกว่าเธอใช้การบำบัดนี้เป็นข้ออ้าง ที่จริงแล้วเธอมาหาพี่เพราะมีจุดประสงค์อื่น”
คนถูกถามเงียบไป อาจเพราะไม่คาดคิดว่าจะโดนถามตรงๆ จะทำอย่างไรดีล่ะ ทู่ซี้โกหกไปก็เปล่าประโยชน์ ไหนๆ เขาก็ดูออกแล้ว ฉะนั้นเธอควรตอบตรงๆ ดีกว่า ไม่แน่ว่าถ้าเธอบอกเหตุผลความจำเป็นไป ตรัยคุณอาจจะยอมเข้าใจก็ได้
“ค่ะ พี่พูดถูกแล้ว วิวใช้การบำบัดเป็นข้ออ้างเพื่อมาหาพี่บ่อยๆ ที่จริงแล้ววิวมีสิ่งที่ต้องการจากพี่ค่ะ”
ชายหนุ่มพยักหน้า สีหน้าของเขาเหมือนคนที่กำลังคิดในใจว่า ‘ทีซื้อหวย ทำไมไม่ถูกแบบนี้’ เพราะเขาวิเคราะห์ได้ตรงตามความจริงเป๊ะ
“แล้วสิ่งที่เธอต้องการ มันเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมไม่ค่อยมีสติของเธอที่ผ่านมาด้วยหรือเปล่า”
วันเวลากลอกตามองเพดาน รู้สึกตงิดๆ ราวกับกำลังถูกเหน็บแนมอีกแล้ว
“ถ้าหมายถึงเรื่องที่วิวจูบพี่กับขอมีความสัมพันธ์ทางกายกับพี่ละก็...ใช่แล้วค่ะ มันเกี่ยวข้องกันทั้งหมด แต่วิวอธิบายเรื่องนี้ได้นะ”
“งั้นก็อธิบายมา พี่ก็อยากจะฟังเหมือนกัน” ชายหนุ่มเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ด้วยท่าทีสบายๆ
“ไม่กดนาฬิกาจับเวลาหรือคะรอบนี้”
“ไม่ต้องกด เพราะรอบนี้พี่ไม่ได้ฟังในฐานะนักจิตวิทยา” เขาตอบ ก่อนจะผายมือเป็นเชิงให้หญิงสาวพูดต่อได้
ครั้นได้รับสัญญาณ วันเวลาก็เริ่มอธิบายเหตุผลความจำเป็นของเธอ แต่จะให้อธิบายทั้งหมดก็เกรงว่าตรัยคุณจะไม่เชื่อและเป็นภัยต่อตัวเธอเอง ก็เลยเลือกที่จะอธิบายในแบบที่สั้นและง่ายที่สุด
“เมื่อหลายเดือนก่อนวิวประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ และเพราะอุบัติเหตุนั่นทำให้วิวสูญเสียสิ่งสำคัญไป”
“สิ่งสำคัญหรือ”
“ใช่ค่ะ ‘เขา’ เป็นสิ่งสำคัญต่อชีวิตจิตใจและอาชีพของวิว วิวเสียเขาไป แต่เมื่อไม่นานมานี้วิวก็ได้ค้นพบว่ามีวิธีที่จะทำให้เขากลับคืนมาเหมือนเดิม”
“อย่าบอกนะว่า...”
หญิงสาวพยักหน้าเพื่อยืนยันข้อสงสัย
“ค่ะ วิธีที่จะทำให้เขากลับคืนมาก็คือวิวต้องมีสัมพันธ์กับพี่คุณ เพราะเหตุนี้ละวิวเลยอยากให้พี่ช่วยวิว”
ชายหนุ่มปั้นหน้ายาก นาทีนี้เขานึกไม่ออกเลยว่าควรต้องรู้สึกหรือควรทำตัวอย่างไร เดาไม่ยากเลยว่า ‘เขา’ ที่วันเวลากล่าวถึง คงไม่ใช่ใครอื่น นอกจากเจนจบ อดีตแฟนหนุ่มของเธอเป็นแน่ ก็ไม่รู้ว่าเธอเอาอะไรคิด จึงได้วางแผนมีความสัมพันธ์กับเขาเพื่อดึงแฟนเก่ากลับมา แล้วทำไมเขาต้องเห็นดีเห็นงามกับเรื่องนี้ด้วย ในเมื่อเขาไม่ใช่เครื่องมือไว้แก้แค้นหรือประชดใคร
“เธอนี่อาการหนักเอาเรื่อง ถ้าเธอสนใจสักนิด พี่คงช่วยบำบัดเธอได้ แต่น่าเสียดายที่เธอไม่สนใจ” เขาว่าพลางส่ายหน้า ก่อนจะถามอีก “ว่าแต่ขอถามอะไรหน่อย นี่เธอเชื่อจริงๆ หรือว่าการมีความสัมพันธ์กับพี่ มันจะช่วยให้เขาคนนั้นกลับมา”
“ค่ะ วิวเชื่อ” เธอตอบอย่างไร้ข้อกังขา จะไม่เชื่อได้อย่างไรในเมื่อเธอเคยพิสูจน์สมมุติฐานนี้หลายครั้งแล้ว “ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรเหมือนกัน แต่ดูเหมือนว่ามีพี่คนเดียวเท่านั้นที่ช่วยวิวได้ ดังนั้นขอร้องละค่ะ ช่วยทำตามคำขอของวิวหน่อย อย่างแรกเลย...วิวขอจูบพี่ได้ไหมคะ”
“ตลกมากเลยนะ วิว”
“วิวไม่ได้ตลก นี่วิวจริงจัง”
“จะตลกหรือจริงจังก็ไม่ได้ทั้งนั้น”
“ถ้าจูบไม่ได้ งั้นวิวขอ...นอนด้วยได้ไหมคะ”
“วิว!”
“ถ้าไม่ได้ ‘เลี่ยมทอง’ ก็ไม่เห็นต้องหวง นะค้า...พี่คุณ ได้สักหน วิวจะไม่ลืมพระคุณเลย!” พูดเสร็จหญิงสาวก็พนมมือไหว้เขาแล้วกะพริบตาปริบๆ อย่างอ้อนวอน เห็นท่าทีอย่างนั้นตรัยคุณก็แทบอยากจะบ้าตายเสียให้ได้
เขารู้ว่ายุคนี้ทั้งชายและหญิงมีสิทธิเสรีภาพเสมอกัน แต่การที่เด็กข้างบ้านที่เขาเห็นมาตั้งแต่ยังเป็นเจ้าตัวเล็กตัวน้อย ใส่กางเกงในตัวเดียววิ่งเล่นมอมแมม ดูดน้ำหวานจากดอกเข็มอยู่ในสวนบ้านเขา จะเติบโตมากลายเป็นสาวมั่น กล้าขอมีอะไรด้วยกับผู้ชายแบบโต้งๆ แบบนี้ มันทำให้เขาทำให้รู้สึกตะขิดตะขวงใจ
กับเขาน่ะไม่เป็นไรหรอก แต่กับคนอื่น เธอไปตื๊อขออย่างนี้ด้วยหรือเปล่า เป็นคำถามที่เขาอยากจะถามมาก แต่คิดทบทวนแล้ว ไม่ถามคงดีกว่า เพราะลึกๆ แล้วเขาก็กลัวคำตอบเหมือนกัน
“ที่แล้วมาทำอะไรกับพี่ไว้บ้าง ยังไม่สาแก่ใจเธออีกหรือไง เลิกรุงรังกับพี่ได้แล้ว ไม่อย่างนั้นพี่จะไปฟ้องน้าแวว น้าแววคงอยากรู้แน่ว่าเธอมาขออะไรพี่ อ้อ ถึงท่านจะเป็นอัลไซเมอร์...” เขาดักคอ ก่อนที่วันเวลาจะโต้เถียง “แต่เชื่อเถอะว่าในฐานะที่ท่านเป็นแม่ ท่านต้องไม่ชอบใจแน่ ถ้ารู้ว่าลูกสาวคนเดียวของท่านกำลังทำงามหน้าอะไรอยู่”
“โห เล่นไปฟ้องแม่วิวเลย ไม่ใจร้ายไปหน่อยหรือคะ”
“พี่ยังใจร้ายได้มากกว่านี้อีก ถ้าขืนเธอยังไม่เลิกเร้าหรือ ลวนลามพี่ไม่ว่าทางไหนก็ตาม พี่จะไม่จบแค่ไปฟ้องน้าแวว แต่พี่จะไปโรงพักและแจ้งความกับร้อยเวรว่าเธอทำอนาจารพี่”
“รุนแรงเกิ๊น ถึงขั้นต้องไปแจ้งความกันเลย”
“ตามนั้นแหละ ถ้าเธอยังไม่หยุด พี่ก็ไม่มีทางเลือก ในเมื่อเธอไม่ได้เป็นคนไข้ของพี่แล้ว พี่ก็มีสิทธิ์จัดการเธอได้ตามที่เห็นสมควรนี่นา ดังนั้นอย่าทำให้เรื่องเลยเถิดไปถึงขั้นนั้นดีกว่าเพราะมันจะเสียเวลา เสียความรู้สึกด้วยกันทั้งสองฝ่าย หวังว่าจะเข้าใจนะ” เขากล่าวอย่างชัดเจน ในขณะที่คนถูกขอให้ทำความเข้าใจเอาแต่นั่งหน้ามู่ทู่ จนตรัยคุณต้องถามย้ำอีกครั้ง เพราะไม่แน่ใจว่าเธอเข้าใจสิ่งที่เขาบอกแล้วหรือเปล่า
“ว่าไงวิว เข้าใจที่พี่บอกไหม”
หญิงสาวเมินคำถามของเขา เฝ้าแต่ทำหน้างอแบบคนไม่สบอารมณ์
“ทำหน้าแบบนั้นหมายความว่าอะไร”
“ก็เห็นชัดๆ อยู่แล้วไม่ใช่หรือคะ” คราวนี้วันเวลายอมตอบเสียได้ แต่ยังไม่วายกอดอก ทำเสียงสะบัดใส่เขา “วิวงอนพี่อยู่!”
“งอนพี่? ทำไมต้องงอน”
“ก็วิวอุตส่าห์เล่าเหตุผลความจำเป็นให้พี่คุณฟังแล้ว แต่พี่กลับปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย แบบนี้จะไม่ให้งอนยังไงไหว”
“อายุเท่าไรแล้ว มางอนพี่เป็นเด็กไปได้”
“พี่คุณ!”
“ถ้าคิดว่าการที่พี่ปกป้องร่างกายตัวเองเป็นเรื่องน่างอน งั้นก็กลับไปงอนต่อที่บ้าน เอาที่สบายใจเลย” ดอกเตอร์หนุ่มแนะนำอย่างน่าหมั่นไส้ ก่อนจะกดอินเตอร์คอมเพื่อเรียกดวงพรมารับเธอออกไปจากห้อง นั่นเป็นคำที่เขาเรียกละนะ แต่ในความคิดของหญิงสาว มันคือการไล่ต่างหาก ต่อให้ตรัยคุณจะเป็นธุระให้เธอเรื่องขอเงินคืน แต่ก็ไม่ได้ทำให้วันเวลารู้สึกเซ็งน้อยลง เพราะประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่เงิน แต่อยู่ที่ว่าต่อไปนี้เธอจะขาดคนคอยรับฟังเรื่องทุกข์ใจต่างๆ ไปหนึ่งคน และที่สำคัญเธอยังไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการเลย
อุตส่าห์ขอขนาดนี้ ยังไม่ยอมให้กันอีก คนอะไรใจแข็งเป็นบ้า!
วันเวลานึกสวดคนใจแข็ง แต่ถึงจะโดนไล่ออกมาจากศูนย์แล้ว หญิงสาวก็ยังไม่ยอมแพ้ เธอตัดสินใจดักซุ่มรอเขาเลิกงาน อย่างไรเสียตรัยคุณก็ไม่ใช่พระอิฐพระปูนเสียหน่อย เธอจะตื๊อเขาไปอย่างนี้จนกว่าเขาจะใจอ่อน อยากรู้เหมือนกันว่าเขาจะกล้าแจ้งจับเธอได้ลงคอหรือไม่
“เลิกงานแล้วไปไหนต่อคะ กลับบ้านเลยไหม”
ตรัยคุณที่เดินออกมาจากศูนย์ถึงกับชะงัก เมื่อเห็นว่าคนที่ควรจะกลับไปนานแล้วยังรอเขาอยู่ที่หน้าออฟฟิศพร้อมโยนคำถามใส่เขา
“พี่จะไปไหนต่อ มันก็ไม่น่าจะเกี่ยวกับเธอนะวิว”
“เกี่ยวสิคะ เพราะถ้าพี่คุณไม่มีโปรแกรมไปไหน เย็นวันศุกร์แบบนี้วิวว่าจะชวนพี่ไปดื่มก่อนกลับ”
ชายหนุ่มหรี่ตามองคนชวนอย่างไม่วางใจ คาดว่าคงจะเดาแผนการของเธอออก
“พี่ไม่มีอารมณ์จะดื่ม ถ้าเธออยากดื่มนัก ก็ไปดื่มคนเดียวเถอะ”
“แหม เดี๋ยวนี้ผู้หญิงเขาไม่นิยมดื่มคนเดียวตอนมืดค่ำแล้วค่ะ ไม่ใช่ในตอนที่ฆาตกรโรคจิตโนเฟซนั่นยังลอยนวลแบบนี้ น่ากลัวจะตายไป” ก็ไม่รู้ว่าพูดอะไรผิดไปหรือไม่ ทันทีที่พูดถึงฆาตกรดังกล่าว ตรัยคุณก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปนิดหนึ่ง จนสาวเจ้าต้องเอ่ยปากถาม “มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“ไม่มีอะไร พี่แค่ไม่อยากฟังเรื่องฆาตกรอะไรนี่ก็เท่านั้น มันไม่จรรโลงใจ” ตรัยคุณไหวไหล่ กลับมามีสีหน้าปกติในเวลาไม่กี่วินาที “แต่ที่จริงเธอพูดก็ถูก เป็นผู้หญิงเตร็ดเตร่มืดค่ำช่วงนี้มันอันตราย ทำไมไม่รีบกลับบ้านไปล่ะ”
“วิวอยากไปหาอะไรทำเพื่อหย่อนใจก่อนกลับนี่นา ถ้าไม่อยากดื่ม งั้นไปหาอะไรอย่างอื่นกินกันก็ได้” วันเวลาเสนอไอเดียใหม่ และเมื่อเห็นเขาตั้งท่าจะปฏิเสธอีก เธอจึงพูดต่อ “ก็อย่างที่พี่คุณบอกนั่นละค่ะ วิวเป็นผู้หญิงไม่ควรจะไปไหนมาไหนคนเดียว แต่ควรจะมีเพื่อนไปด้วย บางทีไอ้ฆาตกรนั่นอาจจะโผล่มาทำร้ายวิวก็ได้ เกิดวิวตายขึ้นมา พี่คุณจะมานึกเสียใจทีหลังว่าทำไมตอนนั้นไม่ยอมไปกับวิวด้วยไม่ได้นะคะ”
“นี่มันใช่เรื่องจะมาล้อเล่นไหม”
“ไม่ได้ล้อเล่น มันเป็นสิ่งที่อาจเกิดขึ้นได้ต่างหาก ข่าวก็ออกกันทั้งบ้านทั้งเมืองว่าโนเฟซมันพุ่งเป้าหาเหยื่อเป็นหญิงสาวในพื้นที่แถวๆ นี้ วิวก็อยู่ในข่ายนั้นเหมือนกัน พี่คุณอาจไม่ชอบหน้าวิวก็จริง แต่พี่คงไม่ใจดำขนาดอยากให้วิวตายหรอกใช่ไหม”
“แล้วไม่มีเพื่อนคนอื่นให้ชวนไปด้วยเลยหรือไง”
“ไม่มีค่ะ ชีวิตวิวอาภัพ ทั้งชีวิตนี้วิวมีเพื่อนคนเดียวก็คือยายกั้งเท่านั้น ใช่ค่ะ ยายกั้ง เพื่อนสมัยเรียนที่พี่เคยเห็นมาเล่นที่บ้านวิวช่วงปิดเทอมนั่นละ” เธอเสริมเมื่อเห็นสีหน้ามีคำถามของคู่สนทนา “ตอนนี้ยายกั้งทำงานเป็นพยาบาล งานยุ่งสุดๆ กว่าจะลงเวรก็ดึกดื่นตลอด แถมยังต้องไปรับจ๊อบหารายได้เสริมเป็นพยาบาลพิเศษตามบ้านอีก เธอไม่ค่อยมีเวลาไปไหนมาไหนกับวิวหรอกค่ะ ฉะนั้นก็เลยเหลือแต่พี่คุณนี่แหละที่พอจะพึ่งพาได้ ก็แล้วแต่นะคะ จะไม่ไปด้วยก็ได้ แต่ถ้าวิวเกิดตายหรือเป็นอะไรขึ้นมากลางทาง พี่ก็ไปคุกเข่าขอโทษแม่ของวิวเองละกัน”
ตรัยคุณถอนหายใจ หากยกผู้ใหญ่มาอ้างขนาดนี้เขาเองก็คงไม่มีทางอื่น เขาปล่อยให้วันเวลาเป็นอะไรไปไม่ได้ เพราะเขาคงไม่มีหน้าไปพบแววดาว ผู้ใหญ่ที่เขารักและนับถือเสมือนแม่อีกคนหนึ่งเพื่อบอกขอโทษแน่นอน
“ก็ได้ พี่จะไปกับเธอ แต่แค่ครั้งนี้ครั้งเดียว และไม่ดื่มแอลกอฮอล์” เขาย้ำเงื่อนไข ในขณะที่หญิงสาวมีสีหน้าชื่นมื่นขึ้นมาทันตา เหมือนเด็กน้อยที่ได้ของเล่นถูกใจ คิดว่าหากกระโดดตัวลอยด้วยความดีใจได้คงกระโดดไปแล้ว
“ค่ะ ไม่ดื่มก็ไม่ดื่ม งั้นไปหาอะไรหวานๆ กินแก้เครียดแทนเป็นไงคะ”
“อะไรล่ะ”
พอถูกถาม หญิงสาวก็ยิ้มเผล่อย่างน่าตีนัก
“บัวลอยไข่หวานค่ะ วิวเปรี้ยวปากอยากกินตั้งแต่ตอนกลางวันแล้ว ไปกินกันนะคะ”
เหมือนฝันจริงๆ ที่เธอได้ใช้เวลาร่วมกับตรัยคุณอีกครั้ง แม้มันจะห่างไกลความเป็นเดตสุดโรแมนติก เพราะเธอเพียงพาเขามากินบัวลอยห้าสีในร้านห้องแถวเก่าๆ ใกล้ศูนย์บำบัด แต่หญิงสาวก็อดรู้สึกดีไม่ได้ ด้วยเพราะนานหลายปีแล้วนับตั้งแต่ที่พวกเธอได้รับประทานอาหารด้วยกัน ครั้งสุดท้ายน่าจะเป็นช่วงก่อนที่บิดามารดาของเธอจะย้ายบ้าน เพราะพวกผู้ใหญ่ตัดสินใจว่าจะมาทำงานโรงงานในเมืองกรุงที่รายได้ดีกว่า คืนก่อนวันย้ายบ้าน แววดาวเลยชวนตรัยคุณและตุลยามารับประทานอาหารที่บ้าน แม้ตรัยคุณจะไม่ชอบเธอก็จริง แต่เขาก็ตอบรับคำเชิญที่จะมาบอกลาครั้งสุดท้ายตามมารยาท สองศรีพี่น้องอิ่มแปล้ด้วยฝีมือการทำอาหารของแม่ ส่วนเธอน่ะหรือ แทบกินอะไรไม่ลงสักคำ มัวแต่ร้องห่มร้องไห้ปานโลกจะสลาย เพราะไม่อยากจากรักแรกของตัวเอง
‘แม่จ๋า วิวไม่ย้ายไปได้ไหม วิวอยากอยู่ที่นี่ วิวอยากอยู่กับพี่คุณต่อ ฮือๆๆ ถ้าวิวย้ายไปแล้ว วิวคงไม่ได้เจอพี่เขาอีกแน่เลยจ้ะ หัวใจของวิวก็มีแค่เนี้ย แค่คิดก็ใจจะขาด’
คิดย้อนกลับไปแล้วก็นึกเอ็นดูในความคลั่งรักของตัวเอง ใช่...เธอเคยเป็นเอามากถึงขั้นนั้นเลยละ ใครจะคิดว่าในอีกหลายปีต่อมา เธอจะได้กลับมาพบกับรักแรกของตนอีก
“บัวลอยไข่หวานแฝดแบบจุกๆ ของหนูคนสวยได้แล้วจ้ะ” เสียงของป้าคนขายพร้อมกับถ้วยขนมหวานที่ถูกวางลงตรงหน้า ดึงหญิงสาวให้ออกจากภวังค์ ต้องขอบคุณการมาถึงของบัวลอยที่สั่งไปจริงๆ ที่ช่วยดึงสติเธอไว้ มิเช่นนั้นเธอคงมัวแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่อีกนาน
“ขอบคุณค่ะป้า”
ป้าคนขายยิ้มกว้าง ก่อนจะเสิร์ฟถ้วยขนมอีกถ้วยจากถาดอะลูมิเนียมบุบๆ ให้ตรัยคุณบ้าง
“ส่วนถ้วยนี้ของพ่อหนุ่มสุดแซ่บปานโจรป่าจ้า บัวลอยไม่ไข่”
“ขอบคุณครับ”
ครั้นป้าคนนั้นเดินกลับไปเฝ้าหน้าร้านแล้ว วันเวลาจึงได้ฤกษ์แซวพ่อหนุ่มสุดแซ่บปานโจรป่า
“ทำไมสั่งบัวลอยธรรมดา ไม่ใส่ไข่หวานล่ะคะ มันจะไปอร่อยได้ยังไง”
“ก็แค่ไม่อยากกิน” ตรัยคุณตอบเรียบๆ หยิบช้อนจากกล่องบนโต๊ะให้ตัวเองและอีกหนึ่งคันสำหรับวันเวลา ซึ่งก็แน่นอนว่าวันเวลาพยายามจะใช้จังหวะนั้น จับมือของเขาอีก แต่เขาไวพอจะหลบทัน
“ที่ไม่อยากกิน คงไม่ใช่เพราะเรื่องที่วิวพูดเมื่อกลางวันหรอกนะคะ เรื่องสบู่หมีหวานกับบัวลอยไข่หวานนั่นน่ะ”
แม้จะไม่ได้พูดออกมาตามตรง แต่เดาจากสีหน้ากระอักกระอ่วนของเขา วันเวลาก็เดาได้ไม่ยากว่าคงใช่ พอรู้อย่างนั้นเธอก็หัวเราะออกมา
“โธ่เอ๊ย พี่นี่น่ารักจริงๆ” เธอพูดไปหัวเราะไป ใช้กระดาษชำระเช็ดช้อนของตัวเองและดึงช้อนของตรัยคุณมาทำความสะอาดอย่างใส่ใจด้วย มิเช่นนั้นแล้วอีกฝ่ายก็คงเพียงเป่าฝุ่นบนช้อนแบบลวกๆ แล้วใช้มันตักขนมแบบไม่สนใจสุขอนามัยอะไรนัก “ไม่นึกว่าพี่จะคิดมากกับสิ่งที่วิวพูด วิวแค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง กินไปเถอะ ไข่หวานน่ะอร่อยจะตายเวลากินคู่กับบัวลอย นี่ไง” ว่าแล้วสาวเจ้าก็ตักไข่หวานเข้าปากอย่างเอร็ดร่อย ฟองหนึ่งอยู่ในแก้มขวา ฟองหนึ่งอยู่ในแก้มซ้าย จนแก้มตุ่ยดูน่าขัน
“คนอะไรกินไข่ได้หมดทีเดียวสองฟอง” ตรัยคุณบ่นพลางส่ายหน้า ก่อนจะตักบัวลอยของตนมารับประทานแต่พอดีคำ “ตามสบายเลย ไข่คอเลสเตอรอลสูง พี่ขอผ่านดีกว่า”
สุดท้ายคนที่อร่อยกับบัวลอยไข่หวานที่สุดก็คงเป็นวันเวลา เธอรับประทานด้วย คุยไปด้วยอย่างออกรส และหนึ่งในเรื่องที่เธอยกขึ้นมาคุยก็คงหนีไม่พ้นการโน้มน้าวให้ตรัยคุณเปลี่ยนใจ
“จูบกับวิวนี่ไม่ดีตรงไหนคะ ทำไมถึงไม่ยอมให้วิวจูบพี่อีก”
ชายหนุ่มที่กำลังดื่มน้ำเกือบจะสำลักกับคำถาม ยังไม่ทันไอให้คอโล่ง ก็เจอคำถามที่สองตามมาติดๆ
“ไม่ให้จูบ แถมไม่ยอมให้นอนด้วยอีก ทำไมต้องปฏิเสธตลอด วิวไม่สวย ไม่เซ็กซี่ตรงไหน”
“เมาไข่หวานหรือ ถามอะไรของเธอ”
“เอ้า ก็วิวอยากรู้ ทำไมพี่ต้องเล่นตัวด้วย โอเค วิวรู้ว่าพี่เกลียดวิว เพราะวิวเป็นคนไม่ดี หาเงินทางลัดด้วยวิธีสกปรก เป็นธรรมดาที่พี่จะรังเกียจ แต่วิวไม่ได้ขอให้พี่รักวิวสักหน่อย ก็แค่มีความสัมพันธ์ทางกายกันเฉยๆ วิวไม่เรียกร้องอะไรจากพี่หรอก แค่หลับหูหลับตาทำๆ ไป ถือเป็นกำไรชีวิต ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย”
“ใช่ พี่อาจไม่เป็นไร แต่สำหรับเธอน่ะเป็นแน่”
“คะ?”
“อย่างที่เคยบอกไป ต่อให้ทำแบบนี้ ก็ไม่ทำให้เขาคนนั้นกลับมาหรอก อีกอย่างเรื่องจูบหรือเซ็กซ์นั่นน่ะเก็บไว้ทำกับคนที่เธอรักไม่ดีกว่าหรือไง พี่ไม่อยากให้เธอรู้สึกไม่ดีทีหลัง เพราะมันย้อนกลับไปแก้ไขไม่ได้”
“ไม่หรอกค่ะ วิวก็ไม่ได้อยากจะย้อนกลับไปแก้ไขอยู่แล้ว เพราะวิวตัดสินใจมาดีแล้ว”
“ตัดสินใจดีแล้ว? ที่เธอยืนยันอย่างนี้ หรือเพราะว่า...”
“อะไรคะ”
“เพราะว่าเธอยังรู้สึกเหมือนเดิมกับพี่งั้นหรือ”
วันเวลาชะงัก ไม่รู้ต้องทำอย่างไรดีเลยกับคำถามที่ถูกโยนใส่ มันตรงเสียจนทำให้เธอตั้งตัวไม่ติด
“ทำไมพี่คิดแบบนั้น”
“เพราะการกระทำเธอทำให้พี่คิดแบบนั้น ดังนั้นช่วยตอบพี่มาได้ไหมว่ามันจริงหรือเปล่า” ดวงตาคมกล้าสีเหล็กจ้องสบตาเธอนิ่งอย่างขอคำตอบ “เธออยากจะกอดพี่ จูบพี่ และนอนกับพี่ ทั้งหมดนี้เธอสามารถทำได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ เป็นเพราะว่าเธอรักพี่ใช่ไหม”
ต่อให้ฝืนทำตัวเป็นปกติอย่างไร แต่หญิงสาวก็รู้สึกว่าใบหน้าของตนเองร้อนผ่าวขึ้นมาอยู่ดี เธอแพ้กับสายตาคู่นั้นของเขา...แพ้มาตลอดแต่ไหนแต่ไร
“ถ้าวิวตอบคำถามของพี่คุณตรงๆ มันจะทำให้พี่เปลี่ยนใจหรือเปล่า”
“ก็ไม่แน่” ดอกเตอร์หนุ่มประสานมือใต้คางอย่างรอฟัง “ของแบบนี้ต้องลองดู”
ความคิดเห็น |
---|