10

บทที่ 10


10

มิสเตอร์สโนว์

พิตาภาเข้ามาพบภานุรุจที่ตึกเดอะซัน นิวส์ แอนด์ ทีวี ในช่วงสายของวันต่อมาตามที่ได้นัดหมายกับผู้บริหารหนุ่มเอาไว้

ร่างเพรียวระหงอยู่ในชุดจัมป์สูทสีขาวและรองเท้าส้นสูงสีแดงเข้ากับกระเป๋าสะพายแบรนด์เนมสีเดียวกัน ใบหน้าหวานแต่งโทนโฉบเฉี่ยว ผมยาวดำขลับมัดรวบเป็นหางม้าทำให้บุคลิกของเธอดูปราดเปรียวมากขึ้นกว่าเดิม

หญิงสาวเดินเข้าไปภายในตึกสูงย่านเพลินจิตอย่างมาดมั่น ก่อนจะแลกบัตรและขึ้นไปพบภานุรุจที่ชั้นสิบห้าซึ่งเป็นห้องทำงานของผู้บริหาร

งานนี้ต้องขอบคุณภากรด้วยที่ช่วยเกริ่นกับภานุรุจให้ และให้เบอร์โทร. ของชายหนุ่มมา เพื่อให้เธอคุยรายละเอียดกับภานุรุจโดยตรง จนได้นัดหมายมาพบกันอย่างเป็นทางการในวันนี้

“สวัสดีค่ะ มาพบคุณภานุรุจค่ะ” พิตาภาแจ้งกับเลขาฯ หน้าห้องเมื่อมาถึงชั้นสิบห้า

“คุณพันช์ใช่ไหมคะ”

“ใช่ค่ะ” หญิงสาวยิ้มสดใส

“สักครู่นะคะ” เลขาฯ สาวเอื้อมมือไปกดอินเตอร์คอมพ์ “คุณเนสคะ คุณพันช์มาถึงแล้วค่ะ คุณเนสสะดวกให้พบเลยไหมคะ”

“เดี๋ยวขอเวลาผมอีกสิบนาทีนะครับ” ผู้บริหารหนุ่มตอบเสียงขรึมกลับมา

“ได้ค่ะ”

“ขอบคุณครับ”

“เชิญคุณพันช์นั่งรอสักครู่นะคะ” อีกฝ่ายลุกขึ้นและผายมืออย่างสุภาพ

“ค่ะ” พิตาภายิ้มขอบคุณ ก่อนจะเดินไปนั่งบนโซฟาหนังแท้สีน้ำตาลที่อยู่บริเวณหน้าห้องทำงานของภานุรุจ

ระหว่างนั้นก็หยิบแท็บเล็ตออกมาจากกระเป๋าสะพายเพื่อเช็กความเรียบร้อยของข้อมูลที่จะนำเสนอกับชายหนุ่มอีกครั้ง

สิบนาทีผ่านไปเลขาฯ ของภานุรุจก็เดินมาหาพิตาภาและพาไปส่งยังหน้าห้องของผู้บริหารหนุ่ม

“ขออนุญาตค่ะคุณเนส” ฝ่ายนั้นเคาะประตูและเอ่ยเสียงสุภาพ

“เชิญครับ” เมื่อได้ยินเสียงทุ้มตอบรับ เลขาฯ สาวก็เปิดประตูและผายมือเชิญพิตาภาเข้าไปข้างใน

“สวัสดีค่ะพี่เนส” หญิงสาวยกมือไหว้ภานุรุจที่อยู่ในชุดสูทสีเทาเข้มพอดีตัว

“สวัสดีครับคุณพันช์ เดี๋ยวเชิญนั่งก่อนครับ” ชายหนุ่มใบหน้าหล่อเหลาสะอาดสะอ้านลุกขึ้นจากโต๊ะทำงานและผายมือไปยังโซฟาตรงมุมรับรองแขก

“ขอบคุณค่ะ” พิตาภายิ้มให้เขาก่อนจะเดินไปนั่ง

“รับเป็นชา กาแฟ หรือน้ำส้มดีครับ” เจ้าของร่างสูงหนึ่งร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตรที่เดินตามมานั่งบนโซฟาตัวเยื้องกันถามอย่างสุภาพ

“ขอเป็นน้ำส้มแล้วกันค่ะ”

ผู้บริหารหนุ่มพยักหน้ารับรู้และหันไปสั่งการเลขาฯ สาว “ขอน้ำส้มให้คุณพันช์ด้วยครับคุณหลิน”

“ของคุณเนสรับเป็นอะไรดีคะ”

“ของผมไม่ต้องครับ”

“ได้ค่ะ” ฝ่ายนั้นรับคำแล้วจึงออกไปเตรียมเครื่องดื่ม

“พี่เนสสบายดีนะคะ” พิตาภายิ้มสดใส

“ครับ คุณพันช์ล่ะ”

“สบายดีค่ะ พี่เนสเรียกพันช์ว่าพันช์เฉยๆ ก็ได้นะคะ”

“ครับผม” เจ้าของเสียงขรึมยิ้มบางๆ

หญิงสาวมองใบหน้าหล่อเหลาแล้วแอบชื่นชมอยู่ในใจ ลูกชายบ้านนี้พ่อแม่ช่างปั้นมาดีจริงๆ คนพี่ก็หล่อ คนน้องก็หล่อ แถมยังนิสัยดีมากทั้งคู่ แม้ภากรจะบอกว่าภานุรุจชอบทำหน้านิ่งใส่สาวๆ จนได้ฉายาว่ามิสเตอร์สโนว์ แต่ทุกครั้งที่เจอกัน พิตาภาก็ไม่เห็นว่าเขาจะเย็นชาใส่เธอตรงไหน อาจจะด้วยความที่เป็นผู้บริหารระดับสูง ภานุรุจเลยต้องรักษาภาพพจน์ให้เคร่งขรึมแบบนี้

ไม่เหมือนใครบางคนที่เป็นหมอแท้ๆ แต่...

พิตาภารีบสลัดอภิวัฒน์ออกจากสมอง เพราะไม่อยากคิดถึงคนที่ไม่รักเธออีกแล้ว

เธอต้องตัดใจจากเขา ต้องทำให้ได้! คราวนี้จะต้องไม่ล้มเหลวเหมือนที่ผ่านๆ มาอีก

“เดี๋ยวพันช์ขอเกริ่นเกี่ยวกับโพรเจกต์ที่พันช์จะทำเลยแล้วกันนะคะ จะได้ไม่รบกวนเวลาพี่เนสนาน” หญิงสาวหยิบแท็บเล็ตมาปลดล็อกและเปิดพรีเซนเทชันขึ้นมาประกอบ “เร็วๆ นี้พันช์จะเปิดตัว YX.ES แบรนด์น้ำหอมของพันช์ค่ะ ชื่อแบรนด์มาจากคำว่า SEXY แต่เปลี่ยนลำดับการเขียนจากหลังมาหน้าเพื่อความสะดุดตาค่ะ กลิ่นน้ำหอมของ YX.ES จะเป็นแนวยูนิเซ็กซ์ที่ใช้ได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง ส่วนกลุ่มลูกค้าเราจะเน้นหนุ่มสาววัยทำงานที่มีไลฟ์สไตล์ทันสมัย ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้ชมของช่องเดอะซันทีวี พันช์เลยคิดว่าอยากจะร่วมมือกับพี่เนสทำคอนเทนต์ขึ้นมาเพื่อโพรโมตแบรนด์ของพันช์และช่องเดอะซันทีวีไปพร้อมๆ กันค่ะ” พิตาภานำเสนออย่างคล่องแคล่ว

“เป็นคอนเทนต์แบบไหนเหรอครับ” ภานุรุจสอบถามอย่างสนใจ

“พันช์จะทำ Vlog ค่ะ” ก่อนหน้านี้หลายคนนิยมเขียนบล็อกเพื่อเล่าเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตของตัวเอง บางเรื่องมีผู้ติดตามมหาศาลจนได้รวมเล่มเป็นหนังสือหรือเอาไปทำเป็นละครทีวีก็มี แต่ปัจจุบันเทรนด์เปลี่ยนมาเป็นการเล่าเรื่องด้วยวิดีโอมากขึ้น เพราะมีทั้งภาพและเสียง ซึ่ง Vlog ถือเป็นหนึ่งในรูปแบบการตลาดที่กำลังมาแรงในยุคนี้

ชายหนุ่มพยักหน้ารับรู้และรอฟังรายละเอียดต่อ

“นอกจากตัวน้ำหอมแล้ว พันช์อยากให้ลูกค้ารู้จักเจ้าของแบรนด์ด้วยค่ะว่าพันช์เป็นใคร มาจากไหน มีไลฟ์สไตล์แบบไหน เพราะกลุ่มลูกค้าของ YX.ES ก็คือคนวัยประมาณพันช์ ถ้าทำให้เขารู้สึกเหมือนเรากับเขาเป็นเพื่อนหรือเป็นพี่น้องกันได้ มันจะทำให้เขาซื้อสินค้าของเราง่ายขึ้น ทีนี้ถ้าพันช์เริ่มทำแชนเนลของตัวเองก็คงใช้เวลานานกว่าจะมีคนมาติดตาม แต่ถ้าลงในช่องของเดอะ ซันทีวีทางยูทิวบ์ที่ตอนนี้มีคนกดซับสไครบ์อยู่สิบล้านคน มันจะทำให้คนรู้จักพันช์และแบรนด์เร็วขึ้นค่ะ พันช์เลยอยากมาขอความช่วยเหลือจากพี่เนส”

ใจจริงพิตาภาก็ไม่ได้อยากใช้ทางลัด จะได้พูดได้เต็มปากว่าความสำเร็จของแบรนด์มาจากตัวเธอเองล้วนๆ แต่ในความเป็นจริงนั้นกว่าคนเราจะประสบความสำเร็จได้จำเป็นต้องอาศัยคนมากมายผลักดัน เหมือนนักไต่เขาที่จะพิชิตยอดเขาเอเวอร์เรสต์ไม่ได้เลยหากระหว่างทางไม่มีเพื่อนร่วมทางและทีมงานที่ดีคอยช่วยเหลือ

แต่เธอก็ไม่ปฏิเสธนะว่ามีบางคนที่ทำธุรกิจสำเร็จด้วยตัวเองล้วนๆ แบบไม่ขอความช่วยเหลือจากใครเลยแม้แต่คนเดียว แต่อาจจะมีน้อยมากก็เท่านั้น

ในวงการธุรกิจ คอนเนกชันถือเป็นสิ่งสำคัญมาก จึงเป็นเรื่องปกติที่ใครๆ ก็มักจะมองหาพันธมิตรมาสนับสนุนธุรกิจของตนให้เติบโตมากยิ่งขึ้น ดังนั้นยิ่งมีพันธมิตรมากก็ยิ่งเป็นผลดีกับตัวเอง

“แบบนี้แสดงว่าพันช์จะเป็นแบรนด์แอมบาสซาเดอร์เองเลย”

“ใช่ค่ะ อย่างหลายแบรนด์ระดับโลกก็ไม่ได้ใช้ดาราดังมาเป็นพรีเซนเตอร์ แต่คุณภาพของสินค้าทำให้แบรนด์มีชื่อเสียงขึ้นมาได้ แทนที่จะใช้งบโหมโพรโมตหนักๆ ทำโฆษณาเว่อร์วังอลังการ เราก็โพรโมตในแบบของเราแล้วให้สินค้าขายตัวมันเองดีกว่าค่ะ”

ภานุรุจพยักหน้าเบาๆ “แล้ว Vlog แต่ละตอนจะออกมาประมาณไหนครับ ช่วยเล่ารายละเอียดให้พี่ฟังได้ไหมครับ”

“ได้ค่ะ ตอนนี้พันช์คิดห้าตอนแรกไว้แล้ว” ว่าแล้วหญิงสาวก็นำเสนอต่อ

พิตาภาใช้เวลาพูดคุยกับผู้บริหารหนุ่มอยู่เกือบชั่วโมง ภานุรุจก็ตกลงร่วมมือกับเธออย่างไม่ขัดข้อง เพราะฟังแล้วคิดว่าคอนเทนต์ของพิตาภาน่าจะทำให้แชนเนลของช่องเดอะซันทีวีมีคนมาติดตามมากขึ้นได้ โดยที่เขาไม่ต้องลงทุนผลิตคอนเทนต์เอง แค่ให้พื้นที่หญิงสาวเผยแพร่ Vlog ที่ทำมาเท่านั้น

“ขอบคุณพี่เนสมากๆ เลยค่ะ” พิตาภายกมือไหว้คนที่อายุมากกว่าเธอสามปี

“ไม่เป็นไรครับ” ผู้บริหารหนุ่มยิ้มรับ “พันช์เก่งมากนะครับ เตรียมการทุกอย่างเองคนเดียวหมดเลย”

“ตอนนี้ทำคนเดียวได้ค่ะ แต่หลังจากเปิดตัวน้ำหอมอาจจะต้องหาคนมาช่วย เพราะน้ำหอมของพันช์จะขายดีมากกก...” หญิงสาวยิ้มซุกซน ขายดีไม่ดีไม่รู้ ขออวยตัวเองไว้ก่อนแล้วกัน

ภานุรุจมองเธอด้วยแววตาเอ็นดู

“ถ้าพันช์ทำ Vlog ตอนแรกเสร็จแล้วจะส่งมาให้พี่เนสดูนะคะ”

“ได้ครับ”

หญิงสาวมองอีกฝ่ายด้วยแววตาซาบซึ้ง “พี่เนสใจดีมากเลยค่ะ ไม่เห็นจะเป็นมิสเตอร์สโนว์อย่างที่พี่ไนน์บอกเลย”

“มันชอบใส่ร้ายพี่แบบนี้แหละ ใครจะไปแพรวพราวแบบมัน” ผู้บริหารหนุ่มทำหน้าเอือมพี่ชาย

พิตาภาหัวเราะคิก “นั่นสิคะ พี่ไนน์เหมือนจะนิ่งๆ แต่จริงๆ กวนมาก”

“เห็นด้วยครับ”

“แต่พี่เนสอย่าไปบอกพี่ไนน์นะคะว่าพันช์แอบนินทา”

“ได้ครับ เรารู้กันแค่สองคน” เจ้าของใบหน้าคมคายยิ้มบาง

พิตาภาพลิกข้อมือดูนาฬิกา “นี่ก็จะเที่ยงแล้ว ไปทานข้าวกันไหมคะ”

มิสเตอร์สโนว์ทำหน้าขรึมขึ้นสองระดับ

หญิงสาวเห็นอย่างนั้นก็รีบบอกอย่างตรงไปตรงมา “เอ่อ...คือพันช์ไม่ได้จะจีบพี่เนสนะคะ”

‘ตอนแรกก็คุยกันปกติดีอยู่นะ แต่พอชวนไปกินข้าวคำเดียว พี่เนสก็เปลี่ยนโหมดทันที เหมือนที่พี่ไนน์บอกไว้ไม่มีผิดเลย ถ้าสาวๆ ทำท่าเหมือนจะจีบ มิสเตอร์สโนว์จะรีบทำหน้าเย็นชาใส่ แต่พันช์ไม่ได้จะจีบพี่เนสน้า อย่าทำหน้านิ่งใส่พันช์แบบนั้นสิค้า’

“พันช์แค่อยากฟังพี่เนสเล่าเรื่องการทำธุรกิจต่ออ้ะค่ะ รู้สึกว่าหนึ่งชั่วโมงที่เราคุยกันมันน้อยเกินไป แต่ถ้าพี่เนสไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรนะคะ พันช์ไม่รบกวนก็ได้” เกรงใจก็เกรงใจ แต่ถ้าภานุรุจว่าง เธอก็อยากให้เขาแบ่งปันประสบการณ์ให้นักธุรกิจมือใหม่อย่างเธอ

ชายหนุ่มนิ่งคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะบอกเสียงขรึม “ก็ได้ครับ”

“ขอบคุณมากค่า” ดวงตากลมโตเป็นประกายสดใส

 

อภิวัฒน์กำลังนั่งกินอาหารเย็นอยู่กับเพื่อนในห้องพักแพทย์ของโรงพยาบาล หมอหนุ่มเลิกงานตามเวลาปกติแล้ว แต่ยังต้องเข้าเวรต่อ ซึ่งแต่ละสัปดาห์แพทย์มีตารางอยู่เวรสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปตามความเหมาะสม

แม้จะเป็นเวลาพัก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าหมอจะสบาย เพราะบางครั้งหากมีเคสด่วนเข้ามาก็ต้องวางช้อนส้อมแล้วไปดูแลคนไข้ก่อน ดังนั้นแม้จะกำลังกินข้าว แต่ก็ต้องเตรียมพร้อมรับทุกสถานการณ์

“ไอ้ปูน ถามไรหน่อยดิ” อภิวัฒน์เอ่ยพลางตักหมูพะโล้ใส่ปาก

“ว่า?” นายแพทย์ปรเมธ ตันติสุริยะกิจ เพื่อนสนิทของเขาที่กำลังเรียนต่อเฉพาะทางด้านศัลยศาสตร์เงยหน้าขึ้นจากสมาร์ตโฟนที่อยู่ในมือซ้าย ส่วนมือขวากำลังเอื้อมไปตักเต้าเจี้ยวหลนมาราดบนข้าวสวยร้อนๆ

“ถ้าเราชวนผู้หญิงที่เราคิดว่าเค้าชอบเราไปเที่ยวต่างจังหวัดด้วยกัน แต่เค้าไม่ยอมไปด้วย มันมีสาเหตุจากอะไรบ้าง”

“เค้าไม่ได้ชอบมึงไง มึงคิดไปเอง!” แพทย์หนุ่มผู้มีใบหน้าคล้ายไอดอลเกาหลีตอบตรงจนคนฟังจุกอก

“เฮ้ย ไม่มั้ง มันต้องมีสาเหตุอื่นดิ” ที่จริงเขาก็ไม่แน่ใจหรอกว่าพิตาภาคิดกับเขาเกินพี่ชายหรือเปล่า แต่จากสายตาและท่าทีของเธอเมื่ออยู่ด้วยกันทำให้เขาอดคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้จริงๆ

“งั้นเขาก็อาจจะกลัวมึงปล้ำ”

“กูดูอันตรายขนาดนั้น?”

“ถ้ากูมีน้องสาวก็ไม่ให้รู้จักมึงอ้ะ”

“ไอ้ห่า พูดแบบนี้เอามีดมาแทงกูเลยดีกว่า”

อีกฝ่ายหัวเราะก๊าก “ก็จริงนี่หว่า ขนาดไม่ใช่หมอฟันยังฟันไปทั่ว”

“ตกลงกูจะได้คำตอบจากมึงไหม” อภิวัฒน์ทำหน้าจริงจัง เพราะคืนเมื่อวานหลังจากสวดมนต์เสร็จแล้วก็นอนคิดเป็นชั่วโมงว่าทำไมพิตาภาไม่ยอมตกลงไปกับเขา

ตอนเที่ยงที่ผ่านมาเขาก็ไลน์ไปหาเธอ แต่พิตาภาไม่ตอบอะไรสักคำ แถมยังส่งรูปที่กำลังกินข้าวกับผู้ชายมาให้ดู ทำเอาเขารู้สึกหัวร้อนขึ้นมาทันที

“กูก็ตอบไปแล้วไง”

“รู้ แต่มันมีสาเหตุอื่นอีกไหม”

“กูว่าจริงๆ มึงก็น่าจะรู้คำตอบดีนะ ไม่เห็นต้องถามเลย ว่าแต่ผู้หญิงคนที่มึงพูดถึงเป็นใคร กูรู้จักไหม” ปรเมธหรี่ตามองเพื่อนอย่างจับผิด

“ไม่รู้” หมอหนุ่มหลบตา

“จริงเหรอ”

“เออ” หน้าของอภิวัฒน์แดงขึ้นทีละนิด

“น้องพันช์ปะ” เขาเคยเจอหญิงสาวหลายครั้งสมัยเรียนมหาวิทยาลัย และรู้ว่าเพื่อนรู้สึกกับพิตาภามากกว่าน้องสาว แต่ไม่รู้ทำไมมันถึงไม่ยอมรับหัวใจตัวเองสักที แถมยังควงคนนั้นคนนี้ไปเรื่อย ทำเหมือนคนเกิดมากลัวใช้ชีวิตไม่คุ้มยังไงยังงั้น

“เปล่า!!!”

“มีพิรุธแบบนี้ต้องใช่แน่ๆ” ปรเมธหัวเราะหึๆ

“กูกับพันช์รู้จักกันมาตั้งแต่เกิดแล้ว ถ้ากูชอบน้องจริงก็คงไม่ปล่อยมาถึงทุกวันนี้หรอก” อภิวัฒน์พยายามกลบเกลื่อนอาการประหม่า แต่ก็ไม่อาจเล็ดลอดสายตาของเพื่อนไปได้

“เพราะมึงกลัวว่าถ้าบอกรักไปแล้ว มึงกับน้องอาจจะมองหน้ากันไม่ติดไง มึงไม่อยากเสียน้องไป ถึงพยายามปฏิเสธใจตัวเอง แต่ถ้ามึงกลัวอยู่แบบนี้ สักวันมึงจะเสียน้องไปจริงๆ น้องไม่ใช่ของตายนะเว้ย เผลอๆ ตอนนี้อาจจะกำลังดูใจกับใครอยู่ก็ได้ สาธุ ขอให้ไอ้อาร์ตมันแห้วทีเถอะ!” ปรเมธแช่งชักเพื่อนอย่างหมั่นไส้

“เอ้า! แช่งกูอีก”

“ก็มึงชักช้างุ่นง่าน”

“ไม่ได้ช้าสักหน่อย” คราวนี้อภิวัฒน์ตอบเสียงเบา

“เออๆ ไม่ช้า เร็วกว่าเต่านิดเดียว”

“มึงนี่ก็แซะเก่งจริงๆ น่าจะไปขายขนมครกมากกว่าเป็นหมอ”

“ก็กูอยากให้มึงรีบรุกไวๆ ไหนๆ มึงกับน้องพันช์ก็โสดอยู่ทั้งคู่ ถ้าวันนึงน้องมันมีแฟนขึ้นมา อาจจะไม่กลับมาโสดอีกก็ได้ ใครจะไปรู้” ปรเมธพยายามบิลด์เพื่อนเต็มที่

“เออๆๆ กูจะรุกให้มากกว่าเดิม” แพทย์หนุ่มตัดรำคาญ

‘ไอ้ปูนมันไม่ใช่เราก็พูดได้สิ’ แม้ที่ผ่านมาเขาจะมีผู้หญิงข้างกายนับไม่ถ้วน แต่พวกเธอเป็นแค่ ‘คู่เดต’ หรือไม่ก็ ‘คู่ควง’ เท่านั้น ไม่ได้คบกันจริงจังถึงขั้นแต่งงาน แต่กับพิตาภาไม่เหมือนกัน เพราะเธอไม่ใช่ผู้หญิงประเภทที่เขาจะคบเล่นๆ ได้ และเขาก็อยากใช้อนาคตร่วมกับเธอจริงๆ ไม่ใช่แค่สนุกสนานกันชั่วคราว เพราะแบบนี้ละเขาเลยไม่รู้จะบอกเธอยังไงดีเกี่ยวกับความรู้สึกที่มี เขาและเธอใกล้ชิดกันมาตลอด จนอาจทำให้เธอมองไม่ออกว่าเขาเปลี่ยนไปยังไง เหมือนกับที่เขาไม่แน่ใจว่าเธอคิดเหมือนกันหรือเปล่า เฮ้อ! คิดแล้วก็กลุ้ม!’


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น