5

บทที่ 5


 

5

คุณหมอใจดี

แม้นอกเวลางานอภิวัฒน์จะเป็นพี่อาร์ต ไอ้อาร์ต ไอ้ห่าอาร์ต ไอ้เหี้-อาร์ต หรืออะไรก็ตามของพี่น้องเพื่อนฝูง แต่เมื่ออยู่ที่โรงพยาบาล เขาคือ นายแพทย์อภิวัฒน์ ไตรรัตนภาคภูมิ ขวัญใจของคนไข้แทบทุกคน เพราะผู้ที่มารับการตรวจรักษาต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าหมออาร์ตทั้งหล่อทั้งใจดี เวลาตรวจก็ใจเย็น ไม่อารมณ์เสีย พูดคุยอย่างเอาใจใส่ ทำให้แพทย์หนุ่มมักจะได้รับขนมและของฝากจากคนไข้และญาติของคนไข้เป็นประจำ

“เป็นไข้หวัดธรรมดานะครับคุณยาย ไม่ใช่ไข้หวัดใหญ่ แต่มีอาการลำคออักเสบ เดี๋ยวหมอจะจัดยาให้ อย่าลืมทานให้ครบด้วยนะครับ” อภิวัฒน์ที่อยู่ในชุดกาวน์สีขาวย้ำกับคนไข้ เพราะหลายคนเมื่ออาการดีขึ้นแล้วก็เลิกกินยาทันที โดยไม่รู้ว่านั่นอาจทำให้เชื้อดื้อยาได้

“จ้าคุณหมอ” หญิงชรายิ้มอย่างปลาบปลื้มที่คุณหมอคุยอย่างสุภาพ แม้ว่าเธอจะอยู่ในชุดเก่ามอซอก็ตาม

“แล้วก็ช่วงนี้อย่าเพิ่งทำงานหนักนะครับ พยายามพักผ่อนมากๆ ร่างกายจะได้ฟื้นฟูเร็วๆ” แพทย์หนุ่มบอกเสียงนุ่มนวล

“ยายก็อยากพักอยู่หรอกนะ แต่ถ้าไม่ทำงานจะเอาเงินที่ไหนมาใช้ล่ะ”

“หมอเข้าใจครับ แต่ถ้าคุณยายฝืนทำงาน ร่างกายจะยิ่งอ่อนเพลียกว่าเดิม แทนที่จะหายเร็ว จะต้องใช้เวลานานขึ้นนะครับ เชื่อหมอเถอะนะครับ” อภิวัฒน์ค่อยๆ เกลี้ยกล่อมคนไข้ แม้ไม่รู้ว่าพอกลับบ้านไปแล้วคุณยายจะทำตามหรือเปล่า

หมอหนุ่มตรวจผู้ป่วยนอกจนเกือบบ่ายโมงจึงมีเวลากินอาหารเที่ยง เขาจัดการกับข้าวกล่องที่ซื้อมาตั้งแต่เช้าเสร็จภายในห้านาที ก่อนจะเดินไปเรียนที่อีกตึกหนึ่ง

บางคนอาจจะสงสัยว่าเขาเรียนแพทย์หกปีแล้ว ไปทำงานใช้ทุนที่ต่างจังหวัดมาสามปีแล้ว และตอนนี้ก็ทำงานเป็นแพทย์แล้ว ยังต้องเรียนอะไรต่ออีกหรือ

อภิวัฒน์บอกได้เลยว่าการเรียนของแพทย์ไม่มีวันสิ้นสุด เพราะหากอยากเชี่ยวชาญมากขึ้นก็ต้องเรียนเพิ่มเติม ตัวเขาเองเลือกเรียนเฉพาะทางด้านอายุรศาสตร์ ซึ่งในอนาคตหลังจากจบหลักสูตรสามปีแล้ว เขาก็วางแผนจะเรียนเฉพาะทางต่อยอดด้านอายุรศาสตร์หัวใจอีกสองปีด้วย กว่าจะจบทั้งหมดก็อายุสามสิบสองปีพอดี

ช่วงบ่ายสามโมงเป็นเวลาของการตรวจผู้ป่วยในซึ่งนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล หรือที่พวกหมอพูดกันสั้นๆ ว่า ‘ราวนด์วอร์ด’ หรือ ‘ขึ้นวอร์ด’ ซึ่งกว่าจะตรวจเสร็จก็เลยเวลาเลิกงานไปเกือบชั่วโมง

อภิวัฒน์ไม่เคยเสียใจเลยที่เปลี่ยนใจมาเรียนหมอเพื่อเอาใจแม่และเอาชนะ ‘ใครบางคน’ จากตอนแรกที่อยากเรียนวิศวะ เพราะอาชีพหมอทำให้รู้จักคำว่าเสียสละและได้เรียนรู้ประสบการณ์หลายอย่างที่อาจหาไม่ได้ในอาชีพอื่น

หลายครั้งเขาต้องมาปฏิบัติหน้าที่ในวันเสาร์-อาทิตย์หรือวันหยุดเทศกาล แทนที่จะได้ไปเที่ยวสนุกสนานกับเพื่อนๆ

เวลาพักกินข้าวก็ต้องกินไปเตรียมพร้อมไป เพราะอาจมีเคสฉุกเฉินเข้ามา เวลานอนก็ไม่ปกติเหมือนคนทั่วไป เพราะต้องอยู่เวรหลังเลิกงานสี่โมงเย็นจนถึงแปดโมงเช้า จากนั้นก็ต้องทำงานต่อตามเวลาราชการ ไม่ได้กลับไปพักผ่อนสบายๆ บนเตียงนุ่มภายใต้ผ้าห่มอุ่นๆ ที่บ้าน

และที่โหดกว่านั้นคือถ้าช่วงไหนมีหมอน้อยก็ต้องอยู่เวรต่ออีกเป็นวันที่สอง กว่าจะหมดเวรก็สี่โมงเย็นของวันถัดไป ซึ่งถ้าคืนไหนไม่ได้นอนก็คือไม่ได้นอนเลย แต่ตอนเช้าก็ต้องทำงานอย่างกระฉับกระเฉง หน้าตาสดชื่นเบิกบาน เพื่อไม่ให้คนไข้กังวลว่าหมอจะรักษาถูกๆ ผิดๆ หรือเปล่า ดังนั้นคุณสมบัติพิเศษที่หมอทุกคนต้องมีคืองีบหลับได้อย่างรวดเร็ว และตื่นมาพร้อมทำหน้าที่ทันทีแบบไม่มีงัวเงีย คืนไหนได้นอนสามชั่วโมงต่อกันนี่ถือว่าโชคดีสุดๆ

อภิวัฒน์เคยอยู่เวรติดต่อกันสามวันมาแล้ว พอวันที่สี่ที่ลงเวรนี่แทบสลบ จนต้องเรียกแท็กซี่กลับคอนโด เพราะถ้าขับรถเองอาจจะเกิดอุบัติเหตุได้

ความลำบากและความเหน็ดเหนื่อยของอาชีพแพทย์ยังมีอีกมากมายแบบที่เล่าสามวันก็ไม่จบ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รักอาชีพนี้ และพร้อมจะทำหน้าที่อย่างสุดความสามารถ

อภิวัฒน์มีความสุขที่ได้เห็นรอยยิ้มและความหวังในแววตาของคนไข้ รางวัลในการทำงานของหมอคงเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากเห็นคนป่วยหายดีและออกจากโรงพยาบาลไปพร้อมรอยยิ้ม

หมอหนุ่มกลับมายังห้องพักแพทย์และถอดเสื้อกาวน์ออกเมื่อปฏิบัติหน้าที่เสร็จ ตอนนี้เจ้าของร่างสูงสมาร์ตอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวพอดีตัวและกางเกงสแล็กสีเทา ต่างจากวันพักผ่อนที่มักจะอยู่ในลุคสบายๆ อย่างเสื้อเชิ้ตและกางเกงยีน

หลังจากนั่งพักผ่อนอยู่ครู่ หมอหนุ่มก็คว้ากระเป๋าสัมภาระเพื่อกลับบ้าน

ระหว่างเดินออกไปยังลานจอดรถ รอยยิ้มบางๆ ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลาเมื่อนึกถึงสิ่งที่คุยกับพิตาภาเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา

...

‘...พันช์ต้องช่วยพี่’

‘เอ่อ ช่วยยังไงคะ’

อภิวัฒน์ยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนตอบ ‘ก็...พี่ไม่มีใครแล้วใช่ไหม พันช์ก็ต้องเป็นคนไปไหนมาไหนกับพี่แทน เพราะพี่ไม่ชอบทำอะไรคนเดียว’

‘หา?’ พิตาภาทำหน้าเหวอ

‘งงอะไร’ เขายิ้มกว้าง เธอจะรู้ตัวไหมนะว่าทำหน้าแบบนี้ตลกที่สุดเลย

‘ก็ทำไมพันช์ต้องไปไหนมาไหนกับพี่อาร์ตด้วยล่ะคะ อันนี้คือตรรกะแบบหมอๆ เหรอ ไม่เห็นจะเมกเซนส์เลย’ คิ้วเรียวของเธอขมวดแทบจะชนกัน

‘ไม่เมกเซนส์ตรงไหน นี่มันเมกเซนส์สุดๆ ละ’ อภิวัฒน์หัวเราะกลบเกลื่อน

‘ชักสงสัยแล้วนะว่าเวลาตรวจคนไข้พี่อาร์ตวินิจฉัยถูกหรือเปล่า’

‘ถูกสิ ไม่เชื่อก็ลองป่วยแล้วมาให้พี่ตรวจดู’

พิตาภาส่ายหน้าหวือ ‘ไม่เอา คนแข็งแรงอยู่ดีๆ มาบอกให้ป่วย หมออะไรเนี่ย’

‘หมออาร์ตสุดหล่อขวัญใจคนไข้นี่แหละ’ ชายหนุ่มยักคิ้วอย่างยียวนก่อนชวนต่อแบบเนียนๆ ‘เสาร์หน้าพี่ไม่ได้อยู่เวร ไปคาเฟ่หมากันเนอะ’

‘พันช์ยังไม่ได้บอกเลยนะคะว่าจะไปไหนมาไหนเป็นเพื่อนพี่อาร์ต’

‘น้องหมาน่ารักๆ ทั้งนั้นเลยน้า มีทั้งคอร์กี้ ฮัสกี้ ปอมปอม ไม่อยากไปจริงๆ เหรอ’ อภิวัฒน์รู้ว่าเธอรักน้องหมายิ่งกว่าสิ่งใด เลยเอาเจ้าสี่ขามาหลอกล่อ แล้วก็ได้ผลจริงๆ

‘อืมๆ ไปก็ได้ค่ะ นี่ไปเพราะน้องหมานะ ไม่ใช่พี่อาร์ต’

แม้จะผ่านมาสามวันแล้วนับจากวันนั้น แต่พอนึกถึงตอนคุยกันก็ทำให้เขายิ้มกว้างได้ทุกที

 

พิตาภากำลังนั่งทำงานอยู่ที่ศาลาไม้แปดเหลี่ยมในสนามหญ้าหน้าบ้านหลังใหญ่ ซึ่งแวดล้อมด้วยต้นไม้และดอกไม้สีสันสดใส ทำให้อากาศเย็นสบายในตอนเก้าโมงเช้าสดชื่นขึ้นอีกเป็นเท่าตัว

บนโต๊ะตรงหน้าหญิงสาวคือแมคบุ๊กและกองหนังสืออีกสิบกว่าเล่มที่เกี่ยวกับน้ำหอม

พิตาภาเริ่มหลงใหลในกลิ่นของน้ำหอมมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย และค่อยๆ ศึกษาเรียนรู้มาเรื่อยๆ เริ่มตั้งแต่ประวัติความเป็นมา ไปจนถึงเรื่องราวของน้ำหอมในปัจจุบัน ซึ่งยิ่งอ่านยิ่งสนุก ในที่สุดจึงตัดสินใจจะทำแบรนด์เป็นของตัวเอง

ตอนนี้หญิงสาวค่อยๆ เก็บข้อมูลและวางแผนธุรกิจอย่างใจเย็น เพราะต้องการให้มีข้อผิดพลาดน้อยที่สุด ที่สำคัญคืองานนี้เธอลงมือทำคนเดียว ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

ดวงตากลมโตละจากหน้าจอแมคบุ๊กหลังจากใช้สายตามาเกือบชั่วโมง ร่างเพรียวลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายคลายความเมื่อยล้า ก่อนจะนั่งลงและเอนหลังพิงพนักม้านั่งในอิริยาบถสบายๆ

เมื่อไม่ได้จดจ่ออยู่กับงาน ใจของหญิงสาวก็คิดไปถึงหน้าใครคนหนึ่งและเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว

‘จบโทแล้วจะเรียนต่อเอกอีกหรือเปล่า’ อภิวัฒน์หันมาถามระหว่างทางขับรถมาส่งเธอที่บ้านเมื่อคืนวันเสาร์

‘คงยังค่ะ พันช์ว่าจะทำแบรนด์น้ำหอมของตัวเอง’ ดวงตากลมโตเป็นประกายมุ่งมั่น

‘นึกว่าพูดเล่นซะอีก เอาจริงเว้ย’

‘เอาจริงสิคะ นี่คิดว่าพันช์พูดเล่นมาตลอดเหรอ’ พิตาภาเคยเล่าให้เขาฟังนานแล้วตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ตอนนั้นอาจเป็นแค่ความฝัน แต่ตอนนี้ความฝันของเธอกำลังจะกลายเป็นจริงแล้ว

‘ทำน้ำหอมกลิ่นที่ไม่เหมือนใครให้พี่ขวดนึงด้วย’

‘ของซื้อของขาย ใครเขาทำให้กันฟรีๆ’ พิตาภาทำปากยื่นใส่เขา

‘แล้วใครบอกว่าขอฟรีๆ เล่า’ ชายหนุ่มยื่นมือมาโยกหัวเธอไปมาเบาๆ พลางยิ้ม

‘อ้าวเหรอ แต่ขวดนี้แพงมากนะคะ เพราะมีแค่ขวดเดียวในโลก’

‘เอาตัวพี่จ่ายแทนได้ปะ พี่ก็มีแค่คนเดียวในโลกเหมือนกัน’ คนพูดยิ้มตาพราว

ประกายจากดวงตาคมทำให้พิตาภาตาพร่ามัว แถมหัวใจดวงน้อยยังเต้นเสียงดังโครมครามจนกลัวว่าเขาจะได้ยิน คนอะไรขี้อ่อยชะมัด!

พิตาภาแกล้งทำหน้าเอือมใส่เขา แม้ข้างในจะสั่นๆ ด้วยความประหม่า ‘พูดอะไรเพ้อเจ้อ พันช์ทำธุรกิจ ต้องการเงินเท่านั้นค่ะ อย่างอื่นจ่ายไม่ได้’

อีกฝ่ายยังยิ้มระรื่น ‘ทำมาให้พี่ก่อนเถอะ พูดจริงๆ นะเนี่ย’

‘จ่ายมาห้าล้านค่ะ!’

‘พูดยังกับเรียกสินสอด’ ดวงตาสีเข้มเปล่งแสงวิบวับล้อเลียน

‘สินสอดอะไรเล่า! เราพูดถึงน้ำหอมกันอยู่ไม่ใช่เหรอคะ’ พิตาภางงที่จู่ๆ โยงไปเรื่องนั้นได้เฉย

‘ก็น้ำหอมที่ไหนมันแพงขนาดนั้น’

‘แหม ก็มันมีขวดเดียวในโลกนี่’

‘แพง! สี่ร้อยได้ไหม’

‘สี่ร้อยก็เอาแต่ขวดไปแล้วกัน’

‘จะเก็บพี่ห้าล้านจริงอ้ะ?’

‘พูดเล่นนนน แต่ถ้าพี่อาร์ตจ่ายก็เอา’

‘ไม่จ่ายเฟ้ย’

‘เชอะ เก็บไว้เปย์สาวๆ ละสิ’

‘ประมาณนั้น’ เจ้าของใบหน้าหล่อเหลายิ้มเจ้าเล่ห์ ‘ว่าแต่ถ้าจะมีคนมาสู่ขอ พันช์จะเรียกสินสอดเท่าไหร่’

‘ถามทำไมคะ’ หัวใจของเธอเต้นถี่รัว ทั้งที่มันเป็นแค่คำถามธรรมดา ไม่ได้เจาะจงว่า ‘ใคร’ จะเป็นคนมาสู่ขอ

‘ก็อยากรู้เฉยๆ ไม่มีไร’ เขายักไหล่

‘ไม่รู้สิคะ คนที่จะเรียกสินสอดคือคุณแม่ ไม่ใช่พันช์ พอละๆ เลิกพูดดีกว่า’ เธอหันออกไปมองวิวนอกหน้าต่างแทน พลางแอบบ่นคนที่ชอบทำให้คิดฝันไปไกลอยู่เรื่อย

เธอก็ไม่รู้หรอกว่าอภิวัฒน์คิดอะไรอยู่ถึงพูดเรื่องสินสอด เพราะปกติพูดล้อเล่นกันขำๆ ลักษณะนี้ประจำ คราวนี้เขาก็คงแค่แหย่เล่นตามประสาคนชอบกวนประสาทนั่นละ

ตึ่ง ตึง ตึ๊ง!

พอพูดถึงก็ส่งข้อความมาเลย คนอะไรตายยากจริง

Art Trirat : พรุ่งนี้อย่าลืมนัดของเรานะ น้องหมารออยู่ ^^

^ Punch ^ : ไม่ลืมค่า ว่าแต่วันนี้ไม่มีคนไข้เหรอ ปกติตอนเช้าไม่เคยไลน์มา

Art Trirat : เพิ่งราวนด์เช้าเสร็จ มีเวลาพักหายใจห้านาที เดี๋ยวจะไปตรวจผู้ป่วยนอกต่อละ ไว้คุยกันจ้า

^ Punch ^ : สู้ๆ ค่ะคุณหมอ :)

พิตาภารู้สึกเบิกบานอย่างบอกไม่ถูกแม้จะได้คุยผ่านข้อความเพียงไม่กี่ประโยค เธอรู้ว่าอภิวัฒน์งานยุ่งมากในวันธรรมดา แต่เขาก็ยังอุตส่าห์หาเวลาทักมาจนได้

ไม่อยากคิดเลยว่าเธอเป็นคนพิเศษสำหรับเขา แต่ใจมันก็คิดไปแล้ว เพราะหากเธอมีเวลาจำกัด และเลือกคุยได้เพียงคนเดียว เธอก็คงคุยกับคนที่สำคัญที่สุดแน่นอน

“ไม่ๆๆ ไม่ใช่หรอก” หญิงสาวสลัดศีรษะเบาๆ แต่เหมือนไม่ได้ช่วยอะไรเลย

เพื่อกำจัดความฟุ้งซ่านออกจากสมอง มือเรียวจึงวางสมาร์ตโฟนลงบนโต๊ะ ก่อนจะเริ่มทำงานต่อเพื่อจะได้ไม่ต้องคิดถึงคนที่ทำให้หัวใจปั่นป่วนอีก

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น