6

บทที่ 6 ความสุขของคนแอบรัก


6

ความสุขของคนแอบรัก

อภิวัฒน์ขับรถมาจอดไว้ที่บ้านของพิตาภาในตอนบ่ายโมง ก่อนจะขึ้นแท็กซี่ไปคาเฟ่หมาที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านของเธอด้วยกัน เพื่อจะได้ไม่ต้องไปแย่งที่จอดรถซึ่งมีจำกัดกับลูกค้าคนอื่น

ใช้เวลาประมาณยี่สิบนาที ทั้งคู่ก็มาถึงที่หมาย และเป็นตามคาดเมื่อภายในซอยเล็กๆ มีรถจอดเป็นแถวยาว ไล่มาตั้งแต่ริมรั้วของคาเฟ่หมาไปจนถึงหน้าปากซอย

ตอนนี้บรรยากาศหน้าบ้านสองชั้นหลังสีครีมที่ดัดแปลงชั้นล่างเป็นคาเฟ่คึกคักไปด้วยลูกค้าที่กำลังต่อคิวรอเข้าไปเล่นกับเหล่าน้องหมาแสนน่ารักภายในคาเฟ่ ซึ่งมีการจัดคิวให้เข้าไปตามลำดับ

อภิวัฒน์และพิตาภาเดินเข้าไปในบริเวณที่จัดไว้สำหรับรอคิว ต่างคนต่างลังเลว่าคิดถูกไหมที่มาวันนี้

“ลูกค้าที่มาใหม่ลงคิวได้ที่นี่เลยนะครับ” เจ้าของร้านหนุ่มที่นั่งอยู่หน้าประตูคาเฟ่ยิ้มอย่างมีอัธยาศัย

เสียงเห่าของน้องหมาดังออกมาเป็นระยะ บางตัวก็กระโดดเกาะประตูคล้ายอยากออกมาข้างนอก ลูกค้าหลายคนพากันยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายภาพความน่ารักแสนซนของเจ้าสี่ขาเก็บเอาไว้ระหว่างรอเข้าไปสัมผัสตัวเป็นๆ ของน้องหมา

“เอาไงดีเรา” อภิวัฒน์หันมาถามเธอ

“ไหนๆ ก็มาแล้ว เดี๋ยวไปถามพี่เค้าก่อนดีกว่าค่ะว่ารอนานไหม”

หมอหนุ่มพยักหน้าเห็นด้วย “งั้นพันช์รอนี่นะ พี่ไปถามแป๊บนึง”

“ค่ะ” รอยยิ้มอ่อนโยนของเขาทำให้หัวใจของเธอพองฟูไปด้วยความอิ่มเอม

เจ้าของร่างสูงในชุดเสื้อยืดคอวีสีขาวและกางเกงยีนสีซีดเดินเข้าไปหาเจ้าของร้านที่ถือสมุดจดคิวอยู่ ก่อนจะสอบถาม ไม่นานก็เดินกลับมาหาเธอที่ยืนรออยู่ริมรั้วเหล็กสีดำข้างสนามหญ้าสีเขียวสดที่เอาไว้ให้น้องหมาออกมาวิ่งเล่น

“ประมาณชั่วโมงนึง โอเคไหม” จริงๆ เขาก็อยากจะมาวันธรรมดาที่คนน้อยกว่านี้ แต่ทำไงได้ล่ะในเมื่อต้องทำงานที่โรงพยาบาลเกือบทั้งวัน ยิ่งวันไหนอยู่เวรยิ่งไม่ต้องพูดถึง เพราะตอนออกเวรก็คิดถึงแต่ที่นอนกับหมอนเท่านั้น ไม่เหลือแรงไปทำอย่างอื่นแล้ว แต่วันเสาร์-อาทิตย์ถ้าไม่ได้เข้าเวร อภิวัฒน์ก็จะพักผ่อนและสังสรรค์เต็มที่เพื่อผ่อนคลายสมอง

“ก็พอได้อยู่นะคะ คุยกันแป๊บเดียวก็ชั่วโมงนึงละ” ไม่รู้ว่าหมอหนุ่มจะรู้สึกยังไงบ้างที่วันนี้เขาและเธอแต่งตัวสไตล์และโทนสีเดียวกันโดยไม่ได้นัดหมาย ต่างนิดเดียวแค่ของเธอเป็นเสื้อยืดคอกลมและกางเกงยีนขาสั้น พิตาภาทั้งรู้สึกดีและรู้สึกเขินอย่างบอกไม่ถูก เพราะดูแล้วเหมือนเธอกับเขาเป็นคู่รักกันยังไงยังงั้น

“โอเค งั้นพี่ไปลงคิวเลยนะ” อภิวัฒน์บอกแล้วเดินกลับไปหาเจ้าของร้านอีกรอบ

พิตาภามองแผ่นหลังหนาของคนตัวสูงแล้วก็แอบอมยิ้มอยู่คนเดียว

หลังจากลงชื่อแล้ว ชายหนุ่มและหญิงสาวก็มองหาที่นั่งรอ แต่ไม่มีเก้าอี้ว่างสักตัวเลยต้องยืนกันต่อไป ระหว่างนั้นอภิวัฒน์ก็หยิบสมาร์ตโฟนออกมาและชวนว่า

“พี่ถ่ายรูปให้ไหม” เขาเอ่ยราวกับรู้ว่าเธอกำลังนึกอยากเก็บภาพไว้เป็นที่ระลึกอยู่พอดี

“เอามือถือพันช์ดีกว่าค่ะ จะได้ไม่เสียเวลาส่งรูปมา” เธอจะหยิบสมาร์ตโฟนออกมาจากกระเป๋าสะพายข้างสีชมพูใบเล็ก แต่มือหนาก็เอื้อมมาจับข้อมือไว้ก่อน

“เอาของพี่นี่แหละ ส่งแป๊บเดียว” นัยน์ตาสีเข้มเป็นประกายพราวพร่าง และไออุ่นจากมือใหญ่ทำให้หัวใจของหญิงสาวเต้นผิดจังหวะไปในทันที

“ก็ได้ค่ะ” พิตาภาพยักหน้าเบาๆ สบดวงตาคู่คมได้เพียงแวบเดียวก็ต้องเสมองไปทางอื่น เพราะรู้สึกว่าวันนี้ดวงตาของเขามีแรงดึงดูดสูงกว่าทุกวัน

อภิวัฒน์ยิ้มเมื่อเห็นท่าทีขัดเขินของเธอ มือหนายังคงไม่ละจากข้อมือกลมกลึงของคนตัวเล็กกว่า

“ไปมุมนี้ดีกว่า สวยดี” เขาจูงแขนเธอเดินไปยังมุมหนึ่งที่จัดเป็นสวนญี่ปุ่นแสนน่ารัก

พิตาภาเดินตามไปพร้อมหัวใจพองโตเมื่อตอนนี้เธอเป็นคนเดียวที่อภิวัฒน์ให้ความสนใจ

ตั้งแต่มาถึงที่นี่ ชายหนุ่มก็ไม่ได้ส่งสายตาให้สาวๆ อย่างที่เธอคิดไว้ แม้ว่าจะมีผู้หญิงหลายคนมองเขาอย่างสนใจก็ตาม

‘สงสัยคราวนี้ตั้งใจจะโสดจริงๆ แฮะ แล้วนี่จะให้เธอไปไหนมาไหนด้วยอีกนานหรือเปล่า หรือแค่วันนี้ที่เขาอาจจะหาคนไปเป็นเพื่อนไม่ทัน แต่ช่างเถอะ ได้มากับพี่อาร์ตเธอก็ดีใจแล้ว ตอนนี้ขอซึมซับความสุขไว้ก่อนดีกว่า เพราะถ้าเขามีแฟนก็คงไม่มีโอกาสเที่ยวด้วยกันแบบนี้แล้ว’

พิตาภาคิดอย่างเศร้าๆ เพราะรู้ดีว่าเธอคงไม่มีวันได้เป็น ‘คนนั้น’ ของเขา

“คิดอะไรอยู่พันช์!”

หญิงสาวสะดุ้งเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยขึ้นเสียงไม่เบานัก แถมยังยื่นหน้าเข้ามาถามใกล้ๆ อีก

“พี่อาร์ต! เล่นอะไรเนี่ย” เธอถอยหนีโดยอัตโนมัติ

ชายหนุ่มหัวเราะอย่างพอใจเมื่อเห็นสีหน้าตื่นๆ ของคนตัวเล็ก

“แกล้งคนใจลอยไง คิดถึงใครอยู่เหรอ”

“เปล่าค่ะ”

“จริงอ้ะ ไม่ใช่ว่าแอบมีแฟนไม่บอกพี่บอกเชื้อนะ” ดวงตาคมหรี่แคบลงอย่างจับผิด

“เปล่าสักหน่อย ถ้าพันช์มีแฟนก็คงไม่มากับพี่อาร์ตหรอก เพราะเสาร์-อาทิตย์แบบนี้อยู่กับแฟนดีกว่า”

“ดีแล้ว โสดเป็นเพื่อนพี่ก่อน” รอยยิ้มอบอุ่นแต้มอยู่บนริมฝีปากหยักลึกสีระเรื่อที่มีไรหนวดสีเขียวขึ้นจางๆ

“บอกให้พันช์โสดเป็นเพื่อน แต่อีกสักหน่อยตัวเองก็คงหนีไปมีแฟน อ้อ ไม่ใช่ หนีไปมีคู่ควง” เธอรู้ไส้รู้พุงเขาหมดนั่นละ ‘คนขี้เหงาแบบพี่อาร์ตเหรอจะโสดได้นาน นี่ก็ไม่รู้ว่าเขาจะมีคู่ควงไปอีกกี่คน กว่าจะยอมมีแฟนแบบจริงจัง’

“ไม่มีเร็วๆ นี้หรอก”

“จริงอ้ะ”

“จริ๊งงง”

“มีความเสียงสูง เชื่อได้ไหมเนี่ย”

“เชื่อได้แน่นอน”

“จะรอดูค่ะ” บอกตรงๆ ว่าเธอไม่อยากเชื่อเขาเลยสักนิด ‘เอ๊ะ เดี๋ยวนะ ทำไมอิพี่อาร์ตยังไม่ปล่อยแขนเธออีกเนี่ย หลอกแต๊ะอั๋งกันเหรอ กับน้องก็ไม่เว้นเลยนะ!’

ว่าแล้วพิตาภาก็ส่งสายตาเหี้ยมเกรียมไปให้คุณหมอหนุ่ม “คุณพี่อาร์ตคะ”

“จ๋า” อภิวัฒน์ขานรับเสียงหวาน

“จะปล่อยแขนพันช์ได้หรือยังคะ”

“อ้าว โทษที” เจ้าตัวปล่อยแขนเธอ แต่ดวงตาแพรวพราวบ่งบอกว่าไม่ได้ลืมตัว

“คิดอะไรปะเนี่ย” พิตาภาแกล้งแซว ทว่าคนที่เขินกลับเป็นเธอเอง เพราะอีกฝ่ายยิ้มกว้างอย่างไม่ไหวหวั่นกับคำถาม

“แล้วคิดว่าคิดอะไรหรือเปล่า” เขาจ้องลึกเข้าไปในดวงตากลมโตที่กำลังสั่นไหวด้วยความประหม่า

“เอ่อ... มะ...ไม่รู้สิคะ” หญิงสาวปากสั่น มือสั่นเพราะคำพูดที่ชวนให้คิดไปไกล ต้องรีบดึงสติกลับมาโดยไวด้วยการพูดต่อ “ไหนว่าจะถ่ายรูปให้พันช์ไงคะ”

“อ้อ จริงสิ” อภิวัฒน์ลอบถอนหายใจเบาๆ

“เอามุมนี้นะคะ” พิตาภาขยับไปทางขวาเพื่อไม่ให้บังวิวสวนญี่ปุ่นด้านหลัง จากนั้นก็ยิ้มกว้างพร้อมชูสองนิ้วขึ้น

ดวงตากลมโตเป็นประกายพริบพราวสดใสราวกับแสงตะวัน ทำให้หัวใจของนายแพทย์หนุ่มชุ่มชื้นตามไปด้วย

เขาใช้สายตาเก็บภาพเธอไว้ในหัวใจ ก่อนจะยกสมาร์ตโฟนขึ้นถ่ายรูปหญิงสาวเก็บไว้ในเมมโมรีเพื่อดูซ้ำเวลาคิดถึง “หนึ่ง สอง สาม!” หลังให้สัญญาณ อภิวัฒน์ก็กดชัตเตอร์

แชะ!

“โอเคไหมคะ” พิตาภาเดินเข้ามาเช็กรูป ก่อนจะยิ้มพอใจเมื่ออีกฝ่ายเปิดให้ดู “สวยจัง”

“ชมตัวเองหรือชมว่าพี่ถ่ายสวย” คิ้วหนาบนใบหน้าหล่อเหลาเลิกขึ้น

“ก็ทั้งสองนั่นแหละค่ะ” เธอตอบอย่างมั่นใจในตัวเองและยิ้มซุกซน

หญิงสาวเดินไปถ่ายรูปตามมุมต่างๆ อย่างเพลิดเพลิน ส่วนช่างภาพจำเป็นก็เดินตามไปอย่างไม่เกี่ยงงอน สามสิบนาทีผ่านไป พิตาภาก็ได้รูปสวยๆ ไปเกือบยี่สิบรูป ไม่นับรูปที่เบลอ อ้าปาก หรือหลับตาตอนถ่าย

“มีรูปไว้อัปเฟซกับไอจีอีกหลายเดือนเลย ขอบคุณมากนะคะ” มากกว่ารูปสวยคือความปลาบปลื้มใจว่าใครเป็นคนอยู่เบื้องหลังรูปพวกนั้น

การถ่ายรูปเป็นการบันทึกความทรงจำอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งสำหรับพิตาภา ความทรงจำไม่ได้อยู่แค่ที่มองเห็นในภาพเท่านั้น เวลาเปิดดูรูปเก่าๆ เธอจึงมักจะนึกย้อนกลับไปเสมอว่ารูปนั้นใครเป็นคนถ่าย เพราะคนคนนั้นก็เป็นหนึ่งในความทรงจำเช่นกัน

ทุกครั้งเวลาดูรูปที่อภิวัฒน์ถ่ายให้ พิตาภาก็จะนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนั้น แล้วมันก็ทำให้เธอยิ้มได้ทุกครั้ง เพราะที่ผ่านมาเรื่องราวระหว่างเธอและเขามีแต่ความทรงจำดีๆ มากมาย แม้บางทีที่คิดถึงจะทำให้รู้สึกทั้งหวานและขมปนกันไปก็ตาม

“เซลฟี่กันไหม” อภิวัฒน์ชวนด้วยน้ำเสียงสบายๆ

“ได้ค่ะ” พิตาภาตอบทันที

เมื่อหมอหนุ่มได้ยินอย่างนั้นก็ขยับเข้ามายืนข้างๆ เธอแบบไหล่ชนไหล่ ก่อนจะนับถอยหลังให้สัญญาณ “หนึ่ง สอง สาม!”

คนตัวโตและคนตัวเล็กยิ้มกว้างให้กล้อง ไม่มีใครรู้ว่าหัวใจของอีกฝ่ายกำลังแอบเต้นรัวอยู่ข้างใน

หลังถ่ายรูปจนหนำใจแล้ว อภิวัฒน์และพิตาภาก็กลับมายืนรอริมรั้วเหล็กข้างสนามหญ้า ระหว่างนั้นชายหนุ่มก็กดส่งรูปให้เธอทางไลน์ จนเสียงเตือนข้อความเข้าของหญิงสาวดังระรัว

“เน็ตพอไหมคะนั่น” หญิงสาวถามพลางปิดเสียงโทรศัพท์เพราะกลัวรบกวนคนอื่น

“พออยู่แล้ว ปกติไม่ค่อยได้ใช้อะไร ว่าแต่...ตอนนี้น้ำหอมของพันช์ไปถึงไหนแล้ว” อภิวัฒน์สอบถามอย่างสนใจ

“เมื่อวานเริ่มวางแผนธุรกิจคร่าวๆ แล้วค่ะ แล้วก็คิดคอนเซปต์ของกลิ่นหลายๆ แบบไว้ด้วย พันช์อยากให้เป็นกลิ่นแบบยูนิเซ็กซ์”

“ก็ดีนะ ใช้ได้ทั้งผู้ชายผู้หญิง กลุ่มลูกค้าของเราก็กว้างขึ้นอีก”

“ใช่ค่ะ พันช์ว่าจะจับกลุ่มลูกค้าที่มีไลฟ์สไตล์ทันสมัย ทีนี้ก็ต้องคิดต่อว่าจะโพรโมตยังไงให้เข้าถึงคนกลุ่มนั้น ตอนนี้ไอเดียมันฟุ้งอยู่ในหัวไปหมดเลย นึกอะไรได้ก็ต้องจดไว้ก่อนกันลืม แล้วค่อยมาสรุปรวบรวมอีกที” พิตาภาคิดว่าจะเข้าไปคุยกับภานุรุจเร็วๆ นี้ เพราะแผนการโพรโมตของเธออาจต้องอาศัยความช่วยเหลือจากชายหนุ่ม

“ทำธุรกิจของตัวเองก็วุ่นวายอย่างนี้แหละ แต่พันช์ทำได้อยู่แล้ว ถ้ามีอะไรให้พี่ช่วยบอกได้นะ ถ้าช่วยได้ พี่ช่วยเต็มที่ ขอแค่อย่าลืมน้ำหอมกลิ่นพิเศษสำหรับพี่ก็พอ”

“แหม นึกว่าจะช่วยแบบไม่หวังผลตอบแทน” พิตาภาค้อน

“ก็ไม่ได้หวังเงินนะ แค่ขอของขวัญเล็กๆ น้อยๆ เอง” เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาบอกพลางยิ้มละไม

“ค่า เดี๋ยวทำให้” แค่นี้เอง ทำไมเธอจะทำให้เขาไม่ได้ล่ะ “แล้วพี่อาร์ตเป็นไงบ้างคะเนี่ย ทั้งทำงานทั้งเรียนไปด้วย” หญิงสาวถามอภิวัฒน์บ้าง

“เหนื่อยโคตร” ทั้งน้ำเสียงทั้งสีหน้าของอภิวัฒน์ยืนยันอย่างนั้น

พิตาภาอดขำไม่ได้ “พูดเบาๆ ก็ได้ค่ะ เผื่อมีคนไข้หมออาร์ตอยู่แถวนี้”

“ยังพูดไม่จบ”

“อ้ะๆ แล้วไงต่อ”

“คือมันเหนื่อยก็จริง แต่เวลาเห็นคนป่วยแข็งแรงขึ้น เราก็มีกำลังใจที่จะทำงานมากขึ้นเหมือนกัน” ดวงตาคมฉายแววหนักแน่น

หญิงสาวมองเขาอย่างชื่นชม “เมื่อก่อนพันช์เคยคิดนะคะว่าทำไมหลายคนถึงอยากเรียนหมอ มันทั้งยาก ทั้งเหนื่อย ต้องเสียสละอะไรหลายๆ อย่าง แต่พี่อาร์ตทำให้พันช์เข้าใจแล้วว่าทำไม”

ถึงอภิวัฒน์จะไม่ได้ตั้งใจเลือกเรียนหมอแต่แรก แต่พอสอบติด เขาก็ตั้งใจเรียนจนเป็นอันดับต้นๆ ของรุ่น และพอได้เป็นหมอเต็มตัวแล้ว เขาก็ทุ่มเทเต็มที่เหมือนกัน เธอคิดว่าเขาทำงานเกินเงินเดือนที่ได้รับเสียอีก

“เชิญคุณอาร์ตครับ” เสียงเจ้าของร้านเรียกชื่ออภิวัฒน์ดังขึ้น

“ถึงคิวแล้ว! ไปกันเถอะค่ะ” พูดจบเจ้าของร่างบางก็เดินนำไปก่อนด้วยความตื่นเต้น เพราะอยากเล่นกับน้องหมาเต็มที

อภิวัฒน์เดินตามหญิงสาวไปพลางอมยิ้ม เห็นเธอมีความสุข เขาก็มีความสุขไปด้วย ถ้าจะพูดว่าความสุขของเธอคือความสุขของเขาก็ไม่ผิดนัก

 

ภายในคาเฟ่ที่ตกแต่งสไตล์ลอฟต์เต็มไปด้วยทั้งคนและหมา บรรยากาศค่อนข้างวุ่นวายและเสียงดังทีเดียว แต่ก็ถือเป็นเรื่องปกติ เพราะการจะให้น้องหมาทั้งเก้าตัวอยู่นิ่งๆ ไม่วิ่งไปมาหรือส่งเสียงเห่านั้นเป็นไปไม่ได้เลย

อภิวัฒน์และพิตาภาได้ที่นั่งแบบโซฟาซึ่งกั้นเป็นล็อกๆ ด้วยโครงเหล็กสีดำ บนเบาะโซฟาสีน้ำตาลรูปสี่เหลี่ยมมีโต๊ะไม้เล็กไว้สำหรับวางเครื่องดื่มและอาหาร

หญิงสาวเอากระเป๋าสะพายวางไว้ใต้โต๊ะเล็ก เพื่อจะได้เล่นกับน้องหมาได้สะดวก ส่วนอภิวัฒน์นั้นไม่มีสัมภาระอะไรนอกจากกระเป๋าสตางค์และโทรศัพท์มือถือ บางทีเธอก็สงสัยนะว่าเวลาไปไหนมาไหน ผู้ชายไม่พกอะไรอย่างอื่นเลยเหรอ

“พันช์เอาไร เดี๋ยวพี่ไปสั่งให้” ชายหนุ่มอาสา

“เอาน้ำส้มปั่นแล้วกันค่ะ อ๊ายยย น้องหมาาา” พิตาภากางแขนเตรียมจะกอดสุนัขไซบีเรียน ฮัสกี้ตัวใหญ่ที่กำลังวิ่งมาทางเธอ แต่ไม่ทันได้กอด เจ้าฮัสกี้จอมซนก็วิ่งปรู๊ดไปหน้าประตูแล้ว “น้องหมาอ้ะ ทำไมต้องวิ่งหนีพี่ด้วย” เธอโอดครวญอย่างน้อยใจ

“ฮ่าๆๆ”

พิตาภาหันไปค้อนคนที่ขำเธออย่างไม่เกรงใจ “ขำไรคะ”

“ขำคนงอนน้องหมา” ดวงตาคมเป็นประกายพริบพราว

“เชอะ”

“ถ้าอยากกอดต้องลงมานั่งดักเลย รับรองได้กอดทุกตัว” อภิวัฒน์ยิ้มอบอุ่น ก่อนจะเดินไปยังเคาน์เตอร์เพื่อสั่งเครื่องดื่ม

พิตาภากระถดตัวลงมานั่งบนพื้นกระเบื้องสีครีมตามที่หมอหนุ่มบอก จังหวะนั้นเจ้าคอร์กี้ตัวอ้วนกลมวิ่งผ่านมาพอดี หญิงสาวจับเจ้าหมาขาสั้นขยำอย่างมันเขี้ยว ก่อนที่มันจะหลุดมือวิ่งไปอีกด้านของร้าน

เจ้าของใบหน้าหวานทำปากยื่นเล็กๆ อย่างแสนเสียดายเพราะยังเล่นไม่หนำใจ ดวงตากลมโตตวัดไปมองอภิวัฒน์ซึ่งยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์และพบว่าเขากำลังยิ้มขำเธอ

หญิงสาวย่นจมูกใส่เขา แต่อีกฝ่ายยิ่งยิ้มกว้างกว่าเดิม

อภิวัฒน์กลับมานั่งที่โซฟาหลังจากสั่งเครื่องดื่มเสร็จ ชายหนุ่มวางป้ายหมายเลขสิบห้าไว้บนโต๊ะเล็ก เพื่อรอให้พนักงานมาเสิร์ฟ ตอนแรกเขาก็นั่งอยู่เฉยๆ แต่พอเห็นพิตาภาเล่นกับน้องหมาที่วิ่งผ่านไปมาอย่างสนุกสนานก็อดใจไม่ไหว ลงมานั่งบนพื้นบ้าง

พิตาภาหัวใจเต้นรัวขึ้นเมื่อเขานั่งตัวติดกับเธอแบบขาชนขา ไหล่ชนไหล่ ทั้งที่ไม่จำเป็นต้องนั่งชิดกันขนาดนั้นก็ได้ แต่อภิวัฒน์ก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และหยอกล้อกับน้องหมาอย่างสบายอารมณ์

“พี่อาร์ตสั่งไรคะ”

“เบียร์”

หญิงสาวทำหน้าทึ่ง “ทำยังกับมาเที่ยวผับ ถ้าเมาไม่แบกกลับบ้านนะ บอกไว้ก่อน”

“ไม่เมาหรอก ขวดเล็กๆ เอง” เขาเอ่ยด้วยสีหน้าที่บ่งบอกว่าแค่นี้สบายมาก

“สาธุ”

อภิวัฒน์ส่ายศีรษะไปมา รอยยิ้มอบอุ่นระบายทั่วใบหน้าคมคาย “พันช์ชอบที่นี่ไหม”

“ชอบมากเลยค่ะ น้องหมาน่ารักมากกกก” หญิงสาวตอบขณะที่อภิวัฒน์ก็ทำตัวติดเธอต่อไปอย่างนั้น

“อยากเอากลับไปเลี้ยงที่บ้านเนอะ” เขาเอ่ยอย่างจริงจัง

สมัยเรียนประถม อภิวัฒน์และพิตาภาเคยขอแม่ซื้อลูกหมามาเลี้ยงด้วยกัน โดยให้อยู่ที่บ้านของพิตาภาเป็นหลัก เพราะหลังเลิกเรียนอภิวัฒน์จะแวะมาบ้านของหญิงสาวซึ่งอยู่ใกล้โรงเรียนก่อนกลับบ้านตัวเองบ่อยๆ อยู่แล้ว จะได้ไม่ต้องให้เธอลำบากไปบ้านเขาที่อยู่ไกลกว่า

ทั้งคู่ช่วยกันดูแลเจ้าปุยฝ้าย สุนัขพันธุ์พุดเดิลสีขาวตัวเมียเป็นอย่างดีเกือบสามปี จนเมื่อปุยฝ้ายโดนรถชนตายก็ไม่ได้เลี้ยงหมาตัวอื่นอีก เพราะไม่ชอบความรู้สึกหดหู่ตอนสัตว์เลี้ยงจากไป คนไม่เคยเลี้ยงสัตว์จะไม่เข้าใจเลยว่าทำไมแค่หมาแมวตายจะต้องเศร้ามากขนาดนั้น

‘ก็เลี้ยงเค้ามานาน ทั้งรักและผูกพันไม่ต่างจากคนในครอบครัว จะไม่ให้เสียใจได้ยังไงล่ะ ตอนนั้นที่เจ้าปุยฝ้ายตาย กว่าเธอกับพี่อาร์ตจะทำใจได้ก็ผ่านไปตั้งหลายเดือน’

“ไม่เอาดีกว่า ไม่อยากร้องไห้เวลาเค้าตาย” พิตาภาส่ายหน้า

“อย่าไปคิดถึงตอนนั้นสิ คิดว่าเราจะมีความสุขแค่ไหนระหว่างที่ได้เลี้ยงเค้าดีกว่า”

“พี่อาร์ตไม่กลัวเสียใจเหรอคะ ตอนนั้นเจ้าปุยฝ้ายตาย เรายังกอดคอกันร้องไห้อยู่เลย”

“ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็คงกลัว แต่ตอนนี้พี่โตแล้ว อีกอย่างพี่เป็นหมอ การเกิดแก่เจ็บตายมันกลายเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับพี่ไปแล้ว”

หญิงสาวคิดตามก่อนพยักพเยิด “ก็จริงเนอะ”

“เพราะงั้นอย่ามัวไปคิดถึงเรื่องที่ยังมาไม่ถึงเลย มีความสุขกับปัจจุบันดีกว่า ยิ้มหน่อยนะ” คนพูดยิ้มกว้างเป็นตัวอย่าง

รอยยิ้มเจิดจ้าของเขาทำให้ความกังวลของพิตาภาค่อยๆ ลอยหายไปในอากาศ เธอกลับมาเล่นกับน้องหมาอย่างเพลิดเพลิน สลับกับให้อภิวัฒน์ถ่ายรูปคู่กับเจ้าสี่ขาให้

ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันวันนี้ หัวใจของพิตาภาหวั่นไหวอยู่เป็นระยะกับการกระทำที่ไม่รู้ว่าบังเอิญหรือตั้งใจของอภิวัฒน์ ไม่ว่าจะเป็นการใกล้ชิดถึงเนื้อถึงตัว นัยน์ตาพร่างพราวของเขา และรอยยิ้มที่เหมือนกับซ่อนอะไรเอาไว้ แต่เธอก็ทำได้แค่คาดเดาไปต่างๆ นานา

‘เอาเถอะ ได้มีความสุขเท่านี้ในฐานะน้องสาวคนหนึ่ง ก็ยังดีกว่าไม่ได้เป็นอะไรกับพี่อาร์ตเลย ส่วนอนาคตจะเป็นยังไงก็ปล่อยให้เป็นไป อย่างที่พี่อาร์ตบอกนั่นแหละ เราควรจะมีความสุขกับปัจจุบันมากกว่า’

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น