กัณฑ์มองดูหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ แล้วอมยิ้ม หลังจากได้รูปถ่ายของลูกกลับคืน ดูเหมือนเธอจะอารมณ์ดีขึ้น แต่เมื่อรู้ตัวว่าเขามองอยู่ก็ทำหน้าคว่ำใส่ทันที เมื่อเขาชวนคุยก็บอกว่าง่วงจะนอน ถามว่าจะแวะไปกินมื้อเที่ยงกันก่อนไหม ก็บอกว่าไม่ จะกลับบ้าน แต่แล้วอยู่ๆ ก็พูดในสิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจ 

“หือ? น้องแพรว่าอะไรนะคะ” กัณฑ์ที่จอดรถติดไฟแดงอยู่หันหน้าไปถามคนที่เพิ่งบอกเขาว่าจะลงจากรถ ถ้าสัญญาณไฟเขียวมาก่อนที่เธอจะกลับมาก็ให้เขาเอารถไปจอดเทียบรอข้างหน้า “น้องแพรจะลงไปทำไมคะ” 

“แพรจะลงไปซื้อของ” ว่าแล้วเหมือนแพรปลดล็อกรถแล้วทำท่าจะก้าวลง กัณฑ์รีบคว้าแขนเธอไว้ เพราะเห็นรถจักรยานยนต์ที่กำลังแล่นเข้ามา แต่คนจะลงรถไม่ทันดู นึกว่าถูกห้ามจึงหันขวับมาจะเอาเรื่องชายหนุ่ม แต่ไม่ทันที่เธอจะพูดอะไร รถจักรยานยนต์คันนั้นก็แล่นผ่านไป ถ้าเธอเปิดประตูออกไปคงโดนรถชน หรือไม่ก็ทำให้รถจักรยานยนต์คันนั้นโดนประตูฟาด 

“ขอบคุณค่ะ...” ในความดื้อก็รู้ว่าตัวเองผิด “แพรจะดูให้ดี แพรจะไปซื้อผลไม้นั่น” เหมือนแพรชี้ไปที่แผงขายผลไม้สดหั่นชิ้นและผลไม้ดองริมทาง 

กัณฑ์เห็นแล้วถอนหายใจ ดึงประตูที่ยังปิดไม่สนิทเข้ามาใหม่ ทำเอาคนที่จะลงจากรถโวยวาย ก่อนที่สัญญาณไฟจะเปลี่ยนเป็นสีเขียว รถจึงเคลื่อนตัวช้าๆ 

เหมือนแพรหันมองร้านผลไม้ตาละห้อย กลืนน้ำลายลงคอ อยากกินมาก 

“พี่กัณฑ์จอดข้างทางก็ได้ เดี๋ยวแพรเดินไปซื้อเอง แพรอยากกินน่ะ” 

“อย่าเลย...” กัณฑ์อยากปฏิเสธเพราะรู้ว่าน้องต้องระวังเรื่องอาหารการกิน ต้องสะอาด ไม่อย่างนั้นจะท้องเสียได้ง่ายๆ แต่พอหันไปเห็นสายตาละห้อยพร้อมอาการกลืนน้ำลายก็สงสาร ถ้าเขาขัดอาจโดนโกรธ จึงนำรถเข้าไปจอดเทียบริมฟุตพาท เอ่ยห้ามคนที่เตรียมจะเปิดประตูทันที “รออยู่บนรถ เดี๋ยวพี่ลงไปซื้อให้”

“ไม่เอา แพรจะซื้อเอง แพรจะได้เลือกเองว่าจะกินอะไร” 

ถึงตอนนี้กัณฑ์ก็จำต้องยอมลงให้ เพราะต่อให้ไม่ยอมก็คงห้ามไม่ทันแล้ว เพราะน้องเปิดประตูรถได้ก็แทบจะวิ่งตรงไปที่รถทันที ดีที่เขาร้องเตือนว่าอย่าวิ่ง เธอจึงชะงักแล้วหันขวับมามองตาเขียว ก่อนจะเดินเร็วๆ ตรงไปที่ร้านผลไม้ 

ชายหนุ่มทั้งหมั่นไส้ปนเอ็นดู นึกได้ว่าเหมือนแพรไม่มีเงินติดตัวสักบาท แล้วดูเหมือนเธอจะยังไม่รู้ตัว ยืนชี้นิ้วสั่งผลไม้มากมาย 

“น่ากินทั้งนั้นเลยค่ะ อยากได้เยอะๆ แต่ไม่น่าจะกินหมด เอาเท่านี้พอค่ะ” 

เท่านี้ที่ว่าก็ปาไปเกือบสิบอย่างส่วนมากเป็นของดอง ทั้งองุ่น มะยม มะปราง มะขาม มะม่วง กระท้อน พุทรา ที่เหลือเป็นผลไม้สดรสเปรี้ยว บางส่วนเธอขอชิมก่อน ชิมเสร็จก็ชมเปาะว่าอร่อย ชิมทั้งที่ไม่ได้จิ้มพริกเกลือ ทำเอากัณฑ์ที่นั่งรออยู่ที่ม้านั่งริมทางถึงกับกลืนน้ำลาย เปรี้ยวแทน 

“เสร็จแล้วครับ ทั้งหมดสองร้อยหกสิบ ลดให้เหลือสองร้อยห้าสิบพอครับ” 

ลุงคนขายยื่นถุงผลไม้มาให้คนที่ยิ้มค้าง เมื่อนึกได้ว่าเธอไม่มีเงินติดตัวสักบาท จึงได้หันไปหากัณฑ์ ชายหนุ่มแกล้งทำเป็นมองไปทางอื่น เพราะรู้ว่าอย่างไรน้องก็ต้องมาขอให้เขาไปจ่ายให้ ซึ่งตอนแรกเหมือนแพรก็ตั้งใจอย่างนั้น 

“เอ่อ คอยแป๊บนึงนะคะลุง” หญิงสาวบอกลุงคนขายก่อนจะเดินย้อนกลับมาหาคนที่นั่งรอเธออยู่ที่ม้านั่ง ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่อยากพึ่งเขา แต่จะบอกลุงว่าไม่เอาก็คงไม่ได้ เหมือนแพรเดินช้าลงเมื่อมาใกล้คนที่นั่งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ 

“เอาน่าแพร...ก็บอกว่าลูกอยากกินก็ได้นิ” 

เธอพึมพำกับตัวเอง แต่แล้วมือที่กุมกันไว้ก็สัมผัสแหวนแต่งงานที่นิ้วมือ เธอก้มมองแหวนบนมือ ภาพความทรงจำเกี่ยวกับแหวนวงนี้เด่นชัดขึ้นมาในหัว ภาพที่เจ้าบ่าวกำลังสวมแหวนวงนี้ให้เธอ แล้วเธอก็สวมแหวนลักษณะเดียวกันนี้แต่วงใหญ่กว่าให้แก่เจ้าบ่าว แหวนวงนี้คือตัวแทนของการเริ่มต้นใช้ชีวิตคู่ 

คงไม่มีคู่แต่งงานไหนจะเอาแหวนแต่งงานไปแลกกับผลไม้ข้างทางราคาแค่สองร้อยห้าสิบ ซึ่งตัวเธอเองก็คงไม่ทำอย่างนั้น ถ้าไม่นึกขึ้นมาได้ว่าชีวิตแต่งงานของเธอไม่ได้มีค่าให้น่าจดจำ ทำไมเธอต้องอาลัยอาวรณ์สิ่งที่อีกคนไม่เห็นค่า 

“ลุงคะ คือว่าแพรลืมเอาเงินมา แต่แพรมีแหวนทอง เป็นแหวนทองจริงๆ นะคะ ขอแพรจ่ายด้วยแหวนแทนได้มั้ยคะ” หญิงสาวถอดแหวนให้ลุงคนขายที่รับไปอย่างลังเล ทำหน้างงๆ “เป็นแหวนทองจริงๆ ค่ะ”

“หนูจะเอาแหวนทองมาแลกกับผลไม้ราคาไม่กี่บาทเนี่ยนะ หนูจะเอาจริงเหรอ”

“ถ้าลุงรับไว้แพรก็เอาจริงค่ะ” เหมือนแพรลุ้นเต็มที่ว่าลุงจะยอมรับไหม เมื่อลุงพยักหน้าเธอก็ยิ้มกว้าง ยกมือไหว้ แล้วรีบหยิบเอาถุงผลไม้ เดินออกมาเหมือนกลัวว่าลุงจะเปลี่ยนใจ 

สิ่งที่เกิดขึ้นสร้างความมึนงงให้แก่กัณฑ์ที่มั่นใจว่าน้องจะต้องเดินมาขอให้เขาช่วยจ่ายค่าผลไม้ให้ พอเขาหันกลับมาก็เห็นว่าเธอเดินกินผลไม้มาหาเขาด้วยอารมณ์ลั้นลาเต็มที่ ได้ของมาครบเท่าที่สั่ง ทีแรกตั้งใจว่าจะถาม แต่คิดได้ว่าคนขายอาจจะให้เอาผลไม้มาก่อนแล้วค่อยจ่าย เพราะถ้ามองจากร้านก็เห็นว่าเขานั่งอยู่ตรงนี้ 

“เสร็จแล้วค่ะ กลับกันเถอะ” คนที่จิ้มมะยมดองกินบอกคนขับรถของเธอ “ไม่ต้องมากลืนน้ำลายเลย แพรไม่แบ่งให้หรอก ไม่ให้แย่งกินด้วย แพรสั่งแค่เพื่อตัวเอง”

“พี่ไม่ได้อยากกินหรอก ว่าแต่จ่ายตังค์ลุงแล้วเหรอคะ”

“ค่ะ”

“เอาเงินที่ไหนจ่าย”

“ไม่ได้ใช้เงินจ่ายค่ะ”

“แล้วใช้อะไรจ่าย...” กัณฑ์ถามก่อนจะหันไปเห็นนิ้วน้องที่ว่างเปล่า เธอเองก็โชว์นิ้วมือของเธอให้ดูเหมือนรู้ว่าเขามองอยู่ “อย่าบอกนะว่าเอาแหวนแต่งงานเราไปจ่ายค่าผลไม้?”

“ค่ะ”

“ค่ะงั้นเหรอ” คนเงิบแรงโวยวายระคนตกใจ “น้องแพรทำอย่างนั้นได้ยังไง ใครเขาเอาแหวนแต่งงานไปแลกผลไม้กัน”

“ก็แพรนี่ไงคะ แพรไม่ได้ต้องการแล้วนี่ แพรไม่ได้อยากได้” ตอบหน้าตาเฉย ยังคงไม่หยุดกินผลไม้ที่ซื้อมา 

ในขณะที่กัณฑ์ได้แต่อ้าปากค้าง ก่อนจะเป็นฝ่ายวิ่งกลับไปหาลุงขายผลไม้ เสียเงินเพิ่มอีกหนึ่งพันบาทซื้อแหวนแต่งงานของเขากลับมา 

“ให้ตายสิน้องแพร...” กัณฑ์พึมพำกับตัวเองขณะมองไปทางคนต้นเรื่องที่ทำไม่รู้ไม่ชี้ เดินไปนั่งกินผลไม้สบายใจเฉิบบนม้านั่ง ทั้งที่เมื่อก่อนเหมือนแพรไม่เคยปล่อยให้แหวนห่างตัวเลย เคยถอดลืมไว้ในห้องน้ำ ออกไปข้างนอกแล้วยังต้องวนรถกลับมาเอา แล้วตอนนี้น้องกลับเอาแหวนไปแลกกับผลไม้ราคาสองร้อยห้าสิบอย่างไม่รู้สึกอะไรเลยงั้นหรือ 

นี่มันดูแย่กว่าที่เขาคิดไว้มาก… 

ความรู้สึกที่น้องมีให้เขาไม่ใช่เหลือแค่ศูนย์… 

แต่ตอนนี้มันยิ่งกว่าติดลบเสียอีก...

แม้รถของกัณฑ์จะแล่นออกไปจากบ้านได้พักใหญ่แล้ว แต่เหมือนแพรยังคงยืนมองไปทางนั้นจากทางระเบียง เธอไม่เข้าใจว่าทำไมต้องรู้สึกแย่ที่ได้เห็นสีหน้าเสียใจของกัณฑ์ตอนที่ถือแหวนกลับมา ชายหนุ่มทำท่าจะคืนให้เธอ แต่สุดท้ายก็เก็บไว้เอง แล้วเดินไปเปิดประตูรถให้เธอ เมื่อขึ้นรถเธอไม่รู้จะทำอย่างไรจึงแกล้งหลับ กลายเป็นหลับจริง มาสะดุ้งตื่นก็ตอนมาถึงบ้านแล้วพี่กำลังจะอุ้มเธอขึ้นมาบนบ้าน ความตกใจทำให้ผลักพี่ออก 

‘ขอโทษครับ’ 

เป็นอีกครั้งที่เธอรู้สึกแย่กับสิ่งที่ตัวเองทำ 

‘น้องแพรค่อยๆ ลุกนะ เดี๋ยววูบ ป้าหมอบอกให้รอพักนึงก่อนจะลุก’

เธอขยับลุกขึ้นทันที ต่อต้านสิ่งที่เขาบอก ทั้งที่รู้ว่าเขาห่วงเธอ หรือต่อให้ไม่ห่วงเธอก็ห่วงลูกในท้องเธอ แต่ถึงคิดอย่างนั้นก็ยังอยากต่อต้าน เมื่อเห็นเขาทำหน้าเศร้าก็ยิ่งรู้สึกเกลียดตัวเองที่เป็นอย่างนี้ 

‘น้องแพรจะขึ้นห้องนอนเลยมั้ย เดี๋ยวพี่ไปส่ง’

‘แพรไปเองได้ค่ะ พี่กัณฑ์จะไปทำธุระก็ไปเถอะค่ะ’ 

กัณฑ์มองหน้าเธอแล้วพยักหน้าเศร้าๆ ‘โอเคค่ะ งั้นน้องแพรไปพักนะครับ พี่จะรีบกลับมาทานมื้อค่ำด้วย ถ้ามาได้เร็วพี่จะเข้าครัวทำกับข้าวให้ น้องแพรอยากกินอะไร...หมายถึงลูกอยากกินอะไรเป็นพิเศษมั้ย พี่จะได้แวะซื้อของมาทำให้’

‘ไม่ค่ะ’ เธอตอบทันที น้ำเสียงค่อนข้างแข็ง ก่อนจะเปลี่ยนท่าที ‘แพรยังนึกไม่ออกว่าอยากกินอะไร’

‘โอเคจ้ะ ถ้านึกออกก็โทร. บอกพี่ได้นะ’ 

เหมือนแพรไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ แต่เลือกที่จะเดินขึ้นห้อง พร้อมกับคำถามว่าทำไมเธอต้องรู้สึกแย่ เธอก็แค่ทำในสิ่งที่ควรทำ แสดงออกให้เขารู้ว่าเธอไม่ได้ไยดีอะไรเขาแล้ว ไม่จำเป็นที่เขาจะต้องมาทนอยู่กับเธอ ไม่เห็นจะต้องทำหน้าเศร้าขนาดนั้น มันจะยากอะไรนักหนาก็แค่ไปจากชีวิตเธอ จะมาทนให้เธอทำแบบนี้ใส่หน้าอีกทำไม 

‘ช่างเขา ไม่ต้องไปสนใจหรอกแพร’ 

เหมือนแพรบอกตัวเองอย่างนั้น แต่สุดท้ายก็เดินออกมาที่ระเบียง ทันเห็นรถของกัณฑ์ที่ขับออกไปพ้นบ้าน แม้เวลาผ่านไปพักใหญ่แล้ว แต่ความรู้สึกแย่ที่รบกวนใจเธอก็ยังไม่หายไป 

“อ้าว คุณหนูคะ มาอยู่ตรงนี้เอง” ป้าน้อมเข้ามาในห้องไม่เห็นคุณหนูของป้าจึงออกมาดู เห็นว่าเธอนั่งเหม่ออยู่บนม้านั่ง “เข้าไปข้างในเถอะค่ะ ตรงนี้ร้อน ป้าจะประคบเย็นให้”

“ประคบเย็น?” 

“คุณกัณฑ์เธอบอกป้าไว้น่ะค่ะ จริงๆ เธออยากมาทำให้คุณหนู แต่เธอกลัวคุณหนูไม่ยอมให้ทำค่ะ” ป้าน้อมแค่อยากจะเล่า แต่พอสังเกตเห็นอาการจะร้องไห้ของคุณหนูจึงตกใจ รีบขยับเข้ามานั่งข้างๆ กุมมือคุณหนูของป้าไว้ “เป็นอะไรคะ...คุณหนูของป้าเป็นอะไร หรือว่ายังกลัวที่ถูกคุณกันตากับคุณปิ่นบุกมาทำร้าย”

หญิงสาวส่ายหน้า “พี่กัณฑ์เล่าให้ป้าน้อมฟังเหรอคะ” 

“ค่ะ ที่คุณกัณฑ์ออกไป ก็เพราะจะไปจัดการเรื่องนี้แหละค่ะ จะไปเอาความคนที่ทำคุณหนูค่ะ คุณกัณฑ์ห่วงคุณหนูมากนะคะ” ป้าน้อมบอก พลางบีบมือคนที่เบือนหน้าหนีแก ปฏิเสธสิ่งที่ป้าบอก การจับมือทำให้รู้ว่ามีบางอย่างหายไปจากมือคุณหนู “แหวนแต่งงานคุณหนูไปไหนคะ คุณหนูถอดในห้องน้ำเหรอคะ เดี๋ยวป้าไปหยิบให้ค่ะ”

“ไม่เป็นไรค่ะป้า แพร...”

“ไม่เป็นไรไม่ได้ค่ะ เดี๋ยวป้าไปดูให้ เมื่อก่อนคุณหนูไม่ยอมถอดแหวนเลยนะคะ มีครั้งหนึ่งคุณจะไปเที่ยวต่างประเทศกัน อยู่สนามบินแล้วนะ คุณถึงกับไม่ยอมไปเที่ยว จะกลับมาเอาแหวน ดีที่ป้ารู้ก่อน เลยรีบให้คนเอาไปให้คุณหนูที่สนามบิน ไม่อย่างนั้นคุณหนูไม่ยอมไปเที่ยวแน่...ตอนนี้คุณอาจจำไม่ได้ แต่ป้ายืนยันว่าเมื่อก่อนคุณหนูรักแหวนวงนี้มาก เดี๋ยวคุณหนูเข้ามารอป้าในห้องนะคะ ป้าจะไปดูที่ห้องน้ำให้”

“แหวนไม่ได้อยู่ในห้องน้ำหรอกค่ะ แหวนอยู่กับพี่กัณฑ์”

“หา!...อย่าบอกนะคะว่าคุณหนูคืนแหวนให้คุณกัณฑ์” ป้าน้อมยกมือแตะอกสีหน้าตกใจ “มิน่าคุณกัณฑ์ดูเศร้าๆ หงอยๆ คุณหนูทำไมรีบอย่างนี้คะ คุณหนูไม่ได้ตัวคนเดียวแล้วนะคะ จะทำอะไรก็ควรคิดถึงลูกนะคะ”

“แพรไม่ได้คืนแหวนให้พี่กัณฑ์หรอกค่ะ” เหมือนแพรบอกเล่าเสียงอ่อย คำพูดนั้นทำให้ป้าน้อมใจชื้นขึ้น ก่อนจะอ้าปากค้างกับสิ่งที่คุณหนูของป้าบอก “แพรเอาไปจ่ายค่าผลไม้ราคาสองร้อยห้าสิบค่ะ”

“คุณหนู!” ป้าน้อมตีมือคุณหนูของป้าเบาๆ “ทำไมทำอย่างนั้น คิดอะไรอยู่คะ”

“ก็แพร...แพรอยากเอาชนะพี่กัณฑ์ แพรไม่อยากเดินไปขอเงินเขา แพรแค่อยากให้เขารู้ว่าแพรไม่แคร์ แพรไม่รู้ค่ะป้าน้อมว่าตอนนั้นแพรคิดอะไรอยู่ ทั้งที่แพรก็รู้ว่าแหวนแต่งงานมันมีค่ามากกว่านั้น ตอนนั้นแพรคิดว่าทำแล้วสะใจ ได้เอาคืนพี่กัณฑ์...เสียงที่เขาบอกให้แพรไปตายมันก้องในหัวแพร คำพูดที่บอกว่าเขาต้องมาทนอยู่กับแพรเพราะถูกบังคับยังไม่ยอมหายไปจากหัวแพร”

“คุณหนูก็เลยจะบอกว่า ฉันไม่ได้อยากได้คุณ ตลอดมาเพราะคุณหนูไม่รู้ พอรู้ก็เลยจะตะโกนใส่หน้าคุณกัณฑ์บ้าง...อย่างนั้นเหรอคะ” 

เหมือนแพรไม่ตอบ แต่น้ำตาคลอ เพราะเธอคิดอย่างนั้นจริงๆ 

“คุณหนูทำตัวไม่น่ารักเลยรู้ตัวมั้ยคะ เมื่อก่อนคุณหนูของป้าไม่ใช่คนแบบนี้นะคะ”

“แพรแค่อยากจะเปลี่ยน ไม่อยากเป็นแพรคนเดิม พี่กัณฑ์บอกว่าเพราะแพรเป็นแบบนี้ คนรอบตัวแพรถึงได้เดือดร้อน” ป้าน้อมรู้ว่าคุณหนูของป้ายังสับสน “แพรคิดว่าการที่แพรทำอย่างนั้นแล้วมันจะรู้สึกดี แต่ไม่รู้ทำไมตอนที่แพรเห็นพี่กัณฑ์มองแพรอย่างผิดหวัง เสียใจ แพรถึงได้รู้สึกใจเสีย...รู้ว่าตัวเองไม่น่าทำแบบนั้น” 

“คุณหนูเห็นว่าคุณกัณฑ์เสียใจเหรอคะ”

“ไม่รู้เหมือนกันค่ะ แต่แพรว่าพี่กัณฑ์เขารู้สึกแย่...เขาเสียใจ แต่เขาจะเสียใจทำไมในเมื่อเขาไม่แคร์แพรซะหน่อย”

“คำว่าคุณกัณฑ์ไม่แคร์คุณหนู คือสิ่งที่คุณหนูคิดเอาเองไม่ใช่เหรอคะ แต่สิ่งที่คุณหนูเห็นคือคุณกัณฑ์เสียใจที่คุณหนูไม่ให้ความสำคัญกับแหวน คุณกัณฑ์จะไม่เสียใจเลย ถ้าคุณกัณฑ์ไม่แคร์คุณหนู” ป้าน้อมแนะคนที่สับสนและเริ่มสะอื้น “คุณหนู ป้าไม่ได้ตำหนิคุณหนูนะคะ”

“แต่ป้าก็ไม่ได้เห็นด้วยกับแพร ป้าว่าแพรไม่ควรแสดงออกว่าแพรต้องการอะไรเหรอคะ แพรแค่อยากบอกพี่กัณฑ์ว่าเขาไม่ต้องมาอยู่กับแพร แพรอยู่ได้ถ้าไม่มีเขา”

“คุณหนูบอกได้ค่ะ แต่ไม่จำเป็นที่คุณหนูของป้าจะทำตัวไม่น่ารักนะคะ เพราะสุดท้ายทำไปแล้วคุณหนูไม่มีความสุข ไม่ใช่เหรอคะ” 

เหมือนแพรนิ่งคิดก่อนจะบอกสิ่งที่เธอรู้สึก “ตอนที่แพรทำร้ายแม่พี่กัณฑ์ แพรกลัว แพรกลัวว่าเขาจะเป็นอันตราย แต่แพรไม่ได้รู้สึกแย่ แพรรู้สึกว่ามันคือสิ่งที่เขาควรได้รับ เพราะเขาทำแพรก่อน...แต่พอกับพี่กัณฑ์ แพรรู้สึกแย่มากเลยค่ะ ทั้งที่แพรควรดีใจที่ทำให้เขาเศร้าได้ ดีใจที่ทำให้เขาเงียบ ไม่มาอยู่ใกล้ทำให้แพรหงุดหงิด แพรทำเหมือนแคร์เขา ทั้งที่แพรไม่ได้แคร์ แพรอยากให้เขารู้ว่าแพรไม่ได้สนใจไม่ได้แคร์เขาสักนิด” 

ป้าน้อมนั่งฟังอยู่ครู่หนึ่ง จึงสรุปความให้เจ้าตัวฟัง “คุณหนูควรพูดว่า คุณหนูแค่อยากให้คุณกัณฑ์คิดว่าคุณหนูไม่ได้แคร์คุณกัณฑ์ แต่ความจริงคือคุณหนูแคร์คุณกัณฑ์ค่ะ คุณหนูรักคุณกัณฑ์”  

คำพูดนั้นเหมือนกรีดเข้าไปในใจคนที่ยังจำอะไรไม่ได้ แต่กลับรู้สึกได้ว่าผู้ชายคนนี้คือคนพิเศษ คนที่เธอรัก คนที่เธอไม่อยากเห็นเขาเสียใจ เพราะนั่นคือสาเหตุที่อดีตที่ผ่านมาเธอยอมครอบครัวเขาทุกอย่าง คิดว่าการยอมคือทางแก้ปัญหาที่ดีที่สุด 

“แล้วแพรควรทำยังไง...ถ้าแพรรักพี่กัณฑ์แล้วยังไง เพราะสุดท้ายสิ่งที่จะไม่เปลี่ยนคือ พี่กัณฑ์ไม่ได้อยู่กับแพรเพราะเขาเต็มใจ เขาพูดออกมาตอนที่โกรธ มันคือความจริง...ความจริงว่าแพรคือมารในชีวิตเขา เขาอยากปกป้องคนรักเขา จนเลือกที่จะใช้คำพูดทำร้ายแพร” 

ป้าน้อมได้แต่ดึงคุณหนูของป้ามากอด ปมนี้ป้ารู้ว่าคงแก้ไม่ได้ในเวลาวันสองวัน แล้วคนที่จะแก้ได้ก็คงมีคนเดียวที่เผลอหลุดปากพูดไปครั้งเดียว แต่ฝังอยู่ในใจของผู้หญิงคนนี้ตลอดไป ตราบเท่าที่กัณฑ์ยังไม่สามารถทำให้เหมือนแพรเชื่อได้ว่า เธอคือที่รัก ไม่ใช่มารในชีวิต 

“ไม่เอาแล้วค่ะ ไม่ร้องแล้วนะ” ป้าน้อมปล่อยให้คุณหนูของป้าร้องไห้ครู่หนึ่งก่อนจะปาดน้ำตาให้ แล้วชวนเปลี่ยนเรื่องคุย “วันนี้ไปหาหมอมาเป็นไงบ้างคะ คุณหนูตัวน้อยของป้าเป็นยังไงบ้าง อายุครรภ์เท่าไหร่คะ”

“หกสัปดาห์ค่ะ น้องแข็งแรงดีค่ะ แพรมีรูปน้องด้วยนะคะ ป้าอยากเห็นมั้ยคะ” เมื่อป้าน้อมพยักหน้าหญิงสาวก็เดินนำกลับเข้าไปในห้อง เอารูปถ่ายส่งให้ถึงมือป้าที่ดูตื่นเต้นดีใจ การได้เห็นรูปถ่ายของลูกทำให้เหมือนแพรนึกถึงกัณฑ์ นึกถึงสีหน้าเศร้าๆ ของเขา “ป้าน้อม...ป้าน้อมว่าแพรควรขอโทษพี่กัณฑ์มั้ยคะ เรื่องแหวน” 

ป้าน้อมยิ้มให้คุณหนูของป้า “ถามป้าไม่ได้หรอกค่ะ คุณหนูต้องถามตัวเองว่าคุณหนูรู้สึกผิดมั้ย สิ่งที่คุณหนูทำสมเหตุสมผลมั้ย”

“ไม่สมเหตุสมผลค่ะ แหวนแพงกว่า...” เธอว่าเสียงอ่อยอย่างน่าเอ็นดูในสายตาป้าน้อม “แพรไม่ผิดที่คิดจะคืนแหวนพี่กัณฑ์ ถ้าอยากคืนแพรควรคืนเลย ไม่ใช่ทำประชดเพื่อความสะใจแบบนี้”

“แล้วแบบนี้จะขอโทษคุณกัณฑ์มั้ยคะ” ป้าน้อมถามคนที่ยังทำหน้ายุ่ง “ค่อยๆ คิดก็ได้ค่ะ งั้นมาค่ะ ป้าประคบเย็นให้นะคะ จริงอย่างที่คุณกัณฑ์ว่าหน้าคุณหนูบวมมากเลยนะคะเนี่ย มิน่าคุณกัณฑ์ถึงบอกว่าจะจัดการคนที่บ้านไม่ให้มายุ่งกับคุณหนูได้อีก”

“พี่กัณฑ์บอกอย่างนั้นเหรอคะ พี่เขาบอกป้าน้อมมั้ยคะว่าจะทำยังไง...”

“คุณหนูอยากรู้เหรอคะ...ถ้าอยากรู้ตอนคุณกัณฑ์กลับมาก็ลองถามดูนะคะ รู้แล้วก็มาเล่าให้ป้าฟังด้วยนะคะ ป้าก็อยากรู้”

“ไม่เอาค่ะ ทำไมแพรต้องถามด้วย แพรไม่ได้อยากยุ่งกับพี่เขาซะหน่อย” 

ป้าน้อมส่ายหน้าระอาคนปากแข็ง 

“แต่ป้าน้อมถามพี่กัณฑ์ก็คงไม่น่าเกลียดหรอกค่ะ ถามไว้หน่อยก็ดีนะคะ แพรไม่ได้อยากรู้ แพรแค่กลัวว่าเดี๋ยวเขาจะเอาเรื่องมาให้แพรอีก...แพรไม่อยากเดือดร้อนเพราะเขาอีก”

ป้าน้อมไม่ว่าอะไรนอกจากอมยิ้ม พึมพำเบาๆ “คุณกัณฑ์นี่ท่าจะรอดยาก...น่าสงสารจัง”

“คะ? เมื่อกี้ป้าน้อมว่าอะไรนะคะ...สงสาร...สงสารแพรเหรอคะ” เมื่อป้าน้อมไม่ตอบ เหมือนแพรก็เลยตีความเอาเอง “แพรน่าสงสารเนอะ ต้องมาปวดหัวกับพี่กัณฑ์แบบนี้...น่าสงสารที่สุดเลย”   

 

“เป็นไงบ้างคะคุณหนู...” ป้าน้อมเข้ามาช่วยประคองคนที่เพิ่งออกมาจากห้องน้ำ พาเดินกลับมานั่งที่เตียงนอน 

สีหน้าคุณหนูของป้ายังดูแย่จากอาการปวดท้องและท้องเสีย มีอาเจียนร่วมด้วย ซึ่งเป็นอาการที่มักเกิดขึ้นบ่อยเวลาที่คุณหนูของป้าไปกินอาหารที่ไม่สะอาด 

“ยังปวดท้องหนักอยู่เหรอคะ...ถ้าไม่ยอมให้ป้าบอกคุณกัณฑ์ก็ควรไปหาหมอนะคะ ป้าจะให้คนเอารถออกนะ”

“ดีขึ้นแล้วค่ะ ดีขึ้นจริงๆ ค่ะ แพรถ่ายห่างขึ้นแล้ว ไม่อาเจียนแล้วค่ะ” 

“คุณหนูเลือกเอาค่ะ จะยอมไปหาหมอ หรือจะให้ป้าเรียนคุณกัณฑ์คะ” คราวนี้ป้าน้อมมาไม้แข็ง “คุณหนูถ่ายสี่ครั้งแล้วนะคะ อาเจียนอีกสองรอบ แล้วก่อนป้าจะรู้อีกล่ะ ไปค่ะ ลงไปข้างล่างกัน ป้าจะให้คนเอารถออก” 

“ป้าน้อม...แพรไม่อยากไปค่ะ แพรไม่เป็นไร กินเกลือแร่ก็ดีขึ้นแล้วค่ะ”

“งั้นป้าจะโทร. บอกคุณกัณฑ์” 

“อย่าโทร. นะคะ” คุณหนูของป้าร้องห้ามเสียงหลง “ก็ได้ค่ะ แพรจะไปหาคุณหมอ แต่ห้ามบอกพี่กัณฑ์นะคะ แพรไม่ได้พยศจะเอาชนะพี่กัณฑ์นะ แต่แพรกลัวพี่กัณฑ์จะว่า เพราะพี่กัณฑ์ห้ามแพรแล้วว่าไม่ให้กินเยอะ จริงๆ แล้วห้ามไม่ให้แพรกินด้วย เพราะกลัวแพรท้องเสีย แต่แพรก็ยังกิน” 

“คุณกัณฑ์ไม่ว่าคุณหรอกค่ะ” ป้าน้อมช่วยบอก แต่คุณหนูของป้ายังส่ายหน้าไม่เชื่อ “งั้นไปหาหมอนะคะ ลุกไหวมั้ยคะ” 

เหมือนแพรอยากบอกว่าไม่ไหว แต่ถ้าบอกอย่างนั้นป้าน้อมก็ยิ่งห่วงทั้งอาจจะโทร. หากัณฑ์จึงพยักหน้า พยายามลุกจากเตียง แต่ก็รู้สึกเหมือนจะวูบ จึงนั่งลงที่เดิม เพียงเท่านี้ป้าน้อมก็รู้แล้วว่าคุณหนูของป้าไม่ไหว กดโทรศัพท์หากัณฑ์ทันที 

ตอนแรกเหมือนแพรจะประท้วง แต่เมื่อเห็นอาการของตัวเองที่เริ่มหนักก็ห่วงลูกจึงปล่อยให้ป้าโทร. หากัณฑ์ แต่ก็ไม่วายบอกป้า 

“ถ้าพี่กัณฑ์ติดธุระก็ไม่เป็นไรนะคะป้าน้อม เดี๋ยวแพรพักสักพักน่าจะดีขึ้น แพรน่าจะเดินลงไปขึ้นรถไหวค่ะ”  

สายต่อติด แต่ยังไม่มีคนรับสาย 

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะป้าน้อม พี่กัณฑ์คงยุ่งอยู่ แพร...” 

ยังไม่ทันที่เหมือนแพรจะพูดจบ เสียงเคาะประตูหน้าห้องก็ดังขึ้นก่อนประตูจะเปิดออก คนที่ก้าวเข้ามาคือกัณฑ์ ในมือเขาถือโทรศัพท์เข้ามา 

“โทร. หาผมมีอะไรครับป้าน้อม” 

“คุณกัณฑ์มาพอดีเลยค่ะ ป้าโทร. หา คุณหนูท้องเสียค่ะ” ป้าน้อมพูดเพียงแค่นั้น สายตากัณฑ์ก็หันไปหาคนที่นั่งบนเตียง พร้อมกับรีบเข้าไปดู “ป้ากำลังจะพาไปหาหมอค่ะ แต่คุณหนูคงเดินไม่ไหวค่ะ”

“แพรดีขึ้นแล้ว” เธอบอกคนที่มานั่งลงข้างๆ ซึ่งจับมือเธอไปเช็กและเห็นว่าเธอมือเย็น “แพรไม่คลื่นไส้แล้วค่ะ ไม่ปวดท้อง...หมายถึงปวดท้องน้อยลงแล้ว ไม่ไปหาหมอก็ได้...มั้งคะ” 

เหมือนแพรคิดว่าตัวเองจะโดนกัณฑ์ดุที่เธอไม่ฟังสิ่งที่เขาห้าม แต่ชายหนุ่มไม่ว่าอะไรสักคำ เพียงแค่จับมือเธอไว้ ยกมือขึ้นอังที่หน้าผาก สีหน้าแสดงความห่วงใย 

“เป็นนานรึยังครับ” ถามน้ำเสียงก็ไม่ได้ดุ “ท้องเสียนานรึยัง ถ่ายกี่ครั้ง อาเจียนมั้ย”

“ตั้งแต่พี่กัณฑ์ออกไปพักนึงค่ะ ถ่ายช่วงแรกบ่อยค่ะสี่ครั้ง แต่ตอนนี้ห่างแล้วค่ะ อาเจียนสองค่ะ” ป้าน้อมไม่ยอมพูดอะไร ปล่อยให้คนกลัวโดนเอ็ดตอบพี่เสียงอ่อย “แต่ป้าน้อมให้จิบเกลือแร่ตลอดค่ะ แพรไม่เป็นอะไรมาก แต่เมื่อกี้เวียนหัวนิดหน่อยค่ะ...ต้องไปหาหมอด้วยเหรอคะ” 

คำถามนั้นบอกกัณฑ์ว่าน้องไม่อยากไปหาหมอ ซึ่งถ้าอาการเป็นอย่างที่บอกเขาก็ไม่ร้ายแรงถึงขั้นต้องไปหาหมอ เพราะน้องจะเหนื่อยกับการเดินทางเปล่าๆ 

“ระหว่างท้องเสีย ได้กินอะไรเข้าไปมั้ยครับ” 

คนโดนถามส่ายหน้า “กินแค่น้ำกับเกลือแร่ค่ะ” 

“น้องแพรอยากไปหาหมอมั้ยคะ” เหมือนแพรส่ายหน้า “งั้นเดี๋ยวพี่จะโทร. หาป้าหมอก่อน เล่าอาการให้ป้าหมอฟัง ถ้าป้าหมอให้ไปหาหมอ เราต้องไปหาหมอกันนะ ปกติถ้าน้องแพรท้องเสียแค่นี้ เราจะไม่ไปหาหมอก็ได้ แต่ตอนนี้มีลูก น้องแพรต้องปรึกษาป้าหมอ...โอเคมั้ยครับ” 

“ค่ะ” เหมือนแพรรู้สึกดีที่กัณฑ์ถามความต้องการของเธอ 

“งั้นน้องแพรนอนพักก่อน” บอกพลางขยับหมอนให้ แล้วช่วยประคองให้น้องนอนลง 

เหมือนแพรทำตามอย่างว่าง่าย เพราะความรู้สึกผิดเรื่องแหวนทำให้ไม่กล้าพยศใส่เขามาก ยอมให้เขาห่มผ้าและปัดปอยผมที่ปรกหน้าให้ 

“เดี๋ยวพี่มานะครับ” กัณฑ์บอกพลางเดินออกไปที่ระเบียง โทรศัพท์ปรึกษาคุณหมอ ทิ้งให้เหมือนแพรได้อยู่กับป้าน้อมลำพัง 

ป้าน้อมเห็นสีหน้าประหลาดใจของคุณหนูก็อมยิ้ม “เห็นมั้ยคะ เชื่อป้ารึยัง”

“เชื่อเรื่องอะไรคะ”

“คุณกัณฑ์ไม่ดุคุณหนูไงคะ เธอไม่ใช่คนเข้มงวดกับคุณหนูนะ เธอใจดีกับคุณหนูมากต่างหาก” 

ผู้มากวัยกว่าช่วยเน้นย้ำให้เหมือนแพรเชื่อในสิ่งที่เธอเองก็รู้สึก เธอรู้สึกได้ว่ากัณฑ์เป็นผู้ชายที่อ่อนโยน แต่ความอ่อนโยนนั้นก็ไม่ได้มีภาพชัดเท่าสิ่งที่เขาพูดกับเธอ สิ่งที่มันฝังอยู่ในหัว สีหน้าตอนโกรธและคำพูดของเขาที่ไล่ให้เธอไปตาย เพียงเพราะเขาห่วงอดีตคนรัก 

คิดถึงเรื่องนี้ทีไร เหมือนแพรก็รู้สึกน้อยใจและเสียใจขึ้นมาอีก นั่นทำให้เธอหน้าคว่ำโดยไม่รู้ตัว ไม่อยากยอมรับสิ่งที่ป้าน้อมบอกจึงพลิกตัวหนี หลับตาไว้ไม่อยากรับรู้อะไร ถึงตอนนี้ป้าน้อมก็เปิดประตูห้องออกไปเงียบๆ ปล่อยให้คู่สามีภรรยาคุยกันเอง เพราะนั่นอาจจะดีกว่าการมีคนอื่นอยู่ด้วย 

เมื่อในห้องเงียบเหมือนแพรจึงหันกลับมา เป็นจังหวะเดียวกับที่กัณฑ์เปิดประตูระเบียงกลับเข้ามา เธอจึงรีบถาม “ป้าหมอว่าไงบ้างคะ แพรไม่ต้องไปหาหมอก็ได้ใช่มั้ยคะ”

คำถามนั้นทำให้กัณฑ์ยิ้มพลางพยักหน้าให้อย่างเอ็นดูคนกลัวหมอที่ยิ้มกว้างดีใจ ก่อนจะหุบยิ้มแล้วเบือนหน้าหนีเมื่อรู้ว่าเขามองอยู่ 

“ป้าหมอบอกว่าให้ลองกินอะไรอุ่นๆ ดู ถ้าไม่มีอาการอาเจียนกับท้องเสียเพิ่ม หรือถ่ายห่างขึ้น ไม่อ่อนเพลียก็ไม่เป็นไร” 

“แพรไม่อ่อนเพลีย แต่เมื่อกี้แค่วูบไป ตอนนี้เวลาแพรลุกเร็ว เดินเร็ว แพรจะวูบ” 

“ก็รู้นี่คะ เพราะงั้นห้ามลุกเร็ว เดินเร็ว” กัณฑ์บอกเมื่อมานั่งริมเตียง ขณะดึงผ้าห่มคลุมตัวน้องถึงอก “เดี๋ยวพี่จะลงไปทำข้าวต้มให้ แล้วมาลองกินกัน ถ้าน้องแพรโอเค ก็ไม่ต้องไปหาหมอ” 

เหมือนแพรพยักหน้า แล้วก็นึกได้ “พี่กัณฑ์ไม่ต้องทำก็ได้ ให้ป้าน้อมทำก็ได้ค่ะ” 

คำพูดนั้นทำให้รอยยิ้มบนหน้าของกัณฑ์เลือนหายไป 

“แพรเกรงใจค่ะ พี่กัณฑ์เพิ่งกลับมาจากข้างนอกเหนื่อยๆ ให้ป้าน้อมทำก็ได้ค่ะ” 

“ถ้าไม่ติดเกรงใจ ถ้าไม่ติดว่าพี่เหนื่อย ถ้าพี่ทำน้องแพรจะกินมั้ยครับ” กัณฑ์ถามหน้าเศร้า ส่งผลให้คนที่กลัวทำคนอื่นเสียใจพยักหน้า “งั้นพี่จะทำ น้องแพรไม่ต้องเกรงใจ พี่อยากทำให้ พี่ไม่เหนื่อย ให้พี่ทำเถอะนะ พี่อุตส่าห์ไปซื้อของมาจากตลาดหลายอย่างเลย ซื้อผลไม้มาทำผลไม้ดองให้น้องแพรด้วย...หลายอย่างเลย ผลไม้สดก็มีนะ น้องแพรจะได้ไม่ต้องไปเสี่ยงกินผลไม้แล้วท้องเสียไงคะ” 

บอกพลางลูบผมเธอ ไม่ได้มีคำตำหนิใดๆ อย่างที่เธอคิดว่าจะได้รับ

“งั้นพี่ลงไปทำข้าวต้มก่อนนะ ถ้าน้องแพรจะหลับก็หลับได้เลยนะ เสร็จแล้วพี่จะปลุก” 

“ค่ะ...” หญิงสาวบอก 

นั่นทำให้ผู้ชายที่ทำหน้าเศร้าก่อนหน้านี้ยิ้มกว้างแล้วทำท่าจะก้มลงจูบเธอ แต่เมื่อเห็นอาการห่อไหล่หลบของเธอจึงยั้งตัวเองไว้ แล้วเปลี่ยนเป็นแค่ยกมือมาแตะข้างแก้มเธอ ยังคงยิ้ม แล้วก็ทำท่าจะลุกไป แต่ดูเหมือนจะนึกอะไรได้ เขาเดินเข้าไปในห้องแต่งตัวแล้วกลับออกมาพร้อมโทรศัพท์มือถือ 

“นี่โทรศัพท์น้องแพรนะคะ ถ้ามีอะไรก็โทร. หาพี่ได้ แต่เดี๋ยวพี่จะให้ป้าน้อมมาอยู่เป็นเพื่อน” บอกพลางส่งโทรศัพท์ให้คนที่ขยับลุกขึ้นมานั่งมองโทรศัพท์ “รหัสพินเป็น ๒๔๑๒ วันแต่งงานของเราเป็นรหัสเดียวกับโทรศัพท์พี่”

คำพูดนั้นบอกเหมือนแพรว่า กัณฑ์สามารถดูโทรศัพท์ของเธอได้ 

และนั่นก็หมายความว่าเธอเองก็ดูโทรศัพท์ของกัณฑ์ได้เช่นเดียวกัน 

“แต่แค่สแกนหน้า น้องแพรก็ปลดล็อกได้แล้วค่ะ ไม่ยากหรอก” ชายหนุ่มทำให้ดูและแนะนำการใช้ เพราะกลัวน้องทำไม่เป็น  

หญิงสาวมองภาพหน้าจอที่เธอใช้คือภาพเซลฟี่ของเธอและกัณฑ์ในบ้านหลังนี้ ในภาพเธอนั่งอยู่บนตักของกัณฑ์ผู้มีรอยยิ้มพาดผ่านในดวงตา ในขณะที่เธอยิ้มกว้างดีใจ ดูก็รู้ว่าเธอมีความสุขมาก ไม่น่าเชื่อเลยว่าชีวิตของเธอจะมีวันนี้...วันที่ถูกผู้ชายที่ดูอย่างไรก็น่าจะเป็นคนที่รักเธอมากไล่ให้ไปตาย 

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น