หมายเหตุสำนักพิมพ์
นวนิยายจีนย้อนยุคเรื่องนี้ใช้ราชาศัพท์แบบลำลอง
คือเลือกใช้เพียงบางส่วนเท่าที่จำเป็น
ด้วยเกรงว่าหากใช้เต็มรูปแบบตามหลักเกณฑ์
อาจส่งผลให้ผู้อ่านเกิดความรู้สึกว่า
อ่านเข้าใจยาก อ่านติดขัด หรือรกรุงรังเกินควร
เป็นอุปสรรคต่อการติดตามเรื่องราวอันเข้มข้นของตัวละคร
ทั้งนี้สำนักพิมพ์ยินดีรับฟังข้อเสนอแนะเพื่อปรับแก้ในโอกาสต่อไป
---------------------------------------------------------
บทที่ 4
มิรู้ว่าความคิดถึงในสารทฤดู
ลอยไปหล่นลงเรือนผู้ใด
“อ๊ะ อ๊ะ อ๊ะ...ฝ่าบาท อื้อ...อืมเบาหน่อย...ข้าน้อยเจ็บ...”
เสียงกระเส่าลอยออกมาจากกรมราชองครักษ์ตอนกลางวันแสกๆ อีกครั้ง
หวังหงกับบรรดาองครักษ์ที่ยืนเฝ้ายามอยู่ด้วยกันสบตากัน แววเยาะหยัน ดูแคลน และรังเกียจ สะท้อนออกมาจากดวงตาโดยมิต้องเอื้อนเอ่ย
มิพักต้องกล่าวถึงว่า ปกติกรมราชองครักษ์เป็นที่พำนักและสถานที่ฝึกฝนของราชองครักษ์ทั้งหลาย ต่อให้เป็นในตำหนักในก็ยังไม่เคยเห็นสนมชายาคนใดเหนี่ยวรั้งฮ่องเต้ให้ประกอบกามกิจในห้องกลางวันแสกๆ เช่นนี้ ‘องครักษ์ประจำตัว’ ผู้นี้ช่างต่ำช้าไร้ยางอายโดยแท้
แต่จะว่าไป ราชองครักษ์ในฐานะยอดฝีมือผู้มีหน้าที่คุ้มกันฮ่องเต้อย่างจงรักภักดีด้วยวรยุทธ์ล้ำเลิศ ที่ผ่านมาล้วนคัดเลือกจากลูกหลานสกุลใหญ่ที่ชาติตระกูลบริสุทธิ์ผุดผ่อง ต้องผ่านการทดสอบหลายขั้นตอน แต่เหยียนจูซึ่งไม่รู้ว่าโผล่มาจากแห่งหนใดผู้นี้ หากไม่ได้ใช้อุบายสกปรก มันจะแทรกตัวเข้ามาได้อย่างไร เพียงเพราะฮ่องเต้ทรงเบื่อหน่ายหลวนถงและชายบำเรอแล้ว อยากลองอะไรใหม่ๆ เท่านั้นเอง มองจากมุมนี้ เหยียนจูผู้นี้กลับเรียกได้ว่า ‘ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ’ ไม่เพียงหลอกล่อจนฮ่องเต้ทรงบัญชาให้หัวหน้าราชองครักษ์ยกเรือนของพระองค์ให้มันอยู่ ยังขนเอาของพระราชทานมาเยี่ยมมันทุกวัน ตอนนี้ก็กำลังรักใคร่มันอยู่
กระนั้นหวังหงกลับไม่รู้ว่า เหยียนจูที่เปล่งเสียงร้องกระชากวิญญาณกำลังนั่งอยู่หน้าโต๊ะ ร้องตะโกนกับบานประตูอยู่คนเดียว บนโต๊ะมีไม้กระดานหลายแผ่น เพื่อให้เขาสามารถเคาะกระแทกหรือเสียดสีได้โดยสะดวก สร้างเสียงให้เหมือนพื้นเตียงลั่นเอี๊ยดอ๊าดๆ แต่ก่อนตอนอยู่บนเตียง เหยียนจูก็เคยถูกหลี่ฟู่ใช้สารพัดวิธีบังคับให้เอ่ยวาจาต่ำช้าหยาบโลนออกมา แต่เขาคาดไม่ถึงว่าแท้จริงแล้วเรื่องยากเย็นที่สุดคือ ทั้งที่ไม่มีอะไรแต่กลับต้องแสร้งร้องคราง แต่ก่อนเคยได้ยินว่าหออิ้งเสียงมีนักแสดงผู้มีทักษะในการเลียนเสียง ในห้องโถงมีเพียงโต๊ะหนึ่งตัว เก้าอี้หนึ่งตัว พัดหนึ่งด้าม และกรับไม้หนึ่งอัน แต่กลับสามารถเลียนแบบเสียงสร้างสถานการณ์ว่าสามีภรรยากำลังร่วมรัก ทารกกำลังร้องจ้าออกมาได้ ผู้ฟังรู้สึกเหมือนอยู่ในเหตุการณ์ ยากจะแยกแยะจริงเท็จ วันหน้าหากตนออกไปทำธุระนอกวัง ต้องหาโอกาสไปเรียนรู้วิชาสักหน่อยแล้ว
“อื้อ อา...อ๊ะ อ๊ะ...พอแล้ว...”
เหยียนจูบีบเสียงตะโกนพลางหันกลับไป มองไปยังโต๊ะหนังสือหลังฉากบังลม ตรงนั้นมีคนนั่งอยู่สองคน คนหนึ่งเป็นโอรสสวรรค์ที่สวมชุดคลุมยาวสีเหลือง อีกคนเป็นเฉาเหยียนที่สวมชุดขันที
เหยียนจูอดทอดถอนใจมิได้ ทั้งที่สวมชุดขันทีตบตาผู้อื่นเหมือนกัน ไฉนตอนนั้นที่ตนสวมจึงมีสภาพเหมือนขี้ข้า แต่เฉาเหยียนกลับดูสูงส่งสง่างามเช่นนี้
ตั้งแต่สร้างผลงานและกลับจากเขาหลิงซาน ตำแหน่งของเฉาเหยียนได้เลื่อนขึ้นไปอีก แต่อัครเสนาบดีจางโม่กลับจำต้องสำรวมตนมากกว่าเดิมเพราะเรื่องของหลงเผิงเฟย จยาอี้ฮองไทเฮาผู้
เป็นพี่น้องร่วมอุทรของจางโม่ย่อมไม่สบอารมณ์ หาโอกาสไปวังชิงเหอ ซึ่งเป็นที่พำนักของเฉาเหยียน กล่าววาจาประชดแดกดันอีกฝ่าย
“ยายแก่ผู้นั้น! คงคิดว่าตัวเองเป็นมารดาบังเกิดเกล้าของเราจริงๆ สินะ!”
วันนั้นหลี่ฟู่ซึ่งยังมิอาจขัดแย้งกับฮองไทเฮาซึ่งหน้า ได้แต่โมโหลับหลังจนเขวี้ยงถ้วยลงบนพื้น
ไช่เยวี่ยโค้งกายแล้วเอ่ยว่า
“ฝ่าบาทโปรดบรรเทาโทสะด้วยพ่ะย่ะค่ะ ขออภัยที่ข้าน้อยปากมาก อันที่จริงใต้เท้าเฉาชาติตระกูลขาวสะอาด สมัยเด็กเคยไปเป็นตัวประกันแทนเจ้านาย กลับมาช่วยปกครองบ้านเมืองมีความดีความชอบ ทั้งยังมีผลงานครั้งใหญ่เมื่อครั้งจับกุมคนร้ายที่เขาหลิงซานได้และลากตัวไส้ศึกออกมา ด้วยคำวิพากษ์วิจารณ์ของไทเฮาเพียงผู้เดียว ยังไม่เพียงพอที่จะสั่นคลอนความปลอดภัยของใต้เท้าเฉาได้ ตอนนี้สิ่งที่ควรกังวลคือเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของเหล่าขุนนางมากกว่า หากพวกเขาล้วนไม่ยอมรับใต้เท้าเฉา เกรงว่าฝ่าบาทคงวางพระองค์ลำบากพ่ะย่ะค่ะ”
หลี่ฟู่ทอดถอนใจก่อนตรัส
“ผู้ที่รู้ใจเรา มีเพียงไช่เยวี่ยเจ้าเท่านั้น เสียทีที่เราเป็นถึงโอรสสวรรค์ ไฉนคิดจะปกป้องคนผู้หนึ่งจึงยากเย็นแสนเข็ญถึงเพียงนี้”
“ภาษิตว่า เพราะห่วงหาจึงว้าวุ่น ฝ่าบาททรงคำนึงถึงใต้เท้าเฉาก่อนทุกเรื่อง พระทัยจึงว้าวุ่นไปชั่วขณะ ส่วนขุนนางทั้งหลายกลับกลัวว่าฝ่าบาทจะทรงเป็นเช่นนี้ ถึงอย่างไรพวกเขาก็รู้จักใต้เท้าเฉาแค่เพียงผิวเผินเท่านั้น ย่อมไม่เชื่อว่าใต้เท้าเฉามิใช่ขุนนางที่ปรนนิบัติสอพลอเจ้านายด้วยเรือนร่าง เหตุใดฝ่าบาทจึงไม่ทรงลดทอนแนวคิดของพวกเขาที่ว่าใต้เท้าเฉาเป็นคนของฝ่ายในเล่าพ่ะย่ะค่ะ”
หลี่ฟู่ขมวดคิ้วพลางกล่าวว่า
“เรื่องการรักใคร่สนมชายาและขันทีคนอื่นๆ เราทำน้อยเสียที่ไหน แต่พวกเขายังคงพุ่งเป้าไปที่จื่อซี เห็นชัดว่าพวกเขาทนเห็นจื่อซีได้ดีเกินหน้าไม่ได้”
ไช่เยวี่ยส่ายหน้าพลางกล่าวต่อ
“ไม่ว่าก่อนหน้านี้สนมชายาและข้ารับใช้ที่ฝ่าบาททรงรักใคร่มีมากน้อยเพียงใด แต่ขุนนางชายที่จะได้รับการทะนุถนอมจากพระองค์ มีได้เพียงคนเดียว”
หลี่ฟู่พลันเข้าใจกระจ่าง
“เจ้าจะบอกว่าเราต้องหาคนอีกคน คนที่ทำให้พวกเขารู้สึกว่ามีแรงคุกคามยิ่งกว่าเฉาเหยียน”
ขุนนางที่ภายนอกดูขึงขังจริงจังพวกนั้น เรื่องที่พวกเขากังวลหาใช่หลี่ฟู่โปรดปรานตามใจคนรักมากเพียงใด แต่เป็นความหวาดกลัวว่าคนรักผู้นี้จะอาศัยความโปรดปรานกุมอำนาจ คุกคามถึงอำนาจและผลประโยชน์ของพวกเขาต่างหาก
“ฝ่าบาททรงปราดเปรื่อง ข้าน้อยเพียงแต่คิดได้คร่าวๆ เท่านั้น ฝ่าบาทกลับทรงนึกออกทันทีว่าควรทำอย่างไร”
หลี่ฟู่ถูฝ่ามือพลางหัวเราะเสียงดัง ก่อนกล่าวต่อ
“คนผู้นั้นจะต้องมีความสามารถในระดับหนึ่ง และสามารถยืนอยู่ในราชสำนักได้ บังเอิญเราเลี้ยงคนเช่นนี้ไว้คนหนึ่งพอดี”
กล่าวพลางทอดพระเตรมายังคนที่ยืนอยู่ด้านข้างพร้อมปรนนิบัติทุกเมื่อ
ตอนนั้นเหยียนจูหนาวสะท้าน รู้ว่าคนโชคร้ายผู้นั้นต้องเป็นตนแน่นอน แล้วก็เป็นไปตามคาด หลังจากนั้นหลี่ฟู่เลื่อนยศให้เขาสามขั้น ทั้งยังยึดเรือนของหัวหน้าราชองครักษ์ ดึงเอาความริษยาชิงชังทั้งในและนอกวังมาสู่ตนทั้งหมดในทันที นี่ยังไม่ใช่สิ่งที่ยุ่งยากที่สุด สิ่งที่ยุ่งยากที่สุดคือ เมื่อหลี่ฟู่จะพบกับเฉาเหยียน ล้วนต้องให้เขามาแสดงละครตบตา คนข้างนอกล้วนบอกว่าเขากำลังเป็นที่โปรดปรานอย่างสูง แต่แท้จริงแล้วเขาเป็นแค่คนเฝ้าประตูเท่านั้น
ทว่าด้วยเหตุนี้เอง เหยียนจูจึงได้เห็นอีกด้านของหลี่ฟู่อย่างหาได้ยากยิ่ง แต่ก่อนสมัยที่เขายังเป็นองครักษ์อวี้เชวี่ยและอยู่เวร เคยได้ยินบทสนทนาตอนหลี่ฟู่ตักตวงความสำราญจากเฉาเหยียนอย่างหน้าไม่อายยามค่ำคืนเท่านั้น แต่กลับไม่เคยเห็นว่าตอนกลางวันเขากับเฉาเหยียนอยู่ร่วมกันอย่างไร ยามนี้บนใบหน้าหล่อเหลาคมคายของเขา กลิ่นอายอันตรายอ่อนโยนลงไม่น้อย ตอนนี้เขาแค่กุมมือเฉาเหยียนไว้เท่านั้น มิได้กระทำอนาจารใดๆ แต่กลับมองเห็นถึงความเชื่อใจและความรักใคร่เปี่ยมล้นได้ไม่ยากนัก
ทั้งสองลุกขึ้นกะทันหัน เหมือนสนทนากันจบแล้ว เหยียนจูรีบดึงสายตาตัวเองกลับมา เริ่ม ‘ปิดท้าย’ เสียงร้องของตัวเอง
เฉาเหยียนปรายตามองเขาแวบหนึ่ง แม้แต่เขาซึ่งมีทีท่าเคร่งขรึมยังอดยิ้มไม่ได้ ส่ายหน้าและจากไปทางประตูข้าง มองส่งเฉาเหยียนจากไปแล้ว หลี่ฟู่กระแอมไอก่อนตะโกนบอกเหยียนจู
“หยุดร้องเถอะ ทุเรศยิ่งนัก มานี่”
เหยียนจูนึกในใจว่า เจ้าแน่จริงก็มาร้องเองสิ ทว่าใบหน้ากลับพินอบพิเทา ก้าวเร็วๆ ไปอยู่เบื้อง
หน้าพระพักตร์หลี่ฟู่
“ฝ่าบาทมีอะไรจะรับสั่งหรือพ่ะย่ะค่ะ”
หลี่ฟู่หยิบจดหมายที่เต็มไปด้วยรอยยับย่นออกมาจากแขนเสื้อ เห็นชัดว่ามันเป็นจดหมายจากพิราบสื่อสารที่เคยถูกพับเป็นทรงกระบอก เขาส่งจดหมายให้เหยียนจู
“เจ้าดูสิว่านี่อะไร”
เหยียนจูเปิดออกดู เห็นสิ่งที่เขียนอยู่บนนั้นดูบิดๆ เบี้ยวๆ เหมือนภาพวาดแต่ก็เหมือนตัวอักษร อุทานด้วยความตกใจ
“หรือว่านี่คือภาษาอี๋?”
หลี่ฟู่พยักหน้าพลางตอบ
“ใช่ เป็นสิ่งที่ลู่สุยเฟิงได้มาตอนอยู่บนเขาหลิงซาน แต่ไปค้นหาตรงทิศทางที่นกพิราบบินออกมากลับไม่พบใคร คนของสำนักราชบัณฑิตแปลออกมาแล้ว เนื้อหาเขียนถึงหัวหน้าชนเผ่าอี๋โดยตรง ถามเขาว่าเหตุใดจึงไม่ฟังคำเตือน ยังจะส่งคนร้ายมาลอบสังหาร”
คราวนี้เหยียนจูตกตะลึงกว่าเดิม
“คนที่ฝ่าบาททรงพาไปเขาหลิงซานด้วยล้วนมีอิทธิพลในระดับหนึ่ง แต่คนผู้นี้ไม่เพียงมีตำแหน่งในราชสำนักพอสมควร ยังรู้ว่าฝ่าบาททรงเตรียมพร้อมไว้ล่วงหน้าแล้ว คนผู้นี้เป็นเนื้อร้ายก้อนใหญ่จริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”
หลี่ฟู่ยิ้มน้อยๆ ก่อนกล่าว
“ไฉนเจ้าจึงไม่คิดว่าเป็นองครักษ์หรือทหารที่ติดตามไปด้วย แต่กลับปักใจเชื่อว่าเป็นขุนนาง”
“ทหารจิ้นเว่ยและองครักษ์ทั่วไปล้วนผลัดเปลี่ยนกันเข้าเวร ทั้งยังยากที่จะเข้าใกล้ฝ่าบาท การแฝงตัวอยู่ในวังเพื่อเข้าใกล้ฝ่าบาท จะต้องไต่ไปให้ถึงตำแหน่งสูงก่อน นอกจากนี้คนผู้นี้รับคำสั่งจากหัวหน้าชนเผ่าอี๋โดยตรง อีกทั้งกลอุบายและวิธีการล้วนไม่ธรรมดา แสดงว่าเขาต้องได้เข้าประชุมในราชสำนักและเป็นหนึ่งในผู้วางแผนการแน่”
“ฮ่าๆๆ”
หลี่ฟู่หัวเราะพลางตบไหล่เหยียนจูด้วยความยินดี ก่อนกล่าวว่า
“เราพูดเพียงหนึ่ง แต่เจ้าวิเคราะห์ได้ถึงสาม ไม่เสียทีที่เราอบรมบ่มเพาะเจ้ามาหลายปี”
วิธีอบรมบ่มเพาะของพระองค์ เหยียนจูนึกถึงแล้วยังกลัวไม่หาย ทว่ากลับได้แต่ปั้นยิ้มพลางเอ่ยว่า
“ข้าน้อยขอบพระทัยฝ่าบาทที่ชี้แนะ”
หลี่ฟู่หุบยิ้มกะทันหัน สีหน้าพลันดูเครียดขึ้ง เหยียนจูสะดุ้งวาบในใจ ไม่รู้เหตุใดจู่ๆ สีหน้าของอีกฝ่ายจึงเปลี่ยนไป จากนั้นได้ยินหลี่ฟู่กล่าวจริงจังว่า
“ราชองครักษ์เหยียนจูรับราชโองการ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เหยียนจูคุกเข่ารับบัญชาทันที
“จดหมายฉบับนี้ส่งไปไม่ถึงมือชาวอี๋ แต่หลงเผิงเฟยกลับถูกลงโทษแล้ว คิดว่าชาวอี๋คงไม่ได้ส่งคนร้ายมา คนที่ปองร้ายเราคือคนของเทียนเฉา เรื่องนี้จะแพร่งพรายออกไปไม่ได้ ต้องสืบในทางลับเท่านั้น เพียงแต่บัดนี้มีขุนนางโฉดชั่วแฝงตัวอยู่ในราชสำนัก ภายนอกวุ่นวาย ภายในมีปัญหา เป็นอันตรายอย่างยิ่ง เราขอสั่งเจ้าตรงนี้ว่า หากเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องรักษาความปลอดภัยของเฉาเหยียน”
เหยียนจูนิ่งอึ้งไป ไม่รู้เหตุใดจู่ๆ จึงโพล่งถามออกเช่นนั้น
“ข้าน้อยขอบังอาจถามฝ่าบาทว่า หากฝ่าบาทกับใต้เท้าเฉาตกอยู่ในอันตรายพร้อมกัน และกำลังของข้าน้อยแม้จะสละชีวิตแล้วก็ปกป้องได้เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ข้าน้อยควรทำประการใดพ่ะย่ะค่ะ”
หลี่ฟู่มิคาดคิดว่าเขาจะถามอย่างนี้ กระนั้นคำถามนี้เขากลับถามตัวเองมาเป็นร้อยเป็นพันครั้งแล้ว เขาทอดถอนใจ กล่าวเสียงอ่อนโยนว่า
“จื่อซี เหยียนจู แม้เราจะมีอันตราย เจ้าก็ต้องปกป้องจื่อซีก่อน”
เหยียนจูหัวใจสะท้าน มิคาดคิดว่าหลี่ฟู่จะตอบอย่างนี้ ไม่ผิด โอรสสวรรค์ผู้นี้เผด็จการอันตราย ทั้งยังหมกมุ่นในกามและไร้ยางอายเป็นที่สุด กล่าวได้ว่าเห็นใครก็มีใจกับคนนั้น กระนั้นคนที่ไร้ยางอายเช่นนี้กลับต้องการปกป้องคนคนหนึ่งโดยไม่สนใจชีวิตอันสูงศักดิ์ล้ำค่าของตน...ความรู้สึกเช่นนี้เป็นการยอมสละชีวิตไม่กลัวตายอย่างแท้จริง แม้แต่สามีภรรยาที่รักใคร่และให้เกียรติกัน เกรงว่ายังมิอาจทำเพื่ออีกฝ่ายได้ถึงเพียงนี้กระมัง
เหยียนจูขอบตาร้อนผ่าวอย่างห้ามไม่อยู่ สิ่งที่เขาประทับใจหาใช่การที่หลี่ฟู่รักเฉาเหยียนเพียงคนเดียว แต่เป็นความริษยาเฉาเหยียนที่ได้รับความรักเช่นนี้ ย้อนมองดูตัวเอง ใครจะปวดใจแทนเขา ใครจะใส่ใจว่าเขาจะปลอดภัยหรือไม่
“น้อมรับพระบัญชา ฝ่าบาทโปรดวางพระทัย ข้าน้อยจะปกป้องใต้เท้าเฉาด้วยชีวิตแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
ท้องฟ้าปลอดโปร่ง ลมเย็นสบาย เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมต่อการล่าสัตว์พอดี ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองปู้ลั่วมีลานล่าสัตว์ของราชวงศ์ ฤดูใบไม้ร่วงทุกปีฮ่องเต้เทียนเฉาจะพาขุนศึก ทหารจิ้นเว่ย และองครักษ์มาล่าสัตว์ด้วยกัน ปีนี้ยังมีฉยงอ๋องหลี่หงที่พ้นกำหนดไว้ทุกข์แล้วมาร่วมด้วย บรรยากาศครึกครื้นยิ่งกว่าเดิม
หลี่ฟู่เปลี่ยนมาสวมชุดทะมัดทะแมงและผูกแขนเสื้อไว้ เรือนผมยาวดำขลับผูกรวบไว้ทั้งหมด เขาขี่อาชาสูงใหญ่สีขาว ท่วงทีสง่าผ่าเผย คำรามเบาๆ พลางกระตุ้นม้าวิ่งนำหน้าไป นำขบวนผู้คนยาวเหยียดข้างหลังไปสมทบกับฉยงอ๋องที่รุดไปเปิดทางและรออยู่ด้านหน้าแล้ว
ฉยงอ๋องหลี่หงเห็นฝุ่นฟุ้งตลบมาแต่ไกล รู้ว่าขบวนของฮ่องเต้มาถึงแล้ว จึงคุกเข่าหมอบอยู่บนพื้น หลี่ฟู่มาถึงตรงหน้าเขาและรั้งเชือกบังเหียนให้ม้าหยุด ลงจากม้าประคองเขาลุกขึ้นด้วยตัวเอง
“เสด็จอาไม่ต้องมากพิธี วันนี้ไม่ได้อยู่ในราชสำนัก พวกเราจะพูดถึงแต่ทักษะการแข่งขัน ไม่แบ่งแยกฮ่องเต้และขุนนาง”
หลี่หงเกาศีรษะ ยิ้มพลางเอ่ยว่า
“ดี กล่าวถึงแต่ทักษะการแข่งขัน ไม่แบ่งแยกฮ่องเต้และขุนนาง ฮ่องเต้จะได้ถือโอกาสนี้ดูว่าสามปีมานี้วิชายุทธ์ของข้าพัฒนาขึ้นบ้างหรือไม่”
แม้ลำดับศักดิ์ของเขาจะสูงกว่าหลี่ฟู่ แต่อายุกลับน้อยกว่า จึงเห็นหลี่ฟู่เป็นเหมือนพี่ชายและใกล้ชิดสนิทสนมมาตั้งแต่เด็ก ด้วยเหตุนี้น้ำเสียงจึงเจือแววออดอ้อนเล็กน้อย
กล่าวจบเขาชะเง้อคอมองไปข้างหลังหลี่ฟู่ เห็นเหยียนจูจูงอาชาสีดำยืนรออยู่เงียบๆ ท่ามกลางกลุ่มคน
ใช่สินะ ตอนนี้เหยียนจูเป็นองครักษ์ประจำตัวหลี่ฟู่ ไม่ว่าสถานการณ์ใดล้วนต้องติดตามข้างกายเขา
หลี่หงอดเดินเข้าไปทักไม่ได้
“องครักษ์เหยียนจู บาดแผลบนร่างกายเจ้าหายดีหรือยัง”
เหยียนจูรู้อยู่แล้วว่าท่านอ๋องผู้มีจิตใจบริสุทธิ์ต้องไม่คำนึงถึงฐานะของตนแน่ ในใจเป็นกังวลเล็กน้อย ทว่ากลับได้แต่ทำความเคารพอย่างนอบน้อม
“ขอบพระทัยท่านอ๋องที่เป็นห่วง บาดแผลหายดีนานแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หลี่หงตบไหล่เขาก่อนกล่าว
“เช่นนั้นก็ดี องครักษ์เหยียนจูวิชายุทธ์ล้ำเลิศ ครั้งนี้ต้องแสดงฝีมือให้เต็มที่นะ ข้าจะได้เปิดหูเปิดตา”
ทหารจิ้นเว่ยตลอดจนขุนศึกในราชสำนักต่างคิดไม่ถึงว่าฉยงอ๋องจะให้ความสำคัญกับองครักษ์ตำแหน่งเล็กๆ ที่ใช้เรือนร่างปรนนิบัติเจ้านายผู้นี้มากเช่นนี้ ในใจอดรู้สึกดูแคลนและหัวเราะเยาะมิได้ รู้สึกถึงสายตารอบด้านที่พุ่งเข้ามาเหมือนมีและเหมือนไม่มีแล้ว เหยียนจูได้แต่กล่าวเสียงเรียบ
“ท่านอ๋องชมเกินไปแล้ว ใต้เท้าทุกท่านในวันนี้ล้วนผ่านสงครามมานับร้อย เก่งกาจสามารถกว่าเหยียนจูมากพ่ะย่ะค่ะ”
หลี่หงกำลังจะกล่าวบางสิ่ง แต่กลับถูกหลี่ฟู่แทรกขึ้นก่อน
“เหยียนจู ฉยงอ๋องอุตส่าห์ชื่นชมเจ้า หากเจ้ายังจะถ่อมตนย่อมทำให้ฉยงอ๋องกลายเป็นคนสายตาตื้นเขินไป”
เหยียนจูรีบก้มศีรษะพลางกล่าว
“ข้าน้อยมิกล้าพ่ะย่ะค่ะ”
หลี่ฟู่เล่นเชือกบังเหียนในมือพลางกล่าว
“มีเรากับฉยงอ๋องอยู่ เจ้าไม่ต้องคอยสำรวมระวัง วันนี้เล่นสนุกให้เต็มที่เถอะ ยิ่งเจ้าล่าสัตว์ได้มาก ยิ่งเป็นการกู้หน้าให้พวกเรา เข้าใจหรือไม่”
เฮ้อ! รู้อยู่แล้วเชียวว่าวันนี้ต้องไม่ได้สบายแน่
เหยียนจูลอบทอดถอนใจ คุกเข่ารับคำ
“น้อมรับพระบัญชา”
ทุกคนขึ้นหลังม้าอีกครั้ง เตรียมตัวออกล่าสัตว์ สิ้นเสียงคำสั่ง หลี่ฟู่ควบม้านำหน้าออกไปก่อน ทุกคนรุดตามไปทันที ผู้คนทุกทิศทางกรูกันเข้าไปยังส่วนลึกของลานล่าสัตว์ ฝุ่นฟุ้งตลบขึ้นมาทันใด เหมือนมีอาชานับหมื่นวิ่งทะยาน
คนส่วนใหญ่ล้วนตามไปทางเดียวกับหลี่ฟู่ บ้างเป็นองครักษ์ที่คอยรักษาความปลอดภัยของฮ่องเต้
บ้างเป็นทหารจิ้นเว่ย บ้างเป็นพวกจับปลาในน้ำขุ่น (เชิงอรรถ 30) เตรียมพร้อมประจบสอพลอได้ทุกเมื่อ กระนั้นเหยียนจูที่ควบอาชาสีดำ หลังสะพายกระบอกใส่ธนู กลับมุ่งหน้าไปยังทิศทางตรงกันข้าม คนมากเสียงอึกทึกย่อมทำให้สัตว์ตกใจหนีไป ในเมื่อหลี่ฟู่สั่งแล้วว่าให้ตน ‘กู้หน้า’ ให้เขากับฉยงอ๋อง ตนก็ต้องเป็นคนที่ล่าสัตว์ได้มากที่สุดและได้รับพระราชทานรางวัลมากที่สุด ทำให้ทุกคนริษยาขุ่นเคือง โมโหจนลืมคิดว่าเหตุใดปีนี้เฉาเหยียนจึงไม่ปรากฏตัว ลืมคิดว่าต้องวางแผนสกปรกรับมือกับเฉาเหยียน
(เชิงอรรถ 30 หมายถึงการฉวยโอกาสตักตวงผลประโยชน์ในช่วงที่สถานการณ์ชุลมุนวุ่นวาย)
หลี่หงควบม้าเคียงคู่ไปกับหลี่ฟู่
หลี่หงกล่าวกับหลี่ฟู่เสียงแผ่ว
“ฝ่าบาท ทรงดูพวกคนโง่งมข้างหลังเหล่านั้นสิ ตามมาตั้งมากมาย แค่เสียงเกือกม้ากระทบพื้นก็ทำให้สัตว์หนีหายไปหมดแล้ว”
หลี่ฟู่ยิ้มพลางเอ่ย
“ป่าด้านหน้าหนาทึบและสลับซับซ้อนยากต่อการควบม้า หากเจ้าตามม้าของเราทัน ย่อมสามารถสลัดพวกเขาได้”
หลี่หงร้องว่าดีทันที ดังนั้นหลี่ฟู่จึงออกแรงใช้ขาหนีบท้องม้า ยอดอาชาพันลี้ตัวนั้นวิ่งทะยานทันที หลี่หงเตรียมพร้อมอยู่แล้ว ตามไปโดยไว กลับเป็นกลุ่มคนข้างหลังที่คิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้จะเร่งความเร็วกะทันหัน รีบตามไปอย่างร้อนใจ
ป่าแห่งนั้นหลี่ฟู่มาเยือนทุกปี รู้สภาพพื้นที่และเส้นทางคดเคี้ยวเป็นอย่างดี ประกอบกับม้าที่เขาขี่ดีกว่าคนอื่นๆ ใช้เวลาเพียงครู่เดียวย่อมสลัดคนส่วนใหญ่ออกไปได้ หลี่หงคิดไม่ถึงว่าหลี่ฟู่นั่งทำงานอยู่ในราชสำนักมานาน ทักษะการขี่ม้ากลับไม่ถดถอยลงแม้แต่น้อย ในใจบังเกิดความรู้สึกอยากแข่งขัน กระตุ้นม้าตามไปไม่ลดละ แม้ระยะห่างจะถูกดึงออกไปช่วงหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ยังไม่ถูกสลัดออกไป
เมื่อครั้งยังเด็กเยาว์วัย หลี่ฟู่เคยรักใคร่ห่วงใยเสด็จอาที่อายุน้อยกว่าตนผู้นี้จริงๆ ยามนี้ได้ควบม้าอยู่ในป่าเขา ปราศจากการแก่งแย่งชิงดีในราชสำนัก เขาจึงรู้สึกรื่นรมย์ผ่อนคลายเกินบรรยาย หักห้ามใจอยากเล่นสนุกไม่ได้ ต้องการกลั่นแกล้งหลี่หงสักหน่อย
เขาเห็นข้างหน้ามีกิ่งไม้กิ่งหนึ่งถูกลมพัดหักลงมาขวางอยู่กลางถนน จึงจงใจลดความเร็วของม้าลงเล็กน้อย หลี่หงคิดว่าม้าของเขาเริ่มเหนื่อยแล้ว จึงยิ่งออกแรงหวดแส้ไปที่สะโพกม้าของตน หวังจะแซงหน้าหลี่ฟู่ให้ได้ ครั้นเห็นว่ากำลังจะไล่ทันแล้ว มิคาดคิดว่าหลี่ฟู่จะรั้งเชือกบังเหียนกะทันหัน เลี้ยวเข้าไปในเส้นทางเล็กฝั่งขวามือ นอกจากนี้ด้านหน้ายังมีกิ่งไม้ขวางทางอยู่ ตอนนี้ม้าของหลี่หงกำลังพุ่งทะยานไปข้างหน้าสุดกำลัง จะให้หักเลี้ยวแบบหลี่ฟู่ย่อมเป็นไปไม่ได้ หลี่หงได้แต่หนีบท้องม้าแน่น ดึงเชือกบังเหียนขึ้นสูงให้ม้ากระโดดข้ามสิ่งกีดขวางไป
ความจริงกิ่งไม้นั้นไม่สูง ม้ากระโดดข้ามได้สบาย ทว่าก่อนหน้านี้หลี่หงกระตุ้นม้าให้วิ่งเร็วจนเกินไป ประกอบกับต้องกระโดดอย่างกะทันหัน พอถึงพื้นม้าจึงหมดแรง เท้าหน้าสะดุดล้มและคุกเข่าลง หลี่หงร่วงตกลงมาทันที หลี่ฟู่ตกใจ รีบลงจากม้าไปดู
“เสด็จอา! บาดเจ็บตรงไหนหรือไม่”
หลี่หงส่ายหน้า พยายามจะลุกขึ้นยืน
“ไม่เป็นไร น่าจะมีแค่แผลถลอกเท่านั้น”
หลี่ฟู่กลับกดตัวเขาไว้และจับข้อต่อบริเวณแขนขาของเขา พบว่าไม่เป็นอะไรมาก แค่ไหล่ซ้ายหลุดออกมาเท่านั้น หลี่ฟู่โล่งอก ประคองอีกฝ่ายลุกขึ้น
“ไหล่ซ้ายของเจ้าหลุด รีบกลับไปตามหมอหลวงมาตรวจดูเถอะ”
หลี่หงใช้มือขวาปัดฝุ่นตามตัว จากนั้นล้วงเข้าไปในอกเสื้อ สีหน้าพลันเปลี่ยนไปขณะเอ่ยถาม
“ผ้าเช็ดหน้าของข้าล่ะ”
หลี่ฟู่ถามกลับ
“ผ้าเช็ดหน้าอะไรถึงต้องร้อนใจขนาดนี้ หลายวันก่อนหนานจ้าวส่งผ้าเช็ดหน้าที่ทอจากใยใหมมาเป็นเครื่องบรรณาการ บนนั้นใช้ด้ายเจ็ดสีปักลายนกหงส์ท่ามกลางมวลหมู่สกุณา เรามอบให้เจ้าก็แล้วกัน”
หลี่หงส่ายหน้าพลางตอบ
“ขอบพระทัยฝ่าบาท ผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นหาใช่ของล้ำค่าอะไร แต่เป็นของที่เสด็จแม่ทิ้งไว้ สำคัญกับกระหม่อมมากพ่ะย่ะค่ะ”
หลี่ฟู่ได้ฟังแล้วก็ก้มหน้าช่วยเขาหาอีกแรง
“เอ๋? ใช่อันนี้หรือไม่”
หลี่ฟู่ถามพลางหยิบผ้าเช็ดหน้าสี่เหลี่ยมผืนหนึ่งออกมาจากพุ่มไม้ เนื้อผ้าขาวสะอาดนุ่มนิ่ม มุมซ้ายล่างปักดอกกล้วยไม้ มุมขวาบนมีอักษรหลายตัวที่เขียนด้วยหมึกสีดำ
“บุปผาโปรยปรายใต้พิรุณ”
หลี่ฟู่อ่านอักษรนั้น
หลี่หงตกใจ รีบรับผ้าเช็ดหน้าไปจากมือของหลี่ฟู่
“ขอบพระทัยฝ่าบาท”
หลี่ฟู่ยิ้มน้อยๆ ก่อนกล่าว
“ตอนนี้เจอผ้าเช็ดหน้าแล้ว กลับไปอย่างสบายใจได้แล้วกระมัง เห็นทีวันนี้เจ้ากับเราคงต้องกลับบ้านมือเปล่าเสียแล้วละ”
ฉยงอ๋องได้รับบาดเจ็บ ข้ารับใช้ลั่นกลองก่อนเวลาเรียกทุกคนกลับมา
หลังจากตรวจนับดูแล้ว เหยียนจูล่าสัตว์ได้จำนวนมากที่สุดจริงๆ
หลี่ฟู่หัวเราะเสียงดังอย่างปีติยินดี
“ฮ่าๆๆ! แม้เรากับฉยงอ๋องจะไม่ได้อะไรกลับมาเลยเพราะเกิดอุบัติเหตุขึ้นเสียก่อน แต่เจ้าคนเดียวกลับล่าสัตว์กลับมาแทนพวกเราสองคนหมดแล้ว กู้หน้าให้พวกเราได้จริงๆ! องครักษ์เหยียนจูก้าวขึ้นมารับการตกรางวัล”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เหยียนจูคุกเข่ารับคำ
“เราขอมอบหนังกวาง หนังจิ้งจอก หนังหมีให้เจ้าอย่างละห้าผืน ทองคำร้อยชั่ง แต่งตั้งเป็นรองผู้บัญชาการกรมราชองครักษ์”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท”
เหยียนจูรับพระราชทานรางวัลและลุกขึ้น กลับไปยืนหลังหลี่ฟู่เงียบๆ เขาเตรียมใจรับสายตาโกรธแค้นขุ่นเคืองจากคนอื่นๆ ก่อนหน้านี้แล้ว จึงไม่ใส่ใจสายตาเหล่านั้น กลับเป็นเหตุการณ์ฉยงอ๋องได้รับบาดเจ็บที่ทำให้เขาอดคิดไม่ได้ว่าเมื่อครู่นี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เหมาะจะสนทนากัน จึงได้แต่ข่มความสงสัยไว้ รอให้ถึงจังหวะเหมาะค่อยสอบถามอีกฝ่ายเป็นการส่วนตัว
ดังนั้นขบวนล่าสัตว์จึงเดินทางกลับเมืองปู้ลั่วก่อนเวลา
พอกลับถึงวังหลวง ทุกคนรับคำสั่งและแยกย้ายไป หลี่ฟู่กลับคว้าแขนเหยียนจูไว้พลางกล่าวเสียงขรึม
“เจ้าตามเรากลับวังตู้ยัง”
เหยียนจูสะดุดใจ หลี่ฟู่ไม่รีบไปหาเฉาเหยียนที่ไม่ได้พบหน้ามาทั้งวัน กลับสั่งให้ตนตามเขากลับตำหนักบรรทมเพื่ออะไร
เพิ่งจะก้าวเข้าไปในวังตู้ยัง เหล่าขันทีกับนางกำนัลที่รออยู่ก่อนแล้วก็เข้ามาต้อนรับ ผู้ที่นำหน้าเรือนร่างแบบบาง ดวงหน้าละมุนดุจดอกท้อ เป็นหลันอวี้นั่นเอง
“ฝ่าบาท กลับมาแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ”
กล่าวจบเหลือบเห็นเหยียนจูที่เดินตามหลังหลี่ฟู่อย่างพินอบพิเทา อดขมวดคิ้วมุ่นไม่ได้
ช่วงนี้เหยียนจูกำลังโดดเด่น สนมชายาฝ่ายในไม่มีใครไม่กล่าวถึงเขา กระนั้นคนฉลาดอย่างหลันอวี้จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเหยียนจูแค่ถูกหลี่ฟู่นำมาใช้เป็นโล่บังธนูให้เท่านั้น เพียงแต่ในเวลาและจังหวะที่เหมาะสมเช่นนี้ เหยียนจูกลับไม่คว้าโอกาสไว้ให้ดีและสั่งสมอำนาจบารมีของตัวเอง เอาแต่เล่นละครอ่อนน้อมเชื่อฟังทำท่าเป็นคนดี ช่างเสแสร้งจนน่าสะอิดสะเอียนและเสียเวลาเปล่าจริงๆ
“ฝ่าบาท น้ำในสระเตรียมไว้พร้อมแล้ว ให้ข้าน้อยอาบน้ำและผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ให้พระองค์เถอะพ่ะย่ะค่ะ”
กล่าวพลางกอดแขนหลี่ฟู่อย่างสนิทชิดเชื้อ พาเดินไปยังทิศทางของสระน้ำ
เฉาเหยียนสูงส่งหยิ่งทระนง เหยียนจูระมัดระวังรอบคอบ ดังนั้นการออดอ้อนอย่างไม่รู้ที่สูงที่ต่ำของหลันอวี้จึงถูกใจหลี่ฟู่ทีเดียว เขาถูกตามใจจนไร้กฎเกณฑ์มาแต่ไหนแต่ไร เหยียนจูจึงไม่แปลกใจกับท่าทีของเขา ทว่าไม่มีคำสั่งของหลี่ฟู่ เขาย่อมไม่กล้าหยุดเดินโดยพลการ ได้แต่เดินตามไปทุกฝีก้าว เพียงแต่ด้านหน้าสองคนกล่าวคุยหัวเราะกัน ตัวเองที่อยู่ข้างหลังกลับเหมือนอากาศธาตุ ทั้งกระอักกระอ่วนใจและไม่รู้ความคิดในใจของหลี่ฟู่ จึงอดรู้สึกประหม่าไม่ได้
ในวังตู้ยังมีห้องอาบน้ำแห่งหนึ่งชื่อว่า ‘จั๋วชิง’ ภายในมีสระน้ำขนาดใหญ่เท่าห้องนอน น้ำในสระใช้ท่อส่งมาจากบ่อน้ำแร่บนภูเขา ระหว่างทางกรองด้วยกรงทองแดงและผ้าโปร่งถึงเจ็ดแปดชั้น ยังผ่านเตาทองแดงและถาดหยกที่ใช้ดูดสิ่งสกปรกออกก่อนจะไหลลงในสระ หากต้องการปรับอุณหภูมิของน้ำตามฤดูกาล จะเอามังกรที่ทำจากทองแดงไปเผาไฟจนแดงจัดและใส่ลงไปตามจำนวนที่เหมาะสม ใต้สระมีเครื่องหอมนับร้อยชนิดที่ห่อด้วยผ้าโปร่งแช่ไว้ ทำให้น้ำอุ่นในสระอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมจางๆ
ตลอดเวลา ชวนให้ผ่อนคลายสบายใจ
ก่อนหน้านี้เหยียนจูเคยมาที่นี่หลายครั้ง แม้จะแค่ถูหลังและบีบนวดให้หลี่ฟู่ ไม่มีวาสนาได้ใช้สระ แต่ยังคงคุ้นเคยกับที่นี่มาก ประกอบกับเขามีวิชายุทธ์สูงส่ง ดังนั้นทันทีที่ก้าวเข้าไปในห้องจั๋วชิงจึงตระหนักถึงความผิดปกติทันที...ในอากาศมีกลิ่นหอมอ่อนจางลอยฟุ้งอยู่ แต่กลับแตกต่างจากที่ผ่านมา
เหยียนจูอดนิ่วหน้ามองหลันอวี้ไม่ได้
กล้าผสมเครื่องหอมปลุกกำหนัดในห่อเครื่องหอมร้อยชนิด เขาช่างใจกล้าบ้าบิ่นยิ่งนัก หลี่ฟู่แม้จะหมกมุ่นและสำส่อนเรื่องเพศ แต่ตัวเขาเองใช้ยาเป็นเรื่องหนึ่ง ถูกคนอื่นวางยากลับเป็นคนละเรื่องกัน แต่หากเปิดโปงเขาตอนนี้ นี่ย่อมเป็นความผิดฐานหลอกลวงเบื้องสูง เป็นการละเมิดกฎข้อห้ามของราชวงศ์ เกรงว่าหลันอวี้คงรักษาชีวิตไว้ไม่ได้แน่ หลังจากใคร่ครวญดูแล้วและประเมินว่าปริมาณยาอยู่ในขอบเขตที่ปลอดภัย เหยียนจูจึงไม่ปริปากเอ่ยถ้อยคำใด
เหยียนจูถอยหลบไปด้านข้าง ก้มศีรษะลงเงียบๆ
ขันทีและนางกำนัลเดินเรียงแถวเข้ามาวางเครื่องใช้ในการอาบน้ำและเสื้อผ้าสะอาด หลันอวี้มีท่าทางผ่อนคลาย เปลื้องอาภรณ์ให้หลี่ฟู่อย่างคล่องแคล่ว จากนั้นประคองเขาก้าวลงไปในสระ รอจนขันทีและนางกำนัลออกไปแล้ว หลี่ฟู่ที่หลับตาสัมผัสกับความสบายจากการบีบนวดของหลันอวี้พลันเอ่ยขึ้น
“เสี่ยวอวี้เอ๋อร์ เจ้าเคยได้ยินวลีเหล่านี้หรือไม่ ‘ลมวสันต์ไร้เสียง อาภรณ์เปียกชื้น บุปผาหลายหลากแลหม่นเศร้า ย้อนดูลมฝนเริงระบำ ตระการตางดงามรับวันใหม่’ ”
เหยียนจูใบหน้าซีดเผือดทันใด ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าหลี่ฟู่เรียกตนมาที่นี่เพื่ออะไร
หลันอวี้กล่าวอย่างประหลาดใจ
“นี่มิใช่กระบวนท่าบุปผาโปรยปรายใต้พิรุณ หนึ่งในสิบหกกระบวนท่าบุปผาโศกหรอกหรือ สิบหกกระบวนท่าบุปผาโศกเป็นเพลงกระบี่ที่หัวหน้าหออวี้เจินคนแรกตู๋กูเวิ่นเป็นผู้คิดค้นขึ้นในอดีต เป็นกระบวนท่าที่องครักษ์อวี้เชวี่ยทุกคนต้องเรียนรู้ ทำไมหรือพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาททรงสนพระทัยในวิชายุทธ์ด้วยหรือ”
หลี่ฟู่ยิ้มน้อยๆ ก่อนกล่าว
“เราไม่ได้สนใจนัก แต่เสด็จอาของเรากลับเป็นผู้คลั่งไคล้ในวิชายุทธ์อย่างสมบูรณ์ เหยียนจูเจ้าว่าใช่หรือไม่”
เหยียนจูกำลังร้อนตัว คิดไม่ถึงว่าหลี่ฟู่จะถามตนกะทันหัน คุกเข่าลงทันที
“ฝ่าบาทโปรดทรงอภัยด้วย”
“เราแค่ถามคำถามเจ้าเท่านั้น เจ้าจะขออภัยอะไร”
หลี่ฟู่เอ่ยเสียงเรียบ มิได้ลืมตามองเขาด้วยซ้ำ
“...ฉยงอ๋อง เป็นผู้คลั่งไคล้ในวิชายุทธ์จริงๆ ดังนั้นข้าน้อยจึงบังอาจเขียนเคล็ดลับกระบวนท่าบุปผาโปรยปรายใต้พิรุณให้เขา แต่ข้าน้อยไม่ได้เปิดเผยฐานะองครักษ์อวี้เชวี่ยของตัวเองแน่นอน ท่านอ๋องเองก็ไม่ทราบประวัติความเป็นมาของกระบวนท่านี้พ่ะย่ะค่ะ”
“หึๆ”
หลี่ฟู่ยิ้มพลางกล่าวต่อ
“เป็นเพียงส่วนเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ต้องตื่นเต้นถึงเพียงนี้ เพียงแต่เคล็ดลับวิชาอะไรถึงได้ไปเขียนอยู่บนผ้าเช็ดหน้าที่มารดาที่ล่วงลับไปของผู้อื่นทิ้งไว้ให้ ยังคิดว่าเป็นกลอนรักสัญญาใจเสียอีก โชคดีที่ลายมือเจ้าเป็นเราที่จับมือสอนเขียนทีละขีด ดังนั้นมองปราดเดียวจึงแยกแยะได้ทันที”
หลันอวี้ถึงได้เข้าใจต้นสายปลายเหตุ ใส่สีตีไข่ว่า
“นั่นสิพ่ะย่ะค่ะ พวกเราที่เข้าใจเรื่องราวก็แล้วไปเถอะ พวกคนข้างนอกที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว คิดได้เพียงองครักษ์เหยียนจูพักอยู่ในจวนฉยงอ๋องนานถึงเพียงนั้น ยังไม่รู้จะเอ่ยถ้อยคำไม่น่าฟังอะไรบ้าง ต่อให้บางครั้งข้าน้อยอยากอธิบายสักคำสองคำ คนอื่นก็ไม่เชื่อ ท่าทีที่ฉยงอ๋องปฏิบัติต่อองครักษ์เหยียนจูเป็นสิ่งที่ทุกคนเห็นตำตา ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง...”
“เสี่ยวอวี้เอ๋อร์”
หลี่ฟู่ลืมตาทันใด เอ่ยขัดจังหวะเขาว่า
“เจ้าออกไปก่อน”
“แต่ว่า ฝ่าบาท...”
เขาทุ่มเทความคิดมากเพียงใดจึงจะวางยาในสระน้ำได้ คิดจะเคลียคลอกับหลี่ฟู่ในสระอย่างเร่าร้อนสักครั้ง สุดท้ายเขายังไม่ทันลงไปในน้ำก็ถูกไล่ออกไปแล้วหรือ
“ออกไป!”
หลี่ฟู่ตวาดด้วยเสียงรำคาญ
หลันอวี้ได้แต่ลุกขึ้นยืนอย่างไม่เต็มใจ เดินออกไปพลางถลึงตาใส่เหยียนจูอย่างขุ่นเคืองหลายที
รอจนหลันอวี้ออกไปแล้ว หลี่ฟู่จึงกล่าวกับเหยียนจูอย่างเย็นชา
“เสด็จอาเล่าให้เราฟังหมดแล้ว เจ้าช่างบังอาจนัก ถึงได้ปิดบังเรื่องเช่นนี้กับเรา”
เหยียนจูตระหนก ก่อนจะตำหนิตัวเองว่าสะเพร่า หลี่หงความคิดซื่อตรงบริสุทธิ์ เขาควรคิดได้แต่แรกแล้วว่าขอเพียงหลี่ฟู่หลอกถาม หลี่หงต้องเล่าออกมาทุกอย่างแน่ ไฉนตอนนั้นตนจึงคิดว่าจะโชคดีปกปิดเรื่องนี้เอาไว้ได้
“ฝ่าบาททรงอภัยด้วย ท่านอ๋องความคิดเรียบง่ายบริสุทธิ์ วันนั้นที่จูบข้าน้อยเป็นเพราะต้องการจะเอาชนะเท่านั้นเอง ข้าน้อยเองก็รู้ฐานะตัวเองดี หาได้มีความคิดที่ไม่บังควรพ่ะย่ะค่ะ”
โอรสสวรรค์พลันเงียบไป
เหยียนจูไม่สบายใจกว่าเดิม หลี่ฟู่เกลียดที่สุดคือการที่ขุนนางสมคบกับฉยงอ๋องลับหลังเขา คุกคามบัลลังก์ฮ่องเต้ของเขา ตนแม้จะมิใช่ขุนนางใหญ่ แต่กลับเป็นคนสนิทของหลี่ฟู่ เทียบกับขุนนางทั่วไปที่สมคบกับฉยงอ๋องแล้วเกรงว่าจะทำให้หลี่ฟู่เดือดดาลยิ่งกว่า เขาอยากอธิบาย แต่กลัวว่ายิ่งพูดจะยิ่งแย่ หากไม่อธิบายก็ไม่รู้ว่าในใจหลี่ฟู่คิดอะไร เกรงว่าจะพาลโกรธฉยงอ๋องไปด้วย
อากาศหนักอึ้งจนทำให้คนหายใจไม่ออก ผ่านไปครู่ใหญ่ ทันใดนั้นได้ยินเสียงน้ำดังซ่า หลี่ฟู่ลุกพรวดขึ้นจากสระน้ำ เหยียนจูเงยหน้ามองโดยสัญชาตญาณและอดตะลึงงันไม่ได้ หลี่ฟู่เปิดเผยเรือนร่างสูงโปร่งขาวกระจ่างของตน กายท่อนล่างชูชันขึ้นมาแล้ว ท่าทางดุดัน
หลี่ฟู่พาแก่นมังกรที่ดูกระปรี้กระเปร่าเดินเข้าไปหาเหยียนจู
“ฮึ! บ่าวสุนัขหลันอวี้จะต้องใส่อะไรลงไปในน้ำแน่ เจ้าไม่รู้สึกเลยรึ”
“ข้า...”
เหยียนจูตกใจจนพูดติดอ่าง เขาปรนนิบัติของต่ำช้าสิ่งนั้นมาหลายครั้งแล้ว ย่อมเข้าใจดีว่าเวลาเจ้าสิ่งนั้นตื่นตัวเต็มที่แล้วน่าตกใจเพียงใด
“ข้าน้อยคิดว่า...เอ่อ แต่ก่อนฝ่าบาทก็เคยใช้ยา ข้าน้อยคิดว่า...”
“ใช่สิ”
หลี่ฟู่พลันคลี่ยิ้ม อ่อนโยนจนทำให้คนรู้สึกหนาวเยือก เขาโน้มตัวลงกระซิบเสียงนุ่มนวลข้างหูเหยียนจู
“ปีนั้นที่เจียงหนาน เราก็เคยใช้ยา รสชาตินั้นคิดว่าเจ้าคงคิดถึงมากกระมัง อยากจะลองอีกครั้งใช่หรือไม่”
เหยียนจูแข็งทื่อไปทั้งตัว ตรงหน้าผุดภาพมากมาย แสงไฟสีเหลืองสลัว ม่านปักลาย โซ่เหล็กสีดำสนิท เสียงเห่าที่น่ากลัว...สุดท้ายหลอมรวมกลายเป็นดวงหน้างดงามทว่าอันตราย เจ้าของดวงหน้านั้นกำลังใช้มือที่เห็นข้อนิ้วชัดเจนลูบไล้หน้าตน ใช้ท้องนิ้วเสียดสีริมฝีปากของตนแผ่วเบา ยิ้มจางๆ พลางกล่าว
“ในเมื่อเจ้ายอมให้หลันอวี้ใช้ยาอย่างเงียบๆ เช่นนั้นเจ้าก็ต้องรับผิดชอบแทนเขา ใช้ปากของเจ้าที่ใครก็สัมผัสได้รับผิดชอบเป็นอย่างไร”
“อื้อ อึก...”
วัตถุหนายาวดันเข้ามาในลำคอ ทำเอาเหยียนจูเกือบอาเจียน แต่หลี่ฟู่จับศีรษะเขาไว้แน่น ไม่ให้เขาหนี หลังจากใช้เวลาปรับตัวเล็กน้อย เหยียนจูคิดจะใช้ลิ้นปรนนิบัติเขาเพื่อเอาใจ การลงทัณฑ์อันทรมานนี้จะได้ยุติลงเสียที ทว่าสิ่งที่เขาไม่คาดคิดคือ หลี่ฟู่ที่ถูกยาและอยู่ในอารมณ์โกรธเหมือนคนขาดสติ ลิ้นของเหยียนจูเพิ่งจะไล้ผ่านด้านในของเขา เขาก็คำรามเสียงต่ำและผลักเหยียนจูลงบนพื้น
เหยียนจูยังไม่ทันตั้งตัว หลี่ฟู่ก็ทาบตัวลงมา นั่งคร่อมอยู่เหนือไหล่เขา จากนั้นคุกเข่าเหยียดเอวขึ้น เริ่มกระแทกกระทั้นอย่างรุนแรงเหมือนว่าปากเขาเป็นช่องทางเบื้องหลัง ต้นขาหลี่ฟู่หนีบคอเหยียนจูไว้ ขณะเดียวกันกายอีกส่วนก็เติมเต็มโพรงปากเขาจนไม่เหลือช่องว่างแม้แต่น้อย ทำให้เขาแทบขาดอากาศหายใจ หลี่ฟู่กระชากผมเขาให้เคลื่อนไหวตามจังหวะของตนอย่างไม่ปรานี การรุกล้ำอย่างรุนแรงทำให้เหยียนจูมิอาจควบคุมร่างกาย ลมหายใจ หรือแม้กระทั่งความคิดของตัวเองได้
“อื้อ อื้อ...อึก อื้อ...”
เนื่องจากปากถูกอุดไว้ เหยียนจูได้แต่เปล่งเสียงอู้อี้เบาๆ อย่างน่าเวทนา
ในที่สุดหลี่ฟู่ก็ถอนกายออกจากปากเขากะทันหัน แต่อากาศที่ทะลักเข้าไปในปอดเหยียนจูฉับพลันกลับทำให้เขาไอไม่หยุด เวลานี้เอง หลี่ฟู่จงใจปลดปล่อยใส่ปากและจมูกเขา เหยียนจูที่กำลังไอจึงสำลักทันที
“แคกๆๆ...”
ใช่ว่าแต่ก่อนไม่เคยถูกหลี่ฟู่บังคับให้ดื่มกิน แต่นี่กลับเป็นครั้งที่ทรมานมากที่สุด
หลี่ฟู่ที่ปลดปล่อยไปครั้งหนึ่งแล้วหายใจหอบหนักๆ ถอดเสื้อผ้าเหยียนจูออกพลางเอ่ยอย่างรังเกียจ
“ดูเจ้าสิ สกปรกยิ่งนัก”
ทว่าคนที่ทำให้ผู้อื่นสกปรกเช่นนี้เป็นเขาชัดๆ
เหยียนจูปล่อยให้เขาทำตามอำเภอใจอย่างว่าง่าย ไม่นานก็ไม่เหลืออาภรณ์ติดร่าง จากนั้นร่างกายรู้สึกเบาหวิว หลี่ฟู่ช้อนอุ้มเขาขึ้นมาและเดินไปที่สระน้ำ เขาแทบจะถูกหลี่ฟู่โยนลงไป ยังไม่ทันยืนให้ดี หลี่ฟู่ก็กระโดดตามลงมาและผลักเขาไปที่ขอบสระ เหยียนจูรู้ว่าเขาคิดจะทำอะไร จึงจับขอบสระอย่างให้ความร่วมมือ กางขาและยกก้นขึ้น อาศัยความเปียกชื้นในสระน้ำ หลี่ฟู่ที่แข็งขึงขึ้นมาอีกครั้งแทรกกายเข้ามาอย่างแทบไม่ลำบากเลย
แผงอกของหลี่ฟู่กดแนบกับแผ่นหลังเขา เริ่มการจู่โจมอีกระลอก น้ำในสระที่มียาเจือปนทะลักเข้าไปในลำไส้ไม่หยุดตามจังหวะการเคลื่อนไหวของหลี่ฟู่ ตัวยาถูกดูดซึมไวกว่าการสัมผัสทางผิวหนัง เหยียนจูรู้สึกร่างกายร้อนรุ่มขึ้นทุกที ความรู้สึกที่ห่างเหินทว่าคุ้นเคยค่อยๆ แผ่ไปทั่วร่าง เขาขยับเอวอย่างห้ามตัวเองไม่อยู่ ต้องการสัมผัสที่เร้าใจกว่านี้ แต่หลี่ฟู่ที่ปลดปล่อยไปหนหนึ่งแล้วกลับสุขุมกว่ามาก เขาใช้มือข้างหนึ่งจับสะโพกเหยียนจูไว้ คลึงเคล้นอย่างไม่ช้าไม่เร็ว ไม่ยอมให้เหยียนจูเคลื่อนไหวมากเกินไป
ความเสียวซ่านก่อตัวมากขึ้นทุกที แต่กลับถูกกดไว้มิอาจไปถึงจุดสูงสุด ความปรารถนาเหมือนน้ำหลาก ต้องการช่องทางระบายออกอย่างเร่งด่วน
“อือ อ๊า...อ๊ะ อย่า...อย่าทำเช่นนี้...อ๊ะ อ๊ะ อื้อ...”
มุมปากของเหยียนจูเริ่มเปียก วิญญาณกับร่างกายเหมือนถูกฉีกออกจากกัน ร่างกายมีปฏิกิริยาตอบสนองต่างๆ อย่างมิอาจควบคุม แต่วิญญาณกลับได้แต่เฝ้ามองนิ่งๆ...เหมือนในอดีต
หลี่ฟู่โอบเขาพลางกระซิบข้างหู
“เราเคยสอนเจ้าแล้วว่าให้ขอร้องเราอย่างไร ยังจำได้หรือไม่ ตอนนี้ร้องออกมาดังๆ แล้วเราจะมอบความสุขให้เจ้า”
เหยียนจูหัวสมองขาวโพลน เปล่งเสียงครางออกมาอย่างสิ้นหวัง ใช่ เขาเคยสอนตน เหมือนเช่นที่เขาสอนให้ตนรู้จักดีดพิณ เดินหมาก วาดภาพ คัดอักษรและจัดกระบวนทัพอ่านตำรายุทธ์อย่างนั้น เขาเปลี่ยนตนให้กลายเป็นเครื่องมือที่เขาชื่นชอบและเหมาะสมกับเขา ดังนั้นตนจึงไม่ต้องคิดถึงความละอายหรือศักดิ์ศรีอะไร ชีวิตเป็นของเขา ร่างกายก็เป็นของเขา
เหมือนต้องการให้รางวัล ในที่สุดหลี่ฟู่ก็เริ่มการกระแทกกระทั้นอย่างรุนแรงอีกระลอก แทบจะถอนออกมาจนสุดและสอดใส่เข้าไปใหม่ เหยียนจูถูกกระตุ้นจนร้องครางเสียงดัง ฟุบอยู่กับขอบสระตัวอ่อนปวกเปียก
“ฝ่าบาท...อ๊ะ อ๊ะ ฝ่า...กระแทกตรงนั้นอีก...อืม อา...”
หลี่ฟู่กัดหูเขาพลางกล่าว
“เรียกเราเหมือนเมื่อก่อน”
“นาย...นายท่าน...”
ก่อนที่หลี่ฟู่จะขึ้นครองราชย์ เหยียนจูเรียกเขาว่านายท่าน
“อ๊า อ๊ะ อา…นายท่าน ให้ข้าน้อยไปเถอะ...”
ใช่ เหยียนจูเป็นทาสของเขา เป็นข้าวของของเขาอย่างสมบูรณ์ บัดนี้เขาเป็นโอรสสวรรค์แล้ว เขาไม่อนุญาตให้ใครมาแย่งของของเขาไปอีก
หลี่ฟู่ใช้มือข้างหนึ่งโอบเอวไม่ให้เขาล้มลงไป มืออีกข้างยื่นไปข้างหน้าบดขยี้หว่างขาของเหยียนจู
เหยียนจูที่ถูกฤทธิ์โอสถจนไวต่อความรู้สึกเป็นพิเศษ มิอาจรองรับการจู่โจมพร้อมกันทั้งข้างหน้าและข้างหลังได้ ไม่นานก็ปลดปล่อยออกมา เวลาเดียวกัน หลี่ฟู่ปลดปล่อยในส่วนลึกของร่างกายเขา กามกิจเสร็จสิ้นลงแล้ว เหยียนจูหน้าซีดขาว รู้สึกมึนงงไปหมด เกาะขอบสระหายใจหอบ ร่างกายอ่อนยวบ
หลี่ฟู่เกลี่ยผมบนหน้าผากเขาที่เปียกชื้นไปด้วยเหงื่ออย่างอ่อนโยน ยิ้มพลางเอ่ยว่า
“เจ้ารู้หรือไม่ เมื่อครู่เสด็จอาอยู่ข้างนอกนี้เอง”
เหยียนจูเบิกตาโตอย่างไม่อยากเชื่อ
หลี่ฟู่เบิกบานกว่าเดิมขณะกล่าวต่อ
“เราให้คนตามเขามาเอง ให้เขาฟังเสียงร้องร่านราคะหน้าไม่อายของเจ้า จะได้เปรียบเทียบว่าแตกต่างกับหลวนถงที่เขาเลี้ยงไว้ในจวนหรือไม่”
ความคิดเห็น |
---|