2

ใบไม้เขียวขจีในคิมหันต์น่ารื่นรมย์


หมายเหตุสำนักพิมพ์

 

นวนิยายจีนย้อนยุคเรื่องนี้ใช้ราชาศัพท์แบบลำลอง

คือเลือกใช้เพียงบางส่วนเท่าที่จำเป็น

ด้วยเกรงว่าหากใช้เต็มรูปแบบตามหลักเกณฑ์

อาจส่งผลให้ผู้อ่านเกิดความรู้สึกว่า

อ่านเข้าใจยาก อ่านติดขัด หรือรกรุงรังเกินควร

เป็นอุปสรรคต่อการติดตามเรื่องราวอันเข้มข้นของตัวละคร

ทั้งนี้สำนักพิมพ์ยินดีรับฟังข้อเสนอแนะเพื่อปรับแก้ในโอกาสต่อไป

 

--------------------------------------------------------- 


บทที่ 2

ใบไม้เขียวขจีในคิมหันต์น่ารื่นรมย์

ต้นฤดูคิมหันต์อากาศเย็นสบาย ต้นหญ้าเจริญเติบโตงอกงาม

กลิ่นหอมของดอกไม้บรรเทากลิ่นของมูลนก ในหออวี้เจิน ชายหนุ่มในชุดขันทีปัดกวาดอย่างตั้งใจ ราวกับเรื่องใหญ่ทั้งหมดในวังแห่งนี้ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับเขา...เป็นต้นว่าซั่งต้าฟูเฉาเหยียนถูกส่งตัวไปอารามชิงสุ่ยบนเขาหลิงซาน

กล่าวกันว่า วันหนึ่งมีเซียนมาเข้าฝันราชครู บอกเขาว่าต้องส่งทูตที่มีดวงชะตาและธาตุหยินหยางสมดุลไปบำเพ็ญตนเพื่ออธิษฐานขอพรแทนฮ่องเต้ จึงจะหยุดยั้งภัยแล้งแถบไหวจงได้ ราชครูจับนิ้วคำนวณ พบว่าบุคคลที่มีดวงชะตาและธาตุหยินหยางสมดุลผู้นี้อยู่ไกลสุดขอบฟ้าใกล้แค่ตรงหน้า เขาผู้นั้นคือซั่งต้าฟูเฉาเหยียน

คนฉลาดล้วนรู้ว่า นี่เป็นอุบายที่เทียนอู่ตี้กุขึ้นมาเพื่อละเว้นโทษ ‘ปองร้ายพระสนมในวัง’ ของเฉาเหยียน เป็นข้ออ้างที่แต่งขึ้นมาส่งเดชเท่านั้น เพียงแต่ไม่มีใครสามารถโต้แย้ง ทั้งยังไม่กล้าโต้แย้ง แม้แต่ฮองไทเฮาเองด้วยเห็นว่าสามารถทำให้เฉาเหยียนห่างฮ่องเต้ได้ จึงถือโอกาสนี้ตามใจเขา ราวกับต้องการยกย่องราชครูผู้นั้นว่าคำนวณปรากฏการณ์ฟ้าดินได้แม่นยำ

พอเฉาเหยียนเดินทางถึงเขาหลิงซาน พื้นที่ไหวจงที่แห้งแล้งมาหลายเดือนก็มีฝนตกลงมาจริงๆ คาดว่าหลังจากเฉาเหยียนเสร็จสิ้นภารกิจบำเพ็ญตนโดยไม่ปลงผมและกลับราชสำนัก มิเพียงไม่ถูกลงโทษ ยังจะได้รับการตกรางวัลเพราะสร้างความดีความชอบด้วย

เฉาเหยียนจากไปไม่นาน หวากุ้ยเหรินก็ถูกส่งเข้าวังเย็น เหตุผลคือ ‘ไร้ทายาท’ ที่บังเอิญคือ คืนนั้นตอนหวากุ้ยเหรินไปอาละวาดเฉาเหยียน ถ้อยคำที่บริภาษเขาคือ ‘แม่ไก่ที่ออกไข่ไม่ได้’ แม้ในที่เกิดเหตุจะมีคนไม่มาก แต่ข่าวลือในวังหยุดยั้งได้ยากยิ่ง ดังนั้นคนในวังจึงตระหนักดีว่า เฉาเหยียนเป็นบุคคลที่ได้รับความโปรดปรานสูงสุด ด้วยเหตุนี้จางเหม่ยเหรินกับหว่านผินที่ได้เป็นคนโปรดคนใหม่ของหลี่ฟู่หลังจากนั้นจึงสำรวมกว่าหวากุ้ยเหรินมาก ส่วนหลันอวี้คงมีฝีมือในการประจบเอาใจอยู่บ้างจริงๆ วันนั้นหลังจากแผลหายเขาก็เป็นที่ชื่นชอบของหลี่ฟู่มากกว่าเดิม ตอนนี้ได้เลื่อนขั้นเป็นรองหัวหน้าขันทีตำหนักในแล้ว ตำแหน่งเป็นรองไช่เยวี่ยเพียงผู้เดียว

กล่าวถึงเหยียนจู นับแต่ถูกลงโทษคืนนั้น หลี่ฟู่ก็มิได้เรียกเขามาทำเรื่องบ้าๆ ขณะเขาเข้าเวรอีกเลย เหยียนจูรู้สึกสบายใจเมื่อไม่ต้องรับมือกับหลี่ฟู่ ตอนกลางคืนตั้งใจเข้าเวรโดยไม่คิดเรื่องอื่น ตอนกลางวันยังคงทำงานในฐานะขันทีกวาดมูลนกในหออวี้เจินต่อไป ความจริงเวลาทำงานกวาดมูลนกพวกนี้ เป็นห้วงยามที่เขารู้สึกสงบและมีอิสระมากที่สุด กระนั้นไม่รู้ว่าปีนี้เขาดวงไม่ดีหรืออย่างไร ความสงบจึงคงอยู่ได้ไม่นาน

“ฮ่องเต้เสด็จ...”

เสียงขันทีรายงานดังมาแต่ไกล

เหยียนจูลอบทอดถอนใจ วางไม้กวาดแล้วคุกเข่าต้อนรับ

“ลุกขึ้นเถอะ”

หลี่ฟู่กล่าวพลางดึงเขาขึ้นมา

ดูเหมือนวันนี้หลี่ฟู่จะอารมณ์ดีมาก แม้แต่มุมปากยังอมยิ้ม เขาจับตัวเหยียนจูมองซ้ายมองขวา จากนั้นถอยไปหลายก้าวเพื่อพิจารณาอีกครั้ง จ้องจนเหยียนจูจับต้นชนปลายไม่ถูก

“อืม”

หลี่ฟู่เอ่ยพลางพยักหน้า ก่อนกล่าวต่ออย่างพออกพอใจ

“เหยียนจู เรามอบชุดขุนนางให้เจ้าสวมใส่เป็นอย่างไร”

เหยียนจูอึ้งไป แม้องครักษ์อวี้เชวี่ยทุกคนล้วนหวังว่าจะถูกส่งไปทำงานในราชสำนัก ไม่ต้องใช้ชีวิตเหมือนเงาอีกต่อไป แต่จู่ๆ หลี่ฟู่จะทำให้เขาสมปรารถนาได้อย่างไร หรือว่าโทสะในคืนนั้นของเขายังไม่หายไป จะส่งตนไปเป็นขันทีเหมือนหลันอวี้?

คิดถึงตรงนี้ เหยียนจูหน้าซีดอย่างห้ามไม่อยู่

หลี่ฟู่เห็นเขาไม่เพียงไม่ยินดี สีหน้ายังแปลกประหลาด พลันเข้าใจทันที อดหัวเราะออกมามิได้ เขาขยิบตาให้ไช่เยวี่ย ไช่เยวี่ยเข้าใจและถอยไปทันที แน่นอนว่ายังสั่งข้ารับใช้คนอื่นๆ ไม่ให้เข้าใกล้ด้วย

หลี่ฟู่ขยับไปข้างหูเขาก่อนกล่าว

“จะกลัวขนาดนั้นทำไม วางใจเถอะ งานนั้นของเจ้าเรายังไม่เบื่อ ไม่รีบกำจัดทิ้งหรอก”

กล่าวพลางลูบท่อนล่างของเหยียนจูผ่านชุดขันที

เหยียนจูถูกจู่โจมกะทันหัน ทั้งตกใจทั้งอับอายขณะถอยไปข้างหลังหนึ่งก้าว ใบหน้าเปลี่ยนจากขาวซีดเป็นแดงก่ำ

เดิมทีหลี่ฟู่แค่อยากหยอกเย้าเขาเล่นเท่านั้น แต่เห็นปฏิกิริยาเขินอายเหมือนเด็กหนุ่มวัยแรกรุ่น

ของเขาแล้ว อดบังเกิดความพิศวาสไม่ได้ เขาดึงเหยียนจูเข้ามาในอ้อมกอด มือขวาโอบเอวเหยียนจูจากข้างหลัง มือซ้ายลูบไล้ร่างกายของเหยียนจูตามอำเภอใจ ยิ้มพลางกล่าว

“เจ้าจะหลบทำไม เราลูบไล้เจ้าไม่ได้หรือไง”

เหยียนจูอยากขัดขืน แต่ไม่กล้าต่อต้านมากเกินไป จึงเหมือนลูกไก่ที่ถูกเหยี่ยวตะครุบ กระพือปีกแต่ไม่เป็นผลใดๆ ได้แต่กล่าวเสียงร้อนรนว่า

“ลูบ...ลูบได้พ่ะย่ะค่ะ แต่...แต่ว่านี่มันตอนกลางวัน อื้อ อ๊ะ...”

มือที่อยู่ไม่สุขของหลี่ฟู่เลื้อยเข้าไปในกางเกงชั้นในของเหยียนจูแล้วเคล้นคลึงเจ้าสิ่งที่ถูกเขากระทำทารุณก่อนหน้านี้เบาๆ แม้ว่าใบหน้าเขาจะงดงาม ท่วงทีกิริยาน่ามอง แต่ริมฝีปากที่แดงโดยมิต้องแต่งแต้มกลับพ่นวาจาต่ำช้าหน้าไม่อายออกมาโดยไม่สะทกสะท้าน

“กลางวันแล้วอย่างไร กลางวันเราจะทำเจ้าไม่ได้หรือ เราจะทำ เจ้าจะทำไม”

กล่าวพลางลงมืออุกอาจกว่าเดิม บดขยี้แก่นกายที่ถูกปลุกเร้าจนแข็งขึงไปแล้วครึ่งหนึ่งอย่างวางอำนาจ ท้องนิ้วกรีดผ่านปลายยอดที่ไวต่อสัมผัส

“...แต่ว่าฝ่าบาท...อื้อ อา...ที่นี่ ถ้ามีคนมาเห็นเข้าจะไม่ดีพ่ะย่ะค่ะ...”

พอเหยียนจูนึกขึ้นได้ว่าไม่ว่าเวลาใดล้วนมีองครักษ์อวี้เชวี่ยคอยคุ้มครองหลี่ฟู่อยู่ลับๆ แผ่นหลังก็ชาวาบ แม้เรื่องต่ำช้าที่เขาทำจะเป็นความลับที่รู้กันทั่วในหมู่องครักษ์อวี้เชวี่ย แต่ถูกได้ยินเสียงเป็นเรื่องหนึ่ง ถูกพบเห็นเป็นคนละเรื่องกัน

“ฮึ”

หลี่ฟู่เอ่ยอย่างหมดความอดทน ก่อนกล่าวต่อ

“เราแค่เล่นกับบ่าวคนหนึ่งเท่านั้น ใครเห็นแล้วจะตื่นตกใจเล่า ถ้าเจ้ายังกล่าวมากความ เราจะเปลือยกายเจ้าตรงนี้เสียเลย เจ้าเชื่อหรือไม่”

...แค่เล่นกับบ่าวคนหนึ่งเท่านั้น ใช่ ตนเป็นเพียงของเล่นชิ้นหนึ่งเท่านั้น จะเอาอย่างผู้อื่นกล่าวเรื่องศักดิ์ศรีและความละอายอะไรกัน คิดจริงๆ หรือว่าตัวเองเป็นเหมือนองครักษ์อวี้เชวี่ยคนอื่นๆ เป็นบุคคลที่สร้างคุณูปการให้ราชสำนัก?

ใบหน้าของเหยียนจูเปลี่ยนจากแดงเป็นเขียว กัดริมฝีปากไม่เอ่ยคำใดอีก ปล่อยให้หลี่ฟู่ลงมือกับตนตามอำเภอใจ หลี่ฟู่เห็นเขาสีหน้าไม่ดี นึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้เพิ่งสั่งสอนเขาไปรอบหนึ่ง หรือว่าตอนนั้นกะแรงไม่ดีทำให้เขาบาดเจ็บ? เขาขยำก้นของอีกฝ่ายสองสามทีและไม่ทำอะไรอีก

หลี่ฟู่ปล่อยมือจากเหยียนจูที่ถูกเขาลวนลามไปรอบหนึ่ง กระแอมไอก่อนจะเปลี่ยนสีหน้ากลับเป็นเย็นชา กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“องครักษ์อวี้เชวี่ยเหยียนจูรับราชโองการ”

เหยียนจูอึ้งไป ยังมิทันได้จัดเสื้อผ้าที่ถูกหลี่ฟู่ดึงทึ้งจนเละเทะให้เข้าที่ ก็ต้องรีบคุกเข่ารับราชโองการ

“เหยียนจูเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งขององครักษ์อวี้เชวี่ย ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่สุดความสามารถ ซื่อสัตย์และจงรักภักดี บัดนี้ได้รับแต่งตั้งเป็นราชองครักษ์ลำดับหลักขั้นห้า ให้ติดตามเราไปขอพรที่อารามชิงสุ่ย”

“ขอบพระทัย...ฝ่าบาท”

เหยียนจูตอบรับในขณะที่ยังคงงุนงงเล็กน้อย

ไฟปรารถนาของหลี่ฟู่ปะทุขึ้นแล้ว ร้อนใจอยากหาคนระบาย จึงเพียงโบกมือให้เขาลุกขึ้นและหันหลังจากไป

เหยียนจูก้มหน้า ก้มมองชายเสื้อด้านล่างของตนตรงตำแหน่งที่ถูกหลี่ฟู่หยอกเย้าจนตั้งขึ้นเมื่อครู่นี้ อดรู้สึกโล่งอกไม่ได้ ยังดีที่ไม่ใช่ขันที

 

โอรสสวรรค์ออกเดินทาง ขบวนย่อมยิ่งใหญ่เอิกเกริก

ผู้ที่คอยเปิดทางด้านหน้าสุดคือทหารจากวังหลวง ออกจากเมืองปู้ลั่วแล้วให้ทหารที่รักษาการณ์ในแต่ละท้องที่เป็นผู้รับผิดชอบหน้าที่นี้ ทหารที่อยู่ด้านหน้าด้านหลังราชรถและคอยสนองพระบัญชาจากฮ่องเต้โดยตรงคือทหารจิ้นเว่ย พวกเขามีหน้าที่คุ้มกันโอรสสวรรค์ไปตลอดทางจนถึงเขาหลิงซาน นอกจากนี้ยังมีขบวนรถม้ามากมายบรรทุกเสื้อผ้าอาหารและเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน นางกำนัลที่คอยปรนนิบัติเจ้านาย ขุนนางที่ร่วมเดินทางไปขอพรด้วย ตลอดจนขบวนเกียรติยศที่ประกอบด้วยฉัตรงดงามหรูหราเป็นต้น...ส่งผลให้ขบวนยาวเหยียด ประกอบกับมีมือปราบในเมืองปู้ลั่วที่ถือทวนยาวบดบังสายตา ทำให้มองไม่เห็นว่าราชรถแล่นผ่านไปตั้งแต่เมื่อไร กระนั้นราษฎรสองข้างทางยังคงคุกเข่าลง โขกศีรษะแสดงความเคารพฮ่องเต้พระองค์ใหม่ที่ตรวจสอบการทุจริตฉ้อโกงของขุนนางและลดอัตราภาษีให้ราษฎรทันทีที่ขึ้นครองราชย์ ทั้งยังเดินทางไปเขาหลิงซานอย่างยากลำบากเพื่อขอพรให้แก่ราษฎรที่ประสบภัย

แล้ง

เหยียนจูใช้มือข้างหนึ่งยันขอบหน้าต่าง มือข้างหนึ่งเลิกม่าน ชะเง้อคอมองทิวทัศน์ริมถนน

ถนนสายนี้มีชื่อเรียกว่า เสียงอัน เป็นสถานที่ที่เขาฝันเห็นนับครั้งไม่ถ้วน เวลาผ่านมานานปี แต่สถานที่แห่งนี้แปรเปลี่ยนไปไม่มากนัก หออิ้งเสียงที่โด่งดังยังคงอยู่ ตรงขึ้นไปอีกนิด ด้านหน้าก็เป็นที่ตั้งของแผงลอยเล็กๆ ของครอบครัวเขาในอดีตแล้ว จากข้อมูลที่ได้รับเมื่อปีก่อน ท่านพ่อท่านแม่น่าจะยังเปิดแผงขายเต้าหู้เล็กๆ อยู่ตรงนี้...

ทันใดนั้นหนังศีรษะเจ็บแปลบ เหยียนจูถูกกระชากเส้นผมดึงให้หันกลับมา สองมือถูกกดไว้ข้างร่างกายที่เปล่าเปลือยไม่ให้ขยับ ม่านรถทิ้งตัวลง ภายในราชรถสลัวเลือน มองเห็นไม่ชัดว่าเครื่องแบบราชองครักษ์ที่เพิ่งตัดเย็บขึ้นใหม่ถูกหลี่ฟู่โยนทิ้งไว้มุมใดกันแน่ แต่กลับยังเห็นสีหน้าไม่พอใจของเขาอย่างชัดเจน

“ในเวลาเช่นนี้ เจ้ายังใจลอยได้อีกหรือ”

“ข้า...ข้าน้อยเพียงแต่...”

เพียงแต่อยากมองแวบหนึ่ง มองบ้านในความทรงจำหลังนั้น

หลี่ฟู่ดูเหมือนไม่สนใจฟังคำกล่าวเขา กดต้นขาเขาให้แบะออกกว้างที่สุด จากนั้นออกแรงแทรกตัวเข้าไปมากกว่าเดิม

“อ๊ะ อ๊ะ อื้อ...”

เหยียนจูเจ็บจนร้องออกมา แต่กลับถูกหลี่ฟู่ปิดปากไว้ทันที

“หุบปาก!”

คิ้วรูปดาบของหลี่ฟู่ขมวดมุ่นขณะตวาด จากนั้นกล่าวสืบต่อ

“เจ้าอยากให้คนข้างนอกได้ยินเสียงครางไร้ยางอายของเจ้าหรือไง”

คนที่ไร้ยางอายเป็นเจ้าต่างหาก

เหยียนจูโมโหเหลือเกิน ส่ายหน้าไม่หยุดหวังจะสลัดให้หลุดจากมือของหลี่ฟู่ เขาปิดปากตนแน่นมาก เหยียนจูไม่เพียงเปล่งเสียงครางสะอื้นได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ยังรู้สึกหายใจลำบากด้วย ทว่าหลี่ฟู่กลับตีความการส่ายหัวของเขาไปอีกทาง

“ไม่อยากก็ทำตัวดีๆ หน่อย”

กล่าวพลางกดปากเหยียนจูต่อไป หยัดเอวขึ้นและเริ่มเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง

บางทีอาจเพราะการอยู่ในราชรถระหว่างเดินทางทำให้เขารู้สึกตื่นเต้น จึงออกแรงมากกว่าปกติมาก เข้าสุดออกสุดแทบจะทุกครั้ง หลี่ฟู่อบรมบ่มเพาะเหยียนจูมาหลายปี ย่อมรู้ดีว่าจุดที่ทำให้เขามีความสุขอยู่ตรงไหน จึงจงใจเสียดสีจุดนั้นอย่างแรงทุกครั้ง เหยียนจูถูกเขากระแทกกระทั้นจนเบิกตาโพลงน้ำตาไหลริน แต่เพราะถูกพันธนาการไว้จึงไม่กล้าแม้แต่จะร้องตะโกนออกมา สภาพที่หายใจไม่ออกครึ่งหนึ่งทำให้ร่างกายเขาไวต่อสัมผัสมากกว่าเดิม โอบรัดอาวุธในกายแน่นอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้

“ยังคงเป็นเรือนร่างของเจ้าที่สบาย จะทำอย่างไรก็ได้...”

หลี่ฟู่กล่าวแล้วระบายลมหายใจอย่างพึงพอใจ

กว่าหลี่ฟู่จะปลดปล่อยจนเสร็จสิ้นและปล่อยตัวเขาอย่างอิ่มเอม ราชรถก็เคลื่อนออกจากเมืองปู้ลั่วแล้ว ไหนเลยจะยังมองเห็นถนนเสียงอันได้อีกเล่า

 

บทเพลงชาวประมงลอยเรี่ยไอหมอกเหนือผิวน้ำ เสียงขับขานของคนตัดฟืนแว่วจากป่าเขา ปลาเลือกตกชื่อที่เป็นมงคล ไม้เลือกตัดไม้ที่เนื้องาม ตระหนักรู้แก่นแท้ของธรรมะ อิสรเสรีมิต้องหาจากภายนอก

วันเวลาบนเขาหลิงซาน แม้เฉาเหยียนจะอยู่ว่างไม่มีอะไรทำ แต่ไม่นับว่าเบื่อหน่าย ตอนกลางวันฟังนักพรตอวี้ชิงในอารามชิงสุ่ยเทศนาธรรม ช่วงบ่ายไปหย่อนเบ็ดตกปลาที่ลำธารบนภูเขาและอ่านหนังสือจนตะวันตกดิน มีสายลมเคียงข้างมีใบไม้เป็นสหาย ไม่มีอุบายหรือแผนการในวังและนอกวัง ทั้งยังไม่มีความรักความชังจากหลี่ฟู่มาข้องเกี่ยว สุขใจที่ได้อยู่อย่างสงบและบริสุทธิ์

ทว่าพอกลับมาและยืนอยู่หน้าห้อง เฉาเหยียนพลันตระหนักถึงความผิดปกติ...

มีคนอยู่ในห้อง!

เฉาเหยียนขมวดคิ้ว เขารับพระบัญชามาบำเพ็ญตนขอพรที่อารามชิงสุ่ยแทนฮ่องเต้ แม้แต่ครอบครัวยังมิอาจมาเยี่ยมเยียนรบกวน แล้วใครจะมาหาเขา ทั้งยังเข้ามาแบบลับๆ ล่อๆ โดยไม่แจ้งก่อน หรือว่าเป็น...

ผลักประตูเข้าไป มีคนผู้หนึ่งนั่งอยู่หน้าโต๊ะไม้ไผ่ เรือนผมสีดำดุจความมืดยามราตรี ใบหน้าประหนึ่งหยก แม้จะงดงามเกลี้ยงเกลาแต่กลับไม่มีกลิ่นอายชั่วร้ายอันตรายแม้แต่น้อย...หาใช่บุคคลที่ตนเฝ้าคิดถึงทุกวันคืนผู้นั้น แต่กลับเป็นขันทีน้อยที่เคยช่วยตนจัดการทุกอย่างแทนคนผู้นั้นตอนอยู่ในหอ

สำนึกตน เพียงแต่ครั้งนี้เขาไม่ได้สวมชุดขันที แต่เป็นชุดคลุมยาวสีขาวทั่วไป เฉาเหยียนตะลึงไปเล็กน้อย รู้สึกเพียงเสื้อผ้าชุดนี้ออกจะคุ้นตา เหมือนชุดที่หลี่ฟู่เคยสวมใส่ตอนปลอมตัวเป็นสามัญชน

เหยียนจูลุกขึ้นประสานมือพลางกล่าว

“คารวะใต้เท้าเฉา”

เฉาเหยียนตอบเสียงเรียบว่า

“อย่าเลย ตอนนี้ข้ามิใช่ซั่งต้าฟู เป็นเพียงคนที่บำเพ็ญตนอยู่เท่านั้น”

น้ำเสียงของเหยียนจูยังคงเคารพนอบน้อม

“ใต้เท้าเฉาโปรดอดทนอีกหน่อย พรุ่งนี้เช้าฮ่องเต้จะเสด็จขึ้นเขาหลิงซาน ครั้งนี้หลังจากขอพรและบวงสรวงฟ้าแล้ว ฮ่องเต้จะทรงรับใต้เท้ากลับไปพร้อมกันด้วย”

เฉาเหยียนคลี่ยิ้มเย็นชาก่อนกล่าว

“ใครจะอยากกลับไปอยู่ในกรงที่กินคนได้นั่นอีก เจ้าไปบอกเขาว่าข้าจะกลับบ้าน!”

“ใต้เท้าได้รับความโปรดปรานอย่างสูง หากคิดถึงครอบครัวและอยากกลับบ้านสักพัก คิดว่าฮ่องเต้ต้องทรงอนุญาตแน่นอน”

“เจ้ารู้ว่าข้าไม่ได้แค่อยากกลับไปสักพัก!”

ไฟที่ไม่รู้ชื่อของเฉาเหยียนพลันปะทุขึ้น กวาดกาและถ้วยชาบนโต๊ะไม้ไผ่ลงบนพื้น น้ำชาและเศษกระเบื้องกระเด็นไปทั่ว

เหยียนจูกลับไม่หวาดกลัวและไม่ตกใจกับโทสะของเขา เพียงก้มตัวลงเก็บพลางกล่าว

“ใต้เท้าระวังเศษกระเบื้องบาด ท่านโปรดนั่งรอสักครู่ ข้าน้อยจะเก็บกวาดให้เรียบร้อยอย่างรวดเร็ว”

เฉาเหยียนรับไม่ได้กับท่าทีไม่สะทกสะท้านของเขา คว้าตัวเขาขึ้นมาแล้วคำรามทันที

“ไม่ต้องให้คนที่ยอมเป็นขี้ข้าของคนอื่นอย่างเจ้ามาเก็บ ไสหัวออก...”

คำว่า ‘ไป’ ยังมิทันเอ่ยออกมา เนื่องจากเขากระชากแรงเกินไป ทำให้คอเสื้อของเหยียนจูเบี้ยว เผยให้เห็นรอยเขียวช้ำบนลำคอ

“นี่อะไร”

เฉาเหยียนถามพลางทำท่าจะแหวกคอเสื้อของเหยียนจู

เฉาเหยียนเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นก็จริง แต่ตอนถูกส่งไปเป็นตัวประกันที่หมานอี๋ เขาขี่ม้ายิงธนูทุกวัน ร่างกายคล่องแคล่วปราดเปรียว ยามนี้เมื่อชิงลงมือก่อนโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว แม้แต่ยอดฝีมืออันดับหนึ่งขององครักษ์อวี้เชวี่ยอย่างเหยียนจูก็ยังตอบโต้ไม่ทันชั่วขณะ กว่าเขาจะแกะมือเฉาเหยียนออกและถอยไปสองก้าว ลำคอก็เปิดเผยออกมาแล้ว

ลำคอขาวเนียนของเขามีรอยนิ้วมือห้านิ้วปรากฏเด่นชัด เห็นชัดว่าถูกคนออกแรงบีบ บริเวณคอไปจนถึงกระดูกไหปลาร้าเต็มไปด้วยรอยช้ำสีม่วงแดงที่จางเข้มและใหญ่เล็กไม่เท่ากันกระจัดกระจาย ไม่รู้ว่าถูกขบกัดหรือบีบเค้นกันแน่ เฉาเหยียนอ้าปากหวอ โมโหจนตัวสั่น ไม่รู้โมโหที่หลี่ฟู่ทำตัวเหลวไหล หรือโมโหคนตรงหน้าที่ยอมจำนนและประจบเอาใจอีกฝ่ายกันแน่ นิ่งอึ้งอยู่นานกว่าจะเปล่งเสียงออกมาได้

“นี่...รอยพวกนี้...ล้วนเป็นฝีมือของเขาหรือ”

เหยียนจูจัดเสื้อผ้าของตนให้ดีด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ เอ่ยเสียงเรียบ

“ไยใต้เท้าเฉาต้องถือสาด้วยเล่า เป็นเช่นที่ใต้เท้ากล่าวก่อนหน้านี้ ไม่ว่าอย่างไร หัวใจของฝ่าบาทล้วนอยู่ที่ใต้เท้า”

“หน้าไม่อาย!”

เฉาเหยียนร้องด่าเสียงสูง

“เหตุใดเจ้าจึงไม่ต่อต้าน เขาไม่เห็นเจ้าเป็นคน เจ้าก็ยอมต้อยต่ำยิ่งกว่าหมูหมาหรือไร หากเจ้ายอมตายไม่ยอมจำนน ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะข่มขืนศพได้ ขัดขืนเพื่อเป็นหินหยกที่แตกสลาย ยังดีกว่ามีชีวิตอยู่อย่างต้อยต่ำเหมือนเช่นตอนนี้!”

เหยียนจูหัวเราะเบาๆ ก่อนกล่าว

“หึๆ นั่นสิ แล้วเหตุใดใต้เท้าจึงไม่เลือกยอมตายดีกว่ายอมจำนนเล่า อ้อ! ข้าน้อยลืมไป ใต้เท้าไม่เหมือนข้าน้อย ใต้เท้าเป็นคนที่ฝ่าบาททรงคิดถึงทุกลมหายใจอย่างแท้จริง ประคองไว้ในฝ่ามือกลัวตกแตก อมไว้ในปากกลัวละลาย ย่อมไม่ถูกคนมองเหมือนไม่ใช่คนอยู่แล้ว หากใต้เท้าขนหลุดไปแม้แต่เส้นเดียว ผู้อื่นย่อมต้องหัวขาด แล้วข้าน้อยล่ะ บ่าวรับใช้ที่ต่ำต้อยคนหนึ่งตาย ย่อมมีบ่าวรับใช้ที่ต่ำต้อยคนอื่นๆ มาทดแทน ผู้อื่นมีแต่จะหัวเราะเยาะเขาว่าไม่รู้ดีชั่ว แม้แต่ครอบครัวของเขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาตายอย่างไร...”

กล่าวถึงตอนท้าย รอยยิ้มของเหยียนจูเข้มข้นขึ้นและเย็นชากว่าเดิม ใบหน้าของเฉาเหยียนกลับซีดขาวลงทุกที

เฉาเหยียนกำหมัดแน่น ก้มหน้าลงในที่สุด

“ข้าขออภัยต่อเจ้า ข้าว่ากล่าวหนักเกินไป ความจริงข้ามีสิทธิ์ไปว่าเจ้าที่ไหน ตัวข้าเองมิใช่คนใจแคบที่ใช้เรือนร่างปรนนิบัติเจ้านายหรอกหรือ ก็แค่คนที่วิ่งได้ร้อยก้าวหัวเราะเยาะคนที่วิ่งได้ห้าสิบก้าว (เชิงอรรถ 18) เท่านั้นเอง”

(เชิงอรรถ 18 คำเปรียบเปรยถึงคนที่มีจุดอ่อนเหมือนคนอื่น แต่น้อยกว่าเพียงเล็กน้อยและอาศัยข้อได้เปรียบเล็กน้อยนั้นทับถมผู้อื่น)

เหยียนจูนิ่งอึ้งไป

คนอย่างเขายอมจำนนให้ไม้อ่อน ไม่ยอมก้มหัวให้ไม้แข็ง เขาส่ายหน้า น้ำเสียงอ่อนลงหลายส่วน

“ใต้เท้าเป็นบุคคลที่สามารถยืนเคียงข้างฮ่องเต้อย่างแท้จริง อย่าได้ดูแคลนตัวเองเป็นอันขาด อันที่จริงฮ่องเต้ส่งข้าน้อยมาเยี่ยมใต้เท้าก่อน นอกจากเพื่อแจ้งแผนการให้ใต้เท้าทราบล่วงหน้า ใต้เท้าจะได้สบายใจแล้ว ยังมีเรื่องใหญ่อีกเรื่องที่เกี่ยวพันถึงความปลอดภัยของบ้านเมือง”

 

เดิมทีเขาหลิงซานเป็นภูเขาไร้ชื่อ เหตุแห่งการกลายเป็นสถานที่บวงสรวงมาตลอดหลายปี เป็นเพราะปฐมกษัตริย์ผู้ก่อตั้งบ้านเมืองเคยเห็นมังกรน้ำแสดงปาฏิหาริย์ในบ่อชิงสุ่ยบนภูเขา ปฐมกษัตริย์ได้รับคำชี้แนะจึงประสบความสำเร็จในการสร้างผลงานครั้งใหญ่ หลังก่อตั้งแคว้นเทียนเฉา เขาสร้างแท่นบูชามังกรบนเขาหลิงซานและสร้างอารามชิงสุ่ย ฮ่องเต้ทุกสมัยล้วนต้องมาทำพิธีบวงสรวงขอพรที่นี่ทุกปีเพื่อตอบแทนที่สวรรค์คุ้มครอง

ต้อนรับเทพเจ้า คารวะสุรา อำลาเทพเจ้า ดื่มสุรารับพร

ขณะที่หลี่ฟู่กำลังจะเดินไปยังแท่นบูชามังกรทำพิธีร่วมกับเฉาเหยียนที่รับหน้าที่เป็นทูตมาบำเพ็ญตนในอารามชิงสุ่ยนั้นเอง ทันใดนั้นลูกธนูดอกหนึ่งแหวกฝ่าอากาศเข้ามา เสียงดนตรีในพิธีดังสนั่น แต่ละคนต่างเตรียมตัวสนุกสนานในงานอย่างเต็มที่ ไม่มีใครสังเกตว่าลูกธนูดอกนี้ถูกยิงเข้ามาได้อย่างไร กว่าจะได้สติอีกครั้ง เทียนอู่ตี้ก็ถูกธนูปักกลางอก ล้มอยู่ในอ้อมแขนของเฉาเหยียนแล้ว

เฉาเหยียนหน้าซีดเผือด กอดเขาร้องเสียงหลง

“ใครก็ได้! มีคนร้าย! ฮ่องเต้ได้รับบาดเจ็บ! หมอหลวงล่ะ”

แท่นบูชามังกรพลันวุ่นวายโกลาหล ราชองครักษ์ทั้งหลายโอบล้อมฮ่องเต้ไว้ในทันที เหล่าขุนนางใหญ่ที่เข้าร่วมพิธีไม่ว่ามองอย่างไรก็เห็นสถานการณ์ไม่ชัดเจน เพียงครู่เดียว ขันทีน้อยในสำนักแพทย์หลวงที่ติดตามหมอหลวงมาด้วยก็ยกเปลหามออกมา พาฮ่องเต้จากไปท่ามกลางการห้อมล้อมขององครักษ์ เฉาเหยียนวิ่งตามไปหลายก้าว ก่อนจะหยุดลง หันกลับไปจ้องมองทุกคนบริเวณแท่นบูชามังกร

แม้เขาจะมีใบหน้าขาวกระจ่างงดงาม แต่สีหน้าเฉียบคมเย็นชาทำให้คนอดครั่นคร้ามไม่ได้ เขาร้องตะโกน

“ผู้บัญชาการทหารจิ้นเว่ยลู่สุยเฟิงรับคำสั่ง!”

“รับทราบ!”

“พาทุกคนกลับไปยังที่พำนักข้างล่าง ห้ามมิให้ผู้ใดเข้าออกหรือติดต่อกับผู้อื่น ถ้าข่าวฮ่องเต้ถูกปองร้ายรั่วไหลออกไปแม้แต่คำเดียว ฆ่าไม่เว้น!”

“น้อมรับคำสั่ง!”

เขาหลิงซานตั้งอยู่บริเวณเขตแดนระหว่างมณฑลเป่ยโยวกับมณฑลฉยงเหลียง ชายแดนตอนเหนือของเป่ยโยวกับฉยงเหลียงถูกชาวอี๋รุกรานอยู่ตลอด หากข่าวเทียนอู่ตี้ถูกลอบสังหารบนเขาหลิงซานแพร่ออกไป ไม่แน่ชาวอี๋อาจฉวยโอกาสตอนเทียนเฉาวุ่นวายยกทัพใหญ่มารุกราน เช่นนั้นผลลัพธ์ที่ตามมาย่อมมิอาจคาดคิด ชาวอี๋รุกรานเทียนเฉามาหลายปี ที่ผ่านมาเทียนเฉาแพ้มากกว่าชนะมาตลอด มิเพียงต้องส่งเงินทองแลข้าวของไปบรรณาการทุกปี ครั้งหนึ่งยังต้องส่งตัวประกันไปยังดินแดนหมานอี๋ด้วย เห็นได้ว่าชาวอี๋ร้ายกาจและแข็งแกร่งเพียงใด

 

ดึกแล้ว แต่ในตำหนักที่ประทับบนเขาหลิงซานยังไม่มีใครเข้านอน

ทหารจิ้นเว่ยยืนเฝ้ายามทุกๆ ห้าก้าว เดินตรวจตราทั่วบริเวณ ทุกคนถูกกักตัวอยู่ในตำหนักมิอาจออกไปได้ ทั้งยังมิอาจติดต่อกับผู้ใด ห้องบรรทมของเทียนอู่ตี้ปิดสนิทตลอดเวลา มิอาจทราบอาการของฮ่องเต้ บางครั้งมีขันทีที่ทำหน้าที่ยกน้ำต้มยาเดินออกมา สีหน้าท่าทางล้วนเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น เห็นแล้วยิ่งทำให้คนว้าวุ่นไม่สบายใจ

คนร้ายเป็นใครกันแน่ ฮ่องเต้อาการหนักหรือไม่ หากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นมาจริงๆ คนที่อยู่ในเหตุการณ์ยังจะรอดชีวิตหรือไม่...

ทุกคนถูกคำถามนับไม่ถ้วนรุมเร้าจนมิอาจข่มตาหลับ

ขันทีที่ทำหน้าที่ต้มยากลับมาในที่สุด เขาก้มหน้าประคองยาเข้าไป ในห้องนอกจากหมอหลวง

แล้ว มีเฉาเหยียนคนเดียวเท่านั้น เขาเอาแต่กุมมือที่ไร้เรี่ยวแรงของฮ่องเต้และจ้องมองอีกฝ่าย ไม่สนใจจะเงยหน้ามองขันทีแม้แต่น้อย

หมอหลวงตรวจสอบยาแล้วอดกล่าวโน้มน้าวไม่ได้

“ใต้เท้าเฉา ยามาแล้ว มิสู้ท่านกลับไปพักผ่อนสักครู่เถอะ”

เฉาเหยียนหันกลับไปพลางกล่าวว่า

“เอายาให้ข้า ตอนนี้เขาไม่ได้สติ พวกเจ้าป้อนไม่สะดวก”

กล่าวจบก็ยื่นมือจะรับชามยา

เวลานี้เอง ขันทีสาดยาไปที่เฉาเหยียนกะทันหัน ขณะที่เฉาเหยียนหลบเลี่ยงโดยสัญชาตญาณ ขันทีชักมีดสั้นที่ทอประกายเยียบเย็นออกจากแขนเสื้อ แทงไปยังฮ่องเต้ที่นอนหมดสติอยู่บนเตียง เขาลงมือเร็วมาก เล็งที่เป้าหมายอย่างแม่นยำ มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นนักฆ่าชั้นยอดที่ผ่านการฝึกฝนเฉพาะทางมา กระนั้นจังหวะที่มีดสั้นกำลังจะแทงเข้าไป บุคคลที่เดิมทีควรสลบไสลไม่ได้สติกลับยกผ้าห่มผ้าฝ้ายที่คลุมร่างอยู่ขึ้นมากะทันหัน ผ้าห่มม้วนตลบและห่อมีดสั้นไว้ ไม่เพียงทำให้คนร้ายไม่อาจแทงมีดเข้ามา ยังพันธนาการแขนเขาไว้ข้างหนึ่งด้วย

ตอนนี้เฉาเหยียนได้สติแล้ว ชักกระบี่ยาวจู่โจมทันที ในสถานการณ์คับขันเช่นนี้ คนร้ายปล่อยมีดสั้น โคจรกำลังและเปล่งเสียงดัง หดแขนตัวเองกลับมา คนร้ายผู้นี้ไม่เพียงกำลังภายในล้ำเลิศ ยังตอบสนองรวดเร็วมาก ถอยหลังไปสามก้าวพลางหลบเลี่ยงการจู่โจมของเฉาเหยียน ขณะเดียวกันก็ชักกระบี่อ่อนที่เอวออกมาตอบโต้ เฉาเหยียนมิอาจประชิดเข้าไปใกล้เขาได้

ตอนนี้สามคนเผชิญหน้ากัน ส่วนหมอหลวงตกใจจนถอยหลบไปด้านข้างนานแล้ว แม้แต่เสียงร้องให้ ‘จับตัวคนร้าย’ ยังสั่นระริกและไม่ดังสักเท่าไร ผ้าห่มผืนนั้นถูกโยนไปที่บุรุษข้างกาย เขามีดวงหน้าผุดผ่องท่วงทีผ่าเผย มีสภาพเหมือนคนบาดเจ็บเสียที่ไหน เห็นชัดว่าพวกเขาวางแผนเชิญท่านลงโอ่ง (เชิงอรรถ 19) มาล่วงหน้าและเตรียมราชองครักษ์ฝีมือดีไว้ก่อนแล้ว คนร้ายรู้ดีแก่ใจว่าหากถูกทหารจิ้นเว่ยและราชองครักษ์โอบล้อม ตนย่อมไม่มีโอกาสชนะแน่ จึงไม่ลังเลอีก สะกิดปลายเท้าและกระโจนหนีออกไปทางหน้าต่าง

(เชิงอรรถ 19 เปรียบเปรยถึงการขุดกับดักล่อ รอให้เข้ามาติดกับ)

เหยียนจูป้องกันการหลบหนีของเขาอยู่ก่อนแล้ว เห็นเขาสะกิดปลายเท้าก็โคจรพลังตามไปทันที เฉาเหยียนคิดจะวิ่งตามไปเช่นกัน กลับได้ยินคนหลังม่านกล่าวเสียงเย็น

“จื่อซี เจ้าอยู่ที่นี่”

“แต่ว่า...”

เฉาเหยียนยังอยากโต้แย้ง แต่กลับถูกขัด

“เชื่อฟังเรา”

หลี่ฟู่ที่ดูไม่เหมือนได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อยก้าวออกมา กุมมือเฉาเหยียน

“อยู่ที่นี่ อยู่ข้างกายเรา คนร้ายย่อมมีคนของลู่สุยเฟิงตามไปเอง เจ้าไม่ต้องกังวล”

...

“หากใต้เท้าขนหลุดไปแม้แต่เส้นเดียว ผู้อื่นย่อมต้องหัวขาด แล้วข้าน้อยล่ะ บ่าวรับใช้ที่ต่ำต้อยคนหนึ่งตาย ย่อมมีบ่าวรับใช้ที่ต่ำต้อยคนอื่นๆ มาทดแทน...”

...

คำกล่าวของเหยียนจูผุดขึ้นในใจอีกครั้ง ทว่าแม้จะเป็นห่วงและไม่สบายใจ แต่หลี่ฟู่ไม่ให้เขาไป เขาย่อมไปไม่ได้...เขาได้แต่อยู่ข้างกายหลี่ฟู่ อยู่ภายใต้การปกป้องของเขา เป็นนกในกรงของเขา

 

เวลาผ่านไปสองชั่วยาม

ในสองชั่วยามนี้ คนในห้องเงียบจนน่าตกใจ นอกจากเสียงพลิกหน้ากระดาษของหลี่ฟู่ตอนอ่านหนังสือแล้ว แทบไม่มีเสียงอื่นใดอีก ความเงียบสงบเช่นนี้ถูกทำลายไปตอนลู่สุยเฟิงเข้ามา สีหน้าเขาเคร่งเครียดหมองคล้ำขณะเข้ามาคุกเข่าขอรับโทษ

“พวกกระหม่อมไร้ความสามารถ ขอฝ่าบาททรงอภัยด้วย คนที่ส่งออกไปตามพวกมันไม่ทัน แต่กระหม่อมเพิ่มกำลังคนออกไปค้นหาแล้ว เชื่อว่าน่าจะจับกุมพวกมันได้ในอีกไม่นานพ่ะย่ะค่ะ”

กล่าวพลางมอบของสิ่งหนึ่งให้

“นี่เป็นของที่ทหารคนหนึ่งค้นเจอในพุ่มไม้พ่ะย่ะค่ะ”

เฉาเหยียนรับมาดู อดสะดุ้งในใจไม่ได้

นั่นเป็นป้ายเอวที่ทำจากทองคำแท้ บนนั้นสลักลายหงส์เพลิงกระพือปีกกลางกองเพลิง ดูมีชีวิตชีวาเหมือนจริง เห็นชัดว่าเป็นของในวัง สิ่งที่ทำให้คนตกใจหาใช่ความประณีตของป้ายชิ้นนี้ แต่เป็นเพราะป้ายนี้เปื้อนเลือดของใครไม่รู้ ขับเน้นให้สีทองดูเด่นสะดุดตามากกว่าเดิม เขายื่นป้ายให้หลี่ฟู่

พิจารณา

หลี่ฟู่เห็นแล้วสีหน้าเปลี่ยนไปดุจกัน นี่เป็นป้ายเอวขององครักษ์อวี้เชวี่ยหน่วยหงส์เพลิง เป็นเครื่องแสดงฐานะเพียงอย่างเดียวของพวกเขา มีค่าเท่ากับชีวิตของพวกเขา หากไม่เพราะสถานการณ์คับขัน ไม่ว่าอย่างไรย่อมไม่มีทางทิ้งไว้แน่ หลี่ฟู่โมโหจนเขวี้ยงหนังสือลงบนพื้น บริภาษว่า

“กำลังที่ส่งมาเพิ่มนำทหารจิ้นเว่ยมาเท่าไร เจ้าคิดจะทิ้งทหารไว้ที่นี่เท่าไร และส่งออกไปค้นหาเท่าไร เจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกมันหนีไปทางไหน”

ลู่สุยเฟิงก้มหน้าพลางตอบ

“ทูลฝ่าบาท ครั้งสุดท้ายที่เห็นคือพวกมันหนีไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้พ่ะย่ะค่ะ หลังจากนั้นก็ไม่แน่ใจแล้ว”

“เฮอะ! พวกไม่เอาไหน!”

หลี่ฟู่ด่าด้วยใบหน้าเขียวคล้ำ เขาแสดงละครฉากใหญ่ขนาดนี้ก็เพราะต้องการถอนเสี้ยนหนามข้างกายออก สุดท้ายกลับเสียแรงเปล่า ถึงขั้นอาจต้อง ‘เสียฮูหยินแล้วยังเสียกำลังทหาร’ (เชิงอรรถ 20) ด้วย

(เชิงอรรถ 20 สำนวนจากวรรณคดีเรื่อง สามก๊ก ใช้เปรียบเปรยถึงคนที่ต้องการเอาเปรียบผู้อื่น สุดท้ายตัวเองกลับต้องเสียหายเป็นสองเท่า ฮูหยินในสำนวนนี้หมายถึง ซุนฮูหยิน น้องสาวของซุนกวน ซึ่งภายหลังแต่งงานเป็นภรรยาคนที่สามของเล่าปี่)

เฉาเหยียนเอ่ยปลอบโยนว่า

“ฝ่าบาทอย่าพิโรธเลย ข้าเชื่อว่าเหยียนจูต้องไล่ตามคนร้ายได้ทันและยื้อตัวมันไว้ได้แน่ ทหารจิ้นเว่ยจะหาพวกมันพบเมื่อไรเป็นเรื่องของเวลาและกำลังคนเท่านั้น ไยฝ่าบาทจึงไม่รับสั่งให้จวนฉยงอ๋องร่วมมือกับฉยงเหลียงทงพั่น (เชิงอรรถ 21) ส่งกำลังหนุนมาให้เล่า พวกเขาคุ้นเคยกับสภาพพื้นที่มากกว่า เชื่อว่าจะต้องบรรลุเป้าหมายโดยไม่ต้องเปลืองแรงมากแน่นอน”

(เชิงอรรถ 21 ทงพั่น เป็นชื่อตำแหน่งขุนนางที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของผู้ว่าการเขต ดูแลเรื่องการขนส่งเสบียง เรือกสวนไร่นา ชลประทาน และการฟ้องคดี มีอำนาจในการตรวจสอบผู้ว่าการเขต)

หลี่ฟู่คิ้วขมวดมุ่นขณะกล่าว

“การเล่นละครว่าถูกปองร้ายครั้งนี้ก็เพื่อดูว่าใครจะส่งข่าวให้ชาวอี๋ และมีใครถือโอกาสนี้วางแผนร้าย แต่หากคนร้ายมีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกเขา มิเท่ากับเปิดโอกาสให้พวกเขาฆ่าคนปิดปากหรือ”

“จวนฉยงอ๋องเกี่ยวพันกับฮองไทเฮาอย่างลึกซึ้ง ต่อให้เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับพวกเขา แค่ปากคำของคนร้ายคนเดียวยังไม่เพียงพอที่จะกำจัดเขาได้ มิสู้พวกเราใช้เหตุการณ์ครั้งนี้ให้เป็นประโยชน์ ถ้าการแสดงออกของพวกเขาผิดปกติ ฮ่องเต้จะได้ถือโอกาสนี้ดูใจพวกเขาให้ถ่องแท้ ตระหนักข้อนี้แล้ว วันหน้าจะได้ขุดรากถอนโคนได้ง่ายๆ เช่นนี้จะไม่ยิ่งปลอดภัยกว่าหรือพ่ะย่ะค่ะ”

หลี่ฟู่พยักหน้าพลางกล่าวว่า

“ยังคงเป็นจื่อซีเจ้าที่คิดการณ์รอบคอบ ลู่สุยเฟิง เจ้ารีบไปจวนฉยงอ๋องถ่ายทอดคำสั่งของเรา”

สั่งการลู่สุยเฟิงแล้ว หลี่ฟู่ย่ำเท้าเดินวนรอบห้อง ในที่สุดก็ตะโกนเสียงดัง

“องครักษ์อวี้เชวี่ยลู่ชิง ออกมาเดี๋ยวนี้”

สิ้นเสียงสั่ง ในห้องมีคนคุกเข่าเพิ่มขึ้นหนึ่งคน เขาสวมชุดแพรสีกรมท่า รูปแบบเหมือนเครื่องแบบหงส์เพลิงทุกประการ เพียงแต่ลวดลายที่ปักบนนั้นมิใช่หงส์เพลิงแต่เป็นนกยูงน้ำเงิน

“เหยียนจูรอบคอบระวัง จะต้องทิ้งสัญลักษณ์เอาไว้แน่ เกรงว่านอกจากองครักษ์อวี้เชวี่ยแล้วคงไม่มีใครแยกแยะได้ เจ้าไปตามเขากับคนร้ายกลับมา”

ลู่ชิงเอ่ยโน้มน้าวว่า

“ฝ่าบาท ยากจะคาดเดาได้ว่าในวังยังมีอันตรายอยู่หรือไม่ มิสู้ข้าส่งองครักษ์อวี้เชวี่ยคนอื่นที่ตามมาด้วย...”

หลี่ฟู่กล่าวขัดเสียงเฉียบ

“นอกจากเหยียนจู ยังมีองครักษ์อวี้เชวี่ยคนอื่นที่เคยเอาชนะเจ้าได้ในงานร้อยสกุณาคืนสู่รังอยู่ที่นี่อีกหรือไม่”

ลู่ชิงเข้าใจความหมายของหลี่ฟู่ ได้แต่ตอบว่า

“ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ”

“งั้นเจ้าไปเถอะ ตอนนี้ เดี๋ยวนี้!”

“น้อมรับพระบัญชา!”

 

ท้องฟ้าสว่างจ้าแล้ว

เฉาเหยียนที่ถูกหลี่ฟู่สั่งให้ไปนอนพักผ่อนบนเตียงสะดุ้งตื่น เห็นหลี่ฟู่ยังคงยืนอยู่ริมหน้าต่างทอดสายตามองออกไป ท่าทางจะไม่ได้หลับทั้งคืน เสียงรายงานขององครักษ์ดังขึ้นนอกประตู

“ทูลฝ่าบาท จับตัวคนร้ายได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ!”

เฉาเหยียนกระโดดลุกขึ้นทันใด เมื่อคืนเขาหลับไปโดยไม่ได้ถอดเสื้อผ้า จัดเสื้อผ้าเล็กน้อยแล้วตะโกนบอก

“เข้ามา”

ประตูเปิดออก เห็นลู่ชิงหิ้วตัวคนที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยโลหิตเข้ามาและโยนลงบนพื้น เพ่งมองให้ดีพบว่าเป็นคนร้ายที่ปลอมตัวเป็นขันที ยามนี้ถูกเชือกมัดไว้จนขยับตัวไม่ได้ คางถูกดึงจนข้อต่อขากรรไกรหลุด ป้องกันไม่ให้เขาฆ่าตัวตาย

หลี่ฟู่กวาดตามองคนร้ายบนพื้นด้วยสายตาเรียบเฉย มองลู่ชิงที่คุกเข่าอยู่ ถามว่า

“เหยียนจูล่ะ”

“ตอนผู้น้อยรุดไปถึง คนร้ายถูกองครักษ์เหยียนจูกับคนของจวนฉยงอ๋องจับกุมแล้ว แต่ดูเหมือนองครักษ์เหยียนจูจะตกหลุมพรางของศัตรูระหว่างทาง ร่างกายมีบาดแผลจากลูกธนู ลูกดอก และแผลถูกกระบี่แทงไม่ต่ำกว่าสามสิบหกจุด ฉยงอ๋องคิดว่าส่งตัวกลับมารักษาที่นี่หนทางยาวไกลเกินไป จึงพาเขากลับจวนอ๋องและส่งพ่อบ้านใหญ่จวนอ๋องตามข้าพาคนร้ายกลับมารายงานก่อน”

เฉาเหยียนได้ยินว่าเหยียนจูบาดเจ็บสาหัส ลมหายใจติดขัดอย่างห้ามไม่อยู่ ทั้งยังรู้สึกว่าลู่ชิงบรรยายเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไป ยิ่งเข้าใจว่าคำกล่าวของเหยียนจูในวันนั้นหาใช่การประชดดูแคลนตัวเองเพียงอย่างเดียว

หลี่ฟู่กล่าวเสียงเย็นว่า

“พาตัวคนร้ายไปสอบสวนที่ศาลยุติธรรม ตราบใดที่ยังไม่คายออกมาว่าใครเป็นคนส่งมันมา ห้ามมิให้มันตายเด็ดขาด เรียกตัวพ่อบ้านใหญ่จวนฉยงอ๋องเข้ามา”

 

เจ็บ เจ็บไปทั้งตัว

เหมือนตายไปแล้วรอบหนึ่ง ร่างกายถูกฉีกกระชากแล้วประกอบเข้าด้วยกันใหม่อีกครั้ง เจ็บปวดเหมือนทั้งเนื้อทั้งตัวจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ทว่าร่างกายกลับอบอุ่น ไม่ต้องลืมตาก็รู้ว่าตัวเองนอนอยู่ในห้องที่หอมอวลและอบอุ่น ใช่แล้ว เป็นเพราะในที่สุดตนก็ยอมจำนน กระดิกหางขอความเห็นใจเหมือนสุนัข ดังนั้นเขาจึงช่วยชีวิตตนกลับมาอีกครั้ง

เหยียนจูลืมตาช้าๆ กลับเห็นใบหน้าที่ไม่คุ้นเคย

“ท่านฟื้นแล้วหรือ”

เด็กรับใช้ถามอย่างดีอกดีใจ

“ท่านอย่าเพิ่งขยับตัวส่งเดช บาดแผลบนร่างกายยังสาหัส ท่านนอนลงก่อน ข้าจะไปเรียนท่านอ๋อง”

กล่าวจบคนผู้นั้นก็วิ่งออกไป

ท่านอ๋อง? ท่านอ๋องที่ไหน หมายถึงไท่จื่อหรือ

อ้อ! ไม่สิ

เหยียนจูเพิ่งนึกขึ้นได้ ที่นี่มิใช่พลับพลาที่ประทับในเจียงหนาน ไท่จื่อผู้นั้นกลายเป็นโอรสสวรรค์ตั้งนานแล้ว ที่นี่คือจวนอ๋อง? เช่นนั้นกลุ่มคนที่ตนพบเจอก่อนจะหมดสติไปในตอนสุดท้ายคงเป็นคนของจวนฉยงอ๋องกระมัง ต้องโทษที่ตัวเองร้อนใจอยากสร้างผลงาน จึงประมาทจนตกหลุมพรางศัตรู เกือบเอาชีวิตไปทิ้งในมือคนร้ายพวกนั้นแล้ว โชคดีที่เหลือผู้รอดชีวิตไว้หนึ่งคน ตอนนี้ไม่รู้ถูกส่งตัวไปให้หลี่ฟู่แล้วหรือยัง

ระหว่างที่เหยียนจูยุ่งง่วนกับการสะสางความคิด ‘ท่านอ๋อง’ ที่คนผู้นั้นกล่าวถึงก็เข้ามา เขาไม่เพียงหยุดยั้งเหยียนจูไม่ให้ทำความเคารพ ยังกุมมือเหยียนจูไว้พลางกล่าวอย่างกระตือรือร้น

“เจ้านอนพักรักษาตัวให้ดีเถอะ ตอนพวกเรารุดไปถึงเห็นเจ้ากำราบคนร้ายคนสุดท้ายได้พอดี กระบวนท่านั้นเยี่ยมยอดงดงามจริงๆ เจ้าเป็นองครักษ์ข้างกายฮ่องเต้กระมัง ความสามารถล้ำเลิศโดยแท้ ไว้เจ้าหายดีแล้วต้องชี้แนะคนในจวนอ๋องหน่อยนะ”

เหยียนจูอดบ่นในใจไม่ได้ เขากำลังต่อสู้โดยมีชีวิตเป็นเดิมพัน แต่ท่านอ๋องน้อยผู้นี้กลับมีท่าทีผ่อนคลายเหมือนกำลังดูปาหี่ริมถนน ทว่าก็ไม่แปลกหรอก ฉยงอ๋องหลี่หงผู้นี้เป็นพระอนุชาองค์เล็กของอดีตฮ่องเต้ อายุยังน้อยกว่าหลี่ฟู่หลายปี ได้ยินว่าไม่เพียงเป็นที่รักใคร่ของอดีตฮ่องเต้ แม้แต่หลี่ฟู่เองสมัยเด็กๆ ยังดูแลเขาสารพัด เนื่องจากเสด็จแม่ของเขาสิ้นพระชนม์และต้องไว้ทุกข์สามปี ดังนั้นจึงไม่เคยเห็นเขาในเมืองปู้ลั่วมาก่อน การบวงสรวงฟ้าครั้งนี้ก็ไม่ได้ให้จวนฉยงอ๋องเข้าร่วมด้วย

คิดเช่นนี้แล้วเหยียนจูอดเหม่อลอยไม่ได้ คิ้วตาของหลี่หงมีส่วนคล้ายคลึงกับหลี่ฟู่ แต่ไม่ทอประกายเย้ายวนและอันตรายเหมือนหลี่ฟู่ กลับเจือความไร้เดียงสาของเด็กหนุ่มอยู่เล็กน้อย เวลาเอ่ยถึงผู้ฝึกยุทธ์ในจวนอ๋องแล้วพูดได้ไม่หยุด เล่าถึงเหตุการณ์ตอนเหยียนจูจับกุมคนร้ายแล้วเลื่อมใสชื่นชมอย่าง

ยิ่ง แทบจะยกน้ำชาคารวะอาจารย์และเรียนรู้วิชาแล้ว

เหยียนจูสะท้อนใจ นี่นับเป็นนิสัยเปิดเผยจริงใจที่หาได้ยากในครอบครัวเชื้อพระวงศ์ที่ต่างคนต่างเต็มไปด้วยอุบาย

“ท่านอ๋องชมเกินไปแล้ว”

เหยียนจูถ่อมตัว ก่อนกล่าวต่อ

“นี่เป็นหน้าที่ของข้าน้อยในฐานะองครักษ์เท่านั้น”

“เฮ้อ ข้าน้งข้าน้อยอะไรกัน”

หลี่หงโบกมือก่อนกล่าวต่อ

“ธรรมเนียมในวังพวกนั้นไม่จำเป็นต้องเอามาใช้ในจวนฉยงอ๋องของข้า พี่น้องเจ้าชื่ออะไร”

เหยียนจูก้มหน้า ปกปิดแววหม่นหมองที่วูบขึ้นในดวงตา

“เหยียนจูพ่ะย่ะค่ะ”

ชื่อจริงของเขา ตราบใดที่คนผู้นั้นไม่มอบคืนให้ เขาก็มิอาจนำมาใช้ได้

หลี่หงอึ้งไปเล็กน้อย ‘เหยียนจู’ ฟังดูไม่เหมือนชื่อที่พ่อแม่จะตั้งให้ลูก ถึงอย่างไรเขาก็เป็นอ๋องคนหนึ่ง รู้จักหน่วยองครักษ์ลับที่มีชื่อว่า อวี้เชวี่ย จึงมิได้ซักไซ้ให้มากความ

ขณะนั้นเอง เด็กรับใช้ที่เมื่อครู่วิ่งไปรายงานหลี่หงก็วิ่งกลับมา

“ทูลท่านอ๋อง หัวหน้าพ่อบ้านกลับมาแล้ว ฮ่องเต้ก็เสด็จมาด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

หลี่หงปรบมือด้วยความยินดี

“ดีเลย! ข้าไม่ได้พบฮ่องเต้หลายปีแล้วเหมือนกัน ครั้งนี้จะได้รำลึกความหลังกันสักหน่อย เหยียนจู เจ้าพักผ่อนต่อเถอะ เจ้าได้รับบาดเจ็บทั้งยังสร้างความดีความชอบ ฮ่องเต้ทรงไม่ตำหนิเจ้าแน่ที่ไม่ออกไปรับเสด็จ”

กล่าวจบก็เดินออกไปด้วยใบหน้าเบิกบาน

เหยียนจูอดหัวเราะมิได้

หลี่ฟู่ภายนอกอ่อนโยน ภายในร้ายกาจ คนข้างกายเขาล้วนรู้ว่าเขาโหดเหี้ยมอันตราย อารมณ์ฉุนเฉียว คงมีแต่เสด็จอาที่ได้รับแต่งตั้งเป็นอ๋องและได้รับพระราชทานที่ดินบรรดาศักดิ์ตั้งแต่เล็กผู้นี้กระมังที่ความทรงจำยังหยุดอยู่ในวัยเยาว์ จึงยินดีต้อนรับเขาจากใจจริง ที่น่าตระหนกก็คือ จวนฉยงอ๋องภายนอกดูเหมือนห่างไกลจากอำนาจ แต่เบื้องหลังกลับเป็นเครื่องมือที่จยาอี้ฮองไทเฮาใช้บังคับควบคุมหลี่ฟู่มาตลอด เสด็จแม่ของหลี่หงที่สิ้นพระชนม์ไปถือกำเนิดจากสกุลจางเหมือนฮองไทเฮา สกุลจางมีจางโม่อัครเสนาบดีเป็นผู้นำ กลุ่มพรรคที่อยู่ใต้การปกครองดูแลของเขาเกี่ยวพันเชื่อมโยงกันอย่างสลับซับซ้อน ภายนอกดูเหมือนเป็นฝ่ายไท่จื่อที่สนับสนุนให้หลี่ฟู่ขึ้นครองราชย์ในอดีต แท้จริงแล้วกลับเป็นคนของฮองไทเฮา หากหลี่ฟู่เสียการควบคุม การแต่งตั้งท่านอ๋องที่บงการได้ง่ายกว่าผู้นี้เป็นฮ่องเต้ย่อมมีความเป็นไปได้สูง

หลี่หงไม่มีอุบายในใจ แต่หลี่ฟู่กลับมากด้วยแผนการ มีดาบเล่มหนึ่งจ่ออยู่ข้างหลังพร้อมแทงตัวเองได้ทุกเมื่อ แม้วัยเยาว์จะคบหากันด้วยความจริงใจ แต่เขาที่บัดนี้กลายเป็นโอรสสวรรค์ไปแล้วจะยังเปิดเผยจริงใจเหมือนก่อนเก่าได้อย่างไร ยามนี้ที่ยอมถูกควบคุมบงการ เป็นเพราะยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น หากโอกาสมาถึงเมื่อไร เขาไม่มีทางใจอ่อนแน่...

ช่างเถิด การแก่งแย่งชิงดีของเชื้อพระวงศ์อย่างพวกเขา ใช่เรื่องที่ข้ารับใช้ที่แม้แต่ชื่อแซ่ยังถูกยึดไปอย่างตนควรกังวลใจเสียที่ไหน

“คิดว่าเจ้าหลับไปแล้วเสียอีก ลืมตาเหม่อลอยถึงเรื่องอะไรอยู่”

น้ำเสียงคุ้นเคยขัดจังหวะความคิดสับสนว้าวุ่นของเหยียนจู

เหยียนจูตกใจ กำลังจะลุกขึ้นถวายบังคม กลับถูกหลี่ฟู่กดให้นอนลง

“นอนเถอะ เสด็จอากล่าวย้ำหลายครั้งว่าเจ้าบาดเจ็บสาหัส บอกเราว่าอย่าตำหนิเจ้าที่ไร้มารยาท เจ้ามีความสามารถโดยแท้ เวลาสั้นๆ ก็ทำให้ฉยงอ๋องเป็นห่วงเป็นใยได้ถึงเพียงนี้”

หลี่ฟู่กล่าวด้วยรอยยิ้มจางๆ ไม่รู้ว่าเจตนาดีหรือร้ายกันแน่

เหยียนจูรู้สึกว่าคำกล่าวนั้นเหมือนแฝงนัย แต่ก็เหมือนกล่าวไปอย่างนั้นเอง ชั่วขณะหนึ่งที่ไม่รู้จะตอบโต้อย่างไร เหลือบมองไปข้างหลังหลี่ฟู่ เห็นไม่มีคนอื่นอยู่ ประตูก็ปิดลงแล้ว คิดว่าหลี่ฟู่คงมีเรื่องจะซักไซ้ตนแน่ จึงเอ่ยถามว่า

“ฝ่าบาท คนร้ายรับสารภาพแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ”

“เราสั่งให้ศาลยุติธรรมหั่นเขาเป็นสามสิบหกชิ้น เริ่มจากนิ้วมือ เจ้าทายซิว่าถึงชิ้นส่วนใดเขาจึงสารภาพ”

เหยียนจูสะดุ้งในใจ หลบเลี่ยงไม่ตอบ เปลี่ยนมาถามแทนว่า

“เขาสารภาพชื่อใครพ่ะย่ะค่ะ”

หลี่ฟู่ใบหน้าขรึมลง กล่าวอย่างไม่พอใจเล็กน้อย

“เขาบอกชื่อ หลงเผิงเฟย พูดไปก็แปลก เมื่อครู่เราเพิ่งจะได้รับชื่อนี้ เขาก็ฆ่าตัวตายเสียแล้ว ยังทิ้งหนังสือสารภาพว่าสมคบกับชาวอี๋ แบกรับความผิดทั้งหมดไว้คนเดียว ไม่เกี่ยวข้องกับเป่ยโยวเจี๋ยตู้สื่อ (เชิงอรรถ 22) แม้แต่น้อย”

(เชิงอรรถ 22 ชื่อตำแหน่งขุนนางทหารระดับสูง)

หลงเผิงเฟยเป็นขุนศึกรักษาการณ์ชายแดนเป่ยโยวคนหนึ่ง แม้จะเป็นบุคคลที่ไม่สลักสำคัญ แต่แน่นอนว่าหลี่ฟู่ย่อมหวังว่าชื่อนั้นจะเป็นลูกศิษย์ของจางโม่

“ฝ่าบาททรงปกปิดพระประสงค์มาหลายปี ยามนี้มิจำเป็นต้องรีบร้อน แม้จะไม่มีหลักฐานแสดงชัดว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอวี๋เฉิงจือ แต่ถึงอย่างไรก็เกิดเรื่องกับขุนศึกคนสำคัญของเขา ความผิดฐานปกครองลูกน้องไม่ดีเขาย่อมสลัดไม่หลุดแน่ ต่อให้ถูกโยกย้ายตำแหน่งก็มิอาจบ่นว่าอะไรได้ อีกทั้งเหตุการณ์ครั้งนี้จะทำให้จางโม่สำรวมขึ้นด้วย ตอนนี้ฝ่าบาทย่อมจัดการเรื่องต่างๆ ได้ราบรื่นกว่าเดิมมาก”

หลี่ฟู่หัวเราะฮ่าๆ นิ้วมือขาวเนียนดุจหยกที่เห็นข้อนิ้วชัดเจนลูบไล้ใบหน้าเหยียนจู

“ไม่เสียทีที่เราเลี้ยงดูเจ้ามานานขนาดนี้ เฉลียวฉลาดและรู้ใจเรามากขึ้นทุกวัน ถูกต้อง เราตั้งใจว่าจะรุดกลับเมืองปู้ลั่วเพื่อผลักดันนโยบายปกครองแบบใหม่”

เหยียนจูถูกอีกฝ่ายลูบไล้จนขนลุก แต่ไม่กล้าหลบเลี่ยง ได้แต่ปล่อยให้เขาทำตามอำเภอใจ

“ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะฝ่าบาททรงชี้แนะมาดีพ่ะย่ะค่ะ”

หลี่ฟู่บีบหน้าเขาพลางกล่าว

“ความเจ้าเล่ห์เพทุบายของเจ้ามีมาแต่กำเนิด เราแค่ชี้แนะในสิ่งที่เจ้ามีอยู่แล้วเท่านั้น เฮ้อ หลังจากนี้ไปคงไม่ได้พบเจ้าพักหนึ่ง เราจะต้องเหงาแน่ๆ”

แม้จะเปรยเช่นนี้ แต่ดวงตากลับไม่เห็นแววเหงาหงอยแม้แต่น้อย ถ้อยคำเหล่านี้เหมือนแฝงความนัยบางประการ

เหยียนจูกะพริบตาพลางถาม

“ความหมายของฝ่าบาทคือ?”

“เจ้าบาดเจ็บเช่นนี้จะออกเดินทางได้อย่างไร หายากที่เสด็จอาชื่นชอบเจ้า เจ้าพักฟื้นในจวนฉยงอ๋องให้หายดีก่อนค่อยกลับเมืองหลวงเถอะ ถือโอกาสนี้ดูแลเขาแทนเราด้วย”

ดูเอาเถอะ ดูเอาเถอะ บอกแล้วว่าหลี่ฟู่หาได้ไร้อุบายเหมือนหลี่หง ถือโอกาสนี้ ‘ผลักเรือตามน้ำ’ (เชิงอรรถ 23) ให้ตนตรวจสอบฉยงอ๋องแทนเขาเสียแล้ว

(เชิงอรรถ 23 หมายถึงกล่าววาจาหรือกระทำการใดไปตามสถานการณ์ในตอนนั้น)

หลี่ฟู่หยิบป้ายทองอันหนึ่งออกจากอกเสื้อ เป็นป้ายเอวหงส์เพลิงที่เปื้อนเลือดอันนั้น ตอนนี้มันถูกล้างทำความสะอาดแล้ว เขาวางป้ายเอวลงบนมือเหยียนจูที่อยู่ใต้ผ้าห่ม

“จับกุมคนร้ายได้ครั้งนี้ เจ้ามีความดีความชอบใหญ่หลวง กลับเมืองปู้ลั่วแล้วนำป้ายเอวอันนี้ไปทวงรางวัลจากเราก็แล้วกัน”

เหยียนจูปีติยินดี เขาทุ่มชีวิตถึงเพียงนี้เพื่อจับกุมคนร้าย มิใช่เพราะต้องการสร้างความดีความชอบหรอกหรือ ฟ้าเท่านั้นที่รู้ว่าหลายปีมานี้เขาลอบภาวนาขอให้มีคนร้ายมากี่ครั้งกี่หนแล้ว ในที่สุดครั้งนี้ก็สมปรารถนาเสียที

หลายปีมานี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเอ่ยถ้อยคำนี้ด้วยความจริงใจ

“ขอบพระทัยฝ่าบาท!”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น