บทที่ ๔


 ตัดสินใจ

 “ถ้าคุณตกลง คุณจะต้องแต่งงานกับผม แล้วย้ายมาอยู่ด้วยกัน”
                 “ฮะ!!?”
                 จิรณัฐผุดลุกขึ้นยืน แทบจะหักงวงไอยราใส่อีกฝ่ายที่พูดจาไม่เข้าหู นี่เขากำลังเล่นตลกอะไรถึงมาพูดล้อเล่นกับเธอแบบนี้
                 “คุณจะบ้าเหรอ! ทำไมฉันต้องแต่งงานกับคุณด้วย”
                 “งานที่คุณต้องทำเสี่ยงมากนะครับ ผมจะรู้ได้ยังไงว่าคุณจะไม่หักหลังผม การแต่งงานจะช่วยให้ผมจับตาดูคุณได้”
                 “คุณเห็นฉันเป็นนักโทษหรือไง แล้วฉันจะได้อะไรจากการหักหลังคุณมิทราบ”
                 “ใครจะไปรู้ อาจจะมีใครบางคนเสนออย่างอื่นให้คุณมากกว่าที่ผมให้ก็ได้ บ้านพร้อมที่ดิน ทรัพย์สินเงินทอง หรือตำแหน่งใหญ่โตเพื่อไม่ให้คุณมาแตะต้องคดีนี้”
                 “ฉันคงเป็นคนเลวในสายตาคุณมากเลยสินะ”
                 “ผมก็แค่ป้องกันไว้ก่อน คนที่เคยทำคดีนี้ล้วนโดนกำจัดไปแล้ว คุณเองก็น่าจะรู้ดี”
                 หญิงสาวเถียงไม่ออกเพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายพูดถูก เพียงแต่การแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ จะให้ตกลงง่ายๆ เหมือนทำบุญผ้าป่าก็ใช่ที่ นี่มันชีวิตเธอทั้งชีวิตเลยนะ อยู่ดีๆ จะให้มาแต่งงานกับไอ้หน้าจืดที่ไหนก็ไม่รู้ได้ยังไง
                 “ผมตามสืบคดีนี้มานาน รู้ดีว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลหลายอย่าง ไม่มีอะไรรับประกันว่าคุณจะปลอดภัยหากพวกเรารื้อคดีนี้ขึ้นมาอีกครั้ง แต่ถ้าได้อยู่ด้วยกัน นอกจากผมจะได้จับตาดูคุณแล้ว ก็จะช่วยปกป้องคุณด้วย”
                 “คุณเนี่ยอะนะจะปกป้องฉัน สภาพแบบนี้แค่ตีกับเด็กอนุบาลยังแพ้เลยมั้ง”
                 ร่างบางส่ายหัวอย่างอ่อนอกอ่อนใจจนคนออกตัวแรงแทบล้มทั้งยืน อะไรคือการที่เธอถอนหายใจด้วยท่าทางหมดอาลัยตายอยากแบบนั้น เห็นแบบนี้เขาเคยเป็นนักกีฬาบาสเกตบอลตัวแทนคณะมาก่อนนะ ถึงจะแพ้ทุกนัดที่ลงแข่งก็เถอะ
                “จริงๆ แล้วผมแข็งแรงมากนะ อยากดูซิกซ์แพ็กผมไหม เดี๋ยวเปิดให้ดู”
                 จิรณัฐนึกอยากหาอะไรยัดปากอีกฝ่ายที่ชักจะปัญญาอ่อนขึ้นไปทุกที เป็นบ้าอะไรถึงจะมาถกเสื้อให้เธอดูดึกๆ ดื่นๆ ไม่รู้ว่าเขาเป็นประธานบริษัทหรือไอ้โรคจิตกันแน่
                 “ว่ายังไงคุณ จะยอมรับข้อเสนอนี้ไหม”
                 “นี่มันเรื่องใหญ่นะคุณ จะให้ตอบตกลงง่ายๆ เลยได้ยังไง ขอเวลาฉันคิดหน่อยสิ”
                 “ผมให้เวลาคุณคิดแค่สามวัน ถ้าคุณยังถ่วงเวลาต่อไปเรื่อยๆ ผมจะเพิ่มค่าเสียหายวันละล้าน”
                 “หน้าเลือดจริงๆ”
                 “มาว่าผมได้ยังไง คนที่ทำผิดคือน้องชายคุณนะครับ อยู่ดีๆ ก็มาแฮกเซิร์ฟเวอร์บริษัทคนอื่น”
                 จิรณัฐเม้มริมฝีปาก เถียงอะไรออกไปไม่ได้เพราะอีกฝ่ายพูดความจริงทั้งนั้น ถึงจะโกรธน้องชาย แต่เธอก็ไม่ได้นิ่งนอนใจขนาดจะปล่อยให้มันกลายเป็นอาชญากรที่ต้องนอนเฝ้าคุก
                 “เอาเป็นว่าอีกสามวันฉันจะให้คำตอบคุณ ถึงตอนนั้นก็อย่าเพิ่งทำอะไรล่ะ”
                 “ไม่ต้องห่วง ผมเป็นคนพูดคำไหนคำนั้น”
                 
                ร่างบางนอนมองเพดานสีขาวสะอาดที่อยู่เบื้องหน้า ขณะที่เรื่องราวมากมายหลั่งไหลเข้ามาในหัว ตั้งแต่เกิดมาจนอายุจะขึ้นเลขสาม จิรณัฐคิดว่านี่เป็นหนึ่งในการตัดสินใจที่ยากที่สุดในชีวิตของตัวเอง
                 ‘ถ้าคุณยอมช่วยผมสืบหาความจริงเรื่องคดีของภา ผมจะไม่แจ้งความ แล้วก็จะยกหนี้สิบล้านนี้ให้ด้วย’
                 ‘ถ้าคุณตกลง คุณจะต้องแต่งงานกับผม แล้วย้ายมาอยู่ด้วยกัน’
                 หญิงสาวสูดลมหายใจลึกก่อนจะยอมกระเด้งขึ้นจากเตียงนอน แล้วลุกไปอาบน้ำแต่งตัว วันนี้ครบกำหนดสามวันที่เธอต้องให้คำตอบแก่ณัฐวีร์ และเธอจะต้องไปพบกับเขาหลังเลิกงานตามโลเกชันที่ชายหนุ่มส่งมาให้
                 “จีจะไปทำงานแล้วเหรอ”
                 “อือ พี่อุ่นกับข้าวให้แกแล้ว อย่าลืมกินด้วยล่ะ เลิกเรียนก็รีบกลับบ้าน ห้ามไปเถลไถลที่ไหน เข้าใจไหม”
                 “จี...” 
                 จิรเมธเบะปากราวกับจะร้องไห้ บอกตามตรงว่าจิรณัฐไม่รู้สึกว่าตัวเองมีน้องชายที่กำลังจะบรรลุนิติภาวะเลยสักนิด ไอ้เด็กเวรนี่เหมือนเด็กสามขวบที่พร้อมจะร้องหาของเล่นตลอดเวลา 
                 “ทำไมจีแสนดีแบบนี้ เจจะร้องไห้แล้วนะ”
                 “โตเป็นควายแล้วยังงอแงเป็นเด็กๆ แกคิดว่าตัวเองเป็นทารกเพิ่งคลอดหรือไง”
                 “ทำไมจีต้องว่าเจด้วยอะ เจก็แค่ซาบซึ้งใจในสิ่งที่จีทำให้แค่นั้นเอง”
                 “ถ้าแกซึ้งใจขนาดนั้นก็ช่วยทำเรื่องดีๆ บ้างเถอะ ดีแต่หาเรื่องใส่ตัวอยู่ได้ ฉันเครียดจนผมหงอกเต็มหัวแล้ว แกเห็นไหมเนี่ย”
                 จิรเมธหัวเราะร่วนก่อนจะเดินมาสวมกอดพี่สาวอย่างอ้อนๆ หลังจากที่พ่อกับแม่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตตั้งแต่ที่เขาอายุแค่แปดขวบ จิรณัฐก็กลายมาเป็นคนดูแลเขา ตอนนั้นเธออายุแค่สิบเจ็ดและกำลังจะเรียนจบชั้นมัธยมปลาย คนเป็นพี่ขอให้ป้ายอมรับเป็นผู้ปกครองให้เขาจนกว่าเธอจะบรรลุนิติภาวะ หลังจากนั้นหญิงสาวก็ตัดสินใจสอบเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยในประเทศไทยและสละสิทธิ์ทุนที่จะได้ไปเรียนต่อต่างประเทศ
                 พี่ยอมทิ้งโอกาสของตัวเองเพื่อปกป้องเขา...
                 ถ้าไม่มีจิรณัฐ จิรเมธก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะเติบโตมาอย่างดีแบบนี้ไหม
                 “เลิกอ้อนแล้วรีบไปกินข้าวได้แล้ว น่ารำคาญจริงๆ ไอ้เด็กนี่”
                 แม้จะโดนบ่นจนหูชาแทบจะตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน แต่จิรเมธรู้ดีว่า เธอแค่แกล้งพูดไปอย่างนั้นเพราะไม่ชอบเปิดเผยความรู้สึกของตัวเอง จริงๆ แล้ว พี่สาวรักและเป็นห่วงเขายิ่งกว่าใครในโลก
                 และเขาก็รักเธอมากที่สุดในโลกเช่นเดียวกัน...
                 
                “ตอนนี้ผู้ต้องสงสัยหลักคือนายปรัชญา ลูกชายของคุณปราบและคุณราณี เพื่อนบ้านของผู้ตายครับ” พีระพูดพลางส่งชุดหมีมาให้พวกเธอ “ภาพจากกล้องหน้ารถที่จอดอยู่ใกล้ๆ บันทึกภาพของเขาตอนเอาอะไรบางอย่างมาทิ้งไว้ที่คูท้ายหมู่บ้าน ซึ่งเราคาดว่านั่นคืออาวุธสังหารครับ...”
                 ดวงตาของจิรณัฐจับจ้องไปที่คูน้ำเบื้องหน้า ทว่าคำพูดของพีระไม่ได้เข้าไปในหัวของเธอแม้แต่น้อย ภาพใบหน้าเย็นชาของใครบางคนยังฉายชัดอยู่ในหัว เช่นเดียวกับคำพูดของเขาที่สะกิดใจเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า
                ‘นักศึกษาหญิงคนนั้นคือน้องสาวแท้ๆ ของผม’
             
‘คุณน่าจะรู้ดีที่สุดว่าความจริงคืออะไร’
                 ‘คุณกล้าเรียกตัวเองว่านักนิติวิทยาศาสตร์ได้ยังไง ในเมื่อคุณปล่อยให้ฆาตกรตัวจริงลอยนวลอยู่แบบนี้ ตอนนี้คนผิดยังไม่ได้ชดใช้กรรมเลยด้วยซ้ำ’
                 แล้วยังไงล่ะ...
                 ตอนนั้นเธอจะทำอะไรได้ เธอเป็นแค่นักศึกษาปริญญาโทที่อาจารย์ขอให้มาช่วยงานเท่านั้น ไม่มีแม้แต่ชื่อของเธอในรายงานสรุปคดีด้วยซ้ำ
                 ทำไมเขาต้องพูดจาแย่ๆ แบบนั้นกับเธอด้วย
                 แล้วยังข้อเสนอบ้าๆ นั่นอีก!
                 ‘ถ้าคุณยอมช่วยสืบหาความจริงเรื่องคดีของภา ผมจะไม่แจ้งความ แล้วก็จะยกหนี้สิบล้านนี้ให้ด้วยนอกจากนี้ ผมก็จะให้เงินคุณเพิ่มอีกยี่สิบล้าน เป็นค่าจ้างที่คุณช่วยตามหาหลักฐานมาพิสูจน์ความจริง’
                 ‘ถ้าคุณตกลง คุณจะต้องแต่งงานกับผม แล้วย้ายมาอยู่ด้วยกัน’
                 “ไอ้บ้าเอ๊ย!!”
                 “ครับ?”
                 พีระที่กำลังพูดอยู่ถึงกับชะงักเมื่อได้ยินคำด่าของจิรณัฐ หน้าตาเหยเกเพราะตกใจที่ถูกหญิงสาวสบถใส่ ขณะที่ทุกคนหันไปมองที่เธอเป็นจุดเดียว
                 “เอ่อ...คนร้ายนี่มันบ้ามากเลย โหดเหี้ยมเกินมนุษย์มนาจริงๆ” เจ้าของร่างบางพูดตะกุกตะกักพลางชี้นกชี้ไม้ไปเรื่อย “ต้องจับเข้าคุกให้สาสมกับความเลวของมัน ไอ้คนสารเลว!”
                 “นั่นสิ จิตใจต้องเลวระยำขนาดไหนถึงทำร้ายได้กระทั่งแม่ของเพื่อน ทุเรศที่สุด!”
                 จิรณัฐยิ้มเจื่อนให้อธิปอย่างขอบคุณที่เห็นด้วยกับเธอ ก่อนที่ภูริจะถามต่อ
                 “ว่าแต่ทำไมแกถึงคิดว่าโล่คืออาวุธสังหารเหรอไอ้จี แถมยังคิดว่าปรัชญาเอามาทิ้งไว้ที่นี่อีก”
                 “ปรัชญาเพิ่งกลับมาจากงานรับรางวัลที่พังงาใช่ไหมล่ะคะ แต่ในบ้านของเขากลับไม่มีโล่รางวัลนี้วางโชว์ไว้เลย ซึ่งถ้าดูจากนิสัยแล้ว เขาน่าจะรีบเอามาอวดแน่ๆ” หญิงสาวอธิบายพร้อมกับสวมถุงมือไปด้วย “แถมหลังเกิดเหตุ เขาไม่ได้ออกนอกหมู่บ้าน มีแค่ไปวิ่งออกกำลังกายเท่านั้น ดังนั้นสถานที่ทำลายหลักฐานที่เหมาะที่สุดก็ต้องเป็นที่ที่เขาคุ้นเคยที่สุดนั่นเอง”
                 พีระ อธิป และภูริพยักหน้าตามอย่างเข้าใจ ไม่แปลกใจเลยที่ใครๆ ก็พากันเรียกจิรณัฐว่าแม่มดแห่งโอเอฟเอส เธอวิเคราะห์ข้อมูลจากหลักฐานที่ได้มา แล้วนำมาเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ต่างๆ ได้อย่างชัดเจน
                 “นอกจากนี้ ตัวอย่างโล่รางวัลจากงานที่นายปรัชญาได้รับในปีก่อนๆ ก็ทำมาจากเมทิลเมทาคริเลต ซึ่งเป็นสารเดียวกันกับที่พบที่แผลของผู้ตาย จีก็เลยคิดว่าโล่ที่ได้ในปีนี้ก็น่าจะทำมาจากวัสดุเดียวกัน และมันน่าจะเป็นอาวุธสังหารค่ะ”
                 “สมกับเป็นไอ้จีจริงๆ”
                 สามหนุ่มพากันปรบมืออย่างทึ่งจัด ขณะที่จิรณัฐแกล้งค้อมหัวน้อยๆ ด้วยจริตของเทเลอร์ สวิฟต์ตอนรับรางวัลงานแกรมมี่ ก่อนที่ทั้งสามคนจะสูดลมหายใจลึก แล้วพากันก้าวลงไปในคูน้ำเพื่อช่วยเจ้าหน้าที่คนอื่นหาอาวุธสังหาร ปฏิบัติการค้นหาวัตถุพยานชิ้นสำคัญของทีมนิติวิทยาศาสตร์ดำเนินไปราวสองชั่วโมง จนในที่สุดอธิปก็พบสิ่งที่พวกเธอตามหา
                 “เจอแล้วครับ! เจอแล้ว!”
                 ภูริและจิรณัฐรีบวิ่งเข้าไปหารุ่นน้องในทันที ก่อนจะพากันตะโกนเฮเมื่อเห็นว่าในมือของอีกฝ่ายคือโล่รางวัลจากงานประกวดพันธุ์ไม้ดอกประจำปีนี้จริงๆ ทั้งสามคนมองหน้ากันไปมาพร้อมกับแย้มรอยยิ้มพราย เพราะรู้ดีว่าความจริงของคดีนี้ใกล้จะเปิดเผยแล้ว 
                 “เป็นอย่างที่แกว่าจริงๆ ด้วยไอ้จี”
                 “เรายังมั่นใจไม่ได้หรอกค่ะ คงต้องนำไปตรวจสอบอีกที” ร่างบางตอบภูริ พร้อมกับมองโล่รางวัลที่คาดว่าเป็นอาวุธสังหารด้วยสายตามาดมั่น “รับรองว่าคราวนี้ ไอ้หมอนั่นดิ้นไม่หลุดแน่”
 
                จิรณัฐมองบ้านเดี่ยวหลังใหญ่ที่ดัดแปลงเป็นโฮมออฟฟิศเบื้องหน้าอย่างพิจารณา ไม่คิดว่าสถานที่ที่ณัฐวีร์นัดพบเธอจะเป็นบริษัทของเขาที่ตั้งอยู่ย่านชานเมืองแบบนี้
                 หญิงสาวสูดลมหายใจลึก ก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปหาพนักงานประชาสัมพันธ์ หลังจากแจ้งว่าเธอมาพบประธานบริษัทที่ชื่อณัฐวีร์ อีกฝ่ายก็ยิ้มหวานให้ราวกับรู้อยู่ก่อนแล้วว่าเธอจะมา แล้วพาเดินเข้าไปด้านใน 
                 การตกแต่งภายในของซีเอเอ็นเทคโนโลยีทำให้จิรณัฐเลิกคิ้วน้อยๆ เพราะไม่คิดว่าบริษัทไอทีชั้นนำจะมีบรรยากาศที่ผ่อนคลายแบบนี้ ทั้งห้องดูหนังขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านซ้าย ลานตรงกลางที่ดัดแปลงเป็นสวนหย่อมสำหรับนั่งพักผ่อน มุมออกกำลังกายที่มีเครื่องเล่นแทบจะทุกประเภท แล้วยังห้องครัวที่มีขนมนมเนยหลากหลายชนิดวางอยู่บนชั้นอีก
                 นี่แทบจะไม่ใช่บริษัทแล้ว นี่มันห้างสรรพสินค้าชัดๆ 
                 “คุณวีรออยู่ในห้องแล้วค่ะ เชิญเข้าไปได้เลย”
                 จิรณัฐขอบคุณอีกฝ่ายก่อนจะมองประตูเบื้องหน้าขณะที่หัวใจเต้นระรัว แม้จะรู้อยู่แล้วว่าใครที่กำลังรออยู่อีกฟาก ทว่าก็อดหวั่นใจไม่ได้อยู่ดี หญิงสาวสูดลมหายใจลึกก่อนจะตัดสินใจเคาะประตู 
                 “เชิญครับ”
                 ร่างบางหมุนลูกบิดแล้วก้าวเข้าไปข้างใน ก่อนจะเห็นว่าเจ้าของห้องกำลังยืนล้วงกระเป๋า พลางมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยมาดประธานบริษัทเหมือนในซีรีส์เรื่องดังที่เธอชอบดู
                 “มาแล้วเหรอ...”
                 จิรณัฐพยักหน้านิดๆ ก่อนจะมองไปรอบๆ ทั้งๆ ที่กำลังจะพูดคุยเรื่องสำคัญกับเจ้าของห้องแท้ๆ แต่ความรู้สึกตื่นเต้นก็เบาบางลงไปเมื่อเห็นห้องทำงานของอีกฝ่าย ด้านซ้ายของห้องมีจอขนาดใหญ่พร้อมกับอุปกรณ์เล่นเกมครบเซต ขณะที่ฝั่งขวามีเปลชายหาด ต้นมะพร้าวปลอมและห่วงยางเป็ด แถมมีจอทีวีที่เปิดภาพวิวทะเลเอาไว้ด้วย
                 อารมณ์ว่านั่งทำงานโง่ๆ อยู่ริมทะเลว่างั้นเถอะ
                 “หวังว่าคุณจะมีคำตอบดีๆ ให้ผมนะครับ”
                 หญิงสาวเบือนหน้ากลับไปมองคนที่ก้าวมาหยุดตรงหน้า รอยยิ้มยียวนที่อีกฝ่ายส่งมาให้ทำให้หญิงสาวทำเสียงฮึดฮัดในลำคออย่างขัดใจ ก่อนจะหมุนตัวเดินไปทรุดลงนั่งที่โซฟารับแขกตามการผายมือของเขา
                 “ผมให้ทีมกฎหมายช่วยร่างสัญญามาให้แล้ว คุณลองอ่านดูก่อนตัดสินใจก็ได้นะ”
                 “ฉันมีข้อแม้เพิ่มเติมค่ะถ้าคุณตกลง ฉันถึงจะยอมเซ็นสัญญานี่”
                 เป็นคำตอบที่ทำให้ร่างสูงเลิกคิ้วน้อยๆ ก่อนจะยกมือกอดอกแล้วมองเธออย่างหยั่งเชิง
                 “ว่ามาเลยครับ”
                 “ข้อแรก ฉันจะแต่งงานและย้ายไปอยู่บ้านเดียวกับคุณ แต่จะไม่มีการจดทะเบียนสมรส”
                 “ได้”
                 “ข้อสอง เราต้องแยกห้องนอนกัน คุณห้ามแตะเนื้อต้องตัวฉันเป็นอันขาด”
                 “แต่ถ้าคุณยอม ก็ไม่เป็นไรใช่ไหม”
                 “นี่คุณ!” 
                 หญิงสาวจ้องสีหน้ายียวนของอีกฝ่ายอย่างไม่พอใจ ทว่าชายหนุ่มกลับยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดี ราวกับชอบใจที่ยั่วโมโหเธอได้
                 “เรากำลังจะเป็นสามีภรรยากันนะครับ ต้องอยู่บ้านเดียวกัน ทำอะไรหลายๆ อย่างด้วยกัน ยังไงก็มีโอกาสสัมผัสกันอยู่แล้ว”
                 “พูดบ้าอะไรของคุณ”
                 “ก็มันจริงนี่นา เราไม่ใช่พระกับสีกาสักหน่อยที่จะโดนตัวกันไม่ได้น่ะ”
                 “ฉันว่าเราคงคุยกันไม่รู้เรื่องแล้ว” ร่างบางพูดพลางผุดลุกขึ้นยืน ตั้งท่าจะเดินหนีออกจากห้อง ทว่าข้อมือเล็กกลับถูกอีกฝ่ายคว้าเอาไว้
                 “เดี๋ยวสิ...”
                 “ปล่อยนะ!” จิรณัฐสะบัดแขนพลางก้าวหนีจากอีกฝ่าย ทว่าชายหนุ่มกลับผุดลุกขึ้นยืนแล้วรั้งแขนเล็กไม่ให้ขยับไปไหน เพราะเห็นว่าเธอกำลังจะเหยียบกองน้ำบนพื้นที่ก่อนหน้านี้เขาเผลอทำหกไว้
                 “คุณอย่าเพิ่งเดินไปทางนั้น เดี๋ยวผมให้แม่บ้านมาเช็ด...”
                 ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะอธิบายจบ จิรณัฐก็สะบัดมือเต็มแรงแล้วก้าวถอยห่างจากเขา ก่อนจะเหยียบกองน้ำที่ว่าเข้าจริงๆ        
                 “เหวอ!!”
                 “ระวัง!”
                 มือหนารั้งเอวบางเข้าหาตัว เมื่อณัฐวีร์เห็นว่าอีกฝ่ายเสียหลักทำท่าจะล้มลง ชายหนุ่มคาดการณ์ไว้แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ เพราะเห็นจากลักษณะรองเท้าของเธอที่ดูจะลื่นล้มได้ง่าย ขณะที่หญิงสาวเองก็กอดคออีกฝ่ายแน่นก่อนจะพากันเซลงไปนั่งบนโซฟา
                 “โอ๊ย!”
                 ณัฐวีร์ชะงักเมื่อเห็นว่าคนที่เพิ่งล้มลงมานั่งบนตักของเขากำลังหลับตาปี๋ แถมยังเอาหัวซุกกับอกของเขาอย่างหวาดกลัว ท่าทางออดอ้อนราวกับเด็กน้อยของคนในอ้อมแขนทำให้รอยยิ้มสวยปรากฏบนใบหน้าคมคายอย่างนึกเอ็นดู
                 “ดูสิ ขนาดยังไม่ได้แต่งงานกัน คุณยังแตะเนื้อต้องตัวผมแล้วเลย”
                 เสียงกระซิบที่ได้ยินข้างหูทำให้จิรณัฐลืมตาขึ้น ก่อนจะเห็นว่าตัวเองกำลังซุกอยู่ในอ้อมกอดของเจ้าของห้อง ร่างบางรีบผุดลุกขึ้นยืนจากตักของอีกฝ่าย แล้วเดินกลับไปนั่งกอดอกตรงข้ามเขาตามเดิม
                 “ฉัน...ไม่ได้ตั้งใจสักหน่อย มันเป็นอุบัติเหตุหรอก”
                 “ครับๆ อุบัติเหตุก็อุบัติเหตุ”
                 “ว่าแต่ตะกี้เราคุยกันถึงไหนแล้วนะ”
                 “คุณบอกว่า เราจะแต่งงานกันโดยไม่จดทะเบียนสมรส ต้องแยกห้องนอนกัน ผมห้ามแตะเนื้อต้องตัวคุณเป็นอันขาด เอาเป็นว่าตกลงครับ ผมจะทำตามเงื่อนไขของคุณ”
                 จิรณัฐพยักหน้าโดยที่ยังมองอีกฝ่ายตาขวาง กำลังคุยเรื่องสำคัญอยู่แท้ๆ ไม่รู้จะยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อะไรนักหนา
                 “ข้อสาม...”
                 “ยังมีอีกเหรอ”
                 “หลังจากที่คดีของน้องสาวคุณคลี่คลายแล้ว เราต้องแยกทางกัน และคุณต้องไม่ติดต่อฉันอีก ทำเหมือนว่าเราไม่เคยรู้จักกันเลยก็ยิ่งดี”
                 “แล้วถ้าผมไม่ยอม...”
                 “ฉันก็จะไม่เซ็นสัญญานี่ แล้วก็หาเงินมาคืนคุณ แต่ถ้าหาไม่ได้ ฉันก็จะปล่อยให้น้องเข้าคุกไปสำนึกผิดในนั้นเอา”
                 ณัฐวีร์มองแววตาจริงจังของอีกฝ่ายอย่างพิจารณา เขารู้ดีว่า ดร. จิรณัฐ รัตนเรืองรองเป็นคนมุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยว เธอคือจิกซอว์ตัวสำคัญที่จะช่วยเขาตามหาความจริงในคดีของณัฐวิภา และการที่หญิงสาวพูดออกมาแบบนี้ แสดงว่าเธอคิดมาดีแล้ว ไม่ได้แกล้งขู่ให้เขากลัวเล่นอย่างแน่นอน
                 “ว่ายังไง ตกลงหรือเปล่า”
                 “ได้ครับ ไม่มีปัญหา”
                 จิรณัฐพยักหน้าก่อนจะหยิบเอกสารที่ตัวเองเตรียมมายื่นให้ชายหนุ่ม แล้วจึงรับสัญญาจากมืออีกฝ่ายมาจรดปากกาลงไปบ้าง ทั้งคู่สับเปลี่ยนแลกเอกสารกัน จนเมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวก็ลุกขึ้นยืน
                 “เอาเป็นว่าตกลงตามนี้ ในเมื่อเสร็จธุระแล้ว งั้นฉันขอตัวกลับเลยละกัน”
                 “เดี๋ยวสิคุณ แล้วเรื่องงานแต่งล่ะ คุณกับผมต้องไปลองชุดแต่งงาน ไหนจะต้องนัดคุยกับญาติผู้ใหญ่ของคุณเพื่อสู่ขอ แล้วก็ตกลงค่าสินสอดอีก”
                 “สินสอดอะไรฉันไม่เอา พ่อแม่ฉันเสียหมดแล้ว ไม่จำเป็นต้องสู่ขอหรอก”
                 เป็นคำตอบที่ทำให้ณัฐวีร์ชะงัก ถึงจะรู้ประวัติครอบครัวของจิรณัฐมาบ้าง แต่ก็ไม่คิดว่าเธอจะตอบตัดบทแบบนี้ ดูเหมือนว่าที่ภรรยาของเขาจะไม่แยแสกับการแต่งงานนี้เลยจริงๆ 
                 “แต่เราต้องไปถ่ายพรีเวดดิง เลือกการ์ด หาสถานที่จัดงาน กำหนดแขกอีกนะ มีอะไรอีกหลายอย่างที่ต้องช่วยกันเตรียม”
                 “คุณก็จัดการไปสิ คุณเป็นคนอยากแต่งเองนี่นา ฉันไม่ได้อยากแต่งด้วยสักหน่อย” หญิงสาวตอบรัวเร็วด้วยสีหน้าคล้ายรำคาญ “ส่วนแขกฝั่งฉันมีประมาณสิบคน หลักๆ ก็ไอ้เจกับเพื่อนที่ทำงาน ฉันไม่ค่อยมีใครคบด้วยหรอก”
                 เธอพูดพลางหยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพายบ่าอีกครั้ง ก่อนจะก้มลงมองนาฬิกาข้อมือของตัวเอง แล้วพูดต่อ
                 “เดี๋ยวฉันหาชุดเจ้าสาวเอง เราไปเจอกันวันงานเลยก็ได้ ถ้าได้วันแล้วก็โทร. มาบอกด้วยนะ วันนี้ฉันขอตัวก่อน”
                 “เดี๋ยวสิคุณ!”
                 ทว่าจิรณัฐก็วิ่งปรู๊ดออกไปจากห้องเสียแล้ว ทิ้งให้ว่าที่เจ้าบ่าวได้แต่ถอนหายใจกับภาระอันหนักหน่วงที่ว่าที่เจ้าสาวโยนมาให้
                 งานแต่งงานนี่ใช่งานของเขาคนเดียวซะที่ไหนกันเล่า เธอเองก็เป็นเจ้าของงานเหมือนกันนะ!
                 ให้มันได้อย่างนี้สิ!


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น