บทที่ ๖


 ประทับตรา

 พองานพิธีมงคลสมรสในช่วงเช้าผ่านพ้นไป ช่วงเย็นก็มีการเฉลิมฉลองต่อในห้องประชุมใหญ่ของโรงแรม
                 แม้ฝ่ายเจ้าสาวจะบอกว่าตัวเองมีแขกไม่ถึงสิบคน แต่เมื่อรวมกับแขกจากทางฝั่งเจ้าบ่าวแล้ว งานเลี้ยงฉลองมงคลสมรสนี้ก็มีผู้ร่วมงานเกือบหนึ่งร้อยคนเลยทีเดียว
                 “นี่เพื่อนสนิทของผมสมัยมหา’ลัย ชื่อชาตรีกับอดินพครับ พวกเราสามคนก่อตั้งซีเอเอ็นเทคโนโลยีด้วยกัน”
                 “สวัสดีค่ะ”
                 จิรณัฐพนมมือไหว้สองหนุ่มอย่างมีมารยาท ในขณะที่อดินพและชาตรีก็ส่งยิ้มอย่างเป็นกันเองมาให้
                 “ก็นึกว่ามันเข็ดหลาบจากความรัก ที่ไหนได้ แอบซุ่มคบสาวสวยอย่างน้องจีนี่เอง” อดินพพูดทั้งสีหน้าเปื้อนยิ้ม “ฝากดูแลไอ้วีด้วยนะครับน้องจี ไอ้เวรนี่มันชอบหาเรื่องใส่ตัว”
                 “ถ้ามันดื้อเมื่อไหร่ก็ชกหน้ามันเลยครับ กระทืบสักทีสองที มันจะได้เลิกหัวร้อนเวลาอะไรไม่ได้ดั่งใจ”
                 “เดี๋ยวเถอะพวกมึง กูเคยเป็นแบบนั้นที่ไหน”
                 ทว่าชาตรีกับอดิเทพกลับยิ้มร่าโดยไม่สนใจท่าทางกระฟัดกระเฟียดของเพื่อนสนิท ก่อนจะกอดคอพากันเดินไปนั่งที่โต๊ะที่จัดเตรียมไว้ หลังจากรับแขกฝั่งเจ้าบ่าวไปแล้ว ก็มาถึงฝั่งเจ้าสาวกันบ้าง
                 “พอแกแต่งแบบนี้ค่อยดูเป็นผู้เป็นคนหน่อย ปกติเจอในแล็บทีไรกูนึกว่าผีมาขอส่วนบุญ” ภูริชมพลางหยิบโทรศัพท์ออกมา ตั้งใจจะถ่ายเซลฟีกับบ่าวสาว “ช่างแต่งหน้าทำผมเขาเก่งจริงๆ ว่ะ ทำให้สัมภเวสีกลายเป็นคนขึ้นมาได้”
                 “ก่อนจะว่าจี พี่ดินส่องกระจกดูตัวเองก่อนเถอะ โดนหมาหน้าตึกเห่าทุกวัน ยังกล้ามาว่าคนอื่นอีก”
                 ภูริแยกเขี้ยวใส่รุ่นน้องอย่างขัดใจ ก่อนจะเรียกทุกคนมาถ่ายรูปรวมเพื่อเก็บภาพไว้เป็นหลักฐานว่า พวกเขามางานแต่งงานของจิรณัฐจริงๆ ไม่ใช่เรื่องจ้อจี้แต่อย่างใด
                 “ขอให้พวกพี่มีความสุขมากๆ ถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชรนะครับ”
                 จิรณัฐมองอธิปตาขวาง เรื่องอะไรมาสาปแช่งเธอแบบนี้ ถือไม้เท้ายอดทองอะไรกัน เธอไม่ได้อยากสร้างครอบครัวกับณัฐวีร์สักหน่อย!
                 “ฝากดูแลไอ้จีด้วยนะครับคุณวี”
                 ชายหนุ่มค้อมหัวรับคำพิเชษฐ์ ก่อนที่ทั้งสามคนจะเดินไปนั่งประจำที่ หลังจากยืนถ่ายรูปกับแขกเหรื่อที่มาร่วมงานพอสมควรแล้ว ทีมออร์แกไนซ์ก็มาบอกให้จิรณัฐกับณัฐวีร์เตรียมขึ้นไปบนเวทีเพื่อกล่าวเปิดงาน
                 “ไหวไหมคุณ” ชายหนุ่มถามเมื่อเห็นว่าเจ้าสาวของตัวเองมีท่าทีอ่อนล้าอย่างเห็นได้ชัด แล้วยิ่งต้องสวมรองเท้าส้นสูงยืนแทบทั้งวันแบบนี้ คงทำให้เธอปวดขาไม่น้อย
                 “ฉันไม่เป็นไรค่ะ แค่เมื่อยนิดหน่อย”
                 ณัฐวีร์ได้ยินดังนั้นจึงประคองร่างบางให้ไปนั่งรอที่เก้าอี้ ก่อนจะเดินไปหยิบกล่องรองเท้าผ้าใบที่เขาพกมาจากบ้านออกมาจากใต้โต๊ะวางของที่ระลึก 
                 “เปลี่ยนมาสวมรองเท้านี่แทนเถอะ ยังไงกระโปรงคุณก็ยาวคลุมเท้าอยู่แล้ว ไม่มีใครเห็นหรอก”
                 จิรณัฐชะงักเมื่อเห็นรองเท้าผ้าใบที่อีกฝ่ายส่งให้ พอเห็นว่าเป็นรองเท้าที่เหมือนเพิ่งซื้อมาใหม่ แถมยังตรงกับไซซ์ของเธอด้วยแล้ว หญิงสาวก็ยิ่งแปลกใจมากกว่าเดิม
                 “ผมตั้งใจซื้อมาให้คุณ จำได้ว่ารองเท้าแก้วของคุณที่เคยเก็บได้ก็ไซซ์ประมาณนี้”
                 ร่างบางเลิกคิ้วกับความช่างสังเกตของคนเป็นเจ้าบ่าว ขณะที่อีกฝ่ายทรุดลงนั่งตรงหน้า ก่อนจะหยิบรองเท้าออกมาจากกล่องแล้วค่อยๆ สวมให้เธออย่างนุ่มนวล
                 “ใส่ได้พอดีเลยแฮะ”
                 “ขอบคุณนะคะ” จิรณัฐอ้อมแอ้มตอบก่อนจะยอมเดินตามการจูงมือของชายหนุ่มไปนั่งด้วยกันที่เก้าอี้ใกล้ๆ รออยู่ไม่นานทางทีมงานก็มาบอกให้พวกเธอเตรียมขึ้นไปบนเวที
                 เสียงปรบมือต้อนรับดังขึ้นเกรียวกราวทันทีที่เจ้าบ่าวและเจ้าสาวปรากฏตัว แน่นอนว่างานแต่งงานของจิรณัฐกับณัฐวีร์ไม่มีวิดีโอพรีเซนต์เรื่องราวความรักของทั้งคู่ ไม่มีรูปถ่ายพรีเวดดิง ไม่มีให้แขกผู้ร่วมงานเขียนอวยพร พวกเขาจัดงานแต่งงานตามใจฉันเท่านั้น
                 “มาถึงช่วงเวลาที่ทุกท่านรอคอยกันแล้วนะครับ นั่นก็คือการสัมภาษณ์คู่บ่าวสาวนั่นเอง”
                 จิรณัฐยิ้มเจื่อนให้พิธีกร รู้ดีว่าตอนนี้ไม่ใช่ช่วงเวลาที่ทุกคนรอคอยแต่อย่างใด เวลาเธอไปงานแต่งทีไรก็ไม่ได้สนใจฟังอะไรแบบนี้ เพราะมัวแต่จดจ่อกับอาหารที่อยู่บนโต๊ะ ไม่เชื่อลองดูโต๊ะของเพื่อนร่วมงานของเธอได้เลย อธิปกับภูริกำลังจ้วงหูฉลามในหม้อแข่งกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ราวกับกลัวว่าชาตินี้จะไม่ได้กินอีกแล้ว
                 โต๊ะจีนลิงลพบุรีร้องไห้แล้วนะ เจอสายแข็งกว่าแบบนี้
                 “คำถามแรกเลยนะครับ คุณวีกับคุณจีเจอกันได้ยังไงครับ”
                 “เอ่อ...” ณัฐวีร์ชะงัก นึกขึ้นได้ว่าตัวเองลืมไปสนิทว่าต้องตกลงกับจิรณัฐเวลาตอบคำถามเรื่องความรัก “เอ่อ...ผมเจอจีที่งานแต่งงานของเพื่อนครับ ตอนนั้นเธอรับช่อดอกไม้เจ้าสาวได้ แต่เธอกลับเอามาให้ผมแทน”
                 “อ้าว! แล้วทำไมคุณจีถึงไม่อยากได้ช่อดอกไม้เจ้าสาวล่ะครับ”
                 ณัฐวีร์ส่งไมโครโฟนให้หญิงสาวเมื่อพิธีกรโยนคำถามไปที่เธอ ก่อนที่ร่างบางจะตอบในทันทีโดยไม่เสียเวลาคิด
                 “จีไม่อยากแต่งงานน่ะค่ะ แค่เรื่องงานก็ทำให้ชีวิตวุ่นวายมากพอแล้ว ไม่รู้จะหาเรื่องใส่ตัวทำไมอีก” 
                 “แต่พอเจอคุณวี ความคิดของคุณจีก็เลยเปลี่ยนไปใช่ไหมครับ”
                 “เปล่าค่ะ ตอนนี้จีก็ยังคิดแบบเดิม”
                 แขกเหรื่อในงานมองหน้ากันไปมาอย่างงุนงง ขณะที่คนเป็นเจ้าบ่าวหันไปถลึงตาใส่เจ้าสาวที่ชักจะโป๊ะแตกขึ้นทุกที ก่อนจะรีบส่งสัญญาณให้พิธีกรถามคำถามต่อไป
                 “เอ่อ...แล้วตอนที่คุณจีเจอคุณวีครั้งแรก รู้สึกยังไงบ้างเหรอครับ”
                 “ตอนเจอกันครั้งแรก จียังไม่รู้จักเขาเท่าไหร่ค่ะ แต่พอมาเจอกันครั้งที่สองที่สาม เขาก็ทำให้จีจำได้แม่นเลย”
                 “แสดงว่าหลังจากนั้น คุณจีประทับใจคุณวีมากเลยใช่ไหมครับ ถึงได้จำคุณวีได้แม่น”
                 “ใช่ค่ะ เพราะว่าเขาไม่เหมือนคนอื่น ส่วนใหญ่คนที่อยู่รอบตัวจีจะเป็นคนดี มีน้ำใจ ไร้พิษภัย แต่กับคุณวีนี่เขาตรงข้ามทุกอย่างเลยค่ะ”
                 ณัฐวีร์กะพริบตาปริบๆ ไม่รู้ทำไม ฟังไปฟังมาถึงได้รู้สึกเหมือนกำลังถูกว่าที่ภรรยาด่า นี่จิรณัฐเป็นเจ้าสาวหรือแฟนเก่าเขากันแน่ ทำไมถึงได้พูดจาเหมือนจะทำลายงานแต่งกันแบบนี้
                 “เอ่อ...แสดงว่าคุณวีเขาแตกต่างจากผู้ชายคนอื่นๆ ที่คุณจีรู้จักสินะครับ”
                 “ถูกต้องเลยค่ะ เพราะปกติจีคบแต่คนดีๆ คุณวีเป็นคนเลวคนแรกเลยมั้งที่จีรู้จัก”
                 “จีไม่แซวพี่เล่นสิคะ” เจ้าบ่าวรีบพูดแทรกด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม แม้จะมองเจ้าสาวตาขวาง “เดี๋ยวคนอื่นเขาก็เชื่อจริงๆ หรอก”
                 “คะเคอะอะไรของคุณ หยุดพูดเลยนะ” หญิงสาวกระซิบตอบชายหนุ่ม เอามือลูบแขนตัวเองที่อยู่ดีๆ ก็ร้อนๆ หนาวๆ ขึ้นมาเสียอย่างนั้น “พูดอะไรก็ไม่รู้ ขนลุกเป็นบ้า”
                 “คุณก็เลิกขายขำผมต่อหน้าคนอื่นสักทีสิ ผมไปทำไม่ดีกับคุณตอนไหน”
                 “ยังจะมีหน้ามาถามอีก คุณร้ายใส่ฉันตลอดเวลานั่นแหละ ไม่งั้นจะบังคับให้ฉันมาแต่งงานด้วยทำไม”
                 “แต่คุณเป็นคนตอบตกลงเองนะ”
                 “ฉันไม่ได้เต็มใจสักหน่อย”
                 “เอ่อ...แล้วคุณจีมีความประทับใจอย่างอื่นเกี่ยวกับคุณวีอีกไหมครับ” พิธีกรหนุ่มรีบถามแทรกเพราะดูเหมือนเจ้าบ่าวเจ้าสาวใกล้จะวางมวยใส่กันเข้าไปทุกที แม้จะไม่ได้ยินบทสนทนาที่พวกเขากำลังพูดคุยกันอยู่ แต่ดูจากสีหน้าและแววตาแล้ว เขาก็พอจะเดาได้
                 “นอกจากคุณวีจะต่างจากผู้ชายคนอื่นที่จีรู้จักแล้ว เขาก็นิสัยเหมือนหมาด้วยค่ะ”
                 “เหมือนหมาเหรอครับ” พิธีกรทวนอย่างงุนงง
                 “ใช่ค่ะ เหมือนหมา!”
                 หญิงสาวเน้นย้ำรอบสองให้แขกในงานได้ยินทั่วกัน แถมพยักหน้าหนักแน่น บอกให้ทุกคนรู้ว่าเธอไม่ได้ล้อเล่นเลยสักนิด
                 “คุณจีจะบอกว่าคุณวีเป็นมิตร แล้วก็ซื่อสัตย์กับคุณจีใช่ไหมครับ”
                 “เปล่าค่ะ คุณวีเขากัดไม่ปล่อยเหมือนหมาค่ะ แถมยังปากร้ายด้วย”
                 ณัฐวีร์กลอกตามองบนอย่างละเหี่ยใจก่อนจะหันไปขอน้ำจากทีมออกาไนส์เพราะชักจะหน้าแห้งขึ้นไปทุกทีในขณะที่แขกในงานพากันมองเจ้าสาวอย่างทึ่งๆ กับความตรงไปตรงมาของเจ้าตัว
                 “เอ่อ...เป็น เป็นความสัมพันธ์ที่น่ารักมากเลยนะครับ”
                 “น่ารักอะไรกันคะ คุณวีทั้งกัดไม่ปล่อย ทั้งปากร้ายหน้าไม่อาย แล้วก็ยัง...”
                 “จีพูดเยอะแล้ว น่าจะคอแห้ง กินน้ำหน่อยนะคะคนดี” ชายหนุ่มพูดพลางดันหลอดให้เข้าปากจิรณัฐ แล้วจ้องหน้าเธอด้วยสายตากดดันให้ยอมดูดน้ำแต่โดยดี “ดื่มน้ำเยอะๆ เลยนะ พูดมากแบบนี้ คอน่าจะแห้งนะเรา”
                 หญิงสาวถลึงตาใส่อีกฝ่ายก่อนจะดันแก้วน้ำออกห่าง ขณะที่ณัฐวีร์ก็จ้องเธอกลับอย่างไม่กลัวเกรง พิธีกรเห็นท่าไม่ดีนั้นก็รีบพูดเปลี่ยนเรื่อง
                 “เอ่อ...งั้นพวกเรามาดื่มไชโยให้คู่บ่าวสาวกันดีกว่าครับ”
                 ทีมงานรีบเดินขึ้นมาบนเวทีเพื่อส่งแก้วไวน์ให้คู่บ่าวสาว ก่อนที่เพลงมหาฤกษ์จะถูกบรรเลงขึ้น พอเพลงจบทุกคนในงานก็ตะโกนพร้อมกัน
                 “ไชโย! ไชโย! ไชโย!”
                 “ขอให้รักกันนานๆ อยู่ด้วยกันไปจนแก่จนเฒ่าเลยนะครับ”
                 “มีลูกเต็มบ้าน มีหลานเต็มเมืองเลยนะ”
                 จิรณัฐยิ้มเจื่อนให้แขกที่ตะโกนอวยพรให้พวกเธอ ก่อนจะชูแก้วขึ้นสูงเพื่อขอบคุณ แม้ในใจจะไม่นึกอยากให้พรที่ได้รับเป็นจริงเลยก็ตาม ก่อนที่เสียงตะโกนจะดังมาจากกลุ่มเพื่อนๆ ของเจ้าบ่าว
                 “จูบเลย! จูบเลย! จูบเลย!”
                 หญิงสาวชะงัก เมื่อเห็นว่าอธิป ภูริ และพิเชษฐ์ก็ร่วมตะโกนเชียร์ไปกับชาตรีและอดินพด้วย แถมยังไม่วายหันไปปลุกระดมแขกโต๊ะอื่นให้ร่วมตะโกนไปพร้อมๆ กันราวกับอยู่หน้าเวทีปราศรัย
                 “จูบเลย! จูบเลย! จูบเลย!”
                 ให้ตายสิ...คนพวกนี้
                 หยุดเชียร์เดี๋ยวนี้นะโว้ย!!
                 ร่างบางเม้มริมฝีปากอย่างระงับอารมณ์ ก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่อคนเป็นเจ้าบ่าวเลื่อนมือมาโอบเอวกัน มืออีกข้างดันปลายคางของเธอให้เงยขึ้น แล้วโน้มใบหน้าลงมาจนเธอเห็นแววตาพราวระยับของเขาอย่างชัดเจน
                 “จูบเลย! จูบเลย! จูบเลย!”
                 “ถ้าคุณทำ ฉันฆ่าคุณแน่”
                 ทว่าณัฐวีร์กลับกระตุกยิ้มที่มุมปากราวกับไม่ได้หวาดกลัวใดๆ กับคำขู่ของเธอ สีหน้ายียวนของอีกฝ่ายทำให้ความรู้สึกชาวาบแผ่ซ่านไปทั้งร่าง รู้ตัวอีกทีปลายนิ้วของเขาก็แตะลงบนกลีบปากของเธอ ก่อนที่ใบหน้าจะฉกวูบลงมาอย่างรวดเร็ว
                 “กรี๊ดดดด!!”
                 “วู้วววว!!”
                 จิรณัฐเบิกตากว้าง เสียงรัวชัตเตอร์สลับกับเสียงตะโกนเฮอย่างชอบใจดังขึ้นจากทุกทิศทาง ทว่าหญิงสาวไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ทำให้เธอหูอื้อตาลายจนแทบไม่มีสติ
                 นี่เขา...กำลังทำบ้าอะไร
                 ผ่านไปราวสิบวินาที ณัฐวีร์ก็ยอมผละออกห่างจากคนในอ้อมแขน แล้วยักคิ้วให้คนที่กำลังหน้าแดงซ่านอย่างท้าทาย เขาไม่ได้จุมพิตเจ้าสาวจริงตามที่คนอื่นเชียร์ แต่แนบริมฝีปากลงไปบนปลายนิ้วของตัวเองที่ทาบอยู่บนกลีบปากของเธอแทน พร้อมกับเบี่ยงหน้าเล็กน้อยเพื่อให้ดูเหมือนกำลังจูบเธออย่างดูดดื่ม
                 ขืนเขาจูบจิรณัฐจริงๆ มีหวังคงได้ถูกเธอฆ่าหั่นศพอยู่แถวนี้แหละ
                 ชายหนุ่มคิดอย่างอารมณ์ดี ยิ่งเห็นท่าทางตื่นตะลึงของหญิงสาวแล้ว ก็ยิ่งชอบใจที่เอาชนะเธอได้ ก่อนที่ร่างสูงจะก้มลงไปกระซิบที่ข้างหูของเจ้าหล่อน
                 “ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ ผมไม่ได้จูบคุณจริงๆ สักหน่อย”
                 ร่างบางเบือนหน้าหนีไปทางอื่น แม้อีกฝ่ายจะไม่ได้ทำจริงตามเสียงเชียร์ แต่ความใกล้ชิดที่เกิดขึ้นจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นก็ทำให้ใบหน้าร้อนผ่าวอย่างห้ามไม่ได้
                 “ดูสิ หน้าแดงใหญ่แล้ว เขินละสิท่า”
                 “พูดบ้าอะไรของคุณ”
                 “ไม่ต้องห่วงนะครับ คืนนี้เรามีเวลาทำเรื่องนี้ได้ทั้งคืนเลย”
                 “เงียบไปเลยนะ อยากโดนฉันฆ่าจริงๆ ใช่ไหม”
                 “คิดว่าผมจะกลัวหรือไง ยังไงคืนนี้ผมก็ไม่ปล่อยคุณไว้แน่ๆ...โอ๊ย!”
                 ณัฐวีร์ร้องเสียงหลงเพราะถูกเจ้าสาวเหยียบเท้าเข้าเต็มแรง ก่อนที่เธอจะสะบัดหน้าหนีไปอีกทาง เพราะเบื่อการต่อล้อต่อเถียงนี้เต็มทน
                 “เป็นอะไรหรือเปล่าครับคุณวี”
                 “เปล่าครับ ไม่มีอะไร”
                 “ถ้าอย่างนั้นเชิญเจ้าบ่าวเจ้าสาวไปที่ลานตรงกลางเพื่อตัดเค้กได้เลยครับ”
                 ร่างสูงหันไปค้อมหัวให้พิธีกร ก่อนจะประคองเอวบางของภรรยาพาเดินยังจุดหมาย เสียงปรบมือแสดงความยินดีให้พวกเขาดังให้ได้ยินไปตลอดทาง หลายคนหยิบโทรศัพท์ออกมาถ่ายภาพความชื่นมื่นของคู่บ่าวสาว พลางพูดอวยพรไปด้วย
                 ยกเว้นก็แต่อธิป ภูริ และพิเชษฐ์
                 การจ้องกันอย่างจะกินเลือดกินเนื้อของจิรณัฐและณัฐวีร์ทำให้สามหนุ่มแห่งองค์การนิติวิทยาศาสตร์ได้แต่มองอย่างไม่เข้าใจ โดยเฉพาะอธิปกับภูริที่ถึงกับประเมินพฤติกรรมของทั้งสองคน ราวกับกำลังวิเคราะห์โพรไฟล์อาชญากร
                 “สรุปไอ้จีมันแต่งกับฆาตกรจริงๆ เหรอวะ มองคุณวีอย่างกับจะฆ่าทิ้งเลย แถมมันยังพยายามขยับร่างกายออกห่างจากเขาด้วย ดูมันรังเกียจคุณวีมากเลยนะ”
                 “เวรกรรมของพี่วีจริงๆ ที่ต้องมาแต่งงานกับพี่จี ชาติที่แล้วพี่วีคงทำบาปไว้เยอะสินะครับ”
                 “แล้วถ้ามันฆ่าคุณวีขึ้นมา ใครจะเป็นคนพิสูจน์หลักฐานล่ะพี่เชษฐ์ ผมกับไอ้เอิร์ธไม่ไหวหรอกนะ”
                 “นั่นสิ แถมคงหาร่องรอยจากศพไม่เจอด้วย ฆาตกรฉลาดขนาดนี้” พิเชษฐ์พยักหน้าอย่างเห็นด้วย “งั้นพวกเรามาสวดมนต์ให้คุณวีด้วยกันเถอะ พร้อมกันนะ อาเมน”

“อาเมน!”
 
                หลังจากงานเลี้ยงฉลองมงคลสมรสเสร็จสิ้นลง ก็ถึงเวลาที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวจะทำพิธีเข้าหอ
                 และเพราะพ่อกับแม่ของจิรณัฐเสียชีวิตแล้ว ในขณะที่พ่อแม่ของณัฐวีร์ก็แยกทางกันตั้งแต่ชายหนุ่มยังเด็ก ทำให้ผู้ใหญ่ที่มาทำพิธีส่งตัวบ่าวสาวเข้าหอมีแค่ณัฐวดี มารดาของเจ้าบ่าวเท่านั้น
                 จิรณัฐก้มลงกราบแทบเท้าหญิงวัยกลางคนพร้อมกับคนเป็นสามี ก่อนจะเงยหน้ามองอีกฝ่ายด้วยสายตาอ่อนโยน ถึงเธอจะไม่ชอบณัฐวีร์ แต่แม่ของเขาไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วย และเธอก็สัมผัสได้ถึงความจริงใจที่แม่สามีมอบให้เป็นอย่างดี
                 “วันนี้เป็นวันที่แม่มีความสุขที่สุดในชีวิต...” ณัฐวดีพูดเสียงทุ้มพลางประคองใบหน้าของลูกชายให้หันมาสบตากัน “ที่ผ่านมาวีพยายามทำตัวเข้มแข็ง คอยเป็นที่พึ่งให้แม่ แต่แม่รู้ว่าลูกชายของแม่คงรู้สึกโดดเดี่ยวมาก แม่ดีใจที่จากนี้ลูกจะมีคนคอยอยู่เคียงข้าง ร่วมทุกข์ร่วมสุขไปด้วยกัน...”
                 จิรณัฐลอบมองเสี้ยวหน้าคมคายของคนที่นั่งข้างๆ เธอแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับณัฐวีร์เลย แม้เขาจะกลายมาเป็นสามีของตัวเอง รู้แค่เขาเป็นประธานบริษัทไอทีชั้นนำที่เติบโตมาจากการเป็นสตาร์ตอัป และน้องสาวของเขาคือนักศึกษาหญิงในคดีแทงเจ็ดแผลเมื่อห้าปีก่อน
                 อ้อ...แล้วเขาก็เคยเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกันกับเธอด้วย
                 AKA พี่วีคนหน้าใส หัวใจน้องพี่ขอจอง
            “ขอบคุณนะหนูจี ที่รักลูกชายแม่...”
             
ร่างบางชะงักก่อนจะหันไปสบแววตาอ่อนโยนของคนพูด มือเล็กของอีกฝ่ายเลื่อนมาประคองผิวแก้มของเธอ ขณะที่ดวงตาคลอหน่วยไปด้วยน้ำตา
             
“แม่เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวที่เลี้ยงดูตาวีเพียงลำพัง อาจมีอะไรที่ขาดตกบกพร่องไปบ้าง ถ้ามีเรื่องที่ตาวีทำให้หนูไม่พอใจ แม่อยากให้หนูเปิดใจคุยกับพี่เขาด้วยเหตุผล พยายามเข้าอกเข้าใจกันนะลูก”
                 จิรณัฐเม้มริมฝีปาก หัวใจของเธอกระตุกวูบยามเห็นแววตาสั่นระริกของแม่สามี หญิงสาวเข้าใจดีว่าอีกฝ่ายรู้สึกอย่างไร เพราะเธอเองก็เลี้ยงดูน้องชายเพียงลำพังเช่นกัน
                 “แม่เหลือลูกชายแค่คนเดียว ฝากหนูจีดูแลตาวีด้วยนะ...”
                 แม้จะพบกับอีกฝ่ายเป็นครั้งแรก ไม่ได้รู้จักนิสัยใจคอหรือมีความผูกพันใดๆ กันมาก่อน แต่พอได้เห็นสีหน้าและแววตาฝากฝังที่ทอดมองมาแล้ว ร่างบางก็ตัดสินใจตอบไปด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า
                 “คุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ จีจะคอยดูแลพี่วีอย่างดีค่ะ”
 
            ณัฐวีร์มองคนที่เดินไปก้มๆ เงยๆ สำรวจบริเวณต่างๆ ในห้องอย่างนึกขำ เขาบอกจิรณัฐก่อนหน้านี้แล้วว่าห้องนี้คือห้องนอนของเธอ ทว่าหญิงสาวก็ยังมองไปรอบๆ อย่างไม่ไว้ใจอยู่แบบนั้น
                 “ทำอะไรของคุณ”
                 “หาดูว่ามีกล้องซ่อนอยู่ไหมน่ะสิ”
                 “นี่คุณเห็นผมเป็นคนยังไงเนี่ย” ชายหนุ่มถามเสียงอ่อน ทว่าหญิงสาวไม่สนใจ ยังคงสำรวจข้าวของเครื่องใช้ และเฟอร์นิเจอร์อยู่แบบนั้น หลายวันก่อนเธอให้จิรเมธช่วยขนของใช้ส่วนตัวจากบ้านตัวเองมาเก็บไว้ที่นี่แล้ว จึงไม่มีปัญหาเรื่องการย้ายมาอยู่ที่นี่
                 “คุณแม่ก็กลับไปแล้ว แล้วทำไมคุณถึงไม่ยอมกลับห้องตัวเองสักที”
                 “นี่มันคืนแต่งงานนะคุณ เจ้าบ่าวเจ้าสาวต้องนอนด้วยกันสิ”
                 “ไม่ได้!” จิรณัฐปฏิเสธเสียงหลง “คุณเซ็นสัญญาไปแล้วว่าจะแยกห้องนอนกับฉัน กลับห้องคุณเดี๋ยวนี้เลยนะ”
                 ท่าทางเอาเรื่องแต่ก็แฝงไปด้วยความหวาดระแวงของอีกฝ่ายทำให้ณัฐวีร์ต้องกลั้นยิ้ม ดูท่าเธอจะกลัวถูกเขาทำมิดีมิร้ายเข้าจริงๆ ถึงได้มีอาการตื่นตระหนกแบบนั้น
                 ยิ่งเห็นก็ยิ่งน่าแกล้ง
                 “ผมไม่ทำอะไรคุณหรอกน่า เรื่องพวกนี้ต้องสมยอมกันทั้งคู่ ไม่งั้นจะมีความสุขได้ยังไง”
                 “ถ้าเข้าใจดีขนาดนั้นก็กลับห้องคุณไปสิ”
                 “ก่อนไป ให้ผมช่วยถอดชุดเจ้าสาวให้ไหม”
                 “ไม่ต้อง ฉันจัดการเองได้”
                 “แต่ซิปมันอยู่ข้างหลัง คุณจะรูดลงยังไงล่ะ” ชายหนุ่มถามเสียงทุ้ม ก่อนหน้านี้ยังมีช่างแต่งหน้ากับช่างทำผมคอยอำนวยความสะดวกให้ แต่ตอนนี้ไม่มีใครแล้ว ใครจะช่วยเธอถอดชุดถ้าไม่ใช่เขา
                 คิดได้ดังนั้น ณัฐวีร์ก็เดินเข้าไปหาอีกฝ่ายเพื่อจะช่วยรูดซิปให้ตามประสาคนมีน้ำใจ
                 “เดี๋ยวผมช่วยนะ”
                 “ฉันบอกแล้วไงว่าไม่ต้อง!” ร่างบางพยายามดันร่างสูงออกห่าง ทว่าเป็นเพราะเธอผลักเขาแรงเกินไป คนตัวโตเลยเซถลาทำท่าจะล้มลง แต่ก็ไม่วายลากเธอไปล่มหัวจมท้ายด้วย
                 “เหวอ!!”
                 จิรณัฐหลับตาปี๋ รู้สึกเหมือนตัวเองล้มกระแทกลงบนอะไรนุ่มๆ โดยมีอะไรบางอย่างล้มลงมาทาบทับอีกที พอลืมตาขึ้นมาก็เห็นใบหน้าคมคายของคนที่เพิ่งกลายมาเป็นสามีหมาดๆ และเขากำลังจ้องมาทั้งสีหน้าแดงระเรื่อ
                 ให้ตายสิ...
                 นี่คือใบหน้าของผู้ชายอายุสามสิบเอ็ดจริงเหรอ ทำไมหนังหน้าของเขาถึงได้ดูอ่อนเยาว์ขนาดนี้ รูขุมขนเล็กกระชับราวกับเพิ่งทำเลเซอร์ ผิวก็ขาวเนียนละเอียดแบบที่ก้นเด็กทารกยังต้องขอคารวะ
                 น่าอิจฉาจริงๆ 
                “แย่ละสิ...” ชายหนุ่มพึมพำจู่ๆ ก็รู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งร่าง เมื่อเห็นว่าตัวเองกับจิรณัฐกำลังอยู่ในท่าที่ชวนให้คิดไปไกลขนาดไหน มือของเธอวางแปะลงบนอกของเขา ขณะที่ใบหน้าอยู่ห่างกันเพียงปลายนิ้วกั้น ขืนยังอยู่ด้วยกันในสภาพนี้ต่อไป มีหวังอะไรๆ ของเขาคงได้ตื่นขึ้นมาแน่
                 “ถอย...ออกไปนะคุณ” หญิงสาวพูดตะกุกตะกัก พยายามดันคนตัวโตออกห่าง ทว่าเขากลับไม่ยอมให้ความร่วมมือ แถมยังเอาแต่จ้องเธอไม่วางตาอีกด้วย
                 ดวงตาสีเข้มเพ่งพิศใบหน้านวลของคนใต้ร่างอย่างพิจารณา พออยู่ใกล้กันขนาดนี้ณัฐวีร์ถึงได้สังเกตว่า ภรรยาของตัวเองสวยมากจริงๆ ดวงตาของเธอสุกสกาวไม่ต่างจากดวงตาของลูกกวางน้อย จมูกโด่งเชิดรั้นรับกับใบหน้าละมุนหวาน ขณะที่ริมฝีปากอิ่มแดงระเรื่อชวนให้ก้มลงไปสัมผัส
                 ก่อนที่ชายหนุ่มจะพูดด้วยน้ำเสียงราวกับละเมอว่า...
                 “เรามาเข้าหอกันไหม...”
                 หญิงสาวเบิกตากว้างในทันทีเมื่อได้ยินคำถามของอีกฝ่าย ขณะที่มือเล็กทุบอกของเขาอย่างไม่พอใจ
                 “จะบ้าหรือไงคุณ เราตกลงกันแล้วนะว่าจะไม่มีเรื่องแบบนั้น”
                 “ยกเว้นแต่ผมจะทำให้คุณยอมได้...”
                 “นี่คุณ!”
                 “เราแต่งงานกันแล้วนะครับ จะขาดขั้นตอนสำคัญที่สุดไปได้ยังไง...”
                 “แต่คุณไม่มีสิทธิ์...”
                 “ทำไมจะไม่มี ในเมื่อผมคือสามีของคุณ”
                 หญิงสาวเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าใบหน้าคมคายค่อยๆ โน้มเข้ามาใกล้ ยังไม่ทันจะโวยวายอีกรอบที่อีกฝ่ายไม่ยอมทำตามสัญญา ริมฝีปากอิ่มก็ถูกปิดเสียแล้ว
                 “อื้อออ...”
                 มือเล็กทุบไหล่กว้างทั้งๆ ที่ลงแรงไปทั้งหมดแล้วแท้ๆ แต่ก็เหมือนแตะเขาเพียงแผ่วเบาเท่านั้น เรี่ยวแรงที่เคยมีสลายหายไปหมดเพราะสัมผัสหวานล้ำที่คนเป็นสามีมอบให้ ทำได้แค่ดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมแขนของเขา
                 พลาด...
                 ณัฐวีร์คิดว่าตัวเองพลาดแล้วที่ทำแบบนี้...
                 ตอนแรกตั้งใจจะแกล้งเอาคืนภรรยาที่พูดขายขำเขาต่อหน้าแขกที่มาร่วมงาน ทว่าพอได้สัมผัสริมฝีปากนุ่มของอีกฝ่าย กลายเป็นเขาที่ถูกสาปให้มัวเมากับความหวานล้ำที่น่าหลงใหลยิ่งกว่าสิ่งใดในโลก ณัฐวีร์ขบเม้มกลีบปากอิ่มอย่างเชื่องช้า ละมุนละไม รุกไล่อยู่นานกว่าอีกฝ่ายจะหยุดประท้วง พอภรรยาโอนอ่อนตอบรับสัมผัสกัน หัวใจของชายหนุ่มก็เต้นโลดอย่างมีความสุข
                 หวาน...
                 เธอหวานมากจริงๆ 
                 กลีบปากหยักได้รูปเคลื่อนไปสัมผัสที่ผิวแก้ม ก่อนจะไล้ต่ำลงไปดูดดึงที่ลำคอระหง แล้วสูดความหอมของคนใต้ร่างเข้าเต็มปอด ลมหายใจของทั้งคู่สอดประสานเป็นหนึ่งเดียวกัน ยามที่ชายหนุ่มเลื่อนริมฝีปากกลับมาบดคลึงเรียวปากนุ่มอีกครั้ง ยิ่งเธอไม่ปฏิเสธ เขายิ่งปรนเปรอ พอเธอโอนอ่อน เขายิ่งถลำลึก จูบเธออย่างดูดดื่มราวกับจะบอกว่ามีแค่เขาเท่านั้นที่มีสิทธิ์ทำแบบนี้
                 ไม่ใช่เพราะอารมณ์ชั่ววูบ หรือความหลงใหลแค่ชั่วคราว
                 แต่เพราะจิรณัฐคือเธอคนนั้น...
                 คนที่ทำให้เขากลายเป็นณัฐวีร์ ลิขิตภักดีในวันนี้
                 “พอ...พอแล้ว”
                 เสียงห้ามแผ่วเบาทำให้ร่างสูงยอมผละออกห่าง แต่ไม่ลืมกดริมฝีปากหนักหน่วงในตอนท้ายเพื่อตอกย้ำว่าเธอถูกเขาตีตราจองแล้วจริงๆ แม้สายตาที่ตวัดมองเขาจะวาวโรจน์อย่างโกรธเคือง ทว่าใบหน้านวลกลับแดงก่ำอย่างน่ารัก ก่อนที่ปลายนิ้วของชายหนุ่มจะแตะริมฝีปากที่บวมเป่งของเธอเบาๆ จากนั้นเขาก็พูดเสียงนุ่ม
                 “ประทับความเป็นเจ้าของเรียบร้อยคุณเป็นภรรยาของผมแล้วนะ...”
                 “คุณ!”
                 รอยยิ้มปรากฏที่มุมปากของณัฐวีร์ ก่อนที่เขาจะช่วยประคองร่างบางให้ลุกขึ้นนั่ง มือหนาเลื่อนไปรูดซิปด้านหลังให้คนเป็นภรรยา โดยที่สายตาก็ยังจับจ้องใบหน้าหวานละมุนตาไม่กะพริบ ทว่าพอชุดเกาะอกทำท่าจะเลื่อนลงจนเขาเกือบเห็นอะไรที่ไม่ควรเห็น ชายหนุ่มก็รีบดึงผ้านวมขึ้นมาปิดไว้
                 “คุณไปอาบน้ำเถอะ จะได้พักผ่อน เดี๋ยวผมก็จะกลับห้องของตัวเองเหมือนกัน”
                 หญิงสาวไม่ตอบอะไร สมองของเธอยังคงมึนงงกับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่หาย พอคนเป็นสามีเดินออกไปจากห้องแล้ว เธอก็รีบลุกไปล็อกประตู ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดตัวเดินเข้าไปในห้องน้ำ
                 นานเท่าไหร่ไม่รู้ที่ยืนนิ่ง ปล่อยให้สายน้ำเย็นๆ ช่วยปัดเป่าความกังวลให้จางหายไป ทว่าความรู้สึกบางอย่างยังคงแจ่มชัด แม้คนเป็นสามีจะออกไปจากห้องหลายนาทีแล้วก็ตาม
                 เธอจูบกับเขาแล้ว...
                 แม้จะเป็นจูบที่ไม่ได้มาจากความรัก และหญิงสาวก็รู้ดีว่าณัฐวีร์ทำแบบนั้นเพราะต้องการจะแกล้งเธอ แต่น่าแปลกที่จิรณัฐกลับไม่รู้สึกรังเกียจเลยสักนิด กลับกันแล้ว หัวใจของเธอเต้นระรัวอย่างที่ไม่เคยเกิดกับใครมาก่อน 
                 ให้ตายสิ...
                 ร่างบางเอามือกุมขมับอย่างเครียดจัด ก่อนหน้านี้เธอเองก็มีคนรักมาแล้วหนึ่งคน เคยจูบกันแบบนับครั้งได้ แล้วก็เป็นการแตะริมฝีปากกันเฉยๆ ไม่มีอะไรมากกว่านั้น ทั้งๆ ที่ตอนนั้นเป็นสัมผัสที่มาจากความรักแท้ๆ แต่หัวใจของเธอกลับไม่เต้นแรงเหมือนตอนที่จูบกับณัฐวีร์เลยสักนิด
                 ทำไมล่ะ...ทำไมเป็นแบบนี้
                 หญิงสาวเอาหัวโขกกำแพงอย่างหนักใจ แค่คิดว่าต่อจากนี้จะต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมชายคาเดียวกับผู้ชายเจ้าเล่ห์คนนั้น สมองของเธอก็ขาวโพลนไปหมด
                 ดูเหมือนว่าชีวิตหลังแต่งงานของเธอ...จะวุ่นวายกว่าที่คิดเสียแล้ว


 

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น