“...”
คนถูกกันเป็นคนอื่นฟังแล้วอึ้งไปชั่วเสี้ยววินาที ก่อนจะพูดเสียงเขียวออกไปด้วยความโมโห หน็อย...มาหาว่าเธอเป็นคนอื่น ตัวเองแหละนั่นแหละคือคนอื่น
“พ่อฉันกับพ่อเดือนเป็นพี่น้องฝาแฝดกัน และฉันกับเดือนก็โตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก”
ภาคินมองดวงหน้าที่เจือไปด้วยโทสะของคนที่ถูกเขาว่าเป็นคนอื่นแล้วให้รู้สึกอารมณ์ดีนัก เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมอีกฝ่ายถึงทำท่าราวกับเขาเป็นศัตรูคู่แค้นมาแต่ชาติปางก่อน ทั้งที่เพิ่งเห็นหน้ากันครั้งแรกเท่านั้น
“ตอนนี้ผมยังไม่อยากรู้เรื่องที่คุณบอกหรอกครับ รู้ภายหลังก็คงยังไม่สาย”
คำพูดของคนไม่ถูกชะตาตั้งแต่ได้ยินชื่อและยังไม่เห็นหน้าทำเอาความโกรธของกัตติกาพุ่งปรี๊ดติดเพดานบินเลยก็ว่าได้ เขาพูดออกมาแบบนี้หมายความว่าเธอเสนอหน้าบอกเองโดยที่เขาไม่ได้อยากรู้…ใช่ไหม
ที่แอบนึกสงสารเห็นใจก่อนหน้านี้ขอถอนความคิดจะทันไหมนะ และตอนแรกแค่ไม่ถูกชะตาตอนนี้ขอเปลี่ยนเป็นเกลียดขี้หน้าเพิ่มด้วยแล้วกัน
“ฉันแค่อยากจะอธิบายให้คุณฟังเท่านั้นว่าฉันไม่ใช่คนอื่น” คนถูกหาว่าเป็นคนอื่นบอกแล้วนับหนึ่งถึงร้อยไปด้วยในใจ เพื่อดับอารมณ์โกรธที่กำลังเป็นอยู่
“ครับไม่ใช่คนอื่นก็ไม่ใช่สิครับ ทำไมต้องโมโหด้วย” คนที่เคยสุภาพเรียบร้อยกลายเป็นคนช่างยั่วไปโดยไม่รู้ตัว ยิ่งเห็นอีกฝ่ายโกรธเขายิ่งอารมณ์ดี ผู้หญิงคนนี้แม้แต่โกรธก็ยังน่ารัก พวงแก้มสองข้างแดงระเรื่อน่าจุ๊บชะมัด
ครั้นรู้ตัวว่ากำลังคิดอะไรอยู่ นายตำรวจหนุ่มถึงกับสะดุ้งในใจ ทั้งด่าตัวเองว่าบ้าที่คิดอะไรแบบนี้ออกไปได้
“ฉันไม่ได้โมโห” คนโมโหจริงๆ เถียงหน้าดำหน้าแดง ยิ่งเห็นท่าทางรื่นรมย์ของอีกฝ่ายยิ่งโมโห
“ครับ ไม่โมโหก็ไม่โมโห”
สิตางศุ์ที่นั่งฟังนายตำรวจหนุ่มกับญาติสาวของเธอพูดต่อปากต่อคำกัน หรือจะพูดให้ถูกต้องคือเถียงกันแล้วอดประหลาดใจไม่ได้ ตามปกติแม้กัตติกาจะเป็นคนช่างพูด แต่จะเป็นเฉพาะกับคนที่สนิทสนมด้วยเท่านั้น และไม่ใช่คนโมโหง่ายอย่างที่เห็นในเวลานี้เลยสักนิด แม้จะรู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายไม่ถูกชะตากับนายตำรวจหนุ่มตั้งแต่ยังไม่เห็นหน้าก็ตาม แต่นี่อะไรกัน ถูกยั่วนิดหน่อยก็โมโหเป็นฟืนเป็นไฟ
ด้านร้อยตำรวจเอกภาคินก็ไม่ต่างกัน เพราะนายตำรวจหนุ่มที่เธอรู้จักมักจะเป็นคนพูดจาสุภาพเรียบร้อย แถมไม่ใช่คนช่างต่อปากต่อคำเหมือนที่เห็นอยู่ในเวลานี้เลยสักนิด
ที่สำคัญทั้งคู่เพิ่งเจอหน้ากัน แต่ต่อปากต่อคำและเถียงกันราวกับรู้จักกันมานานปีก็ไม่ปาน
จะไม่ให้เธอประหลาดใจได้ยังไง!
“แล้วคุณเดือนจะว่ายังไงครับ”
คนถูกถามสะดุ้งเล็กน้อยด้วยกำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิด ก่อนจะนิ่งคิดไปชั่วอึดใจ นึกถึงคำถามของอีกฝ่ายแล้วก็ขำ เจ้าตัวมัวแต่พูดต่อปากต่อคำกับญาติของเธอจนนึกว่าไม่ต้องการคำตอบซะแล้ว
“อย่างที่ดาวบอกแหละค่ะว่า เดือนยังไม่พร้อมที่จะคิดเรื่องนี้ ต้องขอโทษคุณเมฆด้วยนะคะ”
แม้จะรู้ว่าคำพูดของตัวเองเป็นการตัดรอนความรู้สึกของอีกฝ่ายเกินไป แต่บอกออกไปเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน จะได้ตัดไฟตั้งแต่ต้นลม ไม่ต้องยืดเยื้อ
กัตติกาฟังคำพูดของญาติสาวแล้วก็ยิ้มแป้นอย่างชอบอกชอบใจ อาการโมโหที่เป็นอยู่มลายหายไปเป็นปลิดทิ้งทันที
ทว่า...
“ตอนนี้ยังไม่พร้อม แสดงว่าในอนาคตอาจจะพร้อม ถ้าอย่างนั้นผมยังมีความหวังใช่ไหมครับ”
ทั้งคำพูดและสีหน้าที่ยังเจือด้วยรอยยิ้มของนายตำรวจหนุ่มบ่งบอกว่าเจ้าตัวไม่ได้รู้สึกผิดหวังหรือว่าเสียใจกับการถูกปฏิเสธกลายๆ จากญาติสาวอย่างที่ควรจะเป็น ทำเอากัตติกาที่รอเยาะเย้ยรู้สึกแปลกใจเป็นล้นพ้น
คนอะไร ถูกปฏิเสธแล้วยังจะมีหน้ายิ้มได้อีก มั่นหน้ามากนะพ่อคุณ แถมยังจะวาดหวังถึงอนาคตอีก อยากรู้นักว่าพกความมั่นใจเบอร์ไหนมาล่ะนี่ หวังลมๆ แล้งๆ ชัดๆ และไม่รู้ว่าเธอตาฝาดไปหรือเปล่าเพราะรอยยิ้มที่ว่ามองดูแล้วแปลกๆ ยังไงบอกไม่ถูก ไม่ได้เป็นการฝืนยิ้มแต่เป็นการยิ้มอย่างเปิดเผย คล้ายกับยิ้มนั้นส่งให้เธอโดยเฉพาะ
ท่าจะบ้าแล้วดาว! คิดอะไรไม่เข้าท่า เขาจะมายิ้มให้เธอทำไม กัตติกาบอกตัวเอง
ส่วนสิตางศุ์ฟังแล้วยังไม่ได้ตอบอะไรออกไป เพราะเห็นพนักงานถือถาดอาหารมาเสิร์ฟซะก่อน ซึ่งก็เป็นการดีเพราะจะให้เธอพูดดับความหวังของอีกฝ่ายว่าต่อให้อนาคตเธอก็ไม่พร้อม ดูจะเป็นการทำร้ายจิตใจกันเกินไป
“อาหารน่ากินจัง”
คนที่ตอนแรกตั้งใจเข้ามาเป็นก้างขวางคออย่างเดียว ไม่ได้หิวอย่างที่บอกปาวๆ ออกไปแม้แต่น้อย ครั้นเห็นอาหารซึ่งตัวเองตั้งใจสั่งมาแกล้งใครบางคน แต่ทุกอย่างดันเป็นของโปรดตัวเองทั้งสิ้น ก็เบิกตาโตอุทานเสียงดังทันที
“นั่นสิเดือน อาหารหน้าตาน่ากินชะมัด”
“ของโปรดแกทั้งนั้นนี่ดาว” สิตางศุ์มองท่าทางของคนเป็นญาติอย่างขบขัน
“แหม...ของโปรดฉันคนเดียวที่ไหนกัน ของแกด้วยนั่นแหละ แกกับฉันชอบกินอะไรเหมือนๆ กันมาตั้งแต่เด็ก” คนพูดพูดพลางยิ้มกว้างอย่างถูกอกถูกใจ เพราะไม่ได้กินอาหารพวกนี้มานานโขแล้ว
ภาคินมองดวงหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มกว้างของผู้หญิงที่ชื่อแปลว่าดาวลูกไก่แล้วยิ้มด้วยความเอ็นดู แล้วก็ต้องหุบยิ้มลงทันควัน นี่เขาเอ็นดูผู้หญิงที่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับเขาตั้งแต่เมื่อไหร่กันล่ะนี่ ท่าจะบ้าไปแล้วไอ้เมฆ นายตำรวจหนุ่มด่าตัวเองว่าบ้าเป็นครั้งที่สอง ก่อนหน้านี้ก็ดันคิดว่าท่าทางโมโหโกรธาของอีกฝ่ายน่ารักนักหนา
จำไว้ว่าต้องหมั่นไส้หรือมันเขี้ยวสิถึงจะถูกต้อง
มิหนำซ้ำยังอุตริไปจำความหมายของชื่อเจ้าหล่อนมาอีก แถมจำไม่ได้ด้วยว่าเคยได้ยินหรืออ่านมาจากที่ไหน
“กบผัดเผ็ดนั่นฉันไม่ได้กินมานานแล้ว”
เรื่องที่กัตติกาพูดไม่ได้เกินความเป็นจริง สิตางศุ์กินอาหารจำพวกที่หลายคนเรียกว่าเป็นอาหารป่าได้แทบทุกชนิด เพราะผู้เป็นตาสอนให้กินมาตั้งแต่เด็ก เรียกว่าตัวเธอเป็นคนกินง่ายอยู่ง่ายมาตั้งแต่เด็กนั่นแหละ
“แกไม่ได้กินฉันก็ไม่ได้กินเหมือนกัน แกดูกบผัดเผ็ดสิเดือน” ปากบอกญาติทว่าดวงตากลมโตกลับชำเลืองมองไปยังคนตรงข้ามไปด้วย “รูปร่างน่าเกลียดน่ากลัว ผิวหนังตะปุ่มตะป่ำดูไม่น่ากิน จริงไหมคะคุณตำรวจ”
คนที่ใจกำลังคิดอะไรอยู่ ส่วนมือก็ทำหน้าที่ตักข้าวไปด้วยสะดุ้งโหยงเมื่อถูกถามโดยไม่ทันได้ตั้งตัว
“อะไรนะครับ”
“อ๋อ ฉันบอกว่าแม้กบจะมีรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัว ผิวหนังตะปุ่มตะป่ำไม่น่ากิน แต่รสชาตินั้นอร่อยนักหนา” ประโยคหลังนั้นหญิงสาวเพิ่งเติมเข้าไปสดๆ ร้อนๆ
“อ้อ...ครับ”
คนไม่เคยกินกบพูดอึกอักด้วยไม่รู้จะตอบอย่างไรดี พลางชำเลืองมองสิ่งที่ถูกพูดถึงไปด้วย แล้วก็รู้สึกสยองเพราะอดนึกภาพตามไม่ได้
“แล้วคุณกินกบเป็นไหม” คนช่างหาเรื่องเอ่ยถามต่อ แต่ยังไม่ทันได้รับคำตอบก็ตอบเองเสร็จสรรพ “แต่ดูท่าทางแล้วไม่น่าจะกินเป็น”
คนถูกพูดดูถูกว่าไม่น่าจะกินเป็นเหลือบตามองจานอาหารที่ว่าแล้วสูดลมหายใจลึกๆ
ช่างดู...ถูกเหลือเกิน ดูถูกในที่นี้คือดูเขาอย่างถูกต้องว่าเขากินไม่เป็น
“คุณรู้ได้ไงว่าผมกินไม่เป็น รู้ใจผมขนาดนี้เชียวหรือ”
คนถูกหาว่ารู้ใจมองคนพูดตาขุ่นย้อนถามปากคอสั่น
“หรือว่าคุณกิน...เป็น”
นายตำรวจหนุ่มมองกบผัดเผ็ดในจานอย่างสยอง คือถ้าไม่คิดถึงผิวหนังตะปุ่มตะป่ำตามที่คนท้าพูดก็คงไม่อะไรนัก เพราะดูจากสีสันก็น่ากินระดับหนึ่งสำหรับคนไม่เคยกินอย่างเขา
“กินเป็นหรือไม่เป็นไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะถึงไม่เคยกินก็จะลองกิน คุณเดือนยังกินได้เลย แล้วทำไมผมจะกินไม่ได้ ในเมื่อชอบผู้หญิงคนหนึ่งก็ต้องชอบสิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นชอบด้วย”
เจตนาของคนพูดเพียงแค่อยากยกวลีที่ว่ามาพูดยั่วฝ่ายตรงข้ามเฉยๆ ไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้น ซึ่งตัวเขาก็รู้สึกงงตัวเองอยู่ไม่น้อย ไม่รู้ว่ากลายเป็นคนชอบพูดต่อปากต่อคำไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
แถมกับคนที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกซะด้วย เพื่อนๆ เขามาได้ยินคงงงเป็นไก่ตาแตกกันแน่
“อ้อ รักฉันต้องรักหมาฉันด้วย” กัตติกาพูดพลางส่งค้อนให้อย่างลืมตัว “ถ้าอย่างนั้นก็ลองกินดูแล้วกันนะคะ แล้วจะรู้ว่าผู้หญิงอย่างเดือนน่ะ กินอะไรได้พิสดารจนคุณคาดไม่ถึงเชียวละ แล้วถ้าจะให้ดีลองกินหนังก่อนแล้วกัน คุณกล้ากินหนังตะปุ่มตะป่ำของมันได้ถือว่าคุณกินเป็น”
คนถูกท้าให้กินมองคนท้าอย่างเคืองๆ ให้เขากินแล้วยังจะพูดตอกย้ำเรื่องผิวหนังตะปุ่มตะป่ำของมันอีก แต่ผู้ชายอกแม้ไม่ถึงสามศอกแถมเป็นตำรวจอย่างเขา ถูกท้าทายเช่นนี้จะยอมแพ้พ่ายได้ยังไง เสียเชิงชายหมด
“ไม่เห็นจะยากตรงไหน”
ปากก็บอกว่าไม่เห็นจะยากแต่ครั้นมองอาหารที่มีพริกแกงสีแดงแจ๋ แค่มองดูด้วยตาก็พอจะรู้ถึงรสชาติว่าคงจะเผ็ดจัดจ้านไม่น้อย ทำให้คนรับคำท้าอดรู้สึกแหยงๆ ไม่ได้ นึกด่าตัวเองที่ไม่น่ายอมรับคำท้านั่นเลย บอกว่ากินไม่เป็นแต่แรกก็สิ้นเรื่องสิ้นราว
แต่เมื่อรับคำท้าออกไปแล้วคงต้องยอมรับชะตากรรมแต่โดยดี เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงตัดสินใจตักกบผัดเผ็ดมาใส่จานตัวเอง แต่ยังไม่ทันได้ตักเข้าปาก คนนั่งตรงข้ามก็พูดทักท้วงขึ้นมาซะก่อนว่า
“คุณต้องตักหนังขึ้นมากินก่อน” พูดพลางตักส่วนหนังใส่จานให้ราวกับเอาอกเอาใจ “ถึงจะดูตะปุ่มตะป่ำไม่น่ากิน แต่ลองกินแล้วจะติดใจ”
นายตำรวจหนุ่มเผลอส่งสายตาค้อนให้คนบรรยายจนเห็นภาพชัดเจน ก่อนจะตัดใจตักเข้าปากอย่างกล้ำกลืนฝืนทน กับหนังแหยะๆ กลั้นใจเคี้ยวๆ แล้วรีบกลืนลงคอทันที
“เป็นไงบ้างคะคุณเมฆ” สิตางศุ์เอ่ยถามเมื่อเห็นสีหน้ากระอักกระอ่วนของนายตำรวจหนุ่ม
“ก็ดีครับ” ปากบอกว่าดีแต่ริมฝีปากนั้นแดงก่ำเพราะความเผ็ดจนเขารู้สึกได้
“ถ้าดีจริงก็ต้องกินเยอะๆ อร่อยจะตาย” กัตติกาบอกพลางตักกบผัดเผ็ดเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ อย่างเอร็ดอร่อย ทั้งยังมีน้ำใจตักส่วนที่เป็นหนังใส่จานให้คนนั่งตรงข้ามอีกต่างหาก
“พอแล้วดาว คุณเมฆเผ็ดจะแย่แล้ว” สิตางศุ์พูดทักท้วง
“อะไรกันแค่คำเดียวก็เผ็ดจะแย่แล้วเหรอ ไม่ไหว ไม่ไหว”
“ไม่เป็นไรหรอกครับคุณเดือน ผมกินได้” บอกพลางตักอาหารในจานเข้าปากเคี้ยวกลืนโดยไวแม้จะเผ็ดแสนเผ็ดก็ตาม
“นั่นไง...แกไม่ต้องห่วงคุณผู้กองหรอกน่า เขาบอกโต้งๆ เองว่าไม่เป็นไรกินได้” กัตติกาพยักหน้ายิ้มๆ ก่อนจะยื่นแก้วน้ำเย็นให้คนเผ็ดราวกับคนมีน้ำใจ “นี่ค่ะน้ำเย็นแก้เผ็ด ค่อยๆ ดื่มนะคะ เดี๋ยวสำลัก”
ประโยคสุดท้ายคนหวังดีประสงค์ร้ายบอก
“เดี๋ยว...”
สิตางศุ์เอ่ยปากห้ามไม่ทัน เพราะคนกำลังตกอยู่ในอาการเผ็ดคว้าแก้วน้ำเย็นจากมือผู้หวังดีประสงค์ร้ายไปดื่มซะก่อน และดื่มแก้วเดียวไม่พอยังคว้าแก้วของคนส่งให้ดื่มอีกด้วย แต่อาการเผ็ดที่เป็นอยู่นอกจากจะไม่บรรเทาลงเลยยังดูเหมือนจะเผ็ดยิ่งขึ้นไปอีก
“คุณเมฆคะ ถ้ากำลังเผ็ดอยู่ห้ามดื่มน้ำเย็นเพราะจะทำให้ยิ่งเผ็ดมากขึ้นค่ะ เมื่อกี้เดือนบอกไม่ทัน” สิตางศุ์บอกพลางหันไปใช้สายตาดุๆ ปรามญาติสาว แล้วจึงรินน้ำเปล่าจากขวดยื่นส่งให้
“ขอบคุณครับคุณเดือน” คนเผ็ดรับแก้วน้ำมาดื่มจนหมดแก้ว ซึ่งก็ช่วยบรรเทาอาการเผ็ดลงได้แม้จะไม่ทั้งหมดก็ตาม
“เอ้อ ฉันขอโทษ เมื่อกี้เห็นคุณกำลังเผ็ดเลยเผลอส่งน้ำเย็นให้ ลืมไปว่าเวลาเผ็ดห้ามกินน้ำเย็น” คนรู้แต่แกล้งทำไม่รู้พูดเสียงอ่อน พร้อมกับทำหน้าจ๋อยๆ ราวกับสำนึกผิดก็ไม่ปาน
นายตำรวจหนุ่มหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับเหงื่อ มองหน้าจ๋อยๆ ของคนพูดแล้วโกรธไม่ลง หรือจะพูดให้ถูกคือไม่รู้สึกโกรธเลยต่างหาก ทำไมจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจงใจแกล้งเขา
“ครับ”
“คุณเมฆสั่งอาหารมาใหม่ดีไหมคะ ดาวสั่งแต่เผ็ดๆ มาทั้งนั้น” สิตางศุ์พูดอย่างนึกสงสารเลยถูกคนเป็นญาติส่งค้อนให้
“แหม ใช่ว่าจะมีแต่เผ็ดๆ เมื่อไหร่เล่า ปลาเนื้ออ่อนทอดกระเทียมก็ไม่เผ็ด หรือว่าคุณกินปลาชนิดนี้ไม่เป็น แต่ถ้าไม่เป็นก็ไม่แปลกหรอก เพราะปลาเนื้ออ่อนความจริงเป็นปลาพื้นบ้าน หรือจะเรียกว่าปลาบ้านนอกคงไม่ผิดนัก ที่บ้านแกเรียกว่าปลาชะโอนใช่ไหมเดือน”
สิตางศุ์พยักหน้า
“ใช่ ปลาชะโอน คุณเมฆเคยกินหรือเปล่าคะ”
คนถูกถามยิ้มแห้งๆ
“ว่าจะลองสั่งมากินหลายครั้งแต่ยังไม่เคยสั่งสักทีครับ แล้วผมก็เพิ่งรู้ว่าปลาชนิดนี้เป็นปลาบ้านนอก” ประโยคสุดท้ายของคนพูดเจือด้วยเสียงหัวเราะ แม้แต่ปลายังจัดเป็นปลาบ้านนอกได้ด้วยแฮะ อยากรู้นักว่าแล้วปลาในเมืองคือปลาอะไร
“ตามความเข้าใจของเดือน ปลาชนิดนี้น่าจะเรียกกันตามแต่ละพื้นที่มากกว่า บางที่ก็เรียกปลาเนื้ออ่อน แต่แถวบ้านเดือนเรียกปลาชะโอน รสชาติอร่อยค่ะ รับรองว่าคุณเมฆกินแล้วจะติดใจ”
“คุณผู้กองคงไม่ติดใจละมั้งปลาบ้านนอกแบบนี้ คงชินแต่พวกปลาเก๋า ปลาแซมอนมากกว่า”
อ้อ...ปลาในเมืองคงเป็นปลาเก๋ากับแซมอนที่เจ้าตัวประชดเขานั่นเอง ภาคินคิดตามอย่างขบขัน
ทว่ากัตติกาจงใจพูดสบประมาทออกไป เพียงเพราะอยากให้อีกฝ่ายกินแก้อาการเผ็ดจริงๆ ไม่ใช่หวังดีประสงค์ร้ายแต่อย่างใด ซึ่งก็เป็นไปตามที่คิด เมื่อเห็นตำรวจหน้าหล่อตักปลาเนื้ออ่อนทอดกระเทียมใส่จานและตักเข้าปากเคี้ยว
“อร่อยจริงๆ ครับ”
คนเพิ่งเคยกินชมเปาะและตักกินอีกหลายครั้งอย่างติดอกติดใจ ทว่าเมื่อหันไปมองทางสิตางศุ์ก็ต้องเบิกตากว้าง เมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังตักอาหารหน้าตาแปลกๆ คล้ายผัดกะเพราอะไรสักอย่างที่ถูกสับจนละเอียดเข้าปากเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย คนช่างจับผิดอย่างกัตติกาที่คอยจับสังเกตอยู่แล้ว เห็นดังนั้นก็ไม่รอช้าที่จะพูดกระแซะขึ้นว่า
“มองอย่างนี้คุณอยากรู้ละสิว่าที่เดือนกินคืออะไร”
คนถูกกระแซะหันไปมองคนถามพลางยิ้มบางๆ
“แสดงว่าคุณแอบมองผมอยู่ตลอดเวลาเหมือนกันละสิ ถึงรู้ว่าผมกำลังมองอะไรอยู่” ครั้นพูดไปแล้วคนพูดก็ให้รู้สึกแปลกใจนัก เพราะใช่ว่าตัวเขาเองจะทำเช่นนี้อยู่บ่อยครั้ง อย่าว่าแต่พูดต่อปากต่อคำเลย นี่เขากลายเป็นคนช่างพูดตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
“ใครแอบมอง...คุณ”
คนถูกกล่าวหาเถียงปากคอสั่น
“อ้าว...ก็ถ้าคุณไม่ได้แอบมองผมแล้วจะรู้ได้ไงว่าผมกำลังมองใคร แต่ถ้าไม่ได้มองก็แล้วไป”
คนแอบมองจริงๆ เถียงไม่ออก จึงได้แต่เสตักปลาเนื้ออ่อนทอดกระเทียมเข้าปากแล้วเคี้ยว...เคี้ยว ราวกับสิ่งที่เคี้ยวคือคนที่กล่าวหาตัวเองยังไงยังงั้น แม้จะรู้ว่าเป็นการกระทำที่ไม่น่าดูนักที่ทำต่อหน้าคนเพิ่งรู้จัก แต่ไม่เป็นไร เธอไม่ถูกชะตา ไม่ชอบหน้า ไม่แปลก กัตติกาหาเหตุผลให้ตัวเอง
“มองก็มอง” คนมองจริงยอมรับก่อนจะถามคำถามเดิมอีกครั้ง “แล้วคุณอยากรู้ไหมล่ะว่าที่เดือนกินคืออะไร”
“คุณอยากบอกผมก็จะฟัง” คนอยากรู้แต่ไม่อยากยอมรับบอก
“โอเค” กัตติกามองคนพูดอย่างหมั่นไส้พลางนึกในใจ ยอกย้อนเก่งเหมือนกันนี่หว่า เห็นตอนแรกนึกว่าจะจ๋องๆ “เขาเรียกว่าแย้ผัดเผ็ด”
คนที่รอฟังอ้าปากค้างแล้วเผลออุทานเสียงหลง
“แย้ผัดเผ็ด!”
“ใช่แล้วค่ะ แย้ผัดเผ็ด” คนตอบตอบเสียงหวานเกินความจำเป็น “ฉันบอกแล้วไงว่าเดือนน่ะกินอาหารพิสดารกว่าที่คุณคิดไว้เยอะ”
“ครับ พิสดาร”
นายตำรวจหนุ่มตอบรับคำด้วยท่าทีงงๆ มองหน้าสะสวยของสิตางศุ์อย่างคิดไม่ถึงจริงๆ ใครจะคิดว่าผู้หญิงสวยๆ ท่าทางเรียบร้อยเช่นเธอจะกินอาหารแบบนี้ได้
“หรือคุณคิดว่าแย้ผัดเผ็ดเนี่ยไม่ใช่อาหารพิสดารหรือไง”
“แย้ผัดเผ็ด”
นายตำรวจหนุ่มพูดคำเดิมซ้ำราวกับไม่เชื่อหูตัวเองและมองไปยังสิตางศุ์อีกครั้ง เพราะในบรรดาผู้หญิงที่เขารู้จัก ไม่ต้องถึงขั้นกินเป็น แค่พูดถึงก็พากันร้องยี้ด้วยความรังเกียจแล้ว แต่ผู้หญิงคนนี้กลับกินอย่างเอร็ดอร่อย
“หรือไม่เชื่อ?” กัตติกาพูดพลางยิ้มมุมปาก “เมื่อกี้ตอนฉันสั่ง คุณฟังไม่ทันหรือไงว่ามีอาหารชนิดนี้ด้วย”
คนถูกถามมองหน้าคนถามอย่างเข่นเขี้ยว เขาไม่ทันได้ฟังจริงๆ หรือจะบอกให้ถูกคือเขาฟังไม่ทันต่างหาก ก็แม่เจ้าประคุณเล่นสั่งรัวๆ ใครจะฟังทัน แล้วจะให้เขาตอบว่าอะไรนอกจากคำว่า
“ครับ”
สิตางศุ์วางช้อนลง มองสีหน้าแปลกๆ ของนายตำรวจแล้วอดยิ้มขำไม่ได้ เพราะไม่ใช่แค่เขาคนเดียวที่คิดว่าคนอย่างเธอไม่น่ากินอาหารจำพวกนี้ได้ ยังมีอีกหลายคนที่คิดเช่นนี้รวมทั้ง...
“ที่ดาวพูดน่ะถูกแล้วค่ะ ที่เดือนกินคือแย้ผัดเผ็ด”
ภาคินยิ้มแห้งๆ มองไปยังอาหารที่ว่าอีกครั้งแล้วทำหน้ากระอักกระอ่วน
“ผมไม่นึกว่าคุณเดือนจะกินเป็นครับ”
คนชอบกินอาหารพิสดารยิ้มบางๆ
“กินเป็นเพราะกินตามบรรดาลูกน้องของตาที่เป็นคนทางภาคอีสานน่ะค่ะคุณเมฆ อย่างที่บอกไงคะว่า พื้นเพเดือนเป็นคนต่างจังหวัด แล้วแถบนั้นจะมีอาหารป่ามากมายที่คุณเมฆอาจไม่เคยกินมาก่อน อย่างแย้ผัดเผ็ดเนี่ยไม่ได้กินบ่อยหรอกค่ะ แทบจะนับครั้งได้”
“อ้อ...ครับ”
คนเป็นตำรวจพูดเสียงอ่อย แม้ตัวเขาจะเป็นตำรวจและเคยฝึกฝนอย่างหนักสมัยเรียนโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ทั้งยังเคยเห็นตัวที่ว่านั่นหลายต่อหลายครั้ง แต่เขาก็ไม่นึกว่าแย้ที่แค่ได้ยินชื่อก็ต้องร้องยี้จะกลายเป็นอาหารจานเด็ดไปได้
“คุณลองกินไหมล่ะ อร่อยนะ” กัตติกาเอ่ยเชิญชวนพลางตักอาหารที่บอกให้อีกฝ่ายลองกินเข้าปากเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย ทั้งที่ตัวเองก็เพิ่งกินเป็นไม่นาน และตอนแรกที่กินก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นแย้
“ไม่ดีกว่าครับ”
อย่างกบยังเป็นสัตว์ที่ถูกนำมาทำเป็นอาหารขึ้นโต๊ะที่เขาคุ้นเคยถึงไม่เคยสั่งกินก็ตาม แต่แย้เขาคงต้องขอลา เสียศักดิ์ศรีก็ต้องยอมละ แย้กินไม่ได้พอกันกับศักดิ์ศรีนั่นแหละ
“แต่หน้าคุณเหมือนอยากกินเลยนี่คะ” กัตติกายุ
“คุณมองหน้าก็รู้ถึงใจผมอีกแล้วนะครับคุณกัตติกา”
นายตำรวจหนุ่มพูดพลางอมยิ้ม ทำเอาสิตางศุ์ที่นั่งเท้าคางมองทั้งสองต่อปากต่อคำกันถึงกับยิ้มอย่างขบขัน ตอนนี้ถ้าเปรียบเธอคงเป็นได้เพียงแค่ตัวประกอบเท่านั้น ตกลงว่าคนที่นายตำรวจนัดมากินอาหารคือคนเป็นญาติ ส่วนเธอกลายเป็นแขกไม่ได้รับเชิญแทนซะงั้น
ดูแล้วแปลกดีไหมล่ะ หรือว่า...
“ใครรู้ใจคุณกัน อย่ามาพูดมั่วๆ”
“ครับ มั่วก็มั่ว” คนยอมรับว่าตัวเองพูดมั่วมองไปทางอาหารอีกจานที่เขาพอจะรู้ว่าเป็นอะไร เพราะเพื่อนเคยสั่งมากิน ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีใครแตะต้องก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “ผมยอมแพ้เรื่องแย้ผัดเผ็ด แล้วปลาไหลผัดเผ็ดนี่คุณเดือนก็กินเป็นหรือครับ”
อาหารที่ว่าถึงแม้เขาไม่นิยมกินนักแต่ก็พอกินได้อยู่
“เป็นค่ะ แต่ไม่ค่อยชอบกินนัก” สิตางศุ์ตอบยิ้มๆ “มันคล้ายงูเกินไปค่ะ”
คำว่าคล้ายงูเกินไปมีผลกับกัตติกาอย่างยิ่ง จนเธอเกือบจะขย้อนเอาอาหารที่กินเข้าไปแล้วออกมา เพราะเธอเองก็รู้สึกเช่นนั้น แต่ที่สั่งไปจุดประสงค์เพื่อแกล้งนายตำรวจหนุ่มเท่านั้น แต่ตัวเองนั้นไม่กินและไม่เคยนึกอยากจะลองกิน
และช่างบังเอิญที่คนนั่งตรงกันข้ามอย่างผู้กองหนุ่มเห็นท่าทางของหญิงสาวเข้า จึงเป็นเรื่องสบโอกาสของเขาที่กำลังคิดหาทางจะเอาคืนเข้าพอดี
“ดูท่าทางคุณกัตติกาน่าจะชอบปลาไหลผัดเผ็ดนะครับ”
คนถูกหาว่าชอบสะดุ้งโหยงเพราะกำลังคิดเรื่องนี้อยู่ในใจพอดิบพอดี แต่จะให้เลียนแบบคำพูดของเขาที่ว่า คุณรู้ใจฉันขนาดนี้เชียวหรือ ก็...ไม่มีทาง แต่จะให้เธอตอบว่าใช่ ก็ไม่มีทางอีกเช่นกัน
“กินเป็นแต่ไม่ชอบกินเหมือนเดือนค่ะ”
“ผมไม่ได้ถามว่าคุณกินเป็นหรือไม่เป็น แค่บอกว่าท่าทางคุณน่าจะชอบ แต่ตอบแบบนี้แสดงว่าคุณกินไม่เป็นแน่นอน”
“คุณรู้ได้ไง” กัตติกาเผลอหลุดแบไต๋ตัวเองออกไปโดยไม่รู้ตัว
ความคิดเห็น |
---|