คำพูดท้ายประโยคของคนเป็นเจ้านายมีผลทำให้มือของสิตางศุ์เย็นเฉียบจนรู้สึกได้ กระทั่งต้องบีบมือทั้งคู่เข้าเข้าหากันเพื่อผ่อนคลาย ทว่าภายในหัวใจกลับกระตุกวาบและเต้นกระหน่ำ จนต้องยกมือเย็นเฉียบของตัวเองขึ้นทาบทับ ไม่กล้าแม้แต่จะหันไปมองคนมาใหม่เหมือนเช่นคนอื่น
เป็นไปได้ไหมที่จะมีคนชื่อจริงกับชื่อเล่นซ้ำกัน ขอให้เป็นแค่ชื่อจริงกับชื่อเล่นซ้ำกันเท่านั้นเถอะ
ได้แต่วาดหวังว่าโลกคงไม่กลมเกลี้ยงถึงเพียงนั้นหรอกน่า ชื่อคนอาจจะมีชื่อซ้ำกันบ้างแหละ ทุกอย่างในโลกล้วนมีแต่เรื่องคาดไม่ถึงทั้งสิ้น
สิตางศุ์ปลอบใจตัวเองพลางกดมือลงเบาๆ ตรงตำแหน่งหัวใจที่กำลังเต้นกระหน่ำไปด้วย
ทว่า...
เสียงทุ้มๆ คุ้นหูที่สิตางศุ์ได้ยินในวินาทีต่อมา ทำเอาสิ่งที่กำลังปลอบใจตัวเองพังครืนลง ความหวังค่อยๆ ดับสลาย กลายเป็นความสิ้นหวังขึ้นมาแทนทันที
เพราะเสียงที่ได้ยิน ต่อให้ไม่ได้ยินมาหลายปี แต่มีหรือเธอจะจำไม่ได้
“สวัสดีครับทุกคน ผมชื่อนภเกตน์ เป็นวิศวกรคนใหม่ ยินดีที่ได้รู้จักและร่วมงานกับทุกคนนะครับ”
นภเกตน์
ทำไมต้องเป็นเขาด้วยนะ เป็นคนอื่นที่ชื่อพ้องหรือคล้ายกันไม่ได้หรือไง โลกช่างไม่ยุติธรรมสำหรับเธอจริงๆ
คนใจร้าย คนใจดำ เธอเกือบจะลืมเขาได้อยู่แล้วเชียว!
แต่เกือบจะลืมจริงๆ หรือสิตางศุ์ เพราะเกือบ...ความหมายคือยังลืมไม่ได้
เสียงปรบมือต้อนรับดังขึ้นเกรียวกราวอยู่รอบตัว แต่ไม่ได้ทำให้สิตางศุ์ตื่นจากภวังค์ความคิด และเงยหน้าจากถ้วยกาแฟที่กำลังจับจ้องอยู่แม้แต่น้อย ทั้งที่ภายในถ้วยนั้นไม่เหลือกาแฟแม้สักหยด หญิงสาวไม่ได้ยกมือขึ้นปรบเหมือนคนอื่นแต่อย่างใด
ราวกับถ้วยกาแฟตรงหน้ามีสิ่งที่น่าสนใจมากกว่าวิศวกรคนใหม่ซึ่งหน้าตาหล่อเหลาราวกับพระเอกซีรีส์ ที่ทุกคนกำลังให้ความสนใจกระนั้น กระทั่งถูกสะกิดเบาๆ จากพันทิพย์ที่นั่งอยู่ข้างๆ
“น้องเดือน ถึงคิวต้องแนะนำตัวเองแล้วจ้ะ”
คนถูกสะกิดสะดุ้งโหยงอย่างห้ามไม่อยู่ ก่อนจะรวบรวมสติทั้งมวลของตัวเองที่ไม่รู้ว่าเตลิดเปิดเปิงไปถึงไหนต่อไหนให้รีบกลับมาโดยเร็ว แล้วมองไปยังร่างสูงของวิศวกรคนใหม่ที่นั่งอยู่ข้างผู้เป็นเจ้านาย
“ชื่อสิตางศุ์ เป็นเจ้าหน้าที่ประสานงานการก่อสร้างค่ะ”
“คุณเดือนเป็นอะไรไปหรือเปล่า ผมเห็นเอาแต่จ้องถ้วยกาแฟ” ธนบดีถามลูกน้องสาวคนเก่งยิ้มๆ
“ปละ...เปล่าค่ะ เดือนมัวแต่คิดอะไรอยู่เพลินๆ” คนถูกถามตอบด้วยเสียงที่พยายามบังคับไม่ให้สั่น แต่แม้จะบังคับตัวเองเพียงใดเสียงก็ยังอดสั่นไม่ได้
“คุณสิตางศุ์อาจไม่อยากรู้จักผมก็ได้ครับพี่เอก” นภเกตน์พูดเสียงเข้ม พลางจ้องหน้าสะสวยของหญิงสาวเจ้าของนามสิตางศุ์เขม็ง
ซึ่งคนถูกจ้องก็ไม่ได้หลบสายตาแต่อย่างใด ทั้งที่เวลานี้หัวใจของเธอเต้นกระหน่ำราวกับกลองเพล นึกอยากจะตอบออกไปนักว่า
ใช่แล้ว...ฉันไม่อยากรู้จักเลยสักนิดคุณนภเกตน์
แต่นั่นเป็นเพียงความคิดภายในใจเท่านั้น สิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือ ข่มความรู้สึกและย้อนถามเสียงเข้มไม่แพ้กันออกไป
“ทำไมคุณนภเกตน์ถึงคิดว่าฉันไม่อยากรู้จักล่ะคะ”
คนถูกย้อนถามส่งยิ้มยียวนกวนประสาท ขัดกับดวงหน้าหล่อเหลาติดดุๆ ของเจ้าตัวยิ่งนัก
“แล้วเป็นอย่างนั้นจริงๆ หรือเปล่าล่ะครับ คุณ...สิตางศุ์” คนพูดจงใจเน้นย้ำชื่อของหญิงสาวเช่นกัน ทั้งนึกอยากจะบีบจมูกโด่งที่กำลังเชิดนั่นนัก รวมทั้งเรียวปากอวบอิ่มน่าสัมผัสนั่นด้วย
เรียวปากที่เคยคุ้นในความทรงจำ
“ฉันเป็นคนมีมารยาทพอที่จะไม่ตอบอะไรตามใจคิดหรอกค่ะ”
นภเกตน์หัวเราะออกมาเบาๆ ทว่าสีหน้ากลับไร้ซึ่งรอยยิ้ม
“นั่นไงล่ะ คนเรามักจะพูดอะไรไม่ตรงกับใจเสมอ คุณไม่อยากรู้จักผมจริงๆ นั่นแหละ ไม่อย่างนั้นคงไม่พูดคำว่ามีมารยาทพอที่จะไม่ตอบอะไรตามใจคิด แสดงว่าใจคุณคิดอย่างหนึ่งแต่ตอบอีกอย่างหนึ่งใช่ไหมครับคุณสิตางศุ์”
ธนบดีฟังลูกน้องคนเก่ากับลูกน้องคนใหม่ปะทะคารมกันอย่างงุนงง ก่อนจะยกมือขึ้นห้าม
“อะไรกันสองคนนี้ เพิ่งเจอหน้าก็ทำท่าจะวางมวยกันซะแล้ว เหมือนรู้จักกันมาก่อนอย่างนั้นแหละ”
คนเป็นเจ้านายถามโดยไม่ได้คิดอะไร แต่สิตางศุ์ที่ใจคอไม่ค่อยอยู่กับเนื้อตัวก็รีบพูดปฏิเสธออกไปทันที
“ไม่รู้จักค่ะ”
“ครับ”
คำตอบประโยคหลังเป็นของนภเกตน์ ซึ่งแกล้งพูดกำกวมด้วยสีหน้ายียวนกวนประสาทเช่นเดิม คำว่าครับของเขานั้นแปลได้สองความหมาย จะรู้จักก็ได้ไม่รู้จักก็ได้
คนเป็นเจ้านายฟังคำตอบแล้วก็มองหน้าทั้งสองสลับกันไปมาด้วยสายตาไม่เข้าใจนัก นึกสงสัยคำตอบของรุ่นน้องคนสนิทไม่น้อยกับคำว่า...ครับ แต่ก็อดใจเอาไว้ก่อน ยังไม่ถามในตอนนี้
“เอาละ ทีนี้ทุกคนก็รู้จักผู้ร่วมงานคนใหม่กันแล้วนะครับ คุณนภเกตน์นอกจากจะเป็นรุ่นน้องผมที่มหาวิทยาลัยในเมืองไทยแต่ห่างกันหลายรุ่นแล้ว ยังจบโทมหาวิทยาลัยเดียวกับผมที่อเมริกาอีก ที่สำคัญเคยทำงานในบริษัทรับสร้างบ้านชั้นนำของที่นั่นด้วยกัน ทำให้ผมรู้ฝีมือการทำงานของเจ้าตัวเป็นอย่างดี ทุกคนอย่าได้คิดเชียวว่าคุณนภเกตน์มาทำงานที่นี่ได้เพราะเส้นใหญ่ ต้องบอกว่าผมโชคดีต่างหากที่ได้ตัวเขามาทำงานด้วย”
“พี่เอกก็พูดยอผมเกินไป” คนถูกชมพูดด้วยสีหน้ายิ้มๆ ก่อนส่งยิ้มให้ผู้เข้าประชุมทุกคน “ยินดีอีกครั้งนะครับที่ได้ร่วมงานกับทุกคน” ก่อนจะชำเลืองไปยังใครบางคนที่นั่งนิ่งเหมือนไม่ยินดียินร้ายกับคำพูดของเขา
ใครคนนั้นที่ถูกชำเลืองมองและใช่ว่าจะไม่รู้ว่ากำลังถูกมอง ฟังแล้วเกือบจะพูดโพล่งออกไปอยู่แล้วว่า ฉันไม่เห็นจะยินดีเลยสักนิด! แต่ยั้งปากไว้ได้ทัน นึกอยากให้ระยะห่างระหว่างเก้าอี้ของเธอกับเขาห่างไกลกันมากกว่านี้นัก
จะได้ไม่ต้องมานั่งจ้องหน้ากันอย่างใกล้ชิดอย่างที่กำลังเป็นอยู่ เพราะกลัวว่าสีหน้าและดวงตาของเธอจะเผยความในใจของตัวเองออกไปให้เขาอ่านได้น่ะสิ ดังนั้นสิ่งที่ควรทำในตอนนี้คือตั้งอกตั้งใจฟังคนเป็นเจ้านายพูด ห้ามมองไปทางอื่นเป็นอันขาด
“ที่ผมเรียกประชุมในวันนี้ นอกจากจะพาวิศวกรคนใหม่มาแนะนำให้ทุกคนรู้จักแล้ว ยังมีเรื่องสำคัญอีกเรื่องซึ่งนับเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่ง นั่นก็คือไตรมาสแรกของบริษัท เราสามารถทำยอดขายได้มากกว่าที่ตั้งไว้...”
ธนบดียังพูดไม่ทันจบเสียงเฮก็ดังขึ้นซะก่อน คนเป็นเจ้านายยิ้มกว้างก่อนจะพูดต่อ
“ดังนั้นเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจในการทำงาน ผมจะจัดทริปไปเที่ยวทะเลสำหรับพนักงานทุกคน ทุกอย่างฟรีไม่ต้องเสียเงิน”
ทุกคนพากันร้องเฮขึ้นอีกครั้งอย่างพร้อมเพรียง โดยเฉพาะนิภาภัทรนั้นถามออกไปด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“ที่ไหนและเมื่อไหร่คะคุณเอก”
“เรื่องวันที่จะไป เดี๋ยวผมขอดูวันหยุดก่อน ถ้ามีวันหยุดติดกันสาม ผมจะแถมให้อีกสองเป็นห้า” คนเป็นนายบอกอย่างใจป้ำจึงได้รับการตอบรับเป็นเสียงเฮดังลั่น
“คุณเอกยังไม่บอกเลยนะคะว่าที่ไหน” นิภาภัทรคนเดิมเอ่ยถาม น้ำเสียงยังคงตื่นเต้นไม่หาย
“หัวหินครับ”
ทุกคนในห้องประชุมพากันส่งเสียงร้องกรี๊ดกร๊าดอย่างดีอกดีใจ คงมีเพียงสิตางศุ์เท่านั้นที่นั่งนิ่งงัน หัวหินเหรอ ที่นั่นมันถิ่นความหลังของเธอ ใครอยากจะไปกันเล่า แถมคนที่เป็นต้นเหตุในตอนนั้นก็อยู่ในที่นี้ด้วย
แล้วจะให้เธอตีหน้ายังไง ตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จว่าอยากไปเหมือนคนอื่นน่ะเหรอ
ไม่ไปได้ไหมล่ะเนี่ย!
และไม่รู้เป็นเพราะอะไรทำให้หญิงสาวหันไปมองยังคนนั่งตรงข้าม ก็เห็นดวงตาของอีกฝ่ายเป็นประกายวาววับราวกับยิ้มได้ นี่ถ้ามีเวทมนตร์แบบแม่มดในเทพนิยาย จะขอสาปให้อีกฝ่ายตาบอดไปเลย จะได้ไม่ต้องมามองเธอด้วยสายตาเช่นนี้
“เอ...ทำไมน้องเดือนนั่งเงียบล่ะ ไม่เห็นจะดีใจเหมือนคนอื่นเลย”
พันทิพย์ที่นั่งจับสังเกตอยู่เอ่ยถามอย่างสงสัย และยังไม่ทันที่สิตางศุ์จะตอบอะไรออกไป นภเกตน์ที่นั่งมองอยู่ก็พูดขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มที่มุมปากอย่างมีเลศนัย
“คุณสิตางศุ์อาจไม่ชอบหัวหินหรือไม่อยากไปกระมังครับ”
สิตางศุ์นึกอยากจะพูดตอบออกไปตามใจคิดนักว่า ใช่ ฉันไม่ชอบและไม่อยากไป ตอนนี้ไม่ได้นึกอยากมีเวทมนตร์อะไรเหมือนความคิดก่อนหน้า แต่นึกอยากยกมือขึ้นข่วนหน้าขาวๆ ของคนถามให้เกิดริ้วรอยนักเอาให้ลายพร้อยเลยยิ่งดี
ทำไมเธอจะอ่านรอยยิ้มมุมปากของเขาไม่ออกว่าหมายความว่าอย่างไร
ทว่าเมื่อมองไปยังบรรดาเพื่อนร่วมงานที่สีหน้าฉายแววตื่นเต้นดีใจ อีกทั้งรอฟังคำตอบของเธอ ก็จำต้องกลืนคำพูดที่ว่าลงท้องไปแล้วตอบว่า
“ก็...ไม่ถึงกับไม่ชอบ แค่เบื่อทะเลเท่านั้น...ค่ะ”
“อ้อ แค่เบื่อทะเล ผมนึกว่ามีเหตุผลอื่นนอกจากนี้ซะอีก”
นภเกตน์พูดพลางพยักหน้ายิ้มๆ นึกอยากจะตอแยถามต่อ แต่ต้องสะกดกลั้นความต้องการลง บอกตัวเองให้รอไปก่อน ยังมีเวลาให้เขาทำอย่างนั้นอีกเยอะ เขาชอบดวงตาวาววับเวลาฉายแววโกรธขึ้งของเจ้าตัวนักหนา เพราะถ้ายังแสดงท่าทีแบบนี้แสดงว่าเยื่อใยยังคงอยู่ ไม่ใช่ตัดเยื่อใยอย่างที่นึกหวั่น
“ค่อยยังชั่วหน่อย ผมก็นึกว่าคุณเดือนไม่ชอบหัวหินซะแล้ว ผมก็เลือกแล้วเลือกอีกว่าจะไปที่ไหนดี อย่างพัทยาก็คนเยอะพลุกพล่าน แล้วทะเลก็ไม่ค่อยสวยเหมือนเมื่อก่อน และเหตุผลที่ผมเลือกหัวหินเพราะผมมีบ้านพักอยู่นั่นด้วย จะได้สะดวกสำหรับทุกคน” ธนบดีพูดยิ้มๆ เรียกความสนใจจากหลายๆ คนได้อีกครั้ง
“รู้แล้ว ที่คุณเดือนเบื่อทะเลเป็นเพราะบ้านคุณเดือนอยู่เมืองจันท์ซึ่งเป็นจังหวัดชายทะเลแน่เลย เอาไว้หนูเล็กต้องหาโอกาสไปเที่ยวบ้างแล้วค่ะ หนูเล็กชอบทะเลทุกที่”
“ก็ทำนองนั้นแหละค่ะ” สิตางศุ์รับสมอ้างซะเลย
“ถ้าอย่างนั้นดีเลย เอาไว้เราไปซื้อเสื้อผ้าสำหรับไปเที่ยวทะเลกันดีกว่านะจ๊ะ” พันทิพย์พูดชวนน้ำเสียงกระตือรือร้น และก็ได้รับการพยักพเยิดจากคนอื่นๆ ซึ่งสิตางศุ์เห็นท่าทางของแต่ละคนก็ได้แต่ลอบถอนหายใจก่อนจะพยักหน้า
“ได้ค่ะ”
ตอบแล้วก็พยายามเมินไม่มองไปยังคนนั่งฝั่งตรงกันข้าม แค่เจอหน้าโดยไม่คาดฝันก็ทำให้ใจที่เริ่มสงบกลับมาวุ่นวายอีกครั้ง ยังจะต้องกลับไปยังสถานที่ที่เคยมีความหลังร่วมกันอีก
สิตางศุ์อยากจะร้องกรี๊ดนัก!
เหตุใดฟ้าจึงกลั่นแกล้งเธอเช่นนี้
ร่างสูงสง่าของนภเกตน์ก้าวยาวๆ ตามหลังธนบดีเข้าไปในห้องทำงานของอีกฝ่าย ซึ่งเป็นรุ่นพี่ที่สนิทสนมกับเขามาก่อน ตั้งแต่สมัยเรียนอยู่เมืองไทยรวมทั้งตอนเรียนต่างประเทศ และยังเคยทำงานด้วยกัน อีกทั้งตอนนี้ยังมีสถานะเพิ่มขึ้นเป็นเจ้านายคนใหม่ ก่อนจะพับแขนเสื้อเชิ้ตสีชมพูอ่อนทั้งสองข้างไว้ตรงข้อศอก เผยให้เห็นท่อนแขนขาวจัดบ่งบอกให้รู้ว่าเพิ่งมาจากเมืองหนาว แล้วเอนกายกึ่งนั่งกึ่งนอนลงบนโซฟารับแขกสีดำตัวนุ่มด้วยท่วงท่าสบายๆ ดวงหน้าหล่อเหลาเผยรอยยิ้มละไม
“เอ็งเป็นอะไรไปวะซัน” ธนบดีเอ่ยถามขณะทรุดนั่งข้างๆ พลางเขม้นมองหน้ารุ่นน้องหนุ่มเขม็ง
“เป็นอะไรของพี่เอกคืออะไรหรือครับ” คนถูกถามย้อนถามพลางเลิกคิ้วเข้มขึ้นสูง ดวงหน้าหล่อจัดยังคงเจือด้วยรอยยิ้มบางๆ ทำท่าทางไม่รู้ไม่ชี้ ทั้งที่พอจะคาดเดาความหมายของอีกฝ่ายได้
“ไอ้ซัน...” ธนบดีใช้คำนำหน้าชื่ออย่างหมั่นไส้ มองใบหน้าเจือรอยยิ้มของอีกฝ่าย แล้วส่ายหน้าไปมาอย่างขัดอกขัดใจ “ไม่ต้องมาเฉไฉทำเป็นไม่รู้เรื่องเลยนะ ปกติพี่เห็นเอ็งเก็บอารมณ์เก่งจะตาย แล้วไหงตอนอยู่ในห้องประชุมถึงพูดจากวนประสาทคุณเดือนแบบนั้นวะ”
“ผมนี่นะกวนประสาท!” คนถูกกล่าวหาย้อนถามเสียงสูง “ผมกวนประสาทตรงไหนกันครับ คุณเดือนของพี่เอกน่ะทำสีหน้าท่าทางเหมือนไม่อยากรู้จักผมจริงๆ นี่ครับ”
คนพูดพูดด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ ทว่าภายในใจนั้นตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง นึกถึงคำพูดของเจ้าตัวที่พูดโพล่งออกมาเต็มปากเต็มคำว่าไม่รู้จักแล้วขัดเคืองใจยิ่งนัก
ทำเป็นไม่รู้จักเขาใช่ไหม ทำให้ได้ตลอดรอดฝั่งแล้วกันนะ...สิตางศุ์
“ก็เอ็งเล่นพูดออกไปอย่างนั้นเองนี่หว่า เป็นพี่ก็ต้องตอบอย่างนั้นแหละ แล้วปกติคุณเดือนเป็นคนใจเย็นจะตาย ไม่งั้นคงทำงานตำแหน่งที่ต้องประสานงานกับทุกแผนกไม่ได้หรอก”
ดวงหน้าขาวจัดมีสีชมพูระเรื่อแต้มประปรายเงยหน้าขึ้นมองคู่สนทนา ที่นั่งไขว่ห้างอยู่ข้างๆ
“เจ้าหน้าที่ประสานงานการก่อสร้างเหรอครับพี่เอก” ถามออกไปด้วยสีหน้าหมายมาด นัยน์ตาดำคมทอประกายวับวาว
“ใช่น่ะสิ ชื่อก็แปลตรงความหมายอยู่แล้ว”
“แสดงว่าต้องทำงานร่วมกับผมเอ้อ...หมายถึงกับทุกแผนกใช่ไหมครับ” พยายามบังคับน้ำเสียงที่ถามให้ราบเรียบเป็นธรรมชาติที่สุดเท่าที่จะทำได้
“ใช่” ธนบดีพยักหน้า “โดยเฉพาะกับวิศวกรอย่างเอ็ง”
คนรับฟังปิดบังซ่อนเร้นอาการยินดีปรีดาไว้ภายในใจอย่างสุดฤทธิ์ ภายใต้สีหน้าเรียบสนิทไม่ยินดียินร้าย ทว่าก็ยังหลุดอาการพูดอึกอักออกไปจนได้
“หรือ…ครับ”
“น้ำเสียงเอ็งฟังแล้วดูแปลกๆ นะซัน” คนช่างสังเกตอย่างธนบดีมีหรือจะจับไม่ได้
“อ้าว...พี่เอก หาเรื่องผมซะแล้ว” นภเกตน์แกล้งพูดโวยวายกลบเกลื่อนอาการ “เมื่อกี้ก็ว่าผมพูดจากวนประสาท ตอนนี้ก็ว่าน้ำเสียงผมแปลกๆ อีก”
คราวนี้คนคอยจับสังเกตหัวเราะออกมาเบาๆ
“ก็เอ็งพูดอึกๆ อักๆ มันไม่สมกับเป็นเอ็งเลยนี่หว่า”
“แล้วเป็นผมต้องเสียงเป็นยังไงล่ะครับถึงจะเหมาะ”
คำถามของรุ่นน้องหนุ่มทำเอาคนเป็นรุ่นพี่และพ่วงด้วยตำแหน่งเจ้านายตวัดสายตามองหน้าคนถาม ก่อนจะหัวเราะเสียงดัง
“ไม่รู้ว่ะ เอาละพี่เลิกจับผิดเสียงเอ็งดีกว่า จับไปก็เท่านั้น” ธนบดีไม่อยากบอกออกไปว่าถึงจ้องจับผิดยังไงก็คงจับยาก
“นี่ไง พี่เอกพูดออกมาเองว่าจ้องจับผิดผมอยู่”
คนจ้องจับผิดจริงโบกมือว่อน
“เอาละ เลิกพูดเรื่องนี้ได้แล้ว มาเข้าเรื่องงานดีกว่า พี่ขอบใจเอ็งมากนะซันที่เลือกมาทำงานบริษัทพี่ ได้ข่าวว่าทางแลนดีโฮมก็ทาบทามเอ็งเหมือนกันนี่นา”
แลนดีโฮมที่ธนบดีพูดถึงเป็นบริษัทที่ประกอบธุรกิจในแนวทางเดียวกันกับบริษัทของเขา และถือว่าเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวอีกบริษัทหนึ่ง ซึ่งนภเกตน์ฟังแล้วก็เผยรอยยิ้มบางๆ
“บังเอิญผมมีคนรู้จักทำงานที่นั่นครับ ทางเจ้าของเลยส่งมาทาบทาม แต่ผมก็ต้องเลือกทำงานกับบริษัทที่ตัวเองรู้จักและคุ้นเคยกับเจ้าของเป็นอันดับแรกอยู่แล้ว”
สิ่งที่ชายหนุ่มพูดแม้จะเป็นความจริงแต่ว่าไม่ใช่ทั้งหมด เหตุผลที่เขาเลือกทำงานในบริษัทของรุ่นพี่นั้น เป็นเพราะมีสิ่งสำคัญยิ่งจนดึงดูดหัวใจเขาให้ก้าวเข้าหา
มีเขาเท่านั้นที่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร! ซึ่งเป็นแรงจูงที่ทำเอาใจของเขาที่เคยด้านชาเริ่มเต้นตุบๆ จนสั่นระริกเลยทีเดียว
“แล้วเอ็งพร้อมจะมาเริ่มทำงานเมื่อไหร่”
“พรุ่งนี้ครับพี่เอก” คนตอบตอบโดยไม่ต้องหยุดคิดเลยแม้แต่น้อย ถ้าเป็นไปได้เขาอยากทำวันนี้เลยด้วยซ้ำ
“โอเค ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพี่จะได้ให้คนจัดห้องทำงานไว้ให้ อยากได้อะไรเพิ่มเติมก็บอกได้เลย จะจัดให้ตามนั้น”
“ขอบคุณครับ”
นภเกตน์พูดขอบคุณด้วยสีหน้าเจือรอยยิ้มบางๆ เช่นเคย ซึ่งรอยยิ้มที่ว่าธนบดีมองแล้วรู้สึกขัดใจอย่างบอกไม่ถูก
“เอ็งจะยิ้มแบบเต็มหน้าบ้างไม่ได้หรือไงวะซัน ยิ้มแบบนี้พี่เห็นแล้วขัดใจว่ะ”
“อ้าว” คนถูกต่อว่าเรื่องยิ้มร้องอ้าวก่อนจะยิ้มกว้างจนเต็มหน้า “พี่เอกนี่ยังไง เมื่อกี้ก็ว่าเสียงผม ตอนนี้ว่าเรื่องยิ้มอีกแล้ว จะจับผิดผมไปถึงไหนกัน”
“ถ้าเอ็งยิ้มแบบนี้แต่แรกพี่ก็ไม่ต้องว่าแล้ว”
“ครับ ต่อไปผมจะพยายามยิ้มอย่างที่พี่ต้องการ”
ธนบดีหรี่ตามองหน้ารุ่นน้องคนสนิทแล้วยิ้มน้อยๆ
“ว่าแต่กลับมาอยู่เมืองไทยอย่างถาวรแบบนี้แฟนเอ็งคงจะดีใจมากสินะ”
คนถูกถามไม่ได้ยิ้มตามไปด้วย รอยยิ้มกว้างก่อนหน้านี้สูญสลายกลายเป็นสีหน้าเรียบเฉยขึ้นมาทันควัน
“แฟน? พี่เอกหมายถึงใครหรือครับ”
“อ้าว...จะหมายถึงใคร ก็หมายถึงคุณแจนไง เมื่อวานพี่ยังเจอแถวสยามตอนไปกินข้าวกับลูกค้าอยู่เลย ตอนแรกยังนึกว่าผู้ชายที่ไปด้วยเป็นเอ็ง แต่ไม่ยักใช่” ธนบดีบอกยิ้มๆ ไม่ได้สังเกตสีหน้าและน้ำเสียงของคนฟังแต่อย่างใด
“ผมบอกพี่เอกตอนนี้เลยนะครับว่า แจนไม่ใช่แฟนผม ไม่ว่าตอนนี้หรือตอนไหน”
นภเกตน์บอกเสียงเข้มไม่ต่างจากสีหน้า ทำเอาหัวคิ้วของธนบดีขมวดเข้าหากันอย่างงุนงงระคนแปลกใจ
“ไม่ใช่แฟนนี่นะ เห็นควงกันตั้งแต่ตอนอยู่ที่โน่นนี่หว่า อย่างนี้ไม่เรียกว่าแฟนแล้วจะให้เรียกว่าอะไรวะ”
บุคคลที่สามที่กำลังถูกพูดถึงคือ แจน จารวี นางแบบสาวชื่อดัง ที่ธนบดีเคยเห็นอยู่กับนภเกตน์ ตอนเขาไปต่างประเทศแล้วแวะหาอีกฝ่ายเมื่อครั้งก่อน กระทั่งเข้าใจผิดคิดว่าเจ้าตัวคือแฟนนั่นเอง
“คู่ควงก็คือคู่ควง ไม่ถือหรือนับว่าเป็นคู่ครองหรอกครับ” นภเกตน์พูดเน้นย้ำคำว่าคู่ควงกับคู่ครอง “ตัวแจนเองก็ไม่ได้คบผมเพียงคนเดียว”
“อ้อ” ธนบดีพยักหน้าอย่างเข้าใจ ถ้าอย่างนั้นผู้ชายที่เขาเจอเมื่อวานคงเป็นคู่ควงของจารวีเป็นแน่
“แล้วพี่เอกบอกแจนไปหรือเปล่าว่าผมกลับมาแล้ว”
“อ้าว พูดแบบนี้แสดงว่าเอ็งไม่ได้บอกคุณแจนหรือไงว่ากลับมาแล้ว อย่างงี้นี่เอง พอพี่พูดถึงเอ็งขึ้นมาถึงได้ทำหน้าแปลกๆ”
“ไม่ได้บอกหรอกครับ”
“เวรจริงๆ พี่ไม่รู้นี่หว่าว่าเอ็งปิด ดันเผลอบอกออกไปแล้ว”
นภเกตน์ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะตอบน้ำเสียงไม่ยี่หระ
“ไม่เป็นไรหรอกครับ บอกก็บอก”
“พี่อยากจะรู้นักว่าผู้หญิงคนไหนที่เอ็งถือหรือนับว่าเป็นคู่ครอง ไม่ใช่คู่ควง”
ธนบดีพูดแล้วก็มองหน้ารุ่นน้องหนุ่มนิ่งๆ จากที่สนิทสนมกันจึงรู้ภูมิหลังของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี นภเกตน์นั้นมาจากตระกูลนักการทูต บิดาเป็นเอกอัครราชทูตซึ่งเวลานี้ประจำอยู่ที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย เพราะความพรั่งพร้อมด้วยรูปสมบัติอันโดดเด่น คุณสมบัติเลอเลิศ และสุดท้ายทรัพย์สมบัติมหาศาล จึงไม่แปลกที่เจ้าตัวจะเป็นที่หมายปองของหญิงสาวทั้งหลาย
“ไม่นาน...พี่เอกก็จะเห็นเองครับ”
นภเกตน์ตอบพลางลุกขึ้นเดินไปยืนกอดอกตรงหน้าต่าง หลังจากนั้นรอยยิ้มที่ไม่ค่อยมีใครได้เห็นนักก็ค่อยๆ ผุดออกมาจนเต็มหน้า ซึ่งเขาไม่เคยยิ้มอย่างนี้มานานเท่าไหร่แล้ว
“ไม่นานแสดงว่าเร็วๆ นี้สิ”
คนถูกถามนิ่งเงียบไม่ตอบ คงมีแต่ตัวเขาเท่านั้นที่รู้ว่า ไม่นานที่พูดออกไปคือเมื่อไหร่!
ไม่นาน...ที่ความหมายชี้ชัดว่าคือไม่นาน
ความคิดเห็น |
---|