“ผู้ชายอะไรนอกจากจะหน้าตาล้อหล่อแล้วยังเท่อีกเนาะพี่ป้อม หนูเล็กไม่เคยเห็นผู้ชายคนไหนใส่เสื้อเชิ้ตสีชมพูแล้วดูดีและเหมาะเหม็งเท่าคุณนภเกตน์มาก่อนเลยนะ”
“ใช่ๆ” คู่สนทนาพยักหน้ารัวๆ เห็นด้วย “พี่เห็นด้วยกับที่หนูเล็กว่านะ เคยเห็นผู้ชายหลายคนใส่ ดูไม่ค่อยแมนเท่าไหร่ มองแล้วเหมือนผู้ชายวายๆ นะ ดูสำอาง กางเกงสแล็กก็เหมือนกัน พี่คิดว่านอกจากคุณเอกเจ้านายของเราแล้ว ก็มีคุณนภเกตน์นี่แหละ ที่สวมแล้วเหมาะสมกับคำว่าสมาร์ต เหมือนพวกนายแบบดังๆ สวมเวลาถ่ายแบบไม่มีผิด พี่น่ะชอบผู้ชายมีก้นมากกว่าพวกก้นปอดๆ ที่มองแล้วไม่เจริญหูเจริญตา”
“เห็นด้วยร้อยเปอร์เซ็นต์ค่ะ แต่แหม...พี่ป้อมนี่ทันสมัยเชียว ผู้ชายวายๆ นี่ถ้าไม่เคยดูซีรีส์วายมาก่อนหนูเล็กคงคิดตามไม่ทันเป็นแน่”
“โอย...ไม่ได้หรอกจ้ะ ยุคนี้เป็นยุคของโลกโซเชียล ที่มักจะมีเรื่องราวและคำพูดแปลกๆ พิสดารเกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน ถ้าขืนไม่ติดตามหรืออัปเดตข่าวคราวคงต้องตกยุคเป็นแน่ ดังนั้นนอกจากเราต้องรอบรู้แล้ว ยังต้องตามให้ทันเหตุการณ์ด้วยจ้ะ แต่ซีรีส์วายที่ว่าพี่ดูไม่คือหรอกจ้ะ พี่อาจแก่เกินไปแล้วก็เป็นได้”
“พี่ป้อมรู้ไหมว่าตอนนี้ซีรีส์ที่หนูเล็กว่าน่ะ นอกจากคนดูจะติดแล้วยังอยากให้พระเอก-นายเอกในเรื่องเป็นแฟนกันจริงๆ มากกว่าคู่จิ้นในละครอีก และจริงที่ว่าเดี๋ยวนี้ในโลกโซเชียลมีแต่คำพูด คำศัพท์ คำคม และเรื่องราวแปลกๆ ทั้งนั้น หนูเล็กเองยังตามไม่ทันเลยค่ะ บางครั้งก็งงกับความคิดและตรรกะของเด็กวัยรุ่นยุคนี้ที่เรียกตัวเองว่าเด็กรุ่นใหม่เหมือนกัน แต่พี่ป้อมคิดเหมือนหนูเล็กไหมว่า ท่าทางคุณนภเกตน์ถือตัวและดูหยิ่งๆ ยังไงบอกไม่ถูก ทำให้ไม่ค่อยกล้าพูดเล่นด้วย กลัวสายตาพิฆาต”
“อือ หนูเล็กคิดเหมือนพี่เลย คุณซันสมชื่อที่แปลว่าดวงอาทิตย์ คือให้ความรู้สึกร้อนแรงจนไม่สามารถมองตรงๆ ได้แต่แหงนมองอยู่ไกลๆ แต่อาจเป็นบุคลิกของเขาจริงๆ อาจไม่ได้ถือตัวและหยิ่งก็เป็นได้...”
เสียงของพันทิพย์กับนิภาภัทรที่กำลังคุยกันแม้จะไม่ดังนัก แต่สิตางศุ์กลับได้ยินจนเต็มสองหู เรื่องที่ทั้งคู่คุยกันแม้จะเป็นเรื่องที่เคยฟังอยู่ทุกวี่วัน ทว่าวันนี้กลับสร้างความหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก จะไม่ฟังก็ไม่ได้ เพราะห้องที่มีหลายแผนกอยู่รวมกัน แม้จะมีบริเวณกว้างขวางและมีพาร์ทิชันกั้นเป็นสัดส่วนในแต่ละแผนกก็ตาม แต่แผนกของหญิงสาวอยู่ตรงกลางพอดิบพอดี
ดังนั้นเสียงพูดคุยต่างๆ รอบข้างจึงเล็ดลอดมาให้ได้ยินอยู่เสมอ มักจะได้รับฟังคนโน้นพูดถึงคนนี้พูดถึงคนนั้น ซึ่งที่ผ่านมาสิตางศุ์ไม่เคยเก็บเอามาใส่ใจ และไม่เคยนึกสนใจหรือว่าระคายหู เท่ากับได้ยินทั้งคู่กำลังพูดถึงวิศวกรคนใหม่ที่ชื่อนภเกตน์ ที่สำคัญเสียงแหลมๆ ของนิภาภัทรที่เธอได้ยินจนชินหู วันนี้กลับรู้สึกรำคาญขึ้นมาซะงั้น
ณ เวลานี้ เวลาเธอเจอใครต่อใครก็ล้วนแต่พูดถึงนภเกตน์ให้ได้ยิน อย่างแผนกประชาสัมพันธ์ที่เธอเดินผ่านเมื่อกี้ก็ได้ยินสาวๆ ที่นั่นพูดถึง แม้แต่ป้าสมพรก็ยังพูดถึง
นภเกตน์! มาบริษัทแค่วันเดียวแต่มีคนพูดถึงแทบจะทั้งบริษัท เจ้าเสน่ห์เหลือเกิน สิตางศุ์คิดอย่างหมั่นไส้
เสื้อชมพู กางเกงสแลกเหรอ เชอะ...นั่นเป็นสิ่งที่เธอคุ้นเคยในอดีตทั้งสิ้น มิหนำซ้ำตัวเธอเองต่างหากที่เป็นคนแนะนำและซื้อมาให้อีกฝ่ายสวมใส่
พอนึกถึงตรงนี้ สิตางศุ์ก็นึกก่นด่าตัวเองทั้งยังสั่งสมองตัวเองไปด้วยว่า อย่าช่างจดช่างจำนักเลย สิ่งที่ผ่านมาก็ให้มันผ่านไป จำไว้ก็เจ็บ และคำพูดที่ได้ยินก็ไม่ต้องเก็บเอามาใส่ใจ ให้นึกว่าเป็นเสียงลมแล้งก็แล้วกัน
จำไว้...เธอกับเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกันแล้วไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม
จำไว้...นภเกตน์คือเพื่อนร่วมงานคนใหม่เท่านั้น
ท่องไว้ จำไว้ให้ดีสิตางศุ์
ครั้นสั่งตัวเองแล้วหญิงสาวก็เอางานที่คั่งค้างอยู่ขึ้นมาสะสาง
แต่...ดูเหมือนยิ่งสะสางก็เหมือนจะยุ่งเหยิงไม่รู้เรื่องมากขึ้นเท่านั้นด้วยจิตใจที่ไม่สงบ ภาพของชายหนุ่มสวมเสื้อสีชมพูและคำพูดที่ได้ยินนิภาภัทรบอกว่าเหมาะเหม็ง และกางเกงสแลกสีดำที่พันทิพย์บอกว่าไม่ต่างกับที่นายแบบดังๆ สวมใส่ วนเวียนเข้ามาในสมอง มิหนำซ้ำยังจดจำคำพูดของหญิงสาวทั้งคู่ได้แม่นยำ ไม่มีตกหล่นแม้แต่คำเดียวอีกต่างหาก
ตกลงนี่เธอตั้งใจฟัง ไม่ใช่จำใจฟังอย่างที่บอกตัวเองอยู่ปาวๆ หรือสิตางศุ์
สิตางศุ์ เธอบ้าไปแล้ว สติ สติ สติ เรียกหาให้เจอแล้วรวบรวมมาอยู่กับตัวซะ
หญิงสาวพร่ำสั่งทั้งตัว สั่งทั้งใจ ไม่ให้นึกถึง แต่ดูเหมือนช่างยากเย็นนัก
ประเสริฐแท้!
เธอกำลังอยู่ดีมีความสุขแล้ว ทำไมเขาต้องกลับเข้ามาอยู่ในสายตาเธออีก ถ้าเลือกมองเห็นคนบางคนได้แต่เห็นใครบางคนไม่ได้ก็คงจะดีไม่น้อย
หญิงสาวถอนหายใจเฮือกๆ อย่างกลัดกลุ้ม
“น้องเดือนจ๋า”
คนกำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิดยุ่งเหยิงถึงกับสะดุ้งโหยง เมื่อได้ยินพันทิพย์ที่เดินเข้ามาหยุดหน้าโต๊ะเรียกด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยนัก
“คะ พี่ป้อม”
“เป็นอะไรไปเหรอจ๊ะ ทำไมถึงนั่งเหม่อแบบนี้ล่ะ พี่มายืนอยู่หน้าโต๊ะตั้งนานแล้ว น้องเดือนก็ยังไม่หือไม่อือเลย” พันทิพย์เอ่ยถามพลางจ้องหน้าหญิงสาวรุ่นน้องอย่างสงสัย ด้วยไม่เคยเห็นอากัปกิริยาที่ว่าของอีกฝ่ายมาก่อน
“เอ้อ...เดือนคิดอะไรเพลินไปหน่อยค่ะ แล้วพี่ป้อมมีอะไรหรือเปล่าคะ” พูดออกไปแล้วสิตางศุ์ก็นึกเคืองคนทักนัก ที่เธอตกอยู่ในอาการอย่างที่เป็นอยู่ ก็เพราะเก็บเอาคำพูดของอีกฝ่ายมาคิดนั่นแหละ
“อ้าว นี่เที่ยงแล้วน้อง เดือนยังไม่รู้อีกหรือจ๊ะ แสดงว่าเรื่องที่คิดนี่ต้องสำคัญจริงๆ จนถึงขั้นลืมเวลาได้”
คนคิดอะไรเพลินจนลืมเวลาจริงๆ ก้มมองนาฬิกาข้อมือก่อนยิ้มแหยๆ
“เดือนลืมเวลาไปจริงๆ แต่พอนึกได้ก็หิวเลยค่ะ ถ้าอย่างนั้นเรารีบไปกินข้าวกันดีกว่า”
เมื่อก่อนสิตางศุ์อยู่ร่วมแผนกกับพันทิพย์ แต่เพิ่งแยกออกมาเป็นแผนกใหม่ได้ไม่นาน ตอนนี้มีหญิงสาวทำงานอยู่เพียงคนเดียว แต่คนเป็นเจ้านายบอกว่าจะหาคนมาช่วยอีกสองคน ด้วยกลัวว่าเธอจะทำคนเดียวไม่ไหว เพราะเนื้องานที่เกี่ยวข้องมีมากขึ้นตามจำนวนลูกค้าที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นส่วนใหญ่เธอจึงไปกินมื้อกลางวันกับพันทิพย์และนิภาภัทร
“เดี๋ยวรอหนูเล็กไปเข้าห้องน้ำแป๊บนึงนะจ๊ะ”
“ค่ะพี่ป้อม” หญิงสาวพยักหน้าพลางหยิบกระเป๋าสตางค์จากในกระเป๋าสะพายมาถือไว้ “แล้ววันนี้เราจะไปกินที่ไหนกันดีคะ”
พันทิพย์ยังไม่ทันตอบคำถาม ก็เห็นนิภาภัทรพาร่างหนักร่วมแปดสิบกิโลฯ วิ่งตุ้บตั้บมาหา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“วันนี้มีลาภปากแล้วค่ะ พี่ป้อม คุณเดือน”
“ลาภปาก? หมายความว่าเราจะได้กินข้าวฟรีใช่ไหมหนูเล็ก” สาวใหญ่เอ่ยถามน้ำเสียงตื่นเต้นอารมณ์ดีไม่แพ้กัน
“ใช่แล้วค่ะพี่ป้อม วันนี้สุดหล่อจะเลี้ยงข้าวทั้งออฟฟิศเลย”
“สุดหล่อ? ใครหรือจ๊ะ หรือว่าจะเป็นคุณนภเกตน์” พันทิพย์เดา
“แหม พี่ป้อมขา จะมีสุดหล่อที่ไหนกันอีกล่ะคะถ้าไม่ใช่คุณนภเกตน์” นิภาภัทรบอกพลางยกมือขึ้นลูบปากไปมา
คนเงี่ยหูฟังอย่างสิตางศุ์ได้แต่แอบค่อนคนที่ตกเป็นหัวข้อสนทนาอยู่ในใจ เชอะ...ทำอวดร่ำอวดรวย กลัวไม่มีใครรู้หรือไงว่าตัวเองรวย แล้วถ้าไม่ไปจะได้ไหมเนี่ย
“คุณเดือน ทำไมทำหน้าซังกะตายแบบนี้ล่ะคะ”
คนถูกทักว่าทำหน้าซังกะตายลอบถอนหายใจ และยังไม่ทันได้แก้ตัวก็ต้องนิ่งอึ้งกับคำพูดของสาวร่างอ้วน
“หนูเล็กสังเกตตั้งแต่อยู่ในห้องประชุมแล้ว ดูเหมือนคุณเดือนไม่ค่อยชอบคุณนภเกตน์นะคะ”
คนถูกจับสังเกตอย่างสิตางศุ์ฟังแล้วจำต้องปรับสีหน้าให้นิ่งที่สุดเท่าที่จะนิ่งได้ ทั้งนึกค่อนขอดหญิงสาววัยเดียวกันอยู่ในใจ เพราะนอกจากจะช่างกิน ช่างเมาท์ แล้วยังช่างสังเกตอีก แต่ดีที่อีกฝ่ายเป็นคนไม่มีพิษมีภัยกับใคร ดังนั้นบางเรื่องที่อีกฝ่ายพูดเธอจึงมองข้ามไม่ถือสาหาความ
แต่ดันมาจับสังเกตเธอซะงั้น แล้วนี่เธอแสดงออกเกินไปจนถูกจับได้เชียวหรือ แต่มีหรือคนอย่างเธอจะจนมุมด้วยเรื่องแค่นี้ คิดได้ดังนั้นก็พูดปฏิเสธออกไปด้วยเสียงนิ่งๆ ไม่ต่างจากสีหน้า
“เดือนจะไม่ชอบคุณนภเกตน์ได้ยังไงล่ะคะ หน้าก็เพิ่งจะเคยเห็น คุณหนูเล็กน่าจะตาฝาดมากกว่าค่ะ”
ครั้นพูดออกไปแล้วสิตางศุ์ก็เตือนตัวเองอยู่ในใจ ต่อไปคงต้องเก็บอารมณ์ตัวเองให้มิดชิดซะแล้ว จำไว้นะ ต้องมองนภเกตน์ให้เหมือนอากาศธาตุ เพราะถ้าทำแบบนั้นได้ เรื่องอื่นก็จะไม่ตามมากวนจิตใจอีกต่อไป
จำไว้นะสิตางศุ์ ต้องทำให้ได้อย่างที่ใจคิด หญิงสาวพร่ำเตือนตัวเอง แต่เจ้าตัวคงไม่รู้หรอกว่าวันนี้พูดเช่นนี้มากี่ครั้งแล้ว และทำได้อย่างที่พูดไหม?
“เอ หรือว่าหนูเล็กจะตาฝาดอย่างที่คุณเดือนว่า แต่...”
“เอ้า เสร็จกันหรือยังครับสาวๆ”
เสียงของธนบดีดังขึ้นที่หน้าประตูห้อง ทำให้นิภาภัทรที่คล้ายจะพูดอะไรต่อต้องชะงักลง ท่ามกลางการลอบถอนหายใจของสิตางศุ์ ก่อนหญิงสาวจะเบือนสายตามองไปยังคนเป็นเจ้านาย ที่ข้างกายมีร่างสูงผึ่งผายของนภเกตน์ยืนกอดอกจ้องเขม็งมองมาอยู่ ซึ่งไม่รู้ว่าจะได้ยินคำพูดของเธอเมื่อกี้หรือเปล่า
แต่ได้ยินก็ช่างปะไรเพราะเธอพูดเรื่องจริง ก็เธอเพิ่งเคยเห็นเขาจริงๆ นี่นา อดีตก็คืออดีต มองเขาให้เหมือนอากาศธาตุเลยนะสิตางศุ์ ทำตั้งแต่ตอนนี้เลย จะได้ชิน! หญิงสาวสั่งตัวเองเหยงๆ
“เสร็จแล้วค่ะ” พันทิพย์กับนิภาภัทรตอบขึ้นโดยพร้อมเพรียงกัน
“ถ้าอย่างนั้นคุณสามคนนั่งรถไปคันเดียวกับผมแล้วกัน” คนเป็นเจ้านายเสนอ
“ไปกันหมดหรือคะคุณเอก” หญิงสาวร่างอ้วนเอ่ยถามน้ำเสียงกังวล
“รถผมคันใหญ่นะครับ ไปได้ไม่ต้องเป็นห่วง เพียงแต่คุณหนูเล็กต้องมานั่งข้างหน้ากับผมเท่านั้น รถผมจะได้ไม่เอียงข้าง” คนเป็นเจ้านายพูดกระเซ้าเสียงกลั้วหัวเราะ
“แหม คุณเอกพูดยังกับว่าตัวของหนูเล็กหนักเป็นร้อยอย่างนั้นแหละ แค่เฉียดๆ เท่านั้นเอง” นิภาภัทรพูดพลางหัวเราะคิกคัก ราวกับน้ำหนักเฉียดร้อยของตัวเองที่พูดถึงนั้นธรรมดาสามัญมาก
ครั้นถึงรถคันใหญ่สัญชาติเยอรมันของธนบดี ทุกคนต่างก็เห็นพ้องกันที่จะให้เจ้าของร่างอวบอ้วนนั่งเบาะหน้า คงมีเพียงสิตางศุ์เท่านั้นที่ไม่ได้ปริปากพูดอะไรออกมา ได้แต่นึกภาวนาในใจขอให้นภเกตน์เลือกไปนั่งอีกฝั่ง
ทว่า...
คำภาวนาของหญิงสาวดูเหมือนจะไม่เป็นผล เมื่อพันทิพย์ขึ้นไปจองนั่งเบาะติดประตูข้างขวา ทีนี้ก็เหลือเธอซึ่งไม่มีทางเลือก เพราะไม่ว่าจะเลือกนั่งตรงไหนก็ต้องใกล้ชิดกับผู้ชายคนนั้นโดยปริยาย หรือว่าจะเลือกนั่งเบาะทางซ้ายติดประตูดี ขณะกำลังตัดสินใจเลือกอยู่นั้น เสียงเข้มๆ ก็ดังขึ้นข้างๆ หู โดยที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมายืนข้างเธอตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
“คุณขึ้นไปก่อนแล้วกัน ผมขอนั่งติดประตูเอง”
สิตางศุ์ตวัดสายตามองคนพูดตาขุ่น ทั้งนึกในใจว่าทำไมต้องมาเลือกนั่งที่เดียวกับเธอด้วยนะ แต่มองสถานการณ์แล้วจำใจต้องยอมก้าวขึ้นรถไปนั่งตรงเบาะกลาง ตามด้วยเจ้าของร่างสูงที่ก้าวขึ้นมาเป็นคนสุดท้าย
“คุณกระเถิบไปหน่อยสิ”
หลังจากรถแล่นไปได้สักพัก สิตางศุ์ที่นั่งอยู่ตรงกลางก็จำต้องส่งเสียงกระซิบบอกคนนั่งชิดทางซ้ายมือ ซึ่งแทนที่จะนั่งติดประตู คล้ายกับเขากลับจงใจนั่งชิดเธอจนรู้สึกได้ ชิดจนกระทั่งได้กลิ่นหอมอ่อนๆ จากตัวของอีกฝ่าย
ครั้นได้กลิ่นอันแสนคุ้นเคย ความรู้สึกบางอย่างที่ซ่อนลึกอยู่ก็พลุ่งพล่านออกมาให้หวนนึกถึงเรื่องในอดีต จนหญิงสาวต้องหยิกตัวเองแรงๆ จนรู้สึกเจ็บ แล้วก็ให้เกลียดตัวเองนัก ทำไมถึงต้องจดต้องจำสิ่งที่ไม่ควรจำเหล่านี้ด้วย มีอะไรให้ควรจำอีกตั้งมากมาย
“ผมกระเถิบจนสุดแล้วนะ คุณจะให้ผมนั่งสิงประตูเลยหรือไง”
นภเกตน์พูดราวกับเขากำลังนั่งอยู่บนรถรับจ้างที่จำกัดพื้นที่ ไม่ใช่นั่งอยู่บนรถยนต์สมรรถนะแรงสูง ที่มีพื้นที่นั่งกว้างขวางอย่างนั้นแหละ และคำพูดสุดท้ายเจ้าตัวพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยไม่ได้มีแววเย้าหยอกสักนิด
แต่ถ้าจับสังเกตดีๆ จะเห็นจุดกลางในดวงตาคมนั้นไหวระริก
“คุณ...”
สิตางศุ์ได้แต่อ้ำอึ้งพูดไม่ออก ทั้งที่อยากจะพูดอะไรออกไปแรงๆ นักแต่ก็หาทำได้ไม่ เพราะเดี๋ยวคนอื่นจะสงสัยกันอีก โดยเฉพาะนิภาภัทรจอมเมาท์แถมช่างสังเกต
“คุณอดทนอีกนิดเดียวก็จะถึง แล้วช่วยทำสีหน้าให้ดีๆ หน่อย ระวังจะมีคนกล่าวหาว่าคุณไม่ชอบผมอีกนะครับคุณสิตางศุ์”
เสียงเบาราวกระซิบที่ดังอยู่ข้างหูทำเอาคนฟังนิ่งงัน นี่ตกลงว่าเขาได้ยินที่เธอพูดเหรอ จะหูดีเกินไปหรือเปล่า แล้วเธอก็ดันหูดีฟังเขารู้เรื่องอีก ทั้งที่พูดเสียงเบาขนาดนี้
“เมื่อกี้ตอนคุณพูด ผมไม่ได้ยินหรอกนะ แค่เดาเอาเท่านั้น เอ...หรือว่าผมเดาถูก”
คนฟังเม้มริมฝีปากแน่น เพราะคำพูดที่ได้ยิน ยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าเขาได้ยินที่เธอพูดแน่นอน
“ข้างหลังนั่งสบายกันหรือเปล่าครับ” ธนบดีซึ่งเป็นคนขับเอ่ยถามขึ้น
“นั่งสบายค่ะ แหม รถคุณเอกออกจะกว้างขวาง นั่งอีกคนก็ยังนั่งได้เลยค่ะ”
พันทิพย์เป็นผู้ตอบ แม้จะนึกแปลกใจว่าเหตุใดสิตางศุ์ถึงนั่งเบียดมาทางเธอนัก เป็นเพราะนั่งไม่สะดวก หรือหวั่นไหวที่ได้นั่งใกล้คนหล่ออย่างนภเกตน์ เอาไว้ต้องแอบถามซะหน่อยแล้ว แต่แปลกนะ ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า สองคนนี้นอกจากชื่อจะมีความหมายไปในทางเดียวกันแล้ว หน้าตายังคล้ายกันอย่างบอกไม่ถูก
ซ้ำเมื่อกี้เธอเห็นคนรูปหล่อคล้ายพูดกระซิบอะไรกับหญิงสาวรุ่นน้องด้วย
หรือว่าเธอตาฝาด
“น้องเดือนนั่งสะดวกหรือเปล่าจ๊ะ” พันทิพย์หลุดปากถามอย่างที่ใจคิดออกไป
“สะ...สะดวกค่ะพี่ป้อม” แม้จะพยายามพูดปกติแต่เสียงก็อดสั่นไม่ได้
“ถ้าไม่สะดวกผมก็ไม่รู้จะทำยังไงแล้วนะครับ เพราะตัวแทบจะสิงติดกับประตูอยู่แล้ว”
คนที่รู้ว่าตัวเองเป็นสาเหตุของความไม่สะดวกอย่างนภเกตน์พูดเสียงเรียบๆ ทั้งที่ภายในนั้นเบิกบานใจอย่างยิ่งยวด ทั้งอยากพูดออกไปอย่างที่ใจคิดนักว่า
ถ้าจะให้สะดวกกว่านี้คงต้องนั่งบนตักผมแล้วแหละครับคุณสิตางศุ์
“นั่นสิคะ พี่เห็นคุณนภเกตน์นั่งซะติดประตูเชียว กลายเป็นพี่นั่งสบายอยู่คนเดียว หรือว่าน้องเดือนจะเปลี่ยนมานั่งแทนพี่”
สิตางศุ์เกือบจะพูดตอบรับออกไปแล้วว่าค่ะ แต่ไม่ทันคนที่บอกว่าแทบจะสิงประตูอยู่แล้วที่พูดออกมาซะก่อนว่า
“ไม่ต้องเปลี่ยนที่ให้ยุ่งยากหรอกครับ คุณสิตางศุ์อดทนอีกสักหน่อยแล้วกัน ผมจะพยายามนั่งให้ตัวลีบที่สุดเท่าที่จะทำได้ครับ” คนพูดทำท่าเบียดไปทางซ้ายมือตามที่พูดทันที
“นั่นสิ เปลี่ยนที่ก็จะยุ่งยาก น้องเดือนอดทนอีกหน่อย อีกไม่นานก็ถึงแล้ว”
สิตางศุ์ยังไม่ได้เอ่ยปากพูดสักคำ แต่ดูเหมือนถูกคนอื่นจัดแจงให้เรียบร้อยแล้ว แถมถ้าเธออยากจะเปลี่ยนที่นั่งตอนนี้ขึ้นมาจริงๆ จะกลายเป็นคนสร้างความยุ่งยากและไม่มีความอดทนขึ้นมาอีก แล้วจะให้ทำยังไงได้นอกจากพูดว่า “ไม่เป็นไรค่ะ”
และด้วยความโมโหหญิงสาวจึงเผลอใช้ไหล่ซ้ายกระแทกไหล่ขวาคนนั่งชิดเธอจนแทบสิงทีหนึ่ง เพื่อระบายความโมโห
“โอ๊ย!”
เสียงร้องโอ๊ยของนภเกตน์ที่ดังขึ้นทำให้ธนบดีเอ่ยถามขึ้นทันที
“เอ็งเป็นอะไรของเอ็ง”
“ขาขวาผมเป็นตะคริว คงเกิดจากการนั่งตัวเกร็งเกินไปมังครับ”
คนที่ไม่ได้เป็นอะไรแต่อยากสำออยบอกเสียงอ่อย ทั้งยังแกล้งทิ้งน้ำหนักมาทางขวามือเพื่อความแนบเนียน ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นสิ่งที่คนอย่างนภเกตน์ไม่เคยทำมาก่อน
“อ้าว แล้วจะทำยังไงล่ะพี่ก็ไม่เคยเป็นซะด้วย”
สิตางศุ์ชำเลืองมองคนที่บอกว่าเป็นตะคริวอย่างแปลกใจ เมื่อกี้เธอใช้ไหล่ซ้ายกระแทกไหล่ขวาของเขา แต่เจ้าตัวบอกว่าเป็นตะคริวที่ขาขวา มันกระทบถึงกันได้ด้วยหรือไง ไม่น่านะ
“ถ้าเป็นตะคริวต้องค่อยๆ นวดขาข้างที่เป็นค่ะ” พันทิพย์ออกความเห็น “น้องเดือนคงต้องเป็นคนช่วยแล้วจ้ะ พี่จะช่วยก็ไม่ถนัด”
“คงต้องขอความช่วยเหลือจากคุณสิตางศุ์แหละครับ นี่เป็นเพราะผมนั่งเกร็งตัวเพื่อให้คุณนั่งได้สะดวกจนตัวเองต้องเป็นตะคริว คงไม่เป็นการรบกวนนะครับ”
คนถูกกล่าวโทษว่าเป็นสาเหตุเหลือบมองใบหน้าของคนพูด ก็เห็นสีหน้าแฝงความเจ็บปวดของอีกฝ่ายที่มองดูแล้วน่าจะเจ็บปวดจริงๆ ไม่ได้แกล้งทำ ความสงสารพลันก่อตัวขึ้นวูบ เพราะจำได้ว่าเมื่อก่อนอีกฝ่ายเคยเป็นตะคริวและตัวเธอก็เป็นคนนวดให้ แล้วถ้าเธอปฏิเสธจะถูกคนอื่นมองว่าไร้น้ำใจ เพราะเจ้าตัวพูดออกมาปาวๆ ว่าที่เป็นตะคริวเป็นเพราะต้องนั่งเกร็งตัวเพื่อให้เธอนั่งได้อย่างสะดวก
“ค่ะ คุณช่วยยืดขาออกหน่อยสิ”
“ครับ” คนแกล้งเป็นตะคริวยืดขาขวาออกไปทันที “ผมยืดได้ไม่มาก เจ็บ”
ได้ยินเสียงอ่อยๆ ที่บอกว่าเจ็บของอีกฝ่ายยิ่งทำเอาสิตางศุ์ใจอ่อนยวบ แม้จะพยายามข่มกลั้นความรู้สึกที่ว่าเอาไว้ และบอกตัวเองว่ามันเป็นคนละเรื่องไม่เกี่ยวกัน แต่ดูเหมือนทำได้ยากยิ่ง มีทางเดียวคือให้คิดว่าเขาเป็นคนอื่นแล้วกัน เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงเขยิบกายไปทางขวา ลงมือนวดคลึงเบาๆ ที่ท่อนขาของอีกฝ่าย ทั้งจ้องไปยังจุดที่ว่าเพียงจุดเดียว แต่รู้ด้วยสัญชาตญาณว่ากำลังถูกจับจ้องอยู่ หญิงสาวจึงแกล้งกดมือหนักๆ ลงไปตรงจุดที่กำลังนวดอยู่
“โอ๊ย”
เสียงร้องของคนที่บอกว่าเป็นตะคริวดังขึ้น ทำเอาคนเป็นเจ้านายต้องเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง
“เอ็งยังไม่ค่อยยังชั่วอีกหรือซัน แต่เอ...ทำไมวันนี้รถติดไม่ขยับเอาซะเลย”
“ยัง...เลยครับพี่เอก”
นภเกตน์บอกเสียงอ่อยๆ ราวกับเจ็บปวดเสียเต็มประดา แล้วเหลือบสายตามองหน้าผากมนกับสันจมูกโด่งสวยของเจ้าของมือนุ่มๆ ที่กำลังนวดคลึงหนักบ้างเบาบ้างแต่เน้นไปทางหนักซะมากกว่า ที่ท่อนขาของเขาอย่างเอื้อเอ็นดู นึกภาวนาขอให้รถติดอยู่บนถนนอย่างนี้ไปอีกนานๆ แม้จะรู้ว่าสิ่งที่ทำลงไปเป็นเรื่องน่าละอายกับการพูดโกหกของตัวเอง
แต่เขาก็เพิ่งจะริพูดโกหกก็คราวนี้แหละ และเป็นการเต็มใจทำไม่ใช่จำใจโกหก
“เหมือนข้างหน้าน่าจะเกิดอุบัติเหตุนะคะคุณเอก” นิภาภัทรที่นั่งหลับและส่งเสียงกรนมาโดยตลอดบอกเสียงงัวเงีย หลังจากเพ่งสายตามองไปข้างหน้าอยู่ครู่หนึ่ง
“นั่นสิคะ รถหยุดนิ่งซะขนาดนี้น่าจะเกิดอุบัติเหตุอย่างที่หนูเล็กว่าแหละค่ะ แต่ก็ดีสำหรับคุณนภเกตน์นะคะเพราะว่าถ้าถึงร้านอาหารแล้วยังเป็นตะคริวก็จะลำบาก”
พันทิพย์พูดขึ้นแล้วไม่รู้นึกยังไงถึงมองไปยังใบหน้าของหนุ่มหล่อ ก่อนจะแปลกใจเมื่อเห็นดวงหน้าของอีกฝ่ายเจือด้วยรอยยิ้มละไม แทนที่จะเป็นความเจ็บปวดจากการเป็นตะคริวอย่างที่ควรเป็น แต่ครั้นมองอีกครั้งก็เห็นอีกฝ่ายนิ่วหน้าด้วยท่าทางเจ็บปวด จึงคิดว่าเมื่อกี้คงตาฝาดนั่นแหละ
“คุณนวดค่อยๆ หน่อยสิครับ นวดแรงๆ แบบนี้ผมยิ่งเจ็บ”
“คุณก็กระเถิบออกไปหน่อยไม่ได้หรือไง นั่งซะชิดแบบนี้ฉันทำไม่ถนัด” คนนวดบ่นอย่างขัดใจ เพราะตอนนี้ท่อนขายาวของเจ้าตัวแทบจะขึ้นมาบนเกยตักเธออยู่แล้ว
“ก็ขาผมเป็นตะคริว ขยับแต่ละทีก็เจ็บร้าวไปหมดทั้งขา คุณจะให้ผมทำยังไงล่ะ”
“จริงอย่างที่คุณนภเกตน์ว่านะน้องเดือน ตอนเป็นตะคริวยิ่งขยับยิ่งเจ็บ ต้องนวดให้อาการเจ็บคลายลงก่อน ค่อยขยับเขยื้อน” พันทิพย์พูดออกความเห็นขึ้น
“ไหนๆ รถก็ติดไม่ขยับแล้ว ให้หนูเล็กไปช่วยนวดแทนไหมคะ หนูเล็กน่ะมือวางอันดับหนึ่งด้านการนวดเรื่องตะคริวเลยนะคะ” นิภาภัทรอาสา
“เออ...ใช่ เมื่อเดือนที่แล้วพี่ก็เป็น หนูเล็กนวดให้ไม่นานก็หายเลย” พันทิพย์พยักหน้าเห็นด้วย ซึ่งก็ได้รับการยืนยันจากคนเป็นเจ้านายด้วยเช่นกัน
“นั่นสิซัน พี่ก็ลืมไปเลยว่าคุณหนูเล็กเก่งเรื่องนี้”
“คือว่าตอนนี้ผมค่อยยังชั่วแล้วครับ” คนเป็นตะคริวปลอมรีบเอ่ยขึ้นทันที ทั้งยังค่อยๆ ขยับขาออกจากเจ้าของมือนุ่มๆ ที่กำลังนวดอยู่เพื่อความแนบเนียน พลางเบือนหน้าไปยังดวงหน้าบูดๆ แต่น่ารักนักหนาในสายตาเขา “ขอบคุณนะครับคุณสิตางศุ์”
“ค่ะ ช่วยขยับตัวของคุณไปด้วย”
“ผมเพิ่งค่อยยังชั่ว ขอเวลาหน่อยสิครับ”
“แหม พอหนูเล็กบอกจะช่วยนวดให้ เจ้าตะคริวที่เกาะขาของคุณนภเกตน์รีบโบกมือลาเลยนะคะ ท่าทางจะกลัวหนูเล็ก” สาวร่างอ้วนพูดเสียงกลั้วหัวเราะ
“มันค่อยยังชั่วพอดีครับคุณหนูเล็ก” นภเกตน์พูดพลางยิ้มแหยๆ
“เอ...ทำไมรถยังไม่ขยับซะทีนะ” ธนบดีบ่นอุบแล้วเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้จึงพูดขึ้นมาว่า “ผมเกือบลืมบอกเรื่องสำคัญกับคุณเดือน มีคนฝากความคิดถึงมาให้ด้วยนะครับ”
คนถูกฝากความคิดถึงยังไม่ทันตอบ สาวช่างเจรจาอย่างนิภาภัทรก็พูดโพล่งออกมาซะก่อนว่า
“ว้าว ใครกันหนอ หรือว่าจะเป็นผู้กองรูปหล่อคนนั้น ที่มาใช้บริการให้บริษัทเราสร้างบ้านให้”
คนเป็นเจ้าของคำถามหัวเราะเสียงดังก้องรถอย่างชอบอกชอบใจ
“แหม คุณหนูเล็กนี่เดาเก่งสมกับเป็นเจ้ากรมข่าวประจำบริษัทจริงๆ ใช่แล้วครับ ผู้กองภาคินที่เคยใช้บริการสร้างบ้านกับบริษัทของเรานั่นแหละ ไม่รู้ประสานงานการก่อสร้างกันยังไง ลูกค้าติดใจการบริการของคุณเดือนซะงั้น พอดีผมบังเอิญเจอในงานเลี้ยงแต่งงานเมื่อวาน ว่าจะบอกคุณเดือนตั้งแต่ตอนเช้าแล้วลืมซะงั้น”
“ขอบคุณค่ะคุณเอก”
สิตางศุ์เอ่ยขอบคุณ พลางนึกถึงนายตำรวจหนุ่มที่ถูกพูดพาดพิงถึงไปด้วย เพราะหลังจากบริษัทได้ทำการสร้างบ้านของอีกฝ่ายจนสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี เจ้าตัวก็ยังแวะเวียนมาเยี่ยมที่บริษัทหรือไม่ก็โทร. มาหามิได้ขาด ซ้ำยังมีของกำนัลมาให้อย่างสม่ำเสมอ ทำไมหญิงสาวจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดยังไงกับเธอ
เพียงแต่สิ่งที่เธอให้ได้มีเพียงแค่ความเป็นเพื่อนเท่านั้น ทั้งที่บางครั้งก็อยากจะมอบความรู้สึกที่มากกว่านั้นให้แก่ใครสักคน แต่ไม่เคยทำได้ดังที่คิดเลยสักครั้ง
สิตางศุ์มีความรู้สึกว่า คนที่ก่อนหน้ายังนั่งเบียดเธอจนแนบชิด และบอกว่าเพิ่งค่อยยังชั่วจากการเป็นตะคริว ขยับตัวห่างออกไปจนแทบจะสิงประตูอย่างที่พูดปาวๆ แต่ก็ทำให้เธอรู้สึกหายใจคล่องขึ้น
“แสดงว่าพนักงานของบริษัทเราเสน่ห์แรงนะครับพี่เอก”
ความคิดเห็น | |
---|---|
จันทร์ทรา มีอาการหงุดหงิดใจขึ้นมาหน่อย |
30 ส.ค. 2022 0 |