หึงเป็นเหตุสังเกตได้

 

“นี่ถือเป็นเรื่องบังเอิญหรือคาดไม่ถึงได้ไหมครับพี่ป้อม”

นภเกตน์เอ่ยถามขึ้น หลังรับถ้วยกาแฟจากแม่บ้านที่ชงมาให้ขึ้นดื่มอึกใหญ่ พลางลอบยิ้มเมื่อเห็นหน้าเหวอๆ ของคนที่ชื่อแปลว่าดวงจันทร์

“อือ ก็ถือว่าใช่ค่ะ” พันทิพย์พยักหน้ารับ “หรือจะเรียกว่าความบังเอิญที่ยากจะพานพบก็ย่อมได้ เพราะนานๆ จะเจอคนชื่อแปลว่าดวงจันทร์สักครั้ง” 

“ผมก็เพิ่งเคยเจอคนชื่อคล้องจองกับผมครั้งแรกเหมือนกันครับ” นภเกตน์ยิ้มบางๆ พลางจิบกาแฟอย่างอารมณ์ดี

“สำหรับเดือนนะคะพี่ป้อม เจอคนที่ชื่อแปลว่าดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์ออกบ่อยไปค่ะ ลูกค้าเก่าเมื่อเดือนก่อนโน้นไงคะ สามีชื่อคุณอาทิตย์ ส่วนภรรยาชื่อคุณจันทรา”

“สองคนนั้นชื่อตรงตัวอยู่แล้ว ไม่ต้องแปลก็รู้นี่จ๊ะ แต่สำหรับชื่อคุณซันกับชื่อน้องเดือนนี่ชื่อกับความหมายถ้าคนไม่รู้คือไม่รู้จริงๆ และพี่ก็เพิ่งเคยเห็น นับเป็นเรื่องแปลกมาก” พันทิพย์พูดแย้งยิ้มๆ

“ใช่แล้วครับพี่ป้อม ถ้าเจอสามีชื่อนภเกตน์กับภรรยาชื่อสิตางศุ์ ผมว่าฟังแล้วต้องอึ้งและน่าทึ่งมากกว่าสามีชื่ออาทิตย์กับภรรยาชื่อจันทราแน่นอน หรือคุณเดือนว่าไงครับ คิดเหมือนผมไหม” ประโยคท้ายคนถามถามยิ้มๆ 

สิตางศุ์ฟังแล้วแทบจะพ่นกาแฟดำที่เพิ่งรับจากป้าสมพรออกจากปาก พลางคิดอย่างฉุนๆ ชื่อคล้องจองบ้าบออะไรเล่า แล้วให้นึกเคืองพันทิพย์ขึ้นมาตงิดๆ ไม่รู้จะพูดถึงชื่อของเธอให้ได้อะไรขึ้นมา อีกทั้งอยากข่วนดวงหน้ายิ้มน้อยๆ ของนภเกตน์นัก ไม่รู้จะยิ้มทำไมนักหนา ทั้งที่ปกติใช่ว่าจะเป็นคนยิ้มง่ายซะเมื่อไหร่

หน็อย...สามีชื่อนภเกตน์ภรรยาชื่อสิตางศุ์เหรอ ฝันไปเหอะ!

ทว่า...เมื่อคิดแล้วหัวใจของสิตางศุ์ก็เต้นผิดจังหวะขึ้นมาทันที ใช่ เธอเคยฝันเช่นนี้จริงๆ หญิงสาวค่อยๆ ข่มกลั้นความรู้สึกที่กำลังพลุ่งพล่านให้สงบลง

“เดือนว่าเราเลิกพูดเรื่องดวงอาทิตย์ดวงจันทร์กันดีกว่าค่ะ ฟังแล้วเริ่มเอียน” บอกพลางคนชื่อแปลว่าดวงจันทร์ก็ยกกาแฟดื่มรวดเดียวหมดแก้วราวกับใช้มันเพื่อจะดับอารมณ์

“ดีเหมือนกันจ้ะ พี่ฟังจนตอนนี้คำว่าดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์บรรจุอยู่ในหัวสมองแล้ว” พันทิพย์พยักหน้าเห็นด้วยต่อด้วยการหัวเราะออกมาเบาๆ “ตอนแรกเราแค่พูดเรื่องให้น้องเดือนเรียกคุณซันว่าพี่เท่านั้นนี่นา จู่ๆ ต้องมาฟังเรื่องเศร้าของดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์ซะงั้น”

“คุณเดือนยังไม่ตอบผมเลยนะครับว่าคิดเหมือนผมไหม” นภเกตน์ยังตอแยถามต่อไม่เลิก

“คิดเรื่องอะไรคะ” สิตางศุ์ถามเพราะนึกตามไม่ทัน

“อ้าว...ก็เรื่องที่ผมบอกว่าถ้าเจอสามีชื่อนภเกตน์กับภรรยาชื่อสิตางศุ์ จะต้องอึ้งและทึ่งมากกว่าสามีชื่ออาทิตย์กับภรรยาชื่อจันทราไงครับ” คนพูดพูดคล่องปากราวกับท่องไว้ในใจเสมอ

“ไม่คิดค่ะ” คนตอบตอบเสียงหนักแน่นทั้งที่ภายในใจนั้นเบาโหวงไร้น้ำหนัก นึกเข่นเขี้ยวคนถามเพื่อกลบเกลื่อนอารมณ์ตนเอง

“ถ้าพี่เจอก็คงอึ้งและทึ่งเหมือนที่คุณซันว่าแหละค่ะ” พันทิพย์พยักหน้าเออออทั้งนึกแปลกใจตงิดๆ ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก มองทั้งคู่สลับกันไปมาพลางคิดในใจ

เอ้อ...สองคนนี้หน้าคล้ายกันอยู่นะเนี่ย ตามความเชื่อโบราณคนหน้าคล้ายกันเขาเรียกว่าเป็นเนื้อคู่กันนี่นา แต่จะพูดออกไปตอนนี้คงไม่เหมาะ

“แล้วตกลงน้องเดือนจะเรียกคุณซันว่าพี่หรือเปล่าจ๊ะ”

คราวนี้สิตางศุ์อยากจะร้องกรี๊ดออกมานัก อุตส่าห์ให้เลิกพูดเรื่องดวงอาทิตย์ดวงจันทร์ ยังจะวกกลับมาพูดเรื่องนี้อีก

“คุณเดือนคงไม่อยากเรียกผมว่าพี่นักหรอกครับ” 

“ทำไมคุณซันถึงพูดแบบนี้ล่ะคะ” พันทิพย์เอ่ยถามและมองชายหนุ่มอย่างไม่เข้าใจนัก “ก็อย่างที่พี่บอก เรียกพี่เพื่อจะได้เพิ่มความสนิทสนมยิ่งขึ้น เพราะคุณกับน้องเดือนต้องทำงานร่วมกันมากกว่าคนอื่นอยู่แล้ว”

สิตางศุ์พยายามข่มกลั้นความรู้สึก นึกอยากจะพูดยอมรับออกไปดังๆ นักว่า ใช่ เธอไม่อยากเรียก แต่สิ่งที่ทำได้คือ

“เรียกคุณซันน่ะดีแล้วค่ะ เพราะคำว่าพี่คุณซันอาจจะเก็บไว้ให้คนสำคัญเรียก” 

ประโยคสุดท้ายสิตางศุ์ไม่ได้ตั้งใจจะพูด แต่ไม่รู้อะไรดลใจให้พูด อาจเป็นเพราะความรู้สึกหมั่นไส้ ที่จู่ๆ ก็พลุ่งขึ้นมาทำให้ลืมตัวพูดออกไปก็เป็นได้ 

“ถูกต้องครับ คำว่าพี่ซันใครๆ ก็เรียกได้ครับ แต่มีเพียงคนคนเดียวเท่านั้นที่เจ้าของชื่ออย่างผมให้ความสำคัญมากกว่าใคร คุณเดือนอยากรู้ไหมครับว่าเป็นใคร” นภเกตน์พูดด้วยสีหน้าเจือรอยยิ้มน้อยๆ ลอบดีใจกับคำพูดประชดของสิตางศุ์ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม 

“ไม่อยากรู้หรอกค่ะ”

พันทิพย์มองทั้งคู่สลับกันไปมาอีกครั้ง แม้จะยังงงๆ กับคำพูดโต้ตอบของทั้งคู่อยู่บ้าง คนหนึ่งก็ถามคล้ายจงใจให้อีกคนตอบ ส่วนคนตอบก็ดูเหมือนจะไม่อยากตอบเอาซะเลย ส่วนตัวเธอนั้นอยากรู้แต่ไม่ยักมีใครถาม 

“ก็จริงอย่างที่คุณซันพูด” ก่อนจะมองไปยังหญิงสาวรุ่นน้องที่ยังคงยืนหน้าคว่ำอยู่ “น้องเดือนมานั่งคุยกันตรงนี้ดีกว่า จะยืนอยู่ตรงนั้นทำไมให้เมื่อย นี่ขนาดเราคุยกันนมนานก็ยังเหลือเวลาอีกตั้งครึ่งชั่วโมงกว่าจะเริ่มงาน”

สิตางศุ์จำต้องเดินมาทรุดนั่งลงข้างๆ นภเกตน์ เพราะถ้านั่งข้างๆ พันทิพย์จะกลายเป็นตรงกันข้ามกับอีกฝ่าย เธอไม่อยากนั่งตรงนั้น แล้วก็นึกแปลกใจตัวเอง ตอนยืนเล่าตำนานดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์ตั้งนมนานไม่ยักเมื่อย

แต่ตอนนี้เมื่อยชะมัดแถมเมื่อยมากอีกต่างหาก

“อุ๊ยตาย!” พันทิพย์อุทานขึ้นราวกับเพิ่งสังเกตเห็น “นี่เป็นเรื่องบังเอิญอีกหรือเปล่าเนี่ย”

“บังเอิญอะไรหรือครับพี่ป้อม/บังเอิญอะไรหรือคะพี่ป้อม”

คนทั้งคู่เอ่ยถามขึ้นพร้อมกันราวกับนัดเป็นครั้งที่สอง คราวนี้พันทิพย์จากที่ยังอยู่ในอาการมึนงงกับอะไรหลายอย่าง ฟังแล้วถึงกับหัวเราะคิกออกมา

“พูดพร้อมกันอีกแล้ว คุณซันกับน้องเดือนลองมองเสื้อของอีกฝ่ายดูสิคะ”

สิตางศุ์นั้นไม่ได้ทำตามที่พันทิพย์พูดทันที แต่ก้มลงมองเสื้อของตัวเองก่อนแล้วค่อยมองของนภเกตน์ ครั้นเห็นเสื้อเชิ้ตสีฟ้าของอีกฝ่ายเท่านั้น หญิงสาวก็รีบเมินมองไปทางอื่นทันที เพราะเสื้อของเขากับของเธอเป็นสีโทนเดียวกันยังกับนัดกันใส่

“พี่ป้อมจะบอกว่าเสื้อของผมกับของคุณเดือนเป็นสีเดียวกันยังกับนัดกันใส่มาหรือครับ” นภเกตน์พูดขึ้นราวกับอ่านความในใจของสิตางศุ์ออกยังไงยังงั้น

“ใช่ค่ะ พี่เพิ่งสังเกตเห็นเหมือนกันว่า เสื้อที่คุณซันกับน้องเดือนใส่เป็นสีเฉดเดียวกัน”

“บังเอิญมากกว่าค่ะพี่ป้อม เสื้อสีนี้เดือนมีหลายตัว จะซ้ำกับของใครก็ไม่ใช่เรื่องแปลก”

“แต่สำหรับผมเรื่องบังเอิญบางเรื่องถือเป็นเรื่องแปลก เพราะใช่ว่าคนเราจะใจตรงกันได้ทุกคนนี่ครับ ถ้าไม่มีอะไรเป็นสื่อสัมผัส”

คำพูดสุดท้ายของนภเกตน์นั้นสื่อความหมายอะไรบางอย่างส่งไปให้ แต่ฝ่ายรับสารยังไม่ทันตอบ ก็เห็นร่างอวบระยะสุดท้ายของนิภาภัทรโผล่เข้ามาในห้อง พร้อมด้วยดอกลิลลี่ช่อใหญ่ในอ้อมแขน ทำให้การสนทนาทั้งหมดยุติลงทันที 

คนที่ดีใจคงไม่พ้นสิตางศุ์ที่ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ทั้งนึกภาวนาไม่ให้คนช่างสังเกตอย่างนิภาภัทรเห็นแล้วจับเรื่องนี้มาเป็นประเด็นอีก

“คุณเดือนขา มีใครไม่รู้ส่งดอกไม้ช่องามมาให้แต่เช้าเลยค่า น่าอิจฉาจริงๆ” พูดพลางเดินมายื่นช่อดอกไม้ให้

“ขอบคุณค่ะคุณหนูเล็ก”

สิตางศุ์ก้มลงมองลิลลี่ช่องามในมือ พอจะเดาได้ว่าคนส่งมาน่าจะเป็นผู้กองภาคิน แล้วก็เป็นอย่างที่คาดเดาจริงๆ จากนามบัตรที่แนบมา แต่ไม่รู้อะไรสั่งให้หญิงสาวเบือนหน้ามองไปยังคนนั่งข้างๆ แล้วก็สบเข้ากับดวงตาวาวโรจน์ทอประกายกรุ่นโกรธของอีกฝ่ายเข้าอย่างจัง จนต้องรีบหันกลับในทันใด ดวงหน้าสะสวยประดับด้วยรอยยิ้ม ซึ่งมีแต่ตัวเองเท่านั้นที่รู้ว่ายิ้มทำไม

“ผู้กองรูปหล่อคนนั้นหรือเปล่าจ๊ะน้องเดือน ส่งของกำนัลมาให้ไม่เว้นแต่ละวัน” พันทิพย์เบิกตามองดอกไม้ช่อสวยแล้วยิ้มกว้าง “ช่างขยันส่งขนมจีบจริงๆ”

“ค่ะพี่ป้อม”

“ไหนขอพี่ดูใกล้ๆ หน่อยเหอะน้องเดือน แหม...เมื่อไหร่หนอจะมีผู้ชายหล่อๆ ส่งดอกไม้ช่องามๆ อย่างนี้มาให้พี่บ้าง”

สิตางศุ์ยื่นดอกไม้ช่องามให้พันทิพย์ ทว่าเจ้าตัวยังไม่ทันได้รับก็ถูกนภเกตน์คว้าไปถือเอาไว้แล้วเขวี้ยงลงบนพื้นในทันควัน

“อ้าว คุณซัน ไหงทำงั้นล่ะคะ”

พันทิพย์อุทานเสียงสูง มองการกระทำของวิศวกรหนุ่มอย่างงงๆ รวมทั้งสิตางศุ์และนิภาภัทรที่เพิ่งทรุดนั่งลงด้วยเช่นกัน

“คืออย่างนี้ครับ” นภเกตน์ยกมือขึ้นแล้วรีบอธิบาย “ผมเห็นผึ้งตัวใหญ่เกาะอยู่ที่ดอกไม้เลยตกใจคว้าเอามาเขวี้ยงลงพื้น กลัวว่าผึ้งจะต่อยหน้าพี่ป้อมน่ะครับ ผึ้งพวกนี้พิษค่อนข้างแรง อาจหน้าบวมหรือเป็นไข้ได้นะครับ” คนพูดพูดด้วยสีหน้าและท่าทางจริงจัง

“อ้อ...อย่างนี้นี่เอง โชคดีนะคะที่คุณซันเห็นซะก่อนไม่อย่างนั้นหน้าพี่คงแย่แน่ๆ แต่น่าเสียดายดอกไม้ชะมัด สวยซะด้วย”

พันทิพย์มองดอกไม้ช่องามตาละห้อยด้วยความเสียดาย แม้จะเกรงกลัวผึ้งแต่พันทิพย์ยังอดเสียดายไม่ได้ ซึ่งได้รับการพยักพเยิดเห็นด้วยจากนิภาภัทร ที่มองช่อดอกไม้ด้วยความเสียดายเช่นเดียวกัน เพราะช่อดอกไม้สวยๆ ก่อนหน้าบัดนี้ยับเยินแม้จะไม่ทั้งหมดก็ตาม 

“นั่นสิคะพี่ป้อม ดีนะตอนหนูเล็กถือมาไม่ถูกต่อย ถ้าโดนคงดูไม่จืดเป็นแน่”

“เดี๋ยวผมเดินไปดูให้นะครับว่าผึ้งยังอยู่ที่ช่อดอกไม้หรือเปล่า” 

พูดพลางนภเกตน์ก็เดินเอี้ยวตัวผ่านสิตางศุ์ ที่ยังนั่งงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ส่วนเจ้าของดวงหน้าหล่อเหลาของคนที่บอกว่าจะไปดูผึ้งผุดรอยยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก ทว่าเพียงครู่เดียวเท่านั้นก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว

นภเกตน์ย่อมรู้อยู่แก่ใจว่าเรื่องผึ้งอะไรนั่นเขากุขึ้นมาเฉยๆ ตอนเห็นช่อดอกไม้ ทั้งไม่คิดมาก่อนว่าตัวเองจะกลายเป็นคนมากเล่ห์แสนกลเช่นนี้ไปได้ แต่เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องของโอกาสและการได้เปรียบที่มีมาถึงแล้ว ก็ควรต้องรีบคว้าไว้และใช้ให้เป็นประโยชน์กับตัวเองอย่างเต็มที่

ผู้กองหน้าไหนจะหล่อมากหล่อน้อย เขาไม่มีวันปล่อยให้แสงจากพระจันทร์ของเขาส่องไปถึงได้หรอก ไม่มีวัน 

“คุณซันระวังด้วยนะคะเผื่อยังมีตัวผึ้งอยู่”

“ครับ” นภเกตน์รับคำก่อนจะเก็บดอกไม้ช่องดงามก่อนหน้านี้จากบนพื้นขึ้นมาถือไว้ ก่อนหัวคิ้วเข้มจะขมวดเข้าหากันพลางอมยิ้มหมิ่นๆ ที่มุมปาก ทำทีเป็นสำรวจไปมาพลิกซ้ายพลิกขวา “เอ...ผมดูแล้วไม่มีผึ้งนี่นา หรือว่าเมื่อกี้ผมตาฝาด แต่มองแล้วเหมือนผึ้งจริงๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่ตกใจจนเขวี้ยงช่อดอกไม้สวยๆ ลงพื้นหรอกครับ เดี๋ยวผมขอเดินสำรวจทั่วๆ ก่อน ผึ้งอาจจะบินออกไปแล้ว”

คนพูดพูดออกไปอย่างนั้นเอง จะไปหาผึ้งที่ว่ามาจากไหนล่ะ แต่ต้องทำทีเป็นเดินสำรวจรอบๆ เพื่อความแนบเนียน

“ตกลงมีผึ้งหรือเปล่าคะ” พันทิพย์เอ่ยถามพลางมองไปรอบๆ ด้วยท่าทางหวาดหวั่น 

“สงสัยเมื่อกี้ผมตาฝาดไปจริงๆ ครับ”

“ผึ้งอาจจะบินออกไปแล้วนะคะ เพราะหนูเล็กไม่ได้ปิดประตูห้อง” 

นิภาภัทรออกความเห็น นภเกตน์จึงรับสมอ้างทันที

“อาจเป็นไปได้ครับ” พยักหน้าพลางยื่นช่อดอกไม้ให้สิตางศุ์ “ผมต้องขอโทษคุณเดือนด้วยนะครับที่ทำช่อดอกไม้สวยๆ ของคุณเสียหาย”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ”

สิตางศุ์มองช่อดอกไม้ ก่อนจะวางลงบนโต๊ะแล้วมองหน้าคนพูด แต่บนดวงหน้าหล่อเหลานั้นไม่ปรากฏร่องรอยพิรุธอะไรให้เห็น จะว่าเขาแกล้งเขวี้ยงก็ไม่น่าจะใช่ เพราะเขากับเธอก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันแล้ว

คนที่ทำอย่างนั้นได้ต้องเกิดจากความหึงหวงอย่างเดียวเท่านั้น และความหึงหวงก็เกิดมาจากความรักเท่านั้น เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ภายในหัวใจของสิตางศุ์ก็เกิดอาการเจ็บแปลบขึ้นมาทันที

“หรือจะให้ผมชดใช้แทน”

“ไม่จำเป็นหรอกค่ะ” เจ้าของดอกไม้เชิดหน้าตอบ

“ถ้าอย่างนั้นผมคงต้องขอตัวก่อนนะครับ ลืมซะสนิทว่าพี่เอกสั่งไว้ ถ้าผมมาถึงให้ไปหาที่ห้อง”

พูดจบร่างสูงเพรียวก็เดินผละออกไปทันที ครั้นพอพ้นหน้าห้องดวงหน้าหล่อเหลาก็แตะแต้มรอยยิ้มอย่างสาสมใจ มิหนำซ้ำยังผิวปากเบาๆ อย่างอารมณ์ดี 

“เฮ้อ ถ้าผู้กองภาคินรู้ว่าช่อดอกลิลลี่แสนสวยของตัวเองถูกเขวี้ยงลงพื้นจนยับเยินอย่างนี้จะทำหน้ายังไงหนอ”

นิภาภัทรซึ่งถือดอกไม้ช่องามมาพูดเสียงอ่อย หลังจากเห็นร่างสูงผึ่งผายของหนุ่มหน้าหล่อแถมหุ่นดีของนภเกตน์เดินผละไปแล้ว พลางมองสิ่งที่พูดถึงซึ่งวางอยู่บนโต๊ะ ด้วยสีหน้าส่อแววเสียดายอย่างยิ่งยวด ก่อนจะคว้าขนมปังจากจานที่นางสมพรปิ้งมาวางให้ส่งเข้าปากเคี้ยว

“นั่นสิหนูเล็ก แต่พี่ว่าคุณค่าไม่ได้อยู่ที่ราคาแต่อยู่ที่ใจ” พันทิพย์พูดเสียงเคลิบเคลิ้ม “น้องเดือนล่ะจ๊ะเสียดายไหม”

“ก็...เสียดายเหมือนกันค่ะ ดอกไม้สวยๆ ใครจะไม่เสียดายล่ะคะ”

สิตางศุ์บอกพลางมองช่อดอกไม้ตรงหน้าด้วยสายตาเคลือบแคลงใจไม่หาย อาการง่วงงุนที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ถูกทำลายลงด้วยกาแฟดำถึงสองแก้วที่ดื่มจนหมดไม่เหลือสักหยด แถมดอกไม้ช่องามที่เพิ่งได้รับแต่ยังไม่ทันได้ชื่นชมกลับถูกนภเกตน์เขวี้ยงลงพื้นซะก่อน

เหมือนเขาจงใจเขวี้ยงลงพื้น ไม่ใช่เป็นเพราะผึ้งอะไรนั่นหรอก

แม้จะพยายามคิดว่าไม่น่าใช่แต่มันก็น่าสงสัยไม่หาย ผึ้งจะเกาะอยู่ในดอกไม้โดยที่คนถืออย่างนิภาภัทรไม่เห็นนี่นะ แถมมาจากร้านดอกไม้นี่นะ มันไม่น่าเป็นไปได้ แต่ความคิดของสิตางศุ์ก็ถูกทำลายจนหมด จากคำพูดของนิภาภัทรที่ถามโพล่งขึ้นมาว่า

“คุณเดือนว่าระหว่างคุณซันกับผู้กองภาคิน ใครหล่อกว่ากันคะ” คนถามถามพลางก็คว้าขนมปังแผ่นที่สองใส่ปากเคี้ยว

“เอ้อ...เดือนไม่ขอตอบได้ไหม”

หญิงสาวหลีกเลี่ยงที่จะไม่ตอบเรื่องทำนองนี้ เดี๋ยวจะทำให้เกิดเป็นประเด็นขึ้นมาอีก แม้พยายามบอกตัวเองให้มองหนึ่งในคนที่นำมาเปรียบเทียบเป็นอากาศธาตุก็ตาม

ทว่าหัวใจของเธอก็คอยคัดค้านอยู่ร่ำไป

“ถ้าน้องเดือนไม่ตอบ พี่ขอตอบแทนเองแล้วกัน” พันทิพย์พูดยิ้มๆ หลังดื่มกาแฟแก้วที่สองหมด “พี่ว่ารูปร่างหน้าตาของคุณซันมีภาษีดีกว่าหลายขุม แต่ไม่รู้จะบรรยายยังไงถูก มันเป็นความรู้สึกส่วนตัวนะ คือหน้าตาแบบนี้หาได้ยากนะ เรียกว่าหล่อไม่ซ้ำแบบใครดีกว่า ส่วนผู้กองภาคินเป็นคนรูปหล่อจริง แต่เป็นไปตามเทรนด์ยอดนิยมตอนนี้คือขาวตี๋ ซึ่งมีอยู่เกลื่อนเมือง มองไปทางไหนก็เจอเลยดูไม่แตกต่าง ที่สำคัญไม่สมาร์ตเท่าคุณซันแม้จะเป็นตำรวจก็ตาม”

“พี่ป้อมลำเอียงหรือเปล่าคะ” สิตางศุ์แกล้งถาม

“ไม่ได้ลำเอียงนะน้องเดือน พี่พูดจากใจเลย”

นิภาภัทรพยักหน้าหงึกๆ

“ว้าว! ทำไมพี่ป้อมคิดเหมือนหนูเล็กเลยล่ะ คือตอนยังไม่มีคุณซันเปรียบเทียบ ก็มองว่าผู้กองดูหล่ออินเทรนด์ แต่พอคุณซันปรากฏตัวเท่านั้น อีกฝ่ายดูจืดชืดไปเลย ดูดาษดื่นเหมือนมองหาตามท้องถนนหรือตลาดนัดก็เจอค่ะ”

สิตางศุ์ฟังคำตอบแล้วอดหัวเราะคิกไม่ได้ และเผลอพยักหน้าเห็นด้วยตามอีกต่างหาก จนต้องรีบดึงความคิดบ้าๆ ของตัวเองออกมา

“แหม เข้าใจพูดนะ มองหาตามท้องถนนหรือตลาดนัดก็เจอ ทำไมพี่ไม่เห็นเคยเจอบ้างเลย” พันทิพย์พูดเสียงกลั้วหัวเราะ “แล้วน้องเดือนล่ะ เห็นด้วยกับคำพูดของพี่กับหนูเล็กไหมจ๊ะ”

คนถูกถามยังไม่ทันได้ตอบเสียงโทรศัพท์ในห้องแพนทรีก็ดังขึ้นเสียก่อน ป้าสมพรรีบเดินไปรับแล้วก็หันมาบอกยิ้มๆ ว่า

“โทรศัพท์ของคุณเดือนค่ะ”

สิตางศุ์ชะงักไปชั่วครู่พลางนึกว่าใครกันโทร. เข้าบริษัท เพราะส่วนใหญ่เธอจะให้เบอร์โทรศัพท์มือถือเพราะสะดวกมากกว่า แต่เมื่อนึกได้ว่าโทรศัพท์อยู่ในกระเป๋าสะพาย ที่เก็บไว้ที่โต๊ะทำงานเลยรีบเดินไปรับ

“พี่ว่าเป็นผู้กองภาคินแน่เลยน้องเดือน” พันทิพย์พูดกระเซ้ามาเข้าหูให้ได้ยิน 

“สิตางศุ์พูดค่ะ” 

หญิงสาวเอ่ยทักทายและก็ได้ยินเสียงทุ้มๆ ดังออกมาว่า

“สวัสดีครับคุณเดือน ได้รับช่อดอกไม้ของผมหรือยังครับ”

เป็นเสียงของผู้กองภาคินอย่างที่พันทิพย์เดาจริงๆ 

“ได้รับแล้วค่ะ” สิตางศุ์ตอบเสียงอ่อยๆ 

“ถูกใจหรือเปล่าครับ ผมสั่งที่ร้านประจำให้ เลือกดอกงามๆ ให้ทุกดอกเลยนะครับ”

“เอ้อ...ถูกใจค่ะ ขอบคุณคุณภาคินมากนะคะ ที่ส่งดอกไม้สวยๆ มาให้”

สิตางศุ์พูดพลางเหลียวมองไปยังดอกไม้ช่อที่เคยงามแต่ตอนนี้นอนยับเยินอยู่บนโต๊ะ แล้วให้รู้สึกผิดไม่น้อย แม้จะไม่ได้เป็นคนกระทำเองก็ตาม

“ผมเต็มใจครับ แล้วเย็นนี้คุณเดือนว่างหรือเปล่า เดี๋ยวผมขับรถไปรับมากินอาหารอร่อยๆ ที่ร้านพี่สาวของเพื่อนเพิ่งเปิด บรรยากาศดีเชียวครับ”

“เดี๋ยวตอนใกล้เลิกงานเดือนค่อยให้คำตอบได้ไหมคะ เพราะวันนี้ไม่แน่ใจว่ามีงานด่วนอะไรหรือเปล่า”

หญิงสาวพูดทอดเสียงนุ่มนวล คนฟังจะได้ไม่รู้สึกว่านี่เป็นการปฏิเสธกลายๆ ด้วยเธอไม่อยากพูดตรงๆ แบบนั้นจะเป็นการทำลายมิตรภาพเปล่าๆ 

“อย่างนั้นก็ได้ครับ เดี๋ยวใกล้เลิกงานแล้วผมโทร. มาหาใหม่นะครับ”

“ค่ะ”

หลังวางสายสิตางศุ์ก็เดินกลับไปนั่งยังโซฟา แล้วเหลือบมองนาฬิกาเพราะใกล้เวลาเริ่มงานแล้ว

“แหมมม” พันทิพย์อุทานยาวเหยียด “ทำไมตอนซื้อล็อตเตอรี่ไม่ยักเดาถูกอย่างนี้บ้าง นึกแล้วว่าต้องเป็นผู้กองภาคินก็เป็นจริงๆ”

ซึ่งคำพูดดังกล่าวได้รับการพยักหน้าเห็นด้วยจากนิภาภัทร 

“นั่นสิคะ ตายยากจริงๆ พอพูดถึงปุ๊บก็โทร. มาปั๊บ ยังกับรู้ว่าเรากำลังพูดถึงอย่างนั้นแหละ ว่าแต่คุณเดือนทำไมพูดเหมือนไม่อยากไปเลยล่ะคะ”

สิตางศุ์ลอบถอนหายใจ อุตส่าห์หันหลังพูดและพูดเสียงไม่ดังนักยังจะได้ยินอีก

“คือเดือนไม่แน่ใจว่ามีงานเร่งอะไรหรือเปล่าน่ะค่ะ คุณหนูเล็กก็รู้นี่คะว่าตั้งแต่บริษัทรับสร้างพวกอาคารหรือโรงงานนอกเหนือจากบ้าน งานก็เยอะขึ้นเป็นเงาตามตัว คนช่วยงานที่ขอคุณเอกไปก็ยังไม่ได้ เลยไม่อยากรับปาก”

“อือ จริงอย่างที่คุณเดือนว่า งานของบริษัทเรามีเพิ่มมากขึ้น ถึงได้รับวิศวกรคนใหม่อย่างคุณซันมาอีกคน ถ้าอย่างนั้นตอนนี้เราไปทำงานกันเถอะค่ะ”

“ค่ะ คุณหนูเล็ก” สิตางศุ์พยักหน้าแล้วมองไปยังช่อดอกไม้ พลางคิดว่าควรจะทำยังไง จะทิ้งลงถังขยะก็นึกเสียดาย 

ขณะกำลังตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรต่อดี ป้าสมพรก็พูดขึ้นยิ้มๆ ว่า

“คุณเดือนขา ป้าขอเจ้าดอกไม้ช่อนี้ได้ไหมคะ จะเลือกเอาดอกที่ยังไม่เสียหายไปปักแจกันที่บ้าน ลูกสาวป้าชอบดอกลิลลี่แต่ไม่มีปัญญาซื้อ” 

“อ๋อ ได้ค่ะป้าพร เอาไปเลยค่ะ”

สิตางศุ์มองช่อดอกลิลลี่ที่ก่อนหน้านี้ยังงามสะพรั่งแวบหนึ่งก่อนจะเดินกลับไปยังโต๊ะทำงาน

สิตางศุ์เข้าไปนั่งในแผนกของตัวเองที่ถูกกั้นไว้ด้วยพาร์ทิชันสีฟ้าสดใส บริเวณนี้ค่อนข้างกว้างขวางแต่มีเธอทำงานอยู่เพียงผู้เดียว เนื่องจากตอนเข้ามาทำงานใหม่ๆ ที่นี่เป็นเพียงบริษัทรับสร้างบ้าน ที่ขนาดจะว่าเล็กก็ไม่ใช่ทีเดียวนัก เรียกว่าค่อนไประดับกลางน่าจะเหมาะกว่า แม้สนนราคาของการก่อสร้างจะเริ่มต้นที่หลายล้านบาทก็ตาม แต่รับสร้างเพียงแค่บ้านอย่างเดียวเท่านั้น และมีพนักงานทำงานอยู่ไม่ถึงสามสิบคน

ทว่าปัจจุบันด้วยชื่อเสียงของบริษัทที่สั่งสมมานานหลายปี อีกทั้งมีบุคลากรอย่างสถาปนิกและวิศวกรที่มากด้วยความสามารถ ซ้ำยังไม่เคยสร้างความผิดหวังให้แก่ลูกค้า อีกทั้งธนบดีเจ้าของบริษัทยังมีสายป่านค่อนข้างยาวด้านเงินลงทุน จึงขยายบริษัทออกไป และรับสร้างโรงงานรวมทั้งสถานประกอบการเพิ่มขึ้น ทำให้มีงานเพิ่มมากขึ้นตาม

สิตางศุ์มองเอกสารบนโต๊ะทำงานที่ตัวเองยังต้องสะสางอีกนานกว่าจะเสร็จแล้วต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากตอนแรกๆ ที่คิดว่าทำคนเดียวก็ทันถมเถ แต่ตอนนี้ได้แต่นึกภาวนาให้คนเป็นเจ้านายส่งคนมาช่วยอย่างเร็วด้วยเหอะ 

หลังจากสะสางงานบนโต๊ะจนใกล้จะเสร็จเรียบร้อย พันทิพย์ก็เดินมาชะโงกหน้าบอก

“น้องเดือน คุณเอกฝากมาบอกให้ไปพบที่ห้องด้วยจ้ะ”

“ค่ะ พี่ป้อม”

ร่างระหงยืดกายขึ้นจากเก้าอี้ทำงานตัวใหญ่ พลางบิดกายไปมาไล่ความเมื่อยขบที่เกิดขึ้น จากการนั่งทำงานอยู่กับที่เป็นเวลานาน ก่อนจะก้าวตรงไปยังห้องทำงานของผู้เป็นเจ้านาย ซึ่งอยู่ด้านในของฝ่ายบริหาร

หลังเคาะประตูสามครั้งตามมารยาท สิตางศุ์จึงเปิดประตูเข้าไปภายในห้องแล้วก็ต้องชะงักอยู่กับที่ เพราะเจ้าของห้องไม่ได้อยู่ตามลำพังอย่างที่คิด บนโซฟามีหญิงสาวผิวคล้ำวัยใกล้เคียงกับเธอนั่งอยู่ นอกจากนี้ยังมีร่างสูงของนภเกตน์นั่งอยู่ด้วยเช่นกัน

อย่าบอกนะว่าตั้งแต่เช้าที่เธอได้ยินอีกฝ่ายบอกว่าคนเป็นเจ้านายเรียกให้ไปพบ จนกระทั่งตอนนี้ยังนั่งอยู่ต่อในห้องนี้ไม่ได้ขยับเขยื้อนไปไหน ตกลงว่าการงานไม่มีทำหรือไง

แต่จะทำหรือไม่ทำก็ช่างเขาปะไรไม่ใช่เรื่องของเธอซะหน่อย สิตางศุ์นึกด่าตัวเองอยู่ครามครันที่ไม่รู้เอาเรื่องของเขามาคิดทำไม

“มาแล้วหรือครับคุณเดือนนั่งก่อนสิครับ” ธนบดีที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานทักขึ้นยิ้มๆ 

“คุณเอกมีอะไรให้เดือนรับใช้หรือคะ”

แทนที่จะเดินไปทรุดนั่งบนโซฟาที่มีนภเกตน์กับหญิงสาวแปลกหน้านั่งอยู่ สิตางศุ์กลับเดินไปทรุดนั่งบนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานของคนเป็นเจ้านายแทน 

“ไม่มีหรอกครับ แต่หาคนช่วยงานคุณเดือนได้ตามที่ขอแล้วครับ จัดให้หนึ่งคนก่อน ส่วนอีกคนกำลังให้แผนกบุคคลคัดเลือกอยู่ครับ” ธนบดีพูดจบก็หันไปทางหญิงสาวที่นั่งนิ่งอยู่ “คุณชุติมา นี่คุณเดือนที่คุณต้องไปทำงานด้วย”

“สวัสดีค่ะ พี่น่าจะอายุมากกว่าคุณเดือน เรียกพี่ชุก็ได้นะคะ” ชุติมาแนะนำตัวเองพลางส่งยิ้มกว้างให้อย่างเป็นมิตร 

“สวัสดีค่ะพี่ชุ ยินดีที่ได้ร่วมงานกันนะคะ” สิตางศุ์ส่งยิ้มตอบพลางนึกในใจ ท่าทางง่ายๆ อย่างนี้น่าจะทำงานร่วมกันได้อย่างไม่มีปัญหา

“เช่นเดียวกันค่ะ”

“คุณชุเคยมีประสบการณ์ทำงานบริษัทก่อสร้างมาก่อนครับคุณเดือน”

ธนบดีเกือบจะเผลอหลุดปากบอกออกไปแล้วว่านภเกตน์เป็นฝ่ายแนะนำมาแต่ยั้งปากไว้ได้ทัน เพราะเจ้าตัวย้ำนักหนาว่าไม่ให้บอก ซึ่งตัวเขาเห็นด้วยกับเรื่องนี้ เพราะถ้าบอกไปสิตางศุ์อาจจะไม่ชอบใจเรื่องเส้นสายนัก 

ซึ่งธนบดีไม่รู้หรอกว่าเหตุผลของนภเกตน์นั้นมีมากกว่านั้น

“แล้วเอ็งล่ะซัน เข้ามาหาพี่อีกมีเรื่องอะไรหรือเปล่า หรือว่ายังไม่เคลียร์เรื่องที่พี่บอกเมื่อเช้า”

สิตางศุ์ครั้นได้ยินคำถามของคนเป็นเจ้านายก็คิดตามไปโดยไม่รู้ตัว

อ้อ...เพิ่งเข้ามา ไม่ได้อยู่แต่เช้าอย่างที่คิด หญิงสาวคิดพลางเหลือบตามองไปยังคนในความคิดแวบหนึ่ง จึงสบเข้ากับดวงตาคมดุเข้าอย่างจังจนต้องเบนหลบ

นภเกตน์ไม่ตอบคำถามคนเป็นรุ่นพี่ที่ตอนนี้พ่วงตำแหน่งเจ้านายอีกตำแหน่ง แต่มองไปยังคนหลบสายตาเขาแล้วลอบยิ้มที่มุมปากนิดหนึ่ง 

“ตอนแรกผมกะว่าจะไปหาคุณเดือนที่ห้องแต่เจอที่นี่ก็ดีเหมือนกัน”

“จะไปหาฉันที่ห้องไม่ทราบว่ามีธุระอะไรหรือคะ”

น้ำเสียงที่สิตางศุ์เอ่ยถามออกไปนั้นเป็นงานเป็นการ อีกทั้งแฝงรอยห่างเหินจนนภเกตน์รู้สึกได้ ทำให้นึกหมั่นไส้ขึ้นมาตงิดๆ ถ้าไม่เกรงใจว่ามีคนอื่นอยู่ด้วย เขาอยากจะทำโทษเรียวปากเชิดๆ นั่นให้หนำใจนัก ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าอีกฝ่ายแกล้งทำเป็นไม่รู้จักเขา

“คือผมอยากได้รายชื่อลูกค้าใหม่ของปีนี้ทั้งหมดครับ”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น