เรื่องของดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์

 เช้าวันรุ่งขึ้นสิตางศุ์ตื่นแต่เช้ากว่าทุกวันและรีบเดินออกไปเรียกแท็กซี่ที่ปากซอย เพราะกลัวเหตุการณ์จะซ้ำรอยเดิม ที่จู่ๆ ฝนก็ตกโดยไม่มีอะไรเป็นลางบอกเหตุเหมือนเช่นเมื่อวาน

โดยหญิงสาวไม่รู้เลยว่า ภายในรถบีเอ็มดับบลิวสีดำสนิทที่จอดชิดอยู่ริมถนน ที่ตัวเองเดินผ่านเพื่อไปเรียกรถแท็กซี่นั้น มีสายตาคู่คมของคนที่นั่งอยู่บนรถจับจ้องเขม็งอยู่

คนลอบมองในรถอยากชวนเจ้าของร่างระหงที่กำลังเดินจ้ำอ้าวผ่านไปขึ้นรถ แล้วไปด้วยกันใจแทบขาด

ทว่า…ถ้าทำเช่นนั้นจะไม่เป็นตามแผนที่วางไว้

เพราะมองตามรูปการณ์แล้วสิตางศุ์คงไม่ขึ้นรถมากับเขาหรอก และอาจทำให้โกรธมากกว่าเก่าอีกต่างหาก

ความจริงนภเกตน์ไม่ชอบทำอะไรที่เป็นแผนการนัก เพราะมองดูแล้วไม่ใช่ความจริงใจสักเท่าไหร่ แต่จะทำยังไงได้ เพราะมีวิธีนี้เท่านั้นที่จะเรียกความสัมพันธ์กลับคืนมาได้

วิศวกรหนุ่มคิดแล้วดวงหน้าหล่อเหลาก็แตะแต้มไปด้วยรอยยิ้ม

เคยได้ยินหลายคนบอกว่า ความรักของผู้หญิงส่วนใหญ่มักจะมั่นคงยั่งยืนกว่าผู้ชาย จึงได้แต่หวังว่าเจ้าตัวคงยังไม่ลืมความรู้สึกนั้นหรอกน่า เพราะไม่อย่างนั้นจะยังจำเรื่องส่วนตัวของเขาได้ยังไง

แม้จะรู้ว่าเป็นการคิดเข้าข้างตัวเอง แต่นภเกตน์ก็ยินยอมพร้อมใจที่จะคิดและเชื่อเช่นนั้น

สิตางศุ์ในชุดกางเกงผ้าสีดำเข้ารูปกับเสื้อแขนยาวลายดอกไม้สีฟ้าสดใส ที่ตรงชายเสื้อด้านหน้าผูกเป็นโบอันใหญ่อย่างเก๋ไก๋ ก้าวลงจากรถแท็กซี่ด้วยท่าทางงัวเงียด้วยนอนไม่เต็มตื่น เพราะเมื่อคืนกว่าจะข่มตาให้หลับลงได้ก็ปาเข้าไปครึ่งค่อนคืน และวันนี้ยังต้องตื่นเช้ากว่าปกติเพราะกลัวว่าฝนอาจจะตกอีก ซึ่งจะมีผลทำให้รถติดตามมาด้วย และอาจทำให้เธอมาทำงานสาย

แต่ในเมื่อฝนไม่ตกและรถก็ไม่ติด หญิงสาวจึงมาทำงานเช้าเป็นพิเศษ แทนที่จะได้นอนต่ออีกสักชั่วโมงสองชั่วโมง

ไม่ต้องโทษใคร ต้องโทษผู้ชายคนนั้นคนเดียวที่เป็นต้นเหตุ เพราะแม้ตาจะหลับแต่ภาพในอดีตทั้งหลายทั้งปวงก็ลอยวนเวียนเข้ามาในห้วงสำนึกซ้ำแล้วซ้ำเล่า

จะลบเท่าไหร่ก็ลบไม่ได้ ยิ่งพยายามลบพยายามไม่คิด ภาพที่ว่ากลับยิ่งเพิ่มและทำให้คิดตามเท่านั้น

บรรดาสัตว์ทั้งหลายที่คนนอนไม่หลับชอบนำเอามานับอย่างเช่นแกะไม่มีผลอะไรกับสิตางศุ์เลย จนต้องหยิบหนังสือนิยายจีนของกัตติกาซึ่งไม่เคยคิดจะอ่าน เพราะไม่ชอบจำชื่อตัวละครมาอ่าน แต่กลายเป็นอ่านแล้วสนุกและติดซะงั้น ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองผล็อยหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน และถ้าไม่ได้ญาติผู้พี่เข้ามาปลุกคงนอนยาวเป็นแน่แท้

สิ่งที่จะช่วยให้หายง่วงได้คงไม่พ้นกาแฟและต้องเป็นกาแฟดำเท่านั้น

“อ้าว...คุณเดือน ทำไมวันนี้มาทำงานแต่เช้าล่ะครับ หรือกลัวฝนตก?”

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำบริษัทวัยกลางคนเอ่ยทักเมื่อเห็นสิตางศุ์

“ใช่ค่ะ กลัวฝนตกแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยเหมือนเมื่อวาน” หญิงสาวพูดพลางยิ้ม “ยังไม่มีใครมาเลยหรือคะ”

“เมื่อกี้ผมเห็นมีรถยนต์ขับเข้าไปคันหนึ่ง แต่ไม่แน่ใจว่ารถใครนะครับ”

สิตางศุ์ไม่ได้สนใจนักว่าจะเป็นรถใคร เพราะตอนนี้สิ่งที่น่าสนใจกว่าเรื่องใดทั้งหมดคือกาแฟ

“เดือนขอตัวเข้าไปข้างในก่อนนะคะ”

พูดจบหญิงสาวก็เข้าไปในบริษัทและตรงไปยังโต๊ะทำงาน ซึ่งเวลานี้ภายในห้องกว้างมีเพียงความเงียบ กับเสียงครางเบาๆ ของแอร์คอนดิชันที่เธอเพิ่งเดินไปเปิดเท่านั้น

 สิตางศุ์เดินเข้าไปในห้องแพนทรีของบริษัท ตามปกติป้าสมพรซึ่งเป็นแม่บ้านจะคอยชงกาแฟรวมทั้งจัดของว่างให้ แต่วันนี้เจ้าตัวยังมาไม่ถึง หญิงสาวจึงจัดการชงกาแฟและปิ้งขนมปังสองคู่ เผื่อใครมาถึงจะได้กินกับกาแฟเลย

หลังดื่มกาแฟซึ่งไม่มีอะไรมากนอกจากกาแฟกับน้ำร้อนเท่านั้น เธอก็รู้สึกว่าอาการง่วงเหงาหาวนอนหายไปและดูกระปรี้กระเปร่าขึ้น ซึ่งไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า ทว่าขณะกำลังจะเดินไปหยิบขนมปังที่ปิ้งได้ที่มากิน เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นที่หน้าห้องเสียก่อน หญิงสาวคลี่ยิ้มกว้างเพราะคิดว่าน่าจะเป็นป้าสมพรจึงส่งเสียงทักทายขึ้น

“ป้าพรมาแล้วหรือคะ”

ทว่าเมื่อหันไปมองก็ต้องหุบยิ้มและเปลี่ยนสีหน้าแทบไม่ทัน เมื่อพบเข้ากับร่างสูงของคนที่เป็นสาเหตุทำให้นอนไม่หลับยืนอยู่

“ผมจะขอกาแฟแบบคุณสิตางศุ์สักแก้วได้ไหมครับ”

คำตอบที่ได้รับคือความเงียบ แต่มีหรือนภเกตน์จะยั่นหรือหวั่นเกรง ในเมื่อตั้งใจอย่างแน่วแน่แล้วว่า ไม่ว่าอีกฝ่ายเล่นบทอะไร เขาก็จะเล่นบทนั้นตาม เจ้าของร่างสูงเดินไปทรุดนั่งลงบนโซฟามุมห้อง ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้มที่ไม่ค่อยมีใครได้เห็นบ่อยนัก

“ถ้าคุณจะทำเป็นไม่รู้จักผม คุณก็ต้องทำให้สมเหตุสมผลนะครับคุณ...สิตางศุ์ อย่าใช้อารมณ์และความรู้สึกของตัวเองเป็นที่ตั้ง เพราะไม่อย่างนั้นจะยิ่งทำให้คนอื่นสงสัยในความสัมพันธ์ของเราสองคน ว่ามันเป็นยังไงกันแน่”

คนพูดเน้นเสียงตรงคำว่าความสัมพันธ์ของเราสองคนเป็นพิเศษ ทำเอาคนฟังคอแข็งจนนึกอยากจะเอากาแฟร้อนๆ ที่วางอยู่สาดหน้าหล่อๆ นั่นนัก แต่นั่นเป็นเพียงความคิด สิ่งที่ทำได้คือต้องจำใจลุกไปชงกาแฟแล้วเดินไปวางตรงโต๊ะเล็กตรงหน้าให้ เพราะสิ่งที่เขาพูดออกมานั้นเธอไม่อาจเถียงได้ เพราะถ้าทำปั้นปึ่งหรือแสดงอาการในทางลบออกไปจะยิ่งเป็นจุดสนใจของคนรอบข้าง

“ขอบคุณนะครับ ที่ยังจำได้ว่าผมชอบดื่มกาแฟสองช้อนกับน้ำร้อนครึ่งถ้วย” พูดพลางยกถ้วยกาแฟขึ้นจิบอย่างสบายอารมณ์

“ไม่ได้จำหรอกค่ะ แค่ใส่กาแฟเติมน้ำร้อนเท่านั้น ส่วนจะใส่อะไรต่อก็แล้วแต่คนดื่ม” สิตางศุ์ตอบทั้งที่ก็รู้ว่าปากกับใจของตัวเองไม่ตรงกัน ก็กาแฟสองช้อนกับน้ำร้อนครึ่งถ้วยนั้นเธอก็ดื่มตามอีกฝ่ายนั่นแหละ

“เหรอครับ แล้วคนทั่วไปดื่มกาแฟสองช้อนกับน้ำร้อนแค่ครึ่งถ้วยเหมือนผมด้วยหรือครับคุณสิตางศุ์” คนดื่มกาแฟไม่ค่อยเหมือนคนอื่นเอ่ยถามยิ้มๆ 

คนถูกถามถึงกับอึ้ง นั่นสิ ไม่ค่อยมีใครดื่มกาแฟสองช้อนเหมือนอีกฝ่ายนัก

ทำไม...เธอต้องจำได้ด้วยนะ แล้วทำไมถึงตาดีนัก อุตส่าห์ยืนบังตอนชงแล้วนะ

“ผมรบกวนขอขนมปังปิ้งด้วยนะครับ”

“ค่ะ”

สิตางศุ์กระแทกเสียงตอบ ก่อนจะเดินไปหยิบขนมปังปิ้งใส่จานเล็กนำมาวางให้ นึกภาวนาให้อีกฝ่ายดื่มกาแฟและกินขนมปังปิ้งเร็วๆ แล้วรีบลุกออกไปซะ เธอจะได้เดินไปนั่งบ้าง แต่คำภาวนาคงจะไม่เป็นผล เพราะดูเหมือนเจ้าตัวจะรู้เท่าทันความคิดของเธอ นั่งละเลียดกาแฟแถมกินขนมปังปิ้งช้าๆ อย่างสบายอกสบายใจ จนเธอคิดว่าในเมื่อเขาไม่ไปเธอเป็นฝ่ายไปเองก็ได้ 

แต่...เธอทำอย่างใจคิดไม่ได้ เพราะขณะลุกขึ้นยืนเสียงของพันทิพย์ก็ดังขึ้นที่หน้าห้องเสียก่อน

“แหม น้องเดือน วันนี้มาทำงานเช้าจัง พี่นึกว่าเป็นคนแรกซะอีกนะ วันนี้อุตส่าห์รีบออกจากบ้านกลัวฝนตก แต่ฝนก็ดันไม่ตกรถก็เลยไม่ติด เลยต้องมาทำงานแต่เช้าซะงั้น โอย...ง่วงนอนชะมัด ”

ประเสริฐแท้!

สิตางศุ์หยิบยืมสำนวนในนิยายจีนที่อ่านฆ่าเวลาเพื่อให้หลับเมื่อคืนมาใช้ เพราะนอกจากพันทิพย์แล้วยังมีนางสมพรเดินตามหลังมาด้วยท่าทางกระหืดกระหอบ

“อ้าว นอกจากวันนี้น้องเดือนจะมาเช้าแล้ว คุณซันก็มาเช้าเหมือนกัน”

แล้วอย่างนี้เธอจะหาทางผละออกไปได้อย่างไรกัน อยากจะบ้าตายนัก สิตางศุ์คิดในใจอย่างปลงๆ

“สวัสดีครับพี่ป้อม” นภเกตน์ทักทายผู้มาใหม่พร้อมด้วยรอยยิ้มน้อยๆ 

“พี่ไม่ยักรู้ว่าคุณซันชอบดื่มกาแฟดำเหมือนน้องเดือนด้วย”

พันทิพย์พูดขึ้นยิ้มๆ พลางมองถ้วยกาแฟดำบนโต๊ะตรงหน้าของวิศวกรคนใหม่ ที่นั่งอยู่บนโซฟามุมห้องด้วยท่วงท่าสบายๆ สลับกับมองถ้วยกาแฟในมือของสิตางศุ์ที่ยืนอยู่ นอกจากนั้นยังมีขนมปังปิ้งที่อยู่ในมือขวาของทั้งคู่ แล้วก็รู้สึกสนเท่ห์นัก

ทั้งคู่ยังกับนัดกันมานั่งดื่มกาแฟและกินขนมปังปิ้งกันก็ไม่ปาน 

สายตาและคำพูดของหญิงสาวรุ่นพี่ทำเอาสิตางศุ์ต้องลอบยิ้มเจื่อนๆ เพราะความจริงเป็นตัวเธอต่างหากที่ติดดื่มกาแฟดำไม่ใส่อะไรเลยมาจากนภเกตน์ 

สัญญา!

พรุ่งนี้เธอจะไม่ดื่มกาแฟดำอย่างเดียวอีกแล้ว จะใส่น้ำผึ้งเพิ่มเข้าไปจะได้ไม่ต้องเหมือนกับเขา 

“คือผมเข้ามาเห็นคุณสิตางศุ์กำลังชงกาแฟและปิ้งขนมปังไว้แล้ว ผมเลยรบกวนให้ชงเผื่อผมด้วย เพราะผมชอบดื่มกาแฟดำมาแต่ไหนแต่ไรแล้วครับ” นภเกตน์บอกพลางมองไปทางสิตางศุ์พร้อมรอยยิ้มบางๆ 

“อ้อ...อย่างนี้นี่เอง”

สิตางศุ์เกือบจะหลุดปากบอกออกไปแล้วว่า ขนมปังนั่นเธอปิ้งเผื่อคนอื่นต่างหาก แต่ยั้งปากไว้ได้ทัน เพราะขืนพูดแย้งออกไปจะกลายเป็นทำให้ใครต่อใครสงสัยขึ้นมาอีก

“นี่ค่ะกาแฟของคุณป้อม หนึ่ง สอง สาม เหมือนเดิม” ป้าสมพรยื่นถ้วยกาแฟมาให้พันทิพย์ที่ตอนนี้นั่งอยู่บนโซฟา แล้วจึงหันไปมองนภเกตน์ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้าม พลางเหลือบมองขนมปังปิ้งที่ตอนนี้น่าจะเย็นชืดหมดแล้ว “เดี๋ยวป้าปิ้งให้ใหม่ดีไหมคะ”

“ไม่เป็นหรอกครับ ผมกินได้ครับ” พูดพลางบิขนมปัง จิ้มกาแฟแล้วส่งเข้าปากเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย

“แปลกนะคะ คุณซันกินเหมือนน้องเดือนเลย”

คนถูกพาดพิงได้แต่ลอบถอนหายใจ ด้วยรู้อยู่แก่ใจว่าที่อีกฝ่ายกินแบบนี้เพราะตามเธอนั่นเอง ก่อนจะมองขนมปังในมือที่เย็นชืดหมดแล้ว จากนั้นกัดกิน แต่ไม่บิจิ้มกาแฟเหมือนเคยจะได้ไม่เหมือนเขา

“ผมเคยเห็นใครบางคนกินน่ะครับเลยกินตาม ก็อร่อยดีนะครับพี่ป้อม” นภเกตน์พูดพลางปรายตามองคนที่ยืนอยู่แวบหนึ่ง “ผมเพิ่งรู้ว่าคุณสิตางศุ์กินเหมือนคนที่ผมเคยรู้จักเลยนะครับ”

สิตางศุ์จะทำยังไงได้นอกจากนิ่ง นึกอยากควักลูกตาคนมองนัก

“ตอนนี้เปลี่ยนมากินแบบปกติแล้วค่ะ เพราะบิแล้วจิ้มกาแฟรู้สึกทั้งขมทั้งขื่น ว่าจะเลิกกินแบบนั้นแล้วค่ะ” คนพูดเน้นเสียงหนักที่คำว่าทั้งขมทั้งขื่น

 “อ้าว พี่เพิ่งมาหัดกินตาม น้องเดือนจะเลิกกินแบบนั้นซะแล้ว” พันทิพย์พูดยิ้มๆ “แล้วทำไมยังเรียกชื่อจริงกันอยู่ล่ะ เรียกออกจะยาก เรียกชื่อเล่นกันเลยดีกว่าจะได้สนิทๆ กัน เพราะน้องเดือนน่ะต้องทำงานกับคุณซันบ่อยกว่าใครอยู่แล้ว”

“ผมก็อยากจะเรียกแหละครับพี่ป้อม แต่ไม่รู้ว่าคุณสิตางศุ์จะยอมให้เรียกหรือเปล่า”

“เรียกตามสบายเถอะค่ะ” 

“ถ้าอย่างนั้นผมขอเรียกว่าน้อง...เอ้อคุณเดือนแล้วกันนะครับ ส่วนคุณจะเรียกผมว่าซันหรือเรียกพี่ซันก็ได้”

คำว่าพี่ซันนภเกตน์เน้นเสียงย้ำเป็นพิเศษ แต่สีหน้าเวลาพูดของชายหนุ่มนั้นเรียบสนิท ไม่ก่อความพิรุธใดๆ ให้ใครสังเกตเห็น นอกจากตัวสิตางศุ์เท่านั้นที่รู้ดีว่าคำพูดของอีกฝ่ายนั้นแฝงนัยอะไรไว้

“ค่ะคุณซัน”

“จริงๆ แล้วน้องเดือนเรียกพี่ซันก็น่ารักดีนะ พี่ซันกับน้องเดือน” 

พันทิพย์พูดแซวโดยไม่คิดอะไร แต่คนคิดไปไกลกว่านั้นอย่างนภเกตน์เอ่ยถามยิ้มๆ

“ทำไมพี่ป้อมถึงคิดว่าคำเรียกพี่ซันกับน้องเดือนน่ารักล่ะครับ”

“อ้าว ซันแปลว่าดวงอาทิตย์ เดือนก็แปลว่าดวงจันทร์ไงล่ะคะ ดวงจันทร์กับดวงอาทิตย์เป็นของคู่กัน” 

พันทิพย์พูดโดยไม่คิดอะไรอีกเช่นกัน แต่คนที่สั่งตัวเองไม่ให้คิดตามอย่างสิตางศุ์รีบพูดแย้งออกไปทันควัน

“แสดงว่าพี่ป้อมไม่เคยอ่านตำนานของดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์แน่เลย”

“มีตำนานด้วยหรือจ๊ะพี่ไม่ยักเคยอ่าน น้องเดือนเล่าให้ฟังหน่อยสิ” พันทิพย์เอ่ยถามด้วยสีหน้าอยากรู้ 

“ได้ค่ะพี่ป้อม” สิตางศุ์เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย พลางปรายตามองไปยังคนที่ชื่อแปลว่าดวงอาทิตย์แวบหนึ่งก่อนจะเริ่มเล่า “ตามตำนานเล่าว่าดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์เคยรักกันค่ะพี่ป้อม”

“เคยรักกัน? แสดงว่าตอนหลังไม่ได้รักกันแล้วหรือจ๊ะ”

“ใช่ค่ะ แค่เคยรักกันเท่านั้น” คนเล่าเน้นย้ำคำว่าเคยเป็นพิเศษแล้วจึงเล่าต่อ “เมื่อก่อนดวงอาทิตย์เป็นผู้ที่ไม่มีความมั่นใจในแสงของตัวเอง จึงไม่ค่อยเปล่งแสงออกมามากนัก มักจะเปล่งออกมาเฉพาะตอนรู้สึกมีความสุขหรือโกรธมากๆ เท่านั้น ดวงจันทร์รู้สึกสงสารจึงคอยไปอยู่เคียงข้างเพื่อสร้างความมั่นใจให้ ทั้งที่ตัวเองมีคู่รักอยู่แล้ว เป็นดวงจันทร์เช่นกัน”

“มีคู่รักเป็นดวงจันทร์? แสดงว่าเมื่อก่อนมีดวงจันทร์สองดวงหรือจ๊ะน้องเดือน” คนช่างสงสัยอย่างพันทิพย์ถามด้วยสีหน้าตื่นเต้น

“ใช่ค่ะพี่ป้อม เป็นดวงจันทร์ผู้หญิงกับดวงจันทร์ผู้ชาย ทั้งคู่รักกันมาก ตอนที่ดวงจันทร์ผู้หญิงไปคอยอยู่เคียงข้างดวงอาทิตย์เพื่อสร้างความมั่นใจจนกระทั่งกลายเป็นความรัก ดวงจันทร์ผู้ชายก็เฝ้ารอคอยและตามหาดวงจันทร์ผู้หญิงอยู่เสมอ” คนเล่าเล่าด้วยน้ำเสียงปนเศร้าราวกับอินกับเรื่องที่กำลังเล่า

“ว้า เป็นรักสามเส้าเราสามคนเหมือนในละครเลย ฟังแล้วเศร้าจังนะคะคุณซัน” พันทิพย์หันไปพูดกับนภเกตน์น้ำเสียงเศร้าเช่นกัน

“ผมว่าสนุกดีนะครับ”

พันทิพย์พยักหน้า “พี่ก็ว่าสนุก แต่เสียดายเศร้าไปหน่อย น้องเดือนเล่าต่อสิจ๊ะพี่อยากรู้ว่าเรื่องราวมันเป็นยังไงต่อไป”

สิตางศุ์นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งเพื่อทบทวนเรื่องราว เพราะตัวเธอเองก็เพิ่งไปอ่านเจอเรื่องของดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์จากในเว็บชื่อดังมาเมื่อไม่นานนี่เอง

“หลังจากดวงอาทิตย์รู้ถึงศักยภาพของตัวเองก็เปล่งแสงร้อนแรงเต็มที่ ทำให้สิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบกายทนไม่ไหว เริ่มถอยห่างออกไป ดวงจันทร์เองก็ไม่ต่างกัน เพราะถ้าไม่ถอยออกมาอาจถูกหลอมละลายได้ ทำให้ดวงอาทิตย์ที่แม้จะมีแสงมากขึ้นไม่อาจมองเห็นดวงจันทร์ และดวงจันทร์ก็ไม่อาจเห็นดวงอาทิตย์ได้เช่นกัน จึงพยายามเปล่งแสงอันน้อยนิดให้ดวงอาทิตย์รู้ว่าตัวเองอยู่ตรงนี้ เปล่งแสงจนหมดกระทั่งไม่มีวันกลับมามีแสงอีก แต่ดวงอาทิตย์ก็ไม่สามารถรับรู้ได้ เพราะแสงจ้าเกินไปจนไม่อาจเห็นสิ่งใดๆ ได้”

“น่าสงสารจัง แล้วยังไงต่อจ๊ะ” พันทิพย์โอดครวญเสียงเศร้าตาม

“ดวงอาทิตย์จึงลงไปในทะเล ถามทะเลว่าเห็นดวงจันทร์ไหม ทะเลตอบว่าดวงจันทร์หมดแสงไปแล้ว เมื่อดวงอาทิตย์รู้จึงเปล่งแสงของตัวเองเพื่อช่วยให้ดวงจันทร์กลับมามีแสงอีกครั้ง แต่ก็เห็นดวงจันทร์ได้เพียงน้อยนิด” น้ำเสียงของคนเล่าก็เศร้าไม่ต่างจากคนฟังอย่างพันทิพย์

“แล้วดวงจันทร์ผู้ชายล่ะจ๊ะ เป็นยังไง”

“ดวงจันทร์ผู้ชายระเบิดตัวเองกลายเป็นดาวดวงเล็กๆ เพื่อตามหาดวงจันทร์ผู้หญิงค่ะพี่ป้อม”

“โอ...น่าสงสารจัง แล้วดวงจันทร์ผู้หญิงทำยังไงล่ะทีนี้”

“ดวงจันทร์ผู้หญิงเมื่อเห็นว่าตอนนี้ดวงอาทิตย์ช่วยเปล่งแสงให้ดาวดวงอื่นด้วย ไม่ใช่ให้ตัวเองแต่เพียงผู้เดียวเหมือนเมื่อก่อน ก็เกิดอาการน้อยใจเสียใจ จึงคิดกลับไปหาดวงจันทร์ผู้ชาย แต่ตามหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอจึงไปถามทะเล ทะเลก็บอกว่าดาวดวงเล็กๆ นั่นคือดวงจันทร์ที่กำลังตามหา”

“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง เวลามีดวงจันทร์ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า ก็จะเห็นดวงดาวต่างๆ ล้อมอยู่รอบๆ แสดงว่ายังอยู่เคียงคู่กัน ไม่เหมือนกับดวงอาทิตย์ที่ต่างไม่เจอกันแล้ว”

“ใช่แล้วค่ะพี่ป้อม ดวงจันทร์ยังคงอยู่คู่กับดวงดาว แต่ดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์นั้นไม่มีวันเจอกันอีก เพราะพอดวงอาทิตย์ตก ดวงจันทร์ถึงขึ้น” สิตางศุ์ตอบเสียงดังฟังชัดราวกับจะบอกผ่านไปถึงใครบางคนยังไงยังงั้น

“แต่ตามที่ผมเคยอ่าน แม้ดวงอาทิตย์จะเห็นดวงจันทร์เพียงน้อยนิด แต่ก็พร้อมจะเปล่งแสงเพื่อช่วย ใช่ว่าจะลืมเลือนดวงจันทร์ซะหน่อย”

นภเกตน์ที่นั่งฟังอยู่เงียบๆ พูดแย้งขึ้น ทำเอาคนเล่าที่จงใจเล่าข้ามตอนนี้ถึงกับนิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออก

“อ้าว คุณซันก็อ่านตำนานเรื่องนี้มาเหมือนกันหรือคะ”

นภเกตน์ยิ้มกว้าง

“คือผมเปิดเจอจากเว็บเว็บหนึ่งโดยบังเอิญน่ะครับพี่ป้อม เลยสนใจ และชื่อของผมก็เผอิญแปลว่าดวงอาทิตย์ก็เลยลองอ่านดู”

“เฮ้อ...นี่ดีนะที่พี่ไม่ได้อ่านเอง แค่ฟังน้องเดือนเล่าก็เศร้าจะแย่แล้ว ไม่รู้ว่าจะโทษว่าเป็นความผิดของใครดีระหว่างดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์ผู้หญิง ส่วนดวงจันทร์ผู้ชายน่าสงสารที่สุด”

“ถ้าจะโทษต้องโทษดวงจันทร์ผู้หญิงแหละครับที่ผิดตั้งแต่แรก เพราะมีดวงจันทร์ผู้ชายเป็นคู่รักอยู่แล้วยังอยากเข้าใกล้ดวงอาทิตย์อีก แสดงว่าดวงอาทิตย์เสน่ห์แรงไม่หยอก” ขณะที่พูด ดวงตาคมของคนพูดนั้นไหวระริกราวกับตัวเองคือดวงอาทิตย์ก็ไม่ปาน

คนที่มีชื่อแปลว่าดวงจันทร์ขยับปากจะเถียง แต่ไม่ทันพันทิพย์ที่พูดออกมาซะก่อนว่า

“แต่สำหรับพี่ คิดว่าจะโทษดวงจันทร์ผู้หญิงว่าผิดซะทีเดียวก็ไม่ได้นะคะ”

“ทำไมล่ะครับ/ทำไมล่ะคะ”

เสียงของคนที่มีชื่อแปลว่าดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์ถามขึ้นพร้อมกันราวกับนัด ทำเอาพันทิพย์ต้องมองหน้าทั้งคู่แล้วอดหัวเราะคิกไม่ได้

“แหม ถามขึ้นพร้อมกันราวกับนัดเลย รักแท้แพ้ใกล้ชิดไงคะ อย่างที่ใครต่อใครมักชอบพูดว่า ความรักมักไม่มีเหตุและผลไงล่ะ ตามตำนานดวงจันทร์ผู้หญิงเข้าใกล้ดวงอาทิตย์เพื่อสร้างความมั่นใจให้อีกฝ่าย และเป็นเพราะความใกล้ชิดถึงได้รักกัน แต่เป็นเพราะหน้าที่ของดวงอาทิตย์ ที่ต้องให้แสงสว่างกับดาวทุกดวง ไม่ใช่เพื่อดวงจันทร์ผู้หญิงแค่ดวงเดียว เรื่องถึงจบลงด้วยความเศร้า จะว่าไปแล้วจากตอนแรกพี่คิดว่าดวงจันทร์ผู้ชายน่าสงสาร แต่มาคิดไตร่ตรองแล้วดวงอาทิตย์ต่างหากน่าสงสารที่สุด ที่ต้องห่างไกลจากดวงจันทร์จนไม่อาจพบกันได้อีก”

“น่าสงสารตรงไหนคะ” สิตางศุ์ถามเสียงติดแข็ง

“อ้าว ดวงจันทร์ผู้ชายถึงจะแตกสลายกลายเป็นดาวดวงเล็กๆ แต่ยังได้อยู่ใกล้ชิดกับดวงจันทร์ผู้หญิงอยู่ดีไงจ๊ะ”

“ใช่แล้วครับพี่ป้อม” นภเกตน์พยักหน้าเห็นด้วย “ดวงอาทิตย์น่าสงสารที่สุด เพราะยังไม่รู้ตัวเลยว่าทำอะไรให้ดวงจันทร์โกรธเคืองหรือเข้าใจผิด มีอะไรควรพูดกันตรงๆ ไม่ใช่จู่ๆ ก็ทำเป็นไม่รู้จักกัน”

คนพูดพูดประโยคสุดท้ายไม่เต็มเสียงนัก พลางมองไปยังสิตางศุ์ด้วยสายตาเต็มไปด้วยคำถาม

“คนใจร้ายใจดำ” คนถูกมองหลุดปากออกไปโดยไม่ยั้งคิด

“ใจร้ายใจดำยังไงบอกให้รู้ตัวหน่อย” นภเกตน์เอ่ยถามด้วยความลืมตัว “ดวงอาทิตย์ทำอะไรผิดนักหนา”

“คนเราทำอะไรย่อมรู้อยู่แก่ใจ” สิตางศุ์ตอบทันควันอย่างลืมตัวไม่ต่างกัน

“ไม่ได้รู้อยู่แก่ใจ เพราะยังไม่รู้เลยว่าทำอะไรให้โกรธ”

“ไม่ต้องมาทำเป็นไขสือ”

“คำว่าไขสือคือรู้แต่ทำเป็นไม่รู้ แต่นี่ไม่รู้ตัวเลยจะเรียกว่าไขสือไม่ได้”

พันทิพย์มองคนสองคนที่กำลังโต้ตอบกันด้วยความงุนงง แต่ก็คิดว่าทั้งคู่คงกำลังโต้เถียงกันด้วยเรื่องในตำนาน จากคำพูดของนภเกตน์ที่ว่าดวงอาทิตย์ทำอะไรผิดนักหนา

“อ้าว ตามที่ฟังจากน้องเดือนเล่า ดวงจันทร์น้อยใจดวงอาทิตย์ ที่ไม่ได้เปล่งแสงสว่างเพื่อตัวเองแต่เพียงผู้เดียวเหมือนก่อน แต่เปล่งให้ดาวดวงอื่นด้วยไม่ใช่หรือ แล้วเรื่องใจร้ายใจดำพี่ว่าในตำนานไม่มีนะ หรือพี่ฟังผิด แล้วไขสืออะไรหรือจ๊ะ”

“เอ้อ...” สิตางศุ์นึกด่าตัวเอง ไม่น่าเผลอหลุดปากออกไปเลย ทีนี้จะทำยังไงได้นอกจากแก้ตัวตามน้ำไปแล้วกัน ถึงจะเป็นน้ำขุ่นๆ ก็ตาม “คือเดือนสงสารดวงจันทร์ผู้หญิงค่ะพี่ป้อม เลยอินจัดแก้ตัวแทน”

“ส่วนผมสงสารดวงอาทิตย์ครับพี่ป้อม” คนอยู่ฝ่ายดวงอาทิตย์พูดสวนออกมาทันควัน “เพราะดวงอาทิตย์แม้จะต้องเปล่งแสงเพื่อช่วยดาวดวงอื่น แต่ก็พยายามมองหาดวงจันทร์ตลอด ไม่เคยละเลยหรือทิ้งขว้าง”

ไม่เคยละเลยหรือทิ้งขว้าง...สิตางศุ์ฟังแล้วเกือบของขึ้นตอบโต้ออกไปอีก ดีที่ยั้งปากไว้ได้ทัน

“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง พี่ว่าน่าสงสารทั้งหมดเลยแล้วกัน ไม่ว่าจะเป็นดวงจันทร์ผู้ชาย ดวงจันทร์ผู้หญิง หรือดวงอาทิตย์ ฟังแล้วเศร้าใจชะมัด พี่เคยคิดอยู่ตลอดว่าดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์เป็นของคู่กัน แต่หลงลืมไปว่าทั้งคู่ขึ้นและตกคนละเวลา ยิ่งคิดยิ่งน่าสงสาร เพราะยังไงก็ไม่มีวันเจอกันอีก”

“ใช่ค่ะพี่ป้อม ดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์จะไม่มีวันได้พบกันอีกตลอดไป”

“นั่นสิ แค่คิดก็ปวดใจแล้ว” พันทิพย์พูดพลางยกมือทาบอกประกอบ แล้วจึงหันไปทางป้าสมพร “ป้าพรจ๋า ขอกาแฟแก้ปวดใจอีกแก้วเถอะค่ะ”

“ที่คุณเดือนบอกว่าดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์จะไม่มีวันได้พบกันอีก นั่นมันเป็นเพียงตำนานที่เล่าขานกันมาเท่านั้น ตำนานก็เป็นเพียงตำนานเท่านั้น” นภเกตน์พูดเสียงเยือกเย็น

“แต่คุณก็เห็นนี่คะว่าดวงอาทิตย์ขึ้นตอนเช้าตรู่และตกตอนเย็น ซึ่งตรงกันข้ามกับดวงจันทร์ทุกประการ” คนที่ชื่อมีความหมายว่าดวงจันทร์เถียงอย่างไม่ยอมแพ้

“นั่นเป็นเรื่องของดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้ว” คนที่ชื่อมีความหมายว่าดวงอาทิตย์พูดพลางยิ้มแฝงเลศนัยขัดกับน้ำเสียง “แต่เรื่องอื่นมันไม่แน่ไม่นอนหรอกนะครับ คุณก็รู้ว่าทุกสิ่งอย่างในโลกนี้ล้วนไม่แน่นอน มีเรื่องบังเอิญหรือคาดไม่ถึงเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาและทุกวัน ดังนั้นทุกสิ่งอย่างย่อมมีการเปลี่ยนแปลงได้เสมอเช่นกัน”

พูดจบนภเกตน์ก็หันไปบอกนางสมพร

“ผมรบกวนขอกาแฟอีกแก้วด้วยนะครับป้าพร แล้วขอเผื่อคุณเดือนด้วยแล้วกัน เพราะคงคอแห้งหลังจากเล่าตำนานดวงจันทร์กับดวงอาทิตย์”

“ได้ค่ะ เดี๋ยวป้าจัดให้” นางสมพรพูดยิ้มๆ พลางส่งกาแฟถ้วยที่สองให้พันทิพย์ซึ่งขอไว้ก่อนหน้านี้ “นี่ของคุณป้อมค่ะ”

“ขอบคุณมากค่ะป้า” พันทิพย์รับกาแฟมาดื่มก่อนจะพูดขึ้นว่า “ที่คุณซันพูดเมื่อกี้ว่าเรื่องทุกอย่างในโลกนี้ล้วนไม่แน่นอน และหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นและเปลี่ยนแปลงได้โดยที่เราคาดไม่ถึงอยู่บ่อยๆ มันก็เป็นความจริงนะคะ” แล้วก็ทำท่าเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ “เราคุยกันเรื่องดวงอาทิตย์ดวงจันทร์ พี่ก็เพิ่งนึกได้ว่านอกจากชื่อจริงของคุณซันจะแปลว่าดวงอาทิตย์ ชื่อจริงของน้องเดือนก็แปลว่าดวงจันทร์นี่นา”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น