“จะเป็นไปได้ยังไงวะ กูดูด้วยตาก็รู้ว่าน้องเดือนน่ะรักมึงยังกับอะไร”
วิษณุรู้เรื่องของผู้เป็นเพื่อนเป็นอย่างดี ซ้ำยังรู้จักหญิงสาวที่ถูกพูดถึง จึงเอ่ยขึ้นเสียงสูงอย่างไม่อยากเชื่อ
“มันเป็นไปได้และมันเป็นไปแล้ว สิตางศุ์ทำเป็นไม่รู้จักกูจริงๆ กูจะโกหกมึงหาหอกอะไร” คนกำลังโกรธพูดเสียงเกรี้ยวกราดอย่างที่เจ้าตัวไม่เคยทำบ่อยนัก
“เออ” วิษณุพยักหน้าพลางมองหน้าผู้เป็นเพื่อน เพราะนอกจากน้ำเสียงเกรี้ยวกราดที่ได้ยินก้องหูบ่งบอกว่าเป็นเรื่องจริง เขายังจับได้ถึงความน้อยใจที่แฝงอยู่ในน้ำเสียง นี่คือกิริยาอาการของเพื่อนที่แม้แต่เขาซึ่งเป็นเพื่อนสนิทก็เพิ่งเคยเห็น
“กูว่าที่น้องเดือนทำแบบนี้กับมึงมันต้องมีสาเหตุแน่นอน แต่จะบอกว่าโกรธที่มึงไปต่างประเทศโดยไม่บอก ก็ไม่น่าถึงขั้นต้องโกรธขนาดนี้ ตอนมึงไปกูก็นอนป่วยอยู่โรงพยาบาล เพิ่งรู้ทีหลังเหมือนกัน พอออกจากโรงพยาบาลถึงรู้ข่าวจากไอ้เมศร์ว่าน้องเดือนลาออกจากมหาวิทยาลัย แล้วลาออกนี่มันเป็นเรื่องใหญ่นะ ถามเพื่อนๆ น้องเดือนก็ไม่มีใครยอมบอกสักคน ดูเหมือนจะพลอยโกรธกูไปด้วยอีกต่างหาก”
นภเกตน์นิ่งไปครู่หนึ่งอย่างใช้ความคิด
“ตอนกูจัดการธุระทางนั้นเสร็จ กลับมาก็รู้เรื่องน้องเดือนจากไอ้เมศร์เหมือนที่มึงรู้”
“หรือว่าน้องเดือนรู้เรื่องที่มึงพนันกับไอ้เมศร์วะซัน”
ไอ้เมศร์ที่กำลังถูกเอ่ยถึงในหัวข้อสนทนาคือปรเมศร์ เพื่อนร่วมคณะของนภเกตน์และวิษณุ ผู้คอยชิงดีชิงเด่นและเขม่นกับนภเกตน์มาตั้งแต่ปีแรกยันปีสุดท้าย ปรเมศร์เป็นบุตรชายของนักการเมืองหลายสมัยที่ค่อนข้างมีอิทธิพล จึงมักวางตัวเหนือคนอื่นเสมอ แต่ครั้นมาเจอกับนภเกตน์ที่มีโพรไฟล์ไม่ด้อยกว่ากันแถมยังดีกว่าด้วยซ้ำ จึงพยายามจะเอาชนะคะคานมาโดยตลอด
แต่ไม่เคยชนะเลยสักครั้ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียนหรือเรื่องความรัก
“ความจริงมึงไม่น่าพนันกับไอ้เมศร์ตั้งแต่แรกแล้วไอ้ซัน”
นภเกตน์ฟังคำพูดของเพื่อนแล้วหน้าม่อยลง ใช่ว่าจะไม่รู้สึกผิดกับสิ่งที่ตัวเองกระทำลงไป แต่เขามีเหตุผลในการกระทำนั้นเช่นกัน
“ใช่ว่ากูจะไม่รู้สึกผิดนะณุที่ทำแบบนั้น แต่มึงก็รู้ดีนี่หว่าว่าไอ้เมศร์มันเป็นคนแบบไหน ตอนนั้นกูแค่คิดว่าถ้าปล่อยให้มันจีบเดือนติดมันคงจะไปกันใหญ่ มึงคิดว่ามันจะจริงจังเหรอ กี่รายแล้วล่ะที่มันจีบทิ้งจีบขว้าง กูสงสารน้อง”
วิษณุมองเพื่อนพลางส่ายหน้า เพื่อนสนิทเขาฉลาดไปซะทุกเรื่อง แต่บางเรื่องก็มองข้ามไปซะงั้น
“มึงน่ะมัวแต่คิดในมุมมองของตัวเองด้านเดียวแต่ดันลืมคิดถึงตัวคนกลาง แม้แต่กูยังดูออกตั้งแต่แรกแล้วว่าน้องเดือนน่ะชอบมึง ชอบมากจนถึงขั้นรักก็ว่าได้ แล้วมีหรือคนอย่างไอ้เมศร์จะจีบติด แล้วลองคิดดูสิว่าทำไมมึงถึงจีบติด ถ้าสาวเจ้าไม่ได้มีใจให้”
นภเกตน์นิ่งคิดตามและก็เห็นด้วยกับคำพูดของผู้เป็นเพื่อน ดวงหน้าหล่อเหลาที่ตอนนี้แดงระเรื่อด้วยฤทธิ์เบียร์บวกกับความในใจม่อยลงอีกครั้ง คอตกอย่างรู้สึกผิดขึ้นมาอีกกระทง
นั่นสิ...เขารู้อยู่เต็มอกว่าสิตางศุ์รักเขา จนกระทั่งยินยอมมีความสัมพันธ์เกินเลยด้วยทั้งที่รู้ว่าไม่ใช่เรื่องถูกต้อง ถ้าย้อนเวลาได้เขาจะไม่ทำเรื่องบ้าๆ นั่นเด็ดขาด
“หรือว่าเดือนจะรู้เรื่องนี้อย่างที่มึงว่าวะณุ แต่ไม่น่าเป็นไปได้ จะรู้ได้ยังไง” นภเกตน์พูดรำพึงเสียงอ่อย ก่อนยกเบียร์ขึ้นดื่มอั้กๆ
“กูก็แค่เดาๆ เอาเท่านั้น แต่ความเป็นไปได้มันก็มีอยู่นะโว้ย หรือมึงว่าไง”
คำพูดของผู้เป็นเพื่อนยิ่งทำให้สีหน้าของคนฟังม่อยหนักกว่าเก่า ความรู้สึกผิดจู่โจมเข้าหาเขาระลอกแล้วระลอกเล่า
“อือ”
“ถ้าเป็นอย่างที่คิด จะว่าไอ้เมศร์เป็นคนเล่าให้ฟังก็ไม่น่าจะใช่ เพราะคนอย่างมันรักหน้าตาตัวเองที่สุด แค่ที่มันแพ้พนันมึงก็คงแค้นใจไม่น้อยแล้ว ที่สำคัญกูมองออกว่ามันชอบน้องเดือนเหมือนกัน และชอบมากด้วย หรือมึงดูไม่ออก”
“กูก็มองออกว่ามันชอบ”
นภเกตน์คงไม่รู้ตัวหรอกว่า เสียงที่ตัวเองพูดออกไปนั้นทั้งแกว่งและระคนฉุนเฉียว ยิ่งนึกถึงเรื่องผู้กองอะไรนั่นขึ้นมาอีกคน คราวนี้นอกจากเสียงจะแกว่งแล้วใจยังแกว่งเพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าตัว
“แหม กูนึกว่ามึงดูไม่ออกซะอีก” วิษณุเอ่ยยิ้มๆ
“ตากูไม่ได้บอดไอ้ณุ” คนถูกหาว่าดูไม่ออกบอกเสียงขุ่น “แล้วเรื่องนั้นกูก็ว่าไอ้เมศร์ไม่น่าเป็นคนเล่าเหมือนกัน แต่ปฏิกิริยาที่สิตางศุ์มีต่อกูน่ะคืออาการโกรธชัดๆ ไม่ได้โกรธธรรมดาด้วยนะ แต่โกรธมาก แม้แต่หน้ากูก็ยังไม่อยากจะมองเลย”
นภเกตน์เปลี่ยนสรรพนามจากเดือนเป็นสิตางศุ์ด้วยความเคืองขุ่น ทว่าภายใต้ความเคืองขุ่นตัวเขาก็ยังรู้สึกดีใจที่อีกฝ่ายยังจดจำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ของเขาได้ จะด้วยความพลั้งเผลอหรือไม่ตั้งใจก็ตาม เพราะยังจำได้แสดงว่าไม่ได้ลืมซะทีเดียว
“กูว่าน้องเดือนโกรธยังดีกว่าเกลียดแหละว่ะ”
“อือ”
“ส่วนเรื่องที่ว่าอะไรเป็นสาเหตุทำให้น้องเดือนโกรธมากจนทำเป็นไม่รู้จักมึง ตัวมึงเป็นคนก่อก็ต้องเป็นคนสานต่อ หาสาเหตุและคำตอบให้ได้ว่าเป็นเพราะอะไร”
“ถึงมึงไม่บอกกูก็ต้องหาสาเหตุจนเจอแหละ เพราะอยากรู้เหมือนกันว่าทำไม ทั้งที่กูดีใจแทบตายที่เจอตัว”
คำพูดของผู้เป็นเพื่อนทำให้วิษณุลดแก้วเบียร์ที่กำลังดื่มอยู่วางลงบนโต๊ะเล็กตรงหน้า ก่อนจะจ้องหน้าคนพูดนิ่งๆ ระหว่างคิดว่าควรจะพูดดีหรือไม่ แต่ความอยากรู้ความในใจของอีกฝ่ายนั้นมีมากกว่า แม้พอเดาได้จากท่าทางการแสดงออกบ้างแล้วก็ตาม
“กูถามมึงจริงๆ เหอะซัน ตอนจีบน้องเดือนเพื่อเอาชนะพนันกับไอ้เมศร์ ตกลงตอนนั้นมึงชอบน้องเดือนหรือยัง หรือเพียงแค่เหตุผลที่มึงบอกว่าไม่อยากให้ไอ้เมศร์จีบติดเท่านั้น”
วิษณุพูดประหนึ่งตัวเองเป็นกูรูเรื่องความรัก หรือพวกที่ตั้งตัวเป็นคนไขปัญหาหัวใจก็มิปาน
“ตอนนั้น...”
นภเกตน์พูดค้างไว้แล้วก็นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทำเอาคนอยากรู้เกิดอาการฮึดฮัดขัดใจ
“มึงทำท่ายังกับไม่แน่ใจตัวเองอย่างนั้นแหละ คำว่าชอบหรือไม่ชอบมันต้องมีเหตุผลรองรับด้วยหรือวะ กูเคยอ่านบทความเรื่องของความรัก ในนั้นบอกว่าการรักใครสักคนไม่ต้องมีเหตุและผล รักก็คือรัก”
“ไม่ใช่อย่างที่มึงคิด ตอนที่กูพนันกับไอ้เมศร์กูแค่เอ็นดู น้องเดือนไม่เหมือนผู้หญิงคนอื่น มึงก็รู้นี่ว่าผู้หญิงสมัยนี้แต่ละคนก๋ากั่นจะตาย จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นชอบ แต่...” “แต่อะไรของมึงอีก”
วิษณุเอ่ยถามอย่างขัดใจ ทว่าก็รอฟังคำตอบอย่างใจจดจ่อ
“ตอนที่กูกลับมาแล้วได้ข่าวจากไอ้เมศร์ว่าสิตางศุ์ลาออกจากมหาวิทยาลัย ตอนนั้นแม้กูจะยังงงๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่...”
นภเกตน์ชะงักคำพูดลงกลางคัน ด้วยหวนนึกถึงความรู้สึกของเขาที่มีต่อหญิงสาวในช่วงเวลานั้น มันเริ่มเปลี่ยนจากเอ็นดูเป็นชอบหลังจากความสัมพันธ์ลึกซึ้งคืนนั้น ซึ่งตอนนั้นเขายังตกใจตัวเองว่าทำไมความรู้สึกที่ว่านั่นมันข้ามขั้นเร็วนัก
“แต่อะไรของมึงอีกล่ะ แต่เยอะเหลือเกิน”
คนถูกหาว่าพูดแต่เยอะหันไปส่งค้อนให้คนเป็นเพื่อน
“แหม...ไอ้ณุ กูกะจะพูดว่า...แต่ไม่ได้เก็บเอามาเป็นเรื่องสำคัญนัก เพราะต้องเตรียมตัวกลับไปเรียนโว้ย”
คนอยากรู้หัวเราะแหะๆ แล้วเสยกแก้วเบียร์ขึ้นดื่ม
“กูจะไปรู้เหรอว่าแต่ของมึงคืออะไร ตอนไอ้เมศร์บอกเรื่องน้องเดือน กูก็งงกับท่าทีของมันเหมือนกันนะซัน กูว่าสายตามันดูแปลกๆ เหมือนสะอกสะใจยังไงบอกไม่ถูก หรือกูคิดไปเองก็ไม่รู้”
คำพูดของผู้เป็นเพื่อนทำเอาหัวคิ้วเข้มของนภเกตน์ขมวดเข้าหากันอย่างใช้ความคิด
“ตอนมันบอก กูไม่ได้สังเกตเพราะมีเรื่องวุ่นวายหลายเรื่อง มึงก็รู้ว่ากูไปเมืองนอกกะทันหันเพราะอะไรนี่หว่า”
“กูเข้าใจ” วิษณุพยักหน้าด้วยรู้ว่าเรื่องวุ่นวายที่อีกฝ่ายพูดคือเรื่องอะไร
“หลังจากกูกลับไปเรียนใหม่ๆ ก็ไม่เท่าไหร่ ตอนนั้นคิดแค่ว่าไม่นานคงลืมเรื่องของสิตางศุ์...”
นภเกตน์พูดยังไม่ทันจบประโยคก็ถูกผู้เป็นเพื่อนพูดแทรกขึ้นมาว่า
“ไหนเมื่อกี้มึงบอกว่าเปลี่ยนจากเอ็นดูเป็นชอบ แล้วเสือกบอกว่าไม่นานคงลืมเรื่องน้องเดือน มันหมายความว่าไงวะไอ้ซัน ดูความรู้สึกของมึงไม่อยู่กับร่องกับรอยเลยนะ”
วิษณุพูดราวกับตัวเองเป็นทนายหน้าหอของสิตางศุ์ยังไงยังงั้น แต่เขาเอ็นดูอีกฝ่ายจริงๆ รู้สึกเหมือนอีกฝ่ายเป็นน้องสาว
“เออ...กูยอมรับว่าตอนนั้นความรู้สึกกูไม่อยู่กับร่องกับรอยจริงๆ ก็กูไม่เข้าใจนี่หว่าว่าทำไมจู่ๆ น้องเดือนของมึงถึงหายหน้าไป ทั้งที่ความสัมพันธ์กำลังไปได้สวย กูเลยคิดโง่ๆ ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเราคงแค่ฉาบฉวย ไม่ได้จีรังยั่งยืนอะไร”
พูดออกไปแล้วนภเกตน์ก็รู้สึกละอายแก่ใจนักที่คิดแบบนั้นไปได้ ถ้าเป็นความรู้สึกฉาบฉวยอย่างที่เขาพูดจริงๆ สิตางศุ์คงไม่ยอมให้ความสัมพันธ์เลยเถิดไปถึงขั้นนั้นได้หรอก เรื่องนี้เขาไม่ได้เล่าให้เพื่อนสนิทฟัง เพราะถ้าอีกฝ่ายรู้มีหวังด่าเขาจนหูชาแน่
“ไอ้เวร มึงก็คิดบ้าๆ ไปได้นะ ถ้าน้องเดือนเป็นผู้หญิงแรดๆ หรือก๋ากั่นกูจะไม่ว่าเลย” วิษณุด่าเพื่อนเสียงขรมจนคนถูกด่าทำหน้าจ๋อยสนิท แต่คนด่าเห็นแล้วกลับอยากจะหัวเราะออกมานัก “แล้วความรู้สึกของมึงนี่มันเป็นไปตามลำดับขั้นตอนจริงๆ นะ จากเอ็นดูเป็นชอบ แล้วตอนนี้คงกลายเป็นรักมากสินะถึงได้ทำท่าจะเป็นจะตาย”
“เออ กูยอมรับว่าตอนนั้นกูคิดบ้าๆ อย่างที่มึงว่าจริง แต่มันไม่ได้เป็นอย่างที่คิด เพราะหลังจากนั้นเวลากูจีบผู้หญิงคนไหน หน้าของสิตางศุ์ก็จะปรากฏวนเวียนให้เห็นตลอดเวลา มึงก็เห็นนี่ว่ากูคบใครได้ไม่นานก็ต้องเลิกรากัน”
“อือ” วิษณุพยักหน้า ตัวเขาเดินทางไปเรียนต่อทีหลัง เพราะต้องพักฟื้นร่างกายให้แข็งแรงก่อน ซึ่งตอนนั้นอีกฝ่ายไม่เคยปริปากพูดถึงความในใจให้ฟังแต่อย่างใด แต่หลังจากนั้นก็เป็นอย่างที่เจ้าตัวพูดจริงๆ คือคบใครได้ไม่นานก็มีอันต้องเลิกรากัน
“แม้แต่คุณแจนเอ็งก็ไม่ได้รักหรือวะ”
เพราะหญิงสาวที่ชื่อแจนหรือจารวี เป็นผู้หญิงคนเดียวที่คบกับผู้เป็นเพื่อนนานที่สุด
“มึงเพิ่งว่ากูมาหยกๆ ว่าความรู้สึกของกูเป็นลำดับขั้นตอน แล้วมึงคิดว่ากูจะชอบจะรักใครสักคนมันทำได้ง่ายนักหรือวะ ซึ่งกูพยายามนะไอ้ณุ แต่มันทำไม่ได้ว่ะ ภาพน้องเดือนของมึงคอยตามหลอกหลอนกูอยู่ตลอดเวลา แม้แต่ตอนหลับยังเคยฝันถึงอยู่ประจำ ทำยังไงก็ลบไม่ได้ ยิ่งพยายามเท่าไหร่ก็ยิ่งทำไม่ได้เท่านั้น กูเคยพูดกับแจนแล้วแต่แจนบอกว่ารอได้”
นภเกตน์พูดเสียงแผ่ว คงไม่ต้องพูดขยายความว่าที่เขารักใครไม่ได้เป็นเพราะอะไร
“แต่กูเปิดใจรักใครไม่ได้จริงๆ”
ความในใจของเพื่อนที่ถูกระบายออกมาทำเอาคนที่อดทนรอฟังถึงกับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“ไม่รู้ว่ากูจะสมน้ำหน้าหรือสงสารมึงดีไอ้ซัน ในเมื่อไม่รู้จะโทษใครก็โทษโชคชะตาที่เล่นตลกกับมึงแล้วกัน มึงลองคิดดูสิ ดลบันดาลให้มึงกับน้องเดือนไม่เจอกันตั้งหลายปี แล้วจู่ๆ ก็ดันให้วนเวียนให้กลับมาเจอกันอีกซะงั้น แถมยังโกรธเคืองมึงอีกต่างหาก ทีนี้ก็อยู่ที่มึงแล้วว่าจะทำยังไงต่อไป”
ไม่ต้องให้เพื่อนบอกหรือสอน นภเกตน์ก็รู้ว่าตนเองควรทำยังไงต่อไป ที่เขาเลือกมาทำงานที่บริษัทนี้ ส่วนหนึ่งก็มาจากคำชวนของธนบดีก็จริง
แต่ส่วนสำคัญที่สุดมาจากสิตางศุ์
“กูกลับห้องก่อนดีกว่า มึงก็นั่งคิดนอนคิดไปแล้วกัน”
หลังจากวิษณุออกจากห้องไปแล้ว นภเกตน์ก็ล้มตัวเอนกายลงนอนเหยียดยาวอยู่บนโซฟาตัวนุ่มทั้งที่ยังสวมชุดออกกำลังกาย แต่สีหน้าและอารมณ์ดีขึ้นกว่าก่อนหน้านี้มากโข หลังจากได้เปิดเผยเรื่องราวและระบายความในใจของตัวเองออกไปให้ผู้เป็นเพื่อนสนิทฟัง เพราะเขาไม่เคยเล่ารายละเอียดเบื้องลึกให้อีกฝ่ายฟังมากขนาดนี้มาก่อน
และที่ไม่เล่าอาจเป็นเพราะเขาไม่เคยให้ความสำคัญแก่เรื่องที่ว่าก็ย่อมได้
ใช่...เพราะเมื่อก่อนเขาเคยมองความรักว่าเป็นสิ่งจับต้องไม่ได้ เป็นเรื่องอารมณ์วูบๆ วาบๆ ของคนหนุ่มสาว ดังนั้นความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นก็เช่นเดียวกัน แม้จะรู้ว่าตัวเองรู้สึกชอบแล้วก็ตาม แต่ก็ยังคิดว่าอารมณ์วูบวาบไม่ใช่สิ่งจีรังยั่งยืน
มนุษย์ปุถุชนคนธรรมดาต้องมีอารมณ์ที่ว่ากันทุกคน และกรณีของสิตางศุ์ก็ถือว่าเป็นความยินยอมพร้อมใจ เมื่อคิดถึงตรงนี้นภเกตน์ก็ยิ่งรู้สึกผิด และละอายกับความคิดในตอนนั้นของตัวเองยิ่งนัก
เพราะช่วงเวลาที่ผ่านมา ชายหนุ่มย่อมรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองคิดนั้นไม่เป็นความจริงเลย แม้จะเฟ้นหาเหตุผลมากมายมารองรับแล้วก็ตาม
ด้วยเงาของหญิงสาวที่ชื่อสิตางศุ์ประทับอยู่ภายในใจของเขาตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาเลยก็ว่าได้ จึงมีผลทำให้เขาไม่สามารถมีแฟนหรือคู่รักได้เลย พอมีก็คบกันได้ไม่ยืนยาว และคนที่เป็นฝ่ายทนไม่ได้ก็คือผู้หญิง
แม่แต่จารวีเองก็ตาม
สิตางศุ์...คือเธอคนเดียวเท่านั้น
เสียงเรียกเข้าจากสมาร์ตโฟนที่วางอยู่บนโต๊ะเล็กดังขึ้นขัดจังหวะความคิด ทำให้ร่างสูงของนภเกตน์ต้องผุดลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะเอื้อมมือคว้าขึ้นมาดู ครั้นเห็นเป็นเบอร์โทร. ของจารวีโชว์อยู่ ชายหนุ่มก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ นึกอยากให้ชื่อบนหน้าจอเปลี่ยนเป็นแม่พระจันทร์ของเขานัก
แต่นั่นก็เป็นได้เพียงความคิดเท่านั้น
“สวัสดีครับแจน”
“ซันกลับมาเมื่อไหร่คะ ไม่เห็นบอกแจนเลย” เสียงอ่อนหวานระคนตัดพ้อของจารวีดังแว่วมาตามสาย
“เพิ่งกลับมาเมื่อสองอาทิตย์ก่อนเองครับ”
“อย่างนี้คงใช้คำว่าเพิ่งไม่ได้มังคะ นี่ถ้าแจนไม่บังเอิญเจอพี่เอกที่สยามเมื่อวาน ก็คงไม่รู้ว่าซันกลับมา”
คนถูกต่อว่าลอบถอนหายใจก่อนจะตอบเสียงเรียบ
“ผมยุ่งๆ น่ะเลยไม่ได้บอกใคร พี่เอกก็บอกเหมือนกันว่าเจอแจน”
“อ๋อ เมื่อวานแจนไปกินข้าวกับเพื่อนนายแบบมาค่ะ เขาชวนหลายครั้งแล้ว จะไม่ไปก็ตื๊ออยู่นั่นแหละ เลยตัดความรำคาญไปกินกับเขาซะหน่อย”
คนในสายบอกเหตุผลที่ไปกินข้าวกับคนอื่น ราวกับกลัวคนฟังจะเข้าใจผิดยังไงยังงั้น
“แล้วแจนโทร. หาผมมีธุระอะไรหรือเปล่า”
“แหม ถ้าไม่มีธุระโทร. มาหาไม่ได้หรือคะ” น้ำเสียงของจารวีเจือแววน้อยเนื้อต่ำใจ
“ผมเห็นว่ามันดึกแล้วไง” คนตอบตอบเสียงเรียบเช่นเดิม
“ดึกที่ไหนล่ะคะ ยังหัวค่ำอยู่เลย คือแจนคิดถึงอยากเจอซันน่ะค่ะ ตอนนี้ซันพักอยู่ที่ไหน แจนขับรถไปหาได้ไหมคะ”
นภเกตน์เหลือบมองนาฬิกาที่ตอนนี้ปาเข้าไปเกือบสามทุ่ม และเขาไม่ชอบให้ใครล่วงล้ำความเป็นส่วนตัวของเขา เพราะแม้แต่บ้านหลังใหญ่ของเขา ที่เวลานี้ให้ชาวต่างประเทศเช่าอยู่ เขาก็ไม่เคยพาอีกฝ่ายไป
“เดี๋ยวผมออกไปพบแจนดีกว่า บอกมาแล้วกันว่าที่ไหน”
“อย่างงั้นก็ได้ค่ะ ถ้าอย่างนั้นเจอกันร้านเดิมในซอยทองหล่อแล้วกันนะคะ”
“ร้านเดิม?”
“ก็ร้านที่เพื่อนของแจนเป็นเจ้าของและเคยพาซันไปไงคะ ทองหล่อซอยสองน่ะค่ะ”
“โอเค ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวเจอกัน”
เดอะริช ร้านอาหารกึ่งผับที่จารวีนัดหมายนั้นตั้งอยู่ทองหล่อซอยสอง เป็นสถานบันเทิงที่นักเที่ยวส่วนใหญ่เป็นคนในวงการบันเทิง พวกดารานักร้อง รวมทั้งนายแบบนางแบบมักจะมารวมตัวกันที่นี่ และแม้เวลาจะล่วงเลยมาจนเกือบสี่ทุมแล้วก็ยังคลาคล่ำไปด้วยผู้คน
นภเกตน์ที่เพิ่งมาถึงมองแล้วให้รู้สึกเบื่อหน่ายสถานที่เช่นนี้ไม่น้อย
แม้จะไม่ได้เหลือบสายตามองไปรอบๆ ชายหนุ่มก็รู้ว่าตัวเองกำลังตกเป็นเป้าสายตาของใครต่อใครยามเดินเข้าไปด้านใน ทั้งที่เขาสวมเพียงแค่กางเกงยีนสีเข้มกับเสื้อยืดแขนยาวสีดำเท่านั้น
“ซันคะ ทางนี้ค่ะ”
เสียงเรียกของจารวีดังขึ้นจากโต๊ะทางด้านซ้ายมือ ตัวนางแบบสาวอยู่ในชุดเดรสเปิดหลังสีแดงสดใส และตรงนั้นไม่ได้มีเจ้าตัวนั่งอยู่เพียงลำพัง แต่มีหญิงสาวแต่งหน้าจัดจ้านในชุดเดรสลายดอกนั่งอยู่ด้วยอีกคน
“สวัสดีค่ะคุณซัน จำเรได้ไหมคะ”
เรณุกานางแบบสาวชื่อดังทั้งยังเป็นเจ้าของร้านเอ่ยทักทาย พลางมองร่างสูงผึ่งผายของชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาด้วยสายตาชื่นชม ทั้งยังอดอิจฉาผู้เป็นเพื่อนไม่ได้ ที่อีกฝ่ายได้ผู้ชายสุดแสนเพอร์เฟกต์อย่างนภเกตน์เป็นคู่ควง
“ครับ” คำตอบรับสั้นๆ ของคนถูกทักไม่ได้บ่งบอกว่าจำได้หรือจำไม่ได้
“แล้วเมื่อไหร่จะมีข่าวดีกับเพื่อนของเรซะทีล่ะคะ คุณซันรู้ไหมคะว่ามีแต่คนอิจฉายายแจนกันทั้งนั้น”
เจ้าของร้านเอ่ยถามน้ำเสียงเจื้อยแจ้ว ตามประสาคนทำงานกลางคืนที่ต้องใช้ปากทำมาหากิน
“ข่าวดีอะไรหรือครับ”
คนถูกถามย้อนถามเสียงเรียบสนิทติดขุ่นเคือง ทำให้สีหน้าของจารวีจืดเจื่อนขึ้นมาทันที จนต้องใช้เท้าสะกิดท่อนขาของผู้เป็นเพื่อน เป็นเชิงตักเตือนว่าอย่าพูดมาก ก่อนจะหันไปยิ้มหวานให้ชายหนุ่มแล้วรีบเปลี่ยนเรื่องพูดทันที
“ขอบคุณซันมากนะคะที่ออกมาหาแจน”
“ไม่เป็นไรครับ” นภเกตน์บอกแล้วจึงหันไปทางเจ้าของร้านอีกครั้ง “เมื่อกี้คุณเรถามผมเรื่องข่าวดีอะไรหรือครับ”
ที่นภเกตน์ต้องเอ่ยถามซ้ำเช่นนี้เพราะไม่อยากให้เกิดการเข้าใจผิดกัน ตัวเขาไม่เคยพูดเรื่องทำนองนี้หรือพูดให้ความหวังแก่นางแบบสาวแต่อย่างใด และรู้ดีว่าอีกฝ่ายเข้าใจในสถานะของตนเองดีพอ
“ก็เรื่องที่คุณซัน...”
เรณุกายังพูดไม่ทันจบประโยค จารวีก็พูดแทรกขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มๆ ทั้งที่หัวใจเจ็บแปลบ
“คืออย่างนี้ค่ะซัน ที่เรพูดคงหมายถึงข่าวดีเรื่องการทำงานมังคะ เพราะพี่เอกบอกว่าซันเป็นวิศวกรที่บริษัท แจนเลยเล่าเรื่องนี้ให้เรฟังค่ะ”
“อ๋อ...ครับ” นภเกตน์พูดเออออทั้งที่พอจะเดาออกว่าเป็นเรื่องอะไร
“คือว่าเร...”
“เอ๊ะ...เร นั่นแขกพิเศษแกเดินออกไปโน่นแล้ว ทำไมวันนี้กลับเร็วจัง แกไม่ไปดูหน่อยเหรอ” จารวีรีบบอกเพื่อนพลางขยิบตาให้
“นั่นสิ” เรณุกาพยักหน้า ลืมเรื่องที่กำลังคาใจทันควัน “ทำไมวันนี้คุณเมศร์กลับเร็วผิดปกติ ถ้าอย่างนั้นฉันไปก่อนนะ” บอกเพื่อนแล้วจึงหันไปทางนภเกตน์ “เรขอตัวก่อนนะคะคุณซัน”
คำว่าคุณเมศร์ทำให้นภเกตน์ชำเลืองตามสายตาของจารวีไป แล้วก็พบเข้ากับชายหนุ่มร่างสูงผิวขาวที่กำลังเดินออกไปจากร้าน
นั่นมันปรเมศร์ ที่เขากับเพื่อนสนิทเพิ่งเอ่ยถึงไปก่อนหน้านี้นี่นา
ตกลงว่านี่เป็นเรื่องบังเอิญ หรือว่าโชคชะตากลั่นแกล้งเล่นตลกกับเขาอย่างที่วิษณุพูดหรือไง ไม่พบเจอกันมาตั้งกี่ปีตั้งแต่เรียนจบก็ดันมาเจอกันวันนี้
หรือว่าโชคชะตาดลบันดาลให้คนหลายคนที่มีเรื่องเกี่ยวข้องกันให้กลับมาเจอกัน รวมทั้งดลใจให้เขาพบกับสิตางศุ์
นี่เขาคงต้องขอบคุณโชคชะตาสินะ ในเมื่อดลบันดาลให้มาเจอกัน เขาก็จะได้เคลียร์ปัญหาค้างคาหัวใจซะที
“ซันกำลังมองใครอยู่หรือคะ”
เสียงของจารวีทำให้นภเกตน์ตื่นจากภวังค์ความคิด ก่อนจะนิ่งคิดไปชั่วครู่ว่าควรจะบอกหรือไม่บอกดี แต่เมื่อเห็นว่าไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไรจึงพูดออกไป
“คุณรู้จักปรเมศร์ด้วยหรือแจน”
“รู้จักค่ะ” คนฟังใจชื้นขึ้น เพราะนึกเข้าข้างตัวเองว่าอีกฝ่ายเอ่ยถามเช่นนี้อาจเป็นเพราะเกิดอาการหึงหวง “คุณเมศร์มาเที่ยวที่นี่อยู่หลายครั้งค่ะ แต่จะสนิทสนมกับเรซะมากกว่า เลยพลอยรู้จักกับแจนไปด้วย”
“อ้อ”
หลังลอบดูปฏิกิริยาจากสีหน้าของคนที่คิดเข้าข้างตัวเองว่ากำลังหึง แต่กลับไม่เห็นมีอะไรผิดปกติอย่างที่ตัวเองคาดหวัง จารวีก็รู้สึกผิดหวังไม่น้อย
“ซันรู้จักคุณเมศร์ด้วยหรือคะ”
“เคยเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกันน่ะ” นภเกตน์บอกสั้นๆ
“อ้อ แจนลืมไปค่ะว่าซันจบวิศวะ ได้ยินคุณเมศร์พูดเหมือนกันว่าตัวเองจบวิศวะ แต่มัวไปเรียนและทำงานอยู่ต่างประเทศซะหลายปี เพิ่งกลับเมืองไทยมาได้ไม่นาน ตอนนี้กำลังจะใช้วิชาความรู้ของตัวเองช่วยงานกิจการของครอบครัว”
คนเล่าเล่าเสียงค่อนข้างดังเพราะต้องแข่งกับเสียงนักร้องบนเวที ทำเอาคนฟังที่ดวงตากำลังมองไปเรื่อยเปื่อยต้องเบนสายตากลับมา
“อยู่ต่างประเทศหลายปี?” นภเกตน์ย้อนถาม เขาไม่ยักรู้มาก่อนว่าหลายปีที่ผ่านมาปรเมศร์ก็อยู่ต่างประเทศเช่นกัน
“ใช่ค่ะ เห็นบอกว่าอยู่อเมริกา กิจการครอบครัวของคุณเมศร์ก็คล้ายๆ กับบริษัทของพี่เอกเลยนะคะ ถ้าแจนฟังไม่ผิดน่าจะเป็นบริษัทรับสร้างบ้านนี่แหละค่ะ”
“ไม่แปลกหรอกที่จะมีบริษัทคล้ายๆ กันเกิดขึ้น เพราะตอนนี้เวลาคนจะสร้างที่อยู่อาศัย ส่วนใหญ่มักใช้บริการบริษัทรับสร้างบ้านมากกว่าช่างฝีมือทั่วไปครับ”
“นั่นสิคะ แล้วซันไม่ดื่มอะไรเลยหรือคะ”
“ไม่ดีกว่า พรุ่งนี้ผมต้องเริ่มทำงานวันแรก”
ที่ต้องปฏิเสธเพราะก่อนหน้านี้เขาดื่มเบียร์กับวิษณุไปหลายขวดแล้ว
“ค่ะ” แม้จะทำใจไว้ล่วงหน้าแล้ว แต่จารวีก็ยังอดน้อยใจไม่ได้ อีกฝ่ายมอบเพียงสถานะความเป็นเพื่อนสนิท ไม่ใช่แฟนหรือคู่รัก เธอคงเป็นได้แค่คู่ควง แต่นั่นก็เป็นเพราะเธอยินยอมเอง
นางแบบสาวมั่นใจว่าภายในใจของอีกฝ่ายต้องมีเงาของใครคนใดคนหนึ่งซุกซ่อนอยู่ เพราะเธอสังเกตเห็นอาการทอดถอนใจของเขายามเผลอตัวหลายต่อหลายครั้ง คนอย่างเขาที่เพียบพร้อมไปซะทุกสิ่งจะมีสิ่งไหนให้กลัดกลุ้มได้อีกล่ะ
เธอก็แค่ต้องรอเท่านั้น ซึ่งเป็นการรอที่ทรมานเหลือจะกล่าว สำหรับผู้หญิงคนหนึ่งที่ทุ่มเทใจรักให้ผู้ชายคนหนึ่ง อยากรู้นักว่าใครกันที่เป็นคนสำคัญในใจของเขา
“แจน ผมขอตัวกลับก่อนดีกว่านะครับ พรุ่งนี้ต้องเริ่มงานใหม่”
คำว่าเริ่มงานใหม่คงเป็นเหตุผลดีพอที่จะขอตัวกลับก่อน เพราะหลังจากนั่งฟังเพลงอยู่อีกพักใหญ่ นภเกตน์ก็รู้สึกเบื่อหน่ายเหลือคณา เพราะมองไปทางไหนก็เห็นแต่นักเที่ยวที่ส่วนใหญ่เป็นบุคคลที่คุ้นหน้าตากันดีในวงสังคม หรือไม่ก็พวกดารานักแสดง ซึ่งแต่ละคนล้วนมีหญิงสาวสวยนั่งอิงแอบ สุดท้ายคงไม่พ้นจบลงที่เตียงนอน
แล้วก็ย้อนกลับไปนึกถึงตัวเองที่เคยทำเช่นนี้...ไม่ต่างกัน
“อยู่ต่ออีกสักหน่อยไม่ได้หรือคะ” จารวีเอ่ยถามทั้งที่รู้คำตอบดีว่าเจ้าตัวไม่เปลี่ยนใจแน่นอน
“ไม่ดีกว่าครับ ผมเพลียๆ ด้วย ไปก่อนนะครับ”
คนที่บอกว่าเพลียและต้องรีบกลับเพราะพรุ่งนี้ต้องเริ่มงานใหม่ ความจริงกำลังขับรถตรงไปยังบ้านหลังหนึ่งในขอบเขตของรั้วไม้ระแนงสีขาว ที่เมื่อตอนเย็นเขาแอบขับรถสะกดรอยตามรถแท็กซี่ที่สิตางศุ์โดยสารกลับบ้าน หลังได้ยินจากปากของคนที่ทำงานว่ารถของหญิงสาวอยู่ที่อู่
อย่างนี้นี่เอง เมื่อเช้าเขาถึงเห็นเจ้าตัวนั่งรถแท็กซี่มาทำงาน ช่างเป็นเรื่องที่เข้าทางเขาเสียจริง
นภเกตน์จอดรถซุ่มอยู่ใกล้กับต้นไม้ใหญ่ริมรั้ว แล้วมองเข้าไปในบ้านที่แม้จะซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางร่มเงาของไม้ใหญ่ แต่ยังเห็นตัวบ้านค่อนข้างกว้างขวางอยู่รำไร เห็นเงาคนวอบแวบอยู่ในนั้น จนเกือบจะเผลอลืมตัวก้าวลงจากรถแล้วไปกดกริ่ง
ทว่าสมองสั่งห้ามไว้ได้ทัน ดวงหน้าเรียบขรึมจุดยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย นี่กระมังที่เขาบอกว่าไม่เห็นหน้าเจ้า เห็นหลังคาบ้านก็ยังดี
ไม่ว่าจะเป็นเพราะโชคชะตาหรือฟ้าลิขิตก็ตาม ที่ทำให้เขากับเธอต้องร้างราจากกัน ถ้าเขาทำอะไรผิดก็จะขอยอมรับผลแห่งการกระทำนั้น และจะเดินหน้าง้องอนให้ถึงที่สุด แม้จะยากเย็นเพียงใดก็ตาม
ในเมื่อรักเข้าไปจนเต็มหัวใจแล้ว ไม่มีวันไหนเลยที่เขาไม่คิดถึงเจ้าหล่อน
แต่ในเมื่อทำเป็นไม่รู้จักเขา เขาก็จะทำแบบนั้นกับเธอ ดูสิว่าใครจะมีความอดทนมากกว่ากัน
สิตางศุ์
ในเมื่อเธอเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เขาไม่สามารถมีแฟนได้จนกระทั่งทุกวันนี้ ดังนี้เธอจะต้องเป็นคนรับผิดชอบต่อความรู้สึกเช่นนี้ของเขา และนับจากวันนี้เป็นต้นไปเขาจะมาขอทวงความสัมพันธ์คืน
ความคิดเห็น |
---|