“อือ”
สิตางศุ์พยักหน้า แม้เรื่องที่ว่าจะผ่านมานานหลายปีแล้ว แต่คำพูดที่เธอได้ยินยังคงทิ่มแทงหัวใจให้เจ็บอยู่ไม่รู้หายจริงๆ
“แล้วเพื่อนเขาที่มาบอกกับแกว่า พี่ซันไปเรียนต่อต่างประเทศแล้วจะไม่กลับมาอีก คือคนเดียวกับคนที่ท้าพนันหรือเปล่า”
“ใช่ แกถามทำไม” สิตางศุ์ถามอย่างสงสัย
คนถูกถามนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธ
“เปล่า เพียงแต่ฉันสงสัยอะไรบางอย่างเท่านั้น แล้วตอนแกบังเอิญได้ยินเรื่องพนันนั่น ใครเป็นฝ่ายพูดเรื่องนั้นขึ้นมาก่อน พี่ซันหรือว่าเพื่อนเขา”
“เพื่อนเขาเป็นคนพูด” สิตางศุ์ตอบเสียงเข้ม “แต่ใครจะพูดก่อนหรือพูดหลังคนที่เจ็บคือฉัน ที่มีค่าเพียงแค่สิ่งของที่เขาเอามาพนันเท่านั้น” ประโยคสุดท้ายสิตางศุ์พูดด้วยน้ำเสียงเจือแววเจ็บช้ำ
“แกเข้าใจผิดหรือฟังผิดไปหรือเปล่า ฉันคิดว่าคนอย่างพี่ซัน ไม่น่าจะใช่ผู้ชายที่เอาผู้หญิงไปพูดลับหลังเสียๆ หายๆ นะเดือน” กัตติกาพูดจากมุมมองของตัวเอง ที่คิดว่ามองคนไม่ผิดพลาด
“แล้วหลังจากวันนั้นเขาก็ไปต่างประเทศโดยไม่บอกฉันสักคำนี่นะ ยังจะว่าฉันเข้าใจผิดหรือฟังผิดอีกหรือดาว” แค่แอบได้ยินเขาพูดถึงเธอกับปรเมศร์แบบนั้นก็เสียใจมากมายอยู่แล้ว แต่นี่เขายังไปต่างประเทศโดยที่ไม่บอกเธอ อีกต่างหาก
“...”
กัตติกาได้แต่นิ่งงันเพราะอับจนด้วยคำพูด ลำพังสิ่งที่ผู้เป็นญาติบังเอิญได้ยินนั่นก็นับเป็นเรื่องหนักหนาสาหัสมากสำหรับผู้หญิงคนหนึ่งแล้ว นี่ยังประจวบเหมาะกับที่นภเกตน์ไปต่างประเทศและเงียบหายไปหลังจากนั้นอีก มันเป็นเรื่องที่เถียงไม่ออกจริงๆ
“แล้วแกรู้จากใครว่าพี่ซันไปต่างประเทศ”
“ปรเมศร์ เขาบอกว่าเพื่อนเขาไปต่างประเทศและคงไม่กลับมาแล้ว...”
“ปรเมศร์เป็นคนบอกเหรอ”
กัตติกาเอ่ยถาม นึกสงสัยว่าในเมื่อปรเมศร์เป็นคนบอกเองว่านภเกตน์จะไม่กลับมาแล้ว แต่ทำไมเจ้าตัวถึงกลับมาล่ะ หญิงสาวนึกสงสัยแต่ไม่ได้พูดออกไปในตอนนี้
“อือ ใครจะบอกไม่สำคัญหรอกดาว สำคัญที่การกระทำต่างหาก”
ยิ่งฟังกัตติกาก็ยิ่งรู้สึกแปลกๆ มากขึ้น ในความคิดของเธอ มันต้องมีอะไรมากกว่านั้นแน่นอน แต่ตอนนี้คงพูดอะไรไม่ได้ ถึงพูดไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะญาติของเธอปักใจเชื่อแบบนั้น ซึ่งถ้าเป็นตัวเธอก็คงคิดไม่ต่างกัน
นึกแล้วก็อยากจะเจอตัวนภเกตน์นัก จะได้ถามให้หายข้องใจเสียที
“แต่แกอย่าลืมนะเดือน หลังจากนั้นแกก็ลาออกจากมหาวิทยาลัยไปอยู่ออสเตรเลียกับน้าสุ ช่วงเวลานั้นพี่ซันอาจจะมาหาแกแล้วไม่เจอก็ได้ เพราะเขาไม่รู้นี่ว่าแกแอบได้ยินเรื่องที่เขาคุยกับเพื่อน”
เพราะหลังจากเหตุการณ์วันนั้น สิตางศุ์ที่อยากจะหนีทุกสิ่งทุกอย่างก็ตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัย แล้วเดินทางไปอยู่กับน้าสาวที่ประเทศออสเตรเลีย โดยยอมเสียเวลาไปเริ่มต้นเรียนใหม่ที่นั่น
“เรื่องที่แกถามไม่มีผลอะไรหรอก เพราะถ้าเขาคุยกับเพื่อนว่าที่คบกับฉันเป็นเพราะต้องการชนะพนัน ก็แสดงว่าเขาไม่ได้มีความรู้สึกลึกซึ้งกับฉันเหมือนที่ฉันมีต่อเขา แล้วเขาจะมาหาฉันเพื่ออะไรอีก”
พอพูดประโยคนี้ออกมา น้ำตาของสิตางศุ์ที่หยุดไหลไปก่อนหน้านี้ก็ไหลออกมาอีกครั้ง ทำเอากัตติการู้สึกผิดขึ้นมาในทันใด
“ฉันขอโทษนะเดือน ที่พูดเรื่องสะเทือนใจของแกออกไป แต่ฉันแค่อยากให้แกระบายสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจออกมาซะบ้าง กี่ปีแล้วที่แกต้องทำตัวร่าเริงสดใสแต่ข้างในทุกข์ตรม ถึงฉันจะช่วยอะไรไม่ได้มากนัก อย่างน้อยก็ยังเป็นผู้รับฟังที่ดี”
คำพูดของกัตติกาทำเอาคนกำลังเศร้าถึงกับเผยรอยยิ้มออกมา
“นี่แกคิดว่าฉันต้องมานั่งร้องไห้ให้แกเห็นหรือไงดาว”
“ทำไมฉันจะไม่รู้ว่าแกน่ะแอบร้องไห้โดยไม่ให้ฉันเห็น”
สิตางศุ์พยักหน้ายอมรับ
“ใช่ ฉันแอบแก ฉันก็คนมีหัวจิตหัวใจนะดาว ยังหัวเราะได้ร้องไห้เป็น เพราะถ้าไม่ทำแบบนั้นฉันคงเป็นบ้าไปแล้ว แต่...ฉันเกือบจะลืมเขาได้อยู่แล้วนะดาว”
กัตติกาฟังแล้วก็ไม่อยากจะพูดโต้แย้งอะไรออกไป เกือบคือเกือบ ยังลืมไม่ได้อยู่ดี เพราะเธอเห็นผู้ชายหลายคนเข้ามาติดพันญาติสาว แต่เจ้าตัวไม่เคยเปิดใจรับใครสักคน
“เอ้อ ฉันขอถามอีกข้อ ตอนที่แกทำเป็นไม่รู้จักพี่ซันน่ะ สีหน้าเขาเป็นยังไง”
“ก็คงโกรธฉันนั่นแหละ แต่โกรธได้โกรธไป”
สิตางศุ์บอกญาติสาว เธอยังจำดวงตาวาวโรจน์ของอีกฝ่ายได้ดี ตอนที่เธอทำท่าว่าไม่รู้จักเขา และยังตอนต่อปากต่อคำกันอีก เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ที่ว่าขึ้นมา ดวงหน้าสะสวยที่ก่อนหน้ายังมีคราบน้ำตาก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้น
คนเป็นญาติเห็นแล้วต้องแอบยิ้มอยู่ในใจ นี่เกือบลืมจริงๆ หรือ แต่ปากก็เอ่ยถามต่อไปอีกว่า
“แล้วอย่างนี้จะมองหน้ากันยังไงล่ะเดือน หน้าที่การงานของแกต้องทำงานร่วมกับวิศวกรอยู่แล้ว รู้จักกันแต่ต้องทำเป็นไม่รู้จัก เฮ้อ ยังกับนิยายน้ำเน่าก็ไม่ปาน ถ้าเป็นฉันคงอัดอั้นตันใจตายแน่” กัตติกาพูดพลางส่ายหน้าและคิดต่อไปขำๆ ตามประสาคนบ้าดูซีรีส์
แล้วนิยายน้ำเน่าส่วนใหญ่นางเอกก็เสร็จพระเอกทุกครั้ง
“ฉันก็จะทำเหมือนเขาเป็นอากาศธาตุไงล่ะดาว วันนี้ยังทำได้ วันต่อๆ ไปต้องทำได้เช่นกัน”
สิตางศุ์พูดออกไปเพราะความเคืองขุ่น ทั้งที่ความเป็นจริงเธอยังไม่รู้เลยว่าจะทำได้อย่างที่ปากพูดหรือเปล่า
กัตติกามองสีหน้าของคนพูดแล้วก็ลอบถอนหายใจ และให้รู้สึกกลัดกลุ้มแทนยิ่งนัก เพราะที่เจ้าตัวบอกว่าวันแรกทำได้น่ะมันทำได้จริงเหรอ ถ้าทำได้อย่างที่ปากพูดจริง ทำไมกลับมาอาการถึงได้ย่ำแย่ขนาดนี้ แต่จะพูดอะไรไปก็ทำให้เสียกำลังใจเปล่าๆ
“เลิกพูดถึงผู้ชายคนนี้เหอะดาว”
“เลิกพูดก็เลิกพูด” กัตติกาพยักหน้าแล้วเปลี่ยนเรื่องพูดตามที่อีกฝ่ายขอ “แล้ววันนี้แกกลับบ้านยังไง ฉันจะไปรับก็ไม่ยอม”
“นั่งแท็กซี่เหมือนขาไปนั่นแหละ ส่วนที่แกบอกจะไปรับ ไม่ต้องหรอกฉันกลับเองได้ ลืมไปหรือไงว่าตัวเองทำงานราชการแถมเลิกงานก่อนฉันตั้งเป็นชั่วโมง แล้วที่ทำงานฉันอยู่ถนนอโศก รถติดจะตาย ลำบากแกเปล่าๆ”
สิตางศุ์พูดพลางส่ายหน้า เพราะญาติสาวนั้นรับราชการอยู่กรมดุริยางค์ทหารบก ที่ทำงานอยู่ย่านพญาไท ส่วนที่ทำงานเธออยู่ถนนอโศกมนตรี เป็นย่านที่ขึ้นชื่อเรื่องรถติด
“ไม่ลำบากหรอก” กัตติกาส่ายหน้าหวือ “กว่ารถของแกจะซ่อมเสร็จคงใช้เวลาหลายวัน แล้วรถติดก็ไม่เห็นเป็นอะไร ที่ทำงานฉันอยู่พญาไท ของแกอยู่อโศก กว่าฉันจะขับฝ่ารถติดไปถึงก็ทันแกเลิกงานพอดีไงล่ะ”
สิตางศุ์ฟังแล้วได้แต่ส่ายหน้าในความดื้อดึงของคนเป็นญาติ
“ตามใจ ถ้าอยากจะฝ่ารถติดมารับฉันก็ตามใจ แปลกคนจริงๆ มีแต่คนไม่อยากติดอยู่บนถนน แต่แกกลับชอบ”
คนมีจุดประสงค์แอบแฝงลอบยิ้มอยู่ในใจ ถ้าเธออยากเจอกับนภเกตน์ก็ต้องไปที่ทำงานของญาติสาวเท่านั้นถึงจะมีโอกาสเจอ และถ้าโอกาสนั้นมาถึงเมื่อไหร่ เธอต้องรู้ความจริงจากปากชายหนุ่มให้ได้ เธอไม่มีวันปล่อยให้เรื่องที่ตัวเองสงสัยผ่านไปง่ายๆ หรอกจะบอกให้
“ฉันไม่ได้ชอบติดอยู่บนถนนหรอก แต่ฉันเสียดายตังค์ที่แกต้องจ่ายค่าแท็กซี่ต่างหาก แกคิดดูว่านั่งจากอโศกมาถึงบ้านเราเนี่ย มันไม่ต่ำกว่าสองร้อยเลยนะ อ้อ...ฉันลืมไปว่ากำลังคุยกับหลานสาวเจ้าของรีสอร์ตและโฮมสเตย์ชื่อดังของเมืองจันท์ แถมยังเป็นเจ้าของเรือประมงอีกหลายลำ อย่างนี้แกก็เปลี่ยนรถใหม่ไปเลยสิเดือน ให้ตาแกซื้อให้ ขนหน้าแข้งไม่ร่วงหรอกน่า”
บุคคลที่สามที่กัตติกาเอ่ยถึง คือทรงเดชซึ่งเป็นตาของสิตางศุ์ เป็นชาวอำเภอแหลมสิงห์ จังหวัดจันทบุรี ประกอบอาชีพทำประมงมาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษ มิหนำซ้ำยังมีที่ดินที่ได้รับสืบทอดมากมาย ดังนั้นนอกจากจะทำประมง ยังเป็นคนแรกๆ ที่ริเริ่มทำโฮมสเตย์และรีสอร์ต เน้นความเป็นธรรมชาติ ราคาค่าห้องอยู่ในเกณฑ์ที่จับต้องได้ จึงมีแขกเข้าพักไม่ขาดสาย ทั้งจากการบอกปากต่อปาก และจากรายการโทรทัศน์ชื่อดังหลายรายการที่เคยมาถ่ายทำไปออกอากาศด้วย
เรียกว่ามีรายได้จากการท่องเที่ยวเป็นกอบเป็นกำเลยทีเดียว และตัวนายทรงเดชมีหลานสาวหัวแก้วหัวแหวนเพียงคนเดียวคือสิตางศุ์ จึงนำชื่อของหลานสาวไปตั้งเป็นชื่อของเรือประมง และถ้าตัวผู้เป็นหลานสาวไม่ทักท้วงไว้ ชื่อของโฮมสเตย์กับรีสอร์ตก็คงเป็นสิตางศุ์อีกเช่นเดียวกัน
“ไม่เป็นไร ฉันมีเงินเก็บอยู่ก้อนหนึ่ง พอซื้อเองได้ ไม่อยากรบกวนตา ตอนฉันเรียนอยู่ออสเตรเลียตาก็เป็นคนส่งเสีย หมดไปตั้งหลายตังค์”
ที่สิตางศุ์ไปเรียนออสเตรเลียก็เป็นความคิดของผู้เป็นตา ที่พอรู้ว่าเธอมีเรื่องอกหักช้ำรักก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ถามหาคนที่เป็นต้นเหตุ แต่คนเป็นหลานสาวไม่บอก เพราะรู้ว่าตาของตัวเองนั้นเป็นคนหัวร้อน ซ้ำยังค่อนข้างมีอิทธิพลในอำเภอเลยก็ว่าได้ เรียกว่ามีทั้งพระเดชพระคุณที่สั่งสมมาตั้งแต่รุ่นหนุ่ม แม้แต่นายตำรวจยศใหญ่ๆ ยังให้ความเกรงใจอยู่หลายส่วน ถ้ารู้ชื่อ ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็คงตามหาตัวจนได้นั่นแหละ
“ดีนะที่ตอนนั้นฉันไม่เผลอพูดชื่อพี่ซันออกไป”
เพราะนายทรงเดชนั้นรับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นจากกัตติกา เพียงแต่ไม่ได้เล่าทั้งหมด
“ความจริงตอนนั้นแกไม่น่าเล่าให้ตาฟังเลยนะดาว แกก็รู้ว่าตาฉันไม่ชอบพ่อเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว”
กษิดิษ บิดาของสิตางศุ์เป็นคนเจ้าชู้ เพราะเป็นคนรูปร่างหน้าตาหล่อเหลา แม้อายุจะเข้าวัยกลางคนแล้วก็ตาม แต่ยังมีผู้หญิงเข้ามาข้องแวะด้วยอยู่เสมอ โสรยาผู้เป็นมารดาเบื่อหน่ายที่จะต้องสู้รบตบมือจึงแยกกันอยู่ แต่ไม่ได้หย่ากันอย่างเป็นทางการ นายทรงเดชจึงไม่ชอบบุตรเขยและรังเกียจเรื่องทำนองนี้มาก
แต่ถึงบิดาของสิตางศุ์จะเป็นคนเจ้าชู้ แต่ก็รักผู้เป็นบุตรสาวคนเดียวมาก บ้านหลังที่อยู่เจ้าตัวก็เป็นคนออกเงินซื้อให้ ซึ่งเป็นข้อดีที่นายทรงเดชยังพอจะเห็นค่าได้บ้าง
กัตติกายิ้มแห้งๆ
“ตอนนั้นฉันโกรธแทนไงเลยลืมนึกข้อนี้ แต่ถ้าไม่เล่าตาแกก็ต้องถามอยู่ดีแหละว่า ทำไมถึงลาออกจากมหาวิทยาลัย ทั้งที่ตอนสอบเข้าน่ะยากแสนยาก และแกอย่าลืมนะว่าความลับไม่มีอยู่ในโลก คนรู้กันมากกว่าสองคนก็ถือว่าไม่ใช่ความลับแล้ว”
“ถูกของแก” สิตางศุ์พูดแล้วก็ได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ “แล้วแกจะเอาเรื่องเก่าๆ มาพูดถึงกันทำไม ฉันบอกแล้วไงว่าให้เลิกพูดถึงผู้ชายคนนั้นซะ”
“ฉันขอโทษ พอดีพูดถึงตาแกเลยนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาด้วย ถ้าอย่างนั้นไปกินข้าวกันดีกว่า ฉันหิวแล้ว”
“อือ ฉันก็หิว” เป็นเพราะจมอยู่กับเรื่องในอดีตจนลืมความหิว พอได้ยินผู้เป็นญาติพูดเรื่องกินขึ้นมาสิตางศุ์ก็หิวขึ้นมาในทันใด
ภายในห้องฟิตเนสขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนกลางของเดอะมูนไลต์ ห้องชุดสุดหรูระดับไฮเอนด์ย่านถนนสาทร มีเครื่องออกกำลังกายทันสมัยหลากหลายชนิดตั้งไว้เรียงราย ส่วนใหญ่ผู้อาศัยอยู่ในคอนโดแห่งนี้จะมาใช้บริการหลังเลิกงาน และตอนนี้ก็คลาคล่ำไปด้วยผู้มาใช้บริการทั้งชายจริงหญิงแท้และชายไม่จริงหญิงไม่แท้ในชุดออกกำลังกระชับกาย ซึ่งหนึ่งในนั้นคือเจ้าของร่างสูงผึ่งผายของนภเกตน์ ชายหนุ่มในชุดออกกำลังกายเสื้อยืดสีฟ้ากับกางเกงขาสั้นสีดำกำลังโหมวิ่งอยู่บนลู่ ซึ่งเจ้าตัวใช้เวลาวิ่งมากว่าหนึ่งชั่วโมงแล้ว จนเหงื่อไหลโทรมกาย ดวงหน้าหล่อเหลาตอนนี้ก็แดงก่ำและชื้นไปด้วยเหงื่อ
นภเกตน์รู้ดีว่าเป็นเพราะอะไรตัวเองถึงต้องโหมวิ่งอย่างหนักเช่นนี้ แต่การกระทำที่ว่าก็นับว่าช่วยได้เยอะ เพราะทำให้จิตใจที่กำลังหนักอึ้งด้วยอะไรหลายๆ อย่างค่อยยังชั่วและผ่อนคลายขึ้น
สิตางศุ์...
นภเกตน์พึมพำชื่อของใครบางคนเสียงแผ่ว เพราะใครคนนี้แหละที่เป็นสาเหตุหลักทำให้เขาต้องมาโหมวิ่งเป็นบ้าเป็นหลังอยู่ตอนนี้
ทำเป็นไม่รู้จักเขาเหรอ สิตางศุ์
ชายหนุ่มไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมอีกฝ่ายต้องทำเช่นนี้ด้วย ทั้งที่ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับอีกฝ่ายกำลังไปได้สวย ตอนนั้นจากที่เขาแค่เอ็นดูเท่านั้น ก็เริ่มก่อตัวกลายเป็นความชอบ ตั้งแต่คืนที่เขากับอีกฝ่ายมีความสัมพันธ์กัน
แต่ความรู้สึกตอนนี้ข้ามไปถึงขั้นสูงสุด
นั่นคือ...รัก ซึ่งเขาก็คาดไม่ถึงว่าเจ้าความรู้สึกนั้น ทำไมถึงได้จู่โจมเข้ามาเร็วนักจนเขาตกใจ เร็วจนตั้งตัวแทบไม่ทัน และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตอนอยู่ต่างประเทศ กระทั่งเขาต้องกลับมาเมืองไทยเพื่อมาตามหาหัวใจตัวเอง
แต่...เพราะอะไรวันนี้สิตางศุ์จึงทำเป็นไม่รู้จักเขา ทั้งที่เขาดีใจแทบตายที่เจออีกฝ่าย
หรือจะโกรธเคืองที่จู่ๆ ตอนนั้นเขาเดินทางไปต่างประเทศโดยไม่บอก แต่เขามีเหตุผลที่ต้องทำเช่นนั้นนี่นา ตอนเขากลับมาจัดการเรื่องเรียนจบถึงรู้ว่าสิตางศุ์ลาออกจากมหาวิทยาลัยแล้ว เรื่องแค่นี้...เจ้าตัวถึงกับต้องลาออกจากมหาวิทยาลัยแล้วหายไปจากชีวิตเขาเชียวหรือ เรื่องที่ว่าไม่ได้เรื่องสลักสำคัญอะไรเลยนี่นา เป็นเพราะอะไรกันแน่?
นภเกตน์คิดพลางสะบัดศีรษะแรงๆ อย่างคิดไม่ตก
“มึงเป็นอะไรวะซัน ทำไมวันนี้ถึงวิ่งไม่ลืมหูลืมตาแบบนี้ แล้วสะบัดหัวทำไมนักหนาวะ กูเห็นมึงสะบัดแบบนี้มาตั้งนานแล้ว”
เสียงทักทายที่ดังขึ้นข้างๆ ลู่วิ่งไม่ได้ทำให้นภเกตน์ตกใจหรือชะงักท่าทีลงแต่อย่างใด ชายหนุ่มเพียงแค่เอื้อมมือกดเปลี่ยนความเร็วของลู่วิ่งให้ช้าลงแต่ยังคงวิ่งต่อ ก่อนจะหันไปมองวิษณุผู้เป็นเพื่อนสนิทและเจ้าของคำทักทาย ที่มีร่างสูงพอฟัดพอเหวี่ยงกับตัวเอง ในชุดฟอร์มสีเทาของบริษัทชื่อดังของญี่ปุ่น ซึ่งอีกฝ่ายทำงานเป็นวิศวกรอยู่ที่นั่น ก่อนจะตอบด้วยเสียงเนือยๆ
“เปล่า ไม่ได้เป็นอะไร”
คนเป็นเพื่อนหัวเราะหึๆ
“นี่...ไอ้ซัน คำว่าเปล่าของมึงคือต้องมีเรื่องร้อยเปอร์เซ็นต์ อย่าลืมว่ากูคบกับมึงมาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย มองหน้ามู่ทู่ของมึงตอนนี้ก็ล้วงลึกเข้าไปถึงข้างในได้เลยว่า ต้องมีเรื่องอะไรในใจอย่างแน่นอน”
เรื่องที่วิษณุพูดไม่ได้เกินความจริงแต่อย่างใด เพราะตัวเขากับนภเกตน์เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยเรียนประถมกระทั่งเรียนจบระดับปริญญาตรีและไปต่อปริญญาโท ซึ่งตอนเรียนมีคนตั้งฉายาให้เขาสองคนว่าหล่อดำหล่อขาว เพราะตัววิษณุนั้นเป็นคนผิวค่อนข้างคล้ำ ผิดกับนภเกตน์ที่ผิวขาวจัด เวลายืนคู่กันทีไรจึงยิ่งเน้นให้วิษณุดูผิวคล้ำยิ่งขึ้น
หลังจากเรียนจบแล้วทั้งคู่ยังมาพักอาศัยอยู่คอนโดเดียวกันอีก นับเป็นความสัมพันธ์อันยาวนาน ดังนั้นวิษณุแค่มองตาผู้เป็นเพื่อนก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายกำลังมีเรื่องอะไรอยู่ในใจ และเรื่องที่ว่าคงหนักหนาสาหัสไม่น้อยถึงได้โหมวิ่งถึงเพียงนี้
“ตกลงว่ามึงเป็นอะไร” วิษณุถามย้ำอีกครั้งเมื่อเห็นผู้เป็นเพื่อนยังคงวิ่งต่อ แม้จะช้าลงกว่าก่อนหน้านี้ก็ตาม
นภเกตน์นิ่งไปชั่วอึดใจก่อนตัดสินบอกความจริง เพราะปิดไปก็เท่านั้น
“กูเจอน้องเดือนแล้ว”
“เจอที่ไหน” วิษณุเอ่ยถามน้ำเสียงตื่นเต้น “มึงเพิ่งพูดเรื่องน้องเดือนกับกูไปเองนี่หว่า ทำไมเจอเร็วนัก”
คนถูกถามถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างกลัดกลุ้ม
“ขึ้นไปคุยที่ห้องกูแล้วกัน ไม่อยากพูดที่นี่ว่ะ”
“อือ ดีเหมือนกัน ได้เบียร์เย็นๆ สักขวดสองขวดยิ่งดีใหญ่” วิษณุพูดยิ้มๆ
“อย่างมึงขวดสองขวดพอหรือวะ”
“นั่นมันขึ้นอยู่กับว่าเรื่องที่มึงเล่ามันน่าสนใจฟังมากแค่ไหน แต่เรื่องของน้องเดือนกูคิดว่าคงต้องหลายขวดแน่” วิษณุพูดพลางยิ้มกริ่ม “แต่เป็นมึงนะที่กิน...เพื่อย้อมใจ”
ลิฟต์ส่วนตัวพาชายหนุ่มทั้งคู่ขึ้นไปยังชั้นสิบเก้าซึ่งเป็นห้องพักของนภเกตน์ เป็นเพราะชายหนุ่มอยากได้บรรยากาศที่คล้ายคลึงกับบ้านมากกว่าอยู่ในห้องแคบๆ ห้องชุดที่เขาเลือกจึงมีพื้นที่ค่อนข้างกว้างขวางไม่ต่างจากบ้านแต่อย่างใด ผนังของห้องเป็นสีเทาควันบุหรี่ ที่นอกจากจะทำให้ห้องดูกว้างขึ้นยังทำให้ดูโปร่ง โล่ง และสว่าง ที่สำคัญช่วยขับเน้นสีของเฟอร์นิเจอร์ที่ส่วนใหญ่เป็นสีเทากับสีดำให้เด่นชัดมากขึ้น
ผนังตึกของคอนโดสุดหรูแห่งนี้ถูกออกแบบและตกแต่งด้วยกระจกทั้งหมด ทำให้ได้มุมมองที่โปร่งโล่งสบายตาสำหรับผู้พักอาศัย เพราะสัมผัสได้ทั้งวิวของแม่น้ำเจ้าพระยาจากด้านหนึ่ง และอีกด้านหนึ่งยังสามารถมองเห็นวิวในตัวเมืองได้อย่างชัดเจน
“ไอ้ซัน ห้องมึงนี่กูเข้ามาทีไรรู้สึกโหวงๆ เหวงๆ อย่างบอกไม่ถูก หรือเรียกว่าอ้างว้างก็น่าจะเหมาะว่ะ”
วิษณุพูดพลางเหลียวมองไปรอบกายอย่างหวาดๆ อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเดินตรงเข้าไปในส่วนของครัว หยิบแก้วทรงสูงสองใบ เดินออกมาวางบนโต๊ะตัวเล็กตรงมุมรับแขก แล้วทรุดนั่งบนโซฟาสีดำตัวใหญ่ คว้าขวดเบียร์เย็นเจี๊ยบจากมือของเจ้าของห้อง ที่เดินไปหยิบมาจากตู้เย็นมุมห้อง รินใส่แก้วแล้วยกขึ้นดื่มอั้กๆ ราวกับดื่มน้ำก็ไม่ปาน
“นี่ไม่คิดจะรินใส่แก้วให้กูที่เป็นเจ้าของห้องรวมทั้งเบียร์ที่มึงกำลังแดกเลยหรือไงวะไอ้ณุ” นภเกตน์พูดแดกดันเพื่อนสนิทก่อนจะทรุดนั่งลงข้างๆ
“อ้าว กูนึกว่ามึงอาจจะยังไม่มีอารมณ์แดกไง เลยยังไม่รินให้” วิษณุบอกผู้เป็นเพื่อนยิ้มๆ ก่อนจะรินเบียร์ใส่แก้วอีกใบแล้วยื่นส่งให้ ซึ่งคนรับก็คว้าไปดื่มรวดเดียวหมดเช่นกัน
“เมื่อกี้ที่มึงว่าห้องกูดูอ้างว้างน่ะ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ หรือวะ”
คนถามถามเสียงเอื่อยๆ พลางวางแก้วในมือลงบนโต๊ะ กวาดตามองรอบห้องของตัวเองเพื่อค้นหาความอ้างว้างที่ผู้เป็นเพื่อนบอก และก็คล้ายจะรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ มันดูหม่นๆ เหงาเศร้าๆ อย่างบอกไม่ถูก
หรือเจ้าความรู้สึกที่ว่านั่นเกิดขึ้นหลังจากตัวเขาได้พบเจอกับสิตางศุ์มาวันนี้
“ก็จริงสิวะ” คนเป็นเพื่อนตอบพลางยกแก้วเบียร์ที่รินใส่เป็นครั้งที่สองขึ้นจิบ “กูรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ว่ะ”
คนเป็นเจ้าของห้องฟังแล้วก็หัวเราะหึๆ พยายามปัดความรู้สึกที่ว่านั่นออกไปเพราะเขาไม่ชอบ
“กูเห็นมึงพูดแบบนี้ทุกครั้งที่เข้ามา ห้องกูน่ะใหญ่กว่าห้องที่มึงอยู่นี่หว่า มันเลยดูเหมือนอ้างว้าง” คำพูดสุดท้ายฉายแววบางอย่างเจือจาง ก่อนจะรินเบียร์ใส่แก้วแล้วยกขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมดอีกครั้ง
“มันอาจจะจริงอย่างที่มึงว่า” วิษณุพยักหน้าอย่างยอมจำนน “กูถึงไม่ชอบห้องใหญ่มากๆ มันดูน่าสะพรึง ดูเหงา ว่าแต่วันนี้มึงท่าจะเป็นเอามากนะไอ้ซัน” พูดพลางมองการดื่มเบียร์อั้กๆ ของผู้เป็นเพื่อน “กูไม่เคยเห็นมึงแดกเบียร์เอาเป็นเอาตายแบบนี้มาก่อน”
“ทำไม กูจะแดกแบบมึงบ้างไม่ได้หรือไงวะ หรือว่ามึงแดกได้อยู่คนเดียว”
คำพูดกึ่งพาลของผู้เป็นเพื่อนทำเอาวิษณุถึงกับหัวเราะก๊าก ด้วยนานๆ ครั้งจะพบเจออารมณ์แบบนี้ของอีกฝ่าย และยิ่งทำให้มั่นใจว่าเจ้าตัวต้องมีเรื่องอะไรในใจแน่นอน และคงหนักหนาสาหัสไม่น้อย
ต้นเหตุก็คงไม่พ้นผู้หญิงที่ชื่อน้องเดือนนั่นแหละ แม้จะอยากรู้ว่าเรื่องราวเป็นยังไงแต่ให้เจ้าตัวเปิดปากพูดเองน่าจะดีกว่า
“พาลนี่หว่าไอ้ซัน”
คนถูกต่อว่าพาลนิ่งงันราวกับเพิ่งรู้ตัว วิษณุมองแล้วก็กดยิ้มบางๆ ที่มุมปาก ก่อนจะพูดเกริ่นนำร่อง
“แล้วมึงพร้อมจะเล่าให้กูฟังหรือยัง”
นภเกตน์รินเบียร์ใส่แก้วจนเต็มอีกครั้ง แล้วยกขึ้นดื่มอึกใหญ่
“นี่มึงถึงขั้นต้องแดกเบียร์ย้อมใจก่อนเล่าเลยหรือวะไอ้ซัน”
ดวงตาของคนถูกหาว่าแดกเบียร์ย้อมใจเป็นประกายลุ่มลึก ก่อนจะปริปากเล่าเรื่องที่อีกฝ่ายอยากรู้ให้ฟัง ซึ่งคนฟังถึงกับร้องเสียงหลงเมื่อฟังจบ
“มึงไปที่บริษัทพี่เอกแล้วเห็นชื่อน้องเดือนบนแผนผังของบริษัท ก็เลยไปสมัครงานที่นั่น นี่มันเป็นเรื่องบังเอิญเกินไปหรือเปล่าวะ”
“ใช่ มันเป็นเรื่องบังเอิญที่กูเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกัน” นภเกตน์พูดเสียงเบาราวกระซิบ ครั้นเมื่อคิดอะไรขึ้นมาได้ก็เผยรอยยิ้มออกมานิดหนึ่ง “มึงคิดว่าเรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นง่ายๆ นักหรือวะ มึงก็รู้ว่ากูเพิ่งพูดเรื่องนี้กับมึง แล้วจู่ๆ กูก็เจอเดือน”
“นั่นสิ โชคชะตาช่างเล่นตลกกับมึงซะจริงไอ้ซัน บทจะเจอก็เจอง่ายๆ กูเที่ยวตามหาให้มึงตลอดหลายปี แต่ไม่เคยเจอตัว”
วิษณุพูดเสียงแผ่วเบาไม่ต่างกัน ตัวเขาไม่เคยเชื่อเรื่องโชคชะตาหรือพรหมลิขิตมาก่อน ฟังแล้วยังอึ้งแกมทึ่งกับเรื่องที่ได้รับฟัง
“กูไม่เคยเชื่อเรื่องแบบนี้กูยังนึกไม่ถึงเลยไอ้ณุ ตอนเห็นชื่อเดือนบนผังว่าตื่นเต้นแล้ว ตอนเห็นตัวเป็นๆ ยิ่งตื่นเต้นกว่าร้อยเท่าพันเท่า”
วิษณุมองคนพูดแล้วลอบยิ้ม นี่คงเป็นความรู้สึกจากส่วนลึกของอีกฝ่าย ที่เผยความในใจออกมาโดยไม่รู้ตัวกระมัง บวกกับเบียร์ที่เจ้าตัวดื่มราวกับน้ำเข้าไปอีก ดังนั้นเขาจึงเป็นฝ่ายฟังเงียบๆ โดยไม่พูดขัด เพราะอยากรู้ว่าเจ้าตัวจะพล่ามอะไรออกมาอีก
“แต่ไม่รู้ว่าน้องเดือนของมึงยังอยากเป็นของกูอยู่หรือเปล่าว่ะไอ้ณุ” หางเสียงของคนพูดมีแววเกรี้ยวกราดแฝงอยู่ แล้วก็ยกแก้วเบียร์ขึ้นดื่มจนหมดแก้ว
“มึงพูดอย่างนี้หมายความว่าไงวะ”
ดวงหน้าหล่อเหลาของคนถูกถามบึ้งตึงขึ้นมาทันที ก่อนจะกระแทกแก้วเบียร์กับโต๊ะราวกับใช้มันดับอารมณ์
“ก็น้องเดือนของมึงน่ะทำเป็นไม่รู้จักกับกูน่ะสิ ซ้ำยังมองกูเหมือนเป็นคนอื่น”
“มึงว่ายังไงนะไอ้ซัน” วิษณุเอ่ยถามน้ำเสียงเหมือนไม่เชื่อหู
“สิตางศุ์น่ะ เจอหน้ากูแล้วทำเป็นไม่รู้จัก คราวนี้มึงได้ยินเต็มสองหูหรือยัง”
น้ำเสียงของคนพูดเจือแววเคืองโกรธจนคนฟังรับรู้ได้ โดยเฉพาะตอนเรียกชื่อสิตางศุ์ที่เจ้าตัวเน้นย้ำเสียงหนัก
ความคิดเห็น |
---|