12

ตอนที่ 11


บทที่ ๑๑

 

ร่างบางขยับพลิกไปมาอยู่บนเตียงนอน ไม่ว่าจะทำอย่างไรเธอก็นอนไม่หลับ ในหัวมีเรื่องต่างๆ มากมายให้คิด อีกทั้งคืนนี้อากาศก็ร้อนอบอ้าวเป็นพิเศษ สุดท้ายเมื่อมันร้อนทั้งกายร้อนทั้งใจ คีตกาลจึงผุดลุกจากเตียง เดินออกจากห้องไปสูดอากาศที่ระเบียงกว้าง จุดที่เธอชอบที่สุดในบ้านหลังนี้

ภายนอกมืดสนิท แต่วันนี้คีตกาลแทบปราศจากความกลัว นั่นเพราะใจเธอไม่สงบ หญิงสาวหย่อนตัวนั่งเท้าคางมองสายน้ำสีดำเบื้องหน้า ระลอกคลื่นเบาๆ ที่ต้องแสงจันทร์ส่องประกายระยิบระยับทำให้มองเพลิน คีตกาลถอนใจ หากทำได้เธอนึกอยากขว้างปัญหาหนักอกที่ทำให้เธอฟุ้งซ่านอยู่ตอนนี้ลงไปในลำคลองตรงหน้ายิ่งนัก

ดวงไฟดวงเล็กๆ สีเขียวอ่อนที่ส่องแสงพร่างพรายอยู่ตามสุมทุมพุ่มไม้ มองเผินๆ ราวกับดวงดาวที่ส่องแสงอยู่บนฟากฟ้า ทำให้คีตกาลขยับลุกขึ้น หมายจะไปดูใกล้ๆ เพราะนี่คงเป็นคืนสุดท้ายแล้วที่เธอจะได้อยู่ที่นี่

ขณะเดียวกัน ร่างใหญ่ที่นอนลืมตาจ้องเพดานอยู่ก็ผุดลุกจากเตียง หูเขาไม่เฝื่อนแน่ๆ เมื่อครู่มีเสียงกุกกักเหมือนมีใครเปิดประตูหน้าบ้าน อินทัชพลิกตัวไปฉวยไม้เบสบอลที่เคยซื้อมาไว้ด้วยความชอบใจขึ้นมาถือกระชับมือ แล้วย่องไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว แง้มประตูห้องออกช้าๆ สอดส่ายสายตาไปโดยรอบอย่างระแวดระวัง เมื่อเห็นว่าไม่มีใครก็ค่อยๆ ก้าวออกมาจากห้องนอน ระเบียงกว้างปราศจากสิ่งผิดปกติใดๆ มีเพียงประตูหน้าบ้านที่ทอดลงไปเบื้องล่างเท่านั้นที่เปิดอ้าอยู่

ยิ่งเดินมาใกล้ท่าน้ำมากเท่าไร คีตกาลก็ยิ่งรู้สึกดีมากขึ้นเท่านั้น เพราะมีสายลมอ่อนๆ พัดมาให้เย็นฉ่ำชื่นใจ หญิงสาวเดินไปจนสุดท่าน้ำ ยืนนิ่งทอดสายตามองดวงไฟดวงเล็กๆ ที่กะพริบวิบวับราวกับจะไม่มีวันหยุดลง

อินทัชกระชับไม้เบสบอลแน่นขึ้น แล้วก้าวไปยังประตูบ้านที่เปิดอ้าไว้ แต่พอเห็นคนที่เขาคิดว่าเป็นผู้บุกรุก ชายหนุ่มก็ค่อยๆ ปล่อยลมหายใจที่กลั้นไว้ออกจากอก ไม่ใช่เขาคนเดียวเท่านั้นที่นอนไม่หลับ อินทัชวางไม้เบสบอลพิงเข้ากับระเบียง แล้วก้าวลงบันไดตามหญิงสาวไปที่ท่าน้ำอีกคน สายตาสื่อความนัยที่เคยปิดซ่อนเอาไว้ นาทีนี้เปิดเผยชัดเจน ไม่ได้คลาดไปจากคีตกาลเลยสักนิด

“คีย์...”

คีตกาลที่กำลังหมกมุ่นอยู่กับความคิดของตนเองสะดุ้งสุดตัว รีบร้อนหันมามองตามเสียง เลยเสียหลักก้าวถอยหลังไปสะดุดขั้นบันไดไม้ที่ท่าน้ำเข้า ร่างบางเสียสมดุลโงนเงนหงายหลังตกลงไปกลางผืนน้ำดังตูมโดยไม่มีเวลาส่งเสียงร้องออกมาด้วยซ้ำ

“คีย์!” อินทัชตะโกนก้อง ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเบิกโพลงก่อนที่เขาจะวิ่งและกระโจนลงน้ำตามร่างบางไปติดๆ ชายหนุ่มดำผุดดำว่ายเสียเวลาไปครู่ใหญ่ทีเดียวกว่าจะควานหาร่างหญิงสาวและฉุดรั้งให้ขึ้นมาจากใต้ผิวน้ำที่มืดสนิท วงแขนแกร่งโอบรัดรอบเอวคอดกิ่วเอาไว้แนบแน่น ชายหนุ่มอ้าปากหายใจรีบแหวกว่ายขึ้นฝั่ง

“คีย์ คีย์ ไม่นะคีย์”

อินทัชมองใบหน้าซีดๆ เต็มไปด้วยหยาดน้ำเกาะพราว และริมฝีปากอิ่มซีดเทาไร้สีสันกับอาการหายใจแผ่วของหญิงสาวที่นอนอยู่กับพื้นท่าน้ำด้วยความกลัวสุดหัวใจ หากเกิดอะไรขึ้นกับคีตกาล เขาจะไม่ให้อภัยตนเองเลยทั้งชีวิต เหมือนเป็นไปโดยอัตโนมัติเพราะถูกฝึกมาจนชำนาญ ชายหนุ่มรีบจัดท่าทางของหญิงสาวให้ถูกต้องโดยการจับศีรษะของหญิงสาวหงายไปข้างหลัง ก่อนจะถอดเสื้อเปียกของตนมาม้วนหนุนลำคอหญิงสาวไว้ ใช้นิ้วมือบีบจมูกของคีตกาลไว้แน่น สูดอากาศเข้าไปในปอดแล้วก้มลงไปผนึกริมฝีปากของตนครอบริมฝีปากบางที่ตอนนี้เย็นเฉียบจนเขาใจหาย จากนั้นก็เป่าลมเข้าไปโดยแรง

“คีย์ คีย์”

ชายหนุ่มขบฟันแน่นเผยสีหน้าร้อนรน มือใหญ่ตบแก้มขาวซีดเย็นเฉียบเบาๆ เมื่ออีกฝ่ายยังไม่มีทีท่าจะได้สติ เมื่อเขาเอามือไปอังใต้จมูกอีกรอบก็พบว่าลมหายใจแผ่วเบาเจียนขาดห้วงทุกขณะ ตอนนี้ใจเขาร้อนจนแทบลุกเป็นไฟ เริ่มกังวลไปสารพัด แต่เขาจะไม่ยอมแพ้ อินทัชผายปอดสลับกับปั๊มหัวใจ ทำทุกวิถีทางที่จะปลุกให้หญิงสาวรู้สึกตัว ทั้งตบหน้าเบาๆ ทั้งปั๊มหัวใจ ทั้งผายปอด ทำวนไปสักพักจนกระทั่งร่างของคีตกาลกระตุกขึ้นมาไอโขลก สำลักเอาน้ำออกมาจากปาก ก่อนที่เปลือกตาบางจะขยับเล็กน้อยแล้วค่อยๆ เปิดขึ้นช้าๆ

ความกลัวทำเอาอินทัชดึงร่างบางเข้าไปกอดแนบอก กระชับอ้อมกอดจนคีตกาลแทบจะจมหายเข้าไปในอกกว้าง เขากอดรัดร่างบางแน่นขึ้นราวกลัวว่าหากปล่อยไปเขาจะต้องสูญเสียเธอไปตลอดชีวิต เสียงชายหนุ่มเริ่มสั่นเครือ

“คีย์” เขาเอ่ยเสียงสั่นพร่า เรียกหญิงสาวไม่มีหยุด ก่อนจะแนบแก้มของเขาเข้ากับแก้มเย็นเฉียบของเธอ

“พี่...อิน”

“รู้ไหมพี่กลัวแทบตาย ถ้าพี่ควานหาไม่เจอ...” เขากระซิบดุด้วยเสียงที่ยังสั่นพร่า ก่อนจะขยับห่างออกมาใช้สองมือจับแก้มของหญิงสาวให้หันไปสบตาเขา

“พี่...” คีตกาลพูดไม่ออก ริมฝีปากเผยอน้อยๆ เมื่อสายตาที่อินทัชมองเธอทำให้เธอรู้สึกราวกับตนเองเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตของเขาแบบนี้

ชายหนุ่มประคองใบหน้างามของหญิงสาวให้ขึ้นมามองสบตา พลางไล้มือเช็ดหยดน้ำที่เกาะพราวอยู่ที่แก้มเย็นเฉียบของเธอออกช้าๆ แล้วโน้มใบหน้าลงจูบที่กลีบปากบางซึ่งกำลังสั่นสะท้านและเปิดออกเหมือนพยายามจะพูดอะไรต่อทันที จูบอ่อนหวานละเมียดละไมทำให้สาวน้อยยิ่งสั่นสะท้านวาบหวิว ร่างบางโอนอ่อนอิงแอบแนบร่าง ก่อนที่เขาจะใช้ลิ้นดุนดันบังคับให้เธอยอมเปิดปากให้ลิ้นของตนเข้าไปสำรวจความหอมหวานเพื่อบรรเทาความกลัวที่เกิดขึ้น นี่เป็นครั้งแรกที่เขากลัวขนาดนี้ กลัว กลัวว่าจะเสียคีตกาลไป

ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างก่อนจะค่อยๆ ปิดลงโดยไม่มีทีท่าว่าจะปฏิเสธหรือขัดขืนการกระทำของชายหนุ่มเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าเธอเองก็เป็นฝ่ายที่ต้องการสัมผัสจากเขาด้วยเช่นกัน จูบอ่อนหวานดำเนินอยู่ชั่วครู่ จากนั้นจึงเปลี่ยนเป็นร้อนแรงขึ้นตามลำดับ สัมผัสแผ่วเบาในตอนแรกค่อยๆ ปลุกเร้าหนักหน่วงขึ้น คีตกาลรู้สึกเหมือนสติกำลังจะดับลงในไม่กี่นาทีข้างหน้านี้ ร่างกายอ่อนปวกเปียก เรี่ยวแรงหายไปหมดราวกับถูกสูบไปกับจุมพิตแสนวาบหวาม ตัวอ่อนเป็นขี้ผึ้งลนไฟอยู่ในอ้อมแขนแข็งแรง ปล่อยใจปล่อยกายให้เขากอดจูบตามแรงปรารถนา จดจำได้แต่รสจูบหวานล้ำที่เธอกำลังได้รับจากอินทัชเท่านั้น

 

“ร้อน อืม...ร้อน” เสียงงึมงำดังออกมาจากปากของหญิงสาวที่นอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงนอนก่อนจะนิ่งไป อีกพักก็สั่นสะท้านขดกายซุก “หนาวจัง แม่จ๋า คีย์หนาว”

“คีย์ คีย์ ตื่นขึ้นมากินยาหน่อยคนดี” ชายหนุ่มประคองร่างบางขึ้นมาหวังป้อนยา

หญิงสาวคราง ส่ายหน้าไปมา เหงื่อผุดขึ้นตามไรผม ริมฝีปากแตกแห้งดูน่าสงสาร อินทัชมองยาเม็ดที่อยู่ในมืออย่างจนใจ สภาพนี้คีตกาลไม่มีทางกลืนยาเม็ดนี้ลงไปได้แน่ ร่างสูงลุกเดินหายไปในครัวพักใหญ่ และกลับมาอีกครั้งพร้อมยาที่ถูกบดจนเป็นผงละเอียด เขาหยดน้ำลงไปพอให้ตัวยาจับกันเป็นก้อนนุ่มๆ ชายหนุ่มค่อยๆ ช้อนประคองร่างบางเข้ามาไว้ในวงแขน จับก้อนยาใส่เข้าไปในริมฝีปากบางที่ถูกจับให้อ้าออก แก้วน้ำถูกจ่อเข้าที่ริมฝีปากของหญิงสาวหวังให้อีกฝ่ายกลืนน้ำและยาลงไป แต่น้ำที่เขาให้หญิงสาวจิบกลับไหลออกมาจากมุมปากราวกับเจ้าตัวไม่ยอมกลืน

แบบนี้ก็คงเหลือทางสุดท้ายเท่านั้น อินทัชยกแก้วน้ำขึ้นมากระดกแล้วอมไว้ ใช้นิ้วบีบจมูกรั้นๆ นั้นไว้จนคีตกาลต้องอ้าปากออก นั่นแหละเขาถึงประกบริมฝีปากของตนเข้ากับริมฝีปากบางของหญิงสาว ร่างบางดิ้นอึกอักอยู่ชั่วครู่จนอินทัชมั่นใจแล้วว่าอีกฝ่ายกลืนทั้งน้ำและยาลงคอ เขาถึงถอนริมฝีปากออกอย่างเชื่องช้าอ้อยอิ่ง ความรู้สึกหวานล้ำที่ได้รับจากริมฝีปากบางยังตรึงอยู่ในความรู้สึก หากเมื่อคืนคีตกาลไม่หมดสติไปเสียก่อน เขาก็ไม่มั่นใจว่าตนเองและหญิงสาวจะจบลงที่ตรงไหน

ร่างสูงค่อยๆ ขยับลุก ปล่อยร่างบางให้นอนลงไปบนเตียงนอน แล้วใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดไปทั่วลำคอลงไปที่ลำตัวของหญิงสาว หมายจะลดพิษไข้ให้ได้มากที่สุด แต่ผ่านมาหลายชั่วโมงคีตกาลก็ยังคงมีไข้สูงอยู่แม้เช็ดตัวลดไข้ซ้ำไปหลายหน

ตอนนี้อินทัชเริ่มใจไม่ดี หลังจากที่หญิงสาวสลบไปเมื่อคืนจนป่านนี้ก็ยังไม่ได้สติ แถมเช้ามาก็ยังมีไข้ ไม่รู้สึกตัวอยู่แบบนี้ ชายหนุ่มขบคิดอยู่ไม่นาน สุดท้ายก็ตัดสินใจหยิบเสื้อผ้ามาสวมทับให้หญิงสาวจนแน่นหนากว่าเดิม ก่อนจะอุ้มช้อนร่างบางเข้าสู่วงแขนพาเดินออกไปจากบ้านทันที

 

“โอ๊ย! ไอ้บ้านี่ใครกัน สองสามวันแล้วนะ ส่งข้อความมากวนใจไม่มีหยุด”

นิลรพัดยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาตะคอกเสียงใส่ เสมือนว่าโทรศัพท์คือคนที่ส่งข้อความมาหาเธอ หญิงสาวตัดสินใจกดโทร. ไปหาอีกฝ่ายทันทีเพราะความอยากรู้ที่จุกแน่นอยู่ในอก แต่ฝ่ายนั้นกลับไม่รับสาย นิลรพัดเข่นเขี้ยวเต็มที่ เพราะตนเองไม่รู้ว่ากำลังคุยกับใคร แถมอีกฝ่ายก็ทำเหมือนรู้จักเธอดีเสียด้วย

‘คิดถึงผมถึงขนาดต้องโทรหาเลยหรือไง’

หญิงสาวมองข้อความที่ส่งเข้ามาตาวาว ใครเน้อ...ใครกันที่มีนิสัยกวนแสนกวนแบบนี้ นึกอย่างไรก็นึกไม่ออก

‘ทำไมไม่รับสายที่ฉันโทร. ไป ไม่แน่จริงนี่’

‘ถ้ารับคุณก็รู้สิว่าผมเป็นใคร’

‘ก็ใช่ไง ฉันอยากรู้ว่าคุณเป็นใคร’

‘อยากเห็นรูปผมไหม’

นิลรพัดตาโตทันที แล้วรีบส่งข้อความตอบกลับไป ‘อยาก’

จากนั้นก็มีรูปส่งกลับมาจริงๆ ทำเอาเธอถึงกับอึ้งไปทันที เมื่อเห็นเป็นรูปของอิชย์ นักร้องคนที่เธอและเพื่อนเคยไปดู

‘นี่โกหกหรือพูดจริง’

‘จริงๆ ผมคืออิชย์’

แต่นิลรพัดกลับรู้สึกว่าไม่ใช่ คนที่ส่งข้อความมาหาเธอร่วมสัปดาห์จะเป็นนักร้องขี้เก๊ก จอมเจ้าชู้คนนั้นไปได้อย่างไร แล้วอีกอย่างเขาไม่มีทางมีไลน์ของเธอแน่ๆ

‘ฉันไม่เชื่อหรอก ที่เอารูปนักร้องคนนี้มาเพราะคิดว่าฉันจะบ้าคนหล่อๆ หรือไง’

‘แล้วไม่ชอบคนหล่อเหรอ’

‘ชอบน่ะชอบอยู่ แต่หล่อ เจ้าชู้ ควงผู้หญิงให้เปรอะ แบบนี้ไม่เอา’

‘คุณไปรู้ได้ไงว่าเขาเจ้าชู้’

‘นั่นไง พูดแบบนี้คุณไม่ใช่อิชย์แน่ๆ เอาเป็นว่าฉันรู้ละกัน’

‘ข่าวลือหรือเปล่า’

‘ข่าวลือมันต้องมีความจริงสัก 50% น่า ว่าแต่คุณเถอะ บอกฉันมาว่าคุณคือใคร ชื่ออะไร’

‘ผมก็บอกไปแล้วไงว่าผมชื่ออิชย์ คุณไม่เชื่อเอง’

‘ตลกละ แล้วคุณเอาไลน์ฉันมาได้ยังไง’

‘ผมบอกไม่ได้ แต่ผมมาดี ผมชอบคุณ เลยอยากคุยกับคุณ ผมผิดตรงไหน’

ริมฝีปากบางอ้าค้าง เมื่ออยู่ๆ ใครที่ไหนก็ไม่รู้มาสารภาพว่าชอบเธอ แถมอยากคุยกับเธออีก

‘คุณมันโรคจิต’

‘ผู้หญิงด่า เขาว่าผู้หญิงรัก’

                ‘ฉันจะลบคุณออกไปและบล็อกด้วย’

‘ก็ตามใจ แต่คุณจะไม่มีวันรู้ว่าผมคือใคร และคุณจะเสียเพื่อนดีๆ ที่คุยได้ทุกเรื่องแบบผมไป’

นิลรพัดโยนโทรศัพท์ลงบนที่นอนทันที “นี่นึกว่าตัวเองเป็นใครกัน สำคัญขนาดไหน คอยดูนะ ฉันจะไม่ตอบข้อความอะไรอีกเลย”

หญิงสาวแลบลิ้นปลิ้นตาใส่โทรศัพท์ของตนเองด้วยความหมั่นไส้เต็มที การต่อปากต่อคำผ่านไปอีกครั้งเหมือนเช่นวันอื่นๆ ที่ผ่านมา แต่สุดท้ายแล้วเธอก็ไม่รู้ว่าเขาคือใคร

 

‘รำคาญ’

หญิงสาวคิดในใจเมื่อมีใครไม่รู้มายืนโต้เถียงกันใกล้ๆ เธอ ดวงตาคู่สวยค่อยๆ เปิดปรือขึ้นด้วยความยากลำบาก นึกอยากตะโกนบอกให้คนที่ทุ่มเถียงกันอยู่ไปคุยกันที่อื่น ตอนนี้เธอรู้สึกอ่อนเพลีย ปวดศีรษะจนแทบจะแตกเป็นเสี่ยงๆ เจ็บคอ ร้อนในปาก ขมคอไปหมด คีตกาลค่อยๆ ฝืนตัวเองเปิดเปลือกตาขึ้น เห็นเป็นภาพเลือนๆ อยู่เบื้องหน้า แต่ไม่นานก็ทนฝืนไม่ไหวต้องหลับตาลงอีกหน แต่หูของเธอได้ยินทุกสิ่งทุกอย่าง

“แต่อินไม่ได้บอกพี่นี่ว่าคุณคีย์ไปอยู่กับอิน อินบอกพี่แค่ว่าเจอคุณคีย์เมาอยู่ที่ผับและจะพาไปส่ง พี่ก็นึกว่าอินจะพาคุณคีย์ไปส่งที่บ้านคุณลุงของเธอ”

“ตอนแรกผมก็อยากทำแบบนั้นนะพี่นาง แต่คืนนั้นคีย์เมาจนไม่ได้สติ ผม...ผมเลยพาไปที่บ้านแทน”

“อินนะอิน ทำไมทำอะไรไม่คิด ถ้าเป็นแบบนั้นทำไมไม่พาคุณคีย์กลับมาส่งที่บ้าน”

“ผม...” อินทัชพูดไม่ออก คิ้วหนาขมวดเข้าหากัน นั่นสิ ทำไมนาทีนั้นเขาถึงไม่พาคีตกาลไปส่งให้พี่สาว แต่กลับพามาที่บ้านของเขาแทน ซ้ำยังชักชวนให้หญิงสาวอยู่กับเขาที่บ้านไปอีก

“พี่จะไปเก็บของของคุณคีย์ พี่ไม่อยากให้ใครรู้ว่าเธอหายไปอยู่ที่ไหนมา อินเข้าใจใช่ไหม แค่เรื่องของพี่คนก็พูดกันไปสนุกปากแล้ว พี่ไม่อยากให้มีเรื่องนี้ซ้ำขึ้นมาให้เป็นขี้ปากคนอื่นอีก”

“พี่นาง แต่...” อินทัชมองไปยังร่างบางที่ยังนอนหลับอยู่บนเตียงสีขาวสะอาดตา

“ไม่มีแต่ทั้งนั้นอิน นี่พี่ก็ไม่รู้จะแต่งเรื่องหลอกท่านยังไง ถ้าท่านรู้ว่าคุณคีย์หนีออกจากบ้าน แถมเจ็บป่วยจนเข้าโรงพยาบาลแบบนี้”

อินทิราเดินไปหยิบกระเป๋าถือเป็นสัญญาณว่าพร้อมจะไป เห็นน้องชายหมุนตัวเดินตรงไปยังเตียงคนป่วยก็คิดว่าอินทัชแค่จะเดินไปดูเท่านั้น แต่สิ่งที่อินทัชทำกลับไม่ใช่สิ่งที่เธอคิดไว้ในหัว อินทิรายกมือขึ้นมาปิดปากเพราะกลัวว่าเสียงร้องของเธอจะดังออกมา เมื่อเห็นเต็มสองตาว่าอินทัชก้มลงไปจุมพิตริมฝีปากของคีตกาล

ริมฝีปากหนาค่อยๆ ผละออกช้าๆ

“ลาก่อน...คนดี”

อินทัชกระซิบบอกหญิงสาว ปลายนิ้วแข็งแรงเกลี่ยเส้นผมของเธอให้พ้นจากใบหน้านวล สายตาอ้อยอิ่งที่มีแววเศร้ามองหญิงสาวเหมือนกำลังตัดใจ ร่างสูงยืดตัวขึ้นขยับจับผ้าห่มจนเข้าที่ ก่อนจะหันตัวเดินออกผ่านพี่สาวที่ยืนนิ่งเป็นหิน สายตาของอินทิรามีแต่ความไม่ชอบใจ เธอหันไปมองคีตกาลอีกครั้งก่อนจะเดินตามน้องชายออกจากห้อง

หยาดน้ำใสไหลออกมาจากดวงตาที่ปิดอยู่ ความรู้สึกอ่อนหวานล้ำลึกเมื่อครู่เธอรับรู้ได้ทั้งหมด แต่มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ระหว่างเธอกับอินทัชมีอินทิราขวางอยู่ ไม่มีทางที่เธอจะข้ามผ่านความรู้สึกนี้ไปหาอินทัชได้

 

วันคืนที่ล่วงเลยไปมีแต่ความคิดถึงและความโหยหาสิ่งที่ไม่อาจได้ครอบครอง เวลาคือสิ่งที่อัศจรรย์นัก เพราะไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือไม่ดี เวลาก็สามารถทำให้ความรู้สึก ความทรงจำเลือนรางและค่อยจางไปตามเวลาที่ไหลผ่านไป มันก็เหมือนสายลมที่พัดผ่านมาแล้วผ่านไป ให้ความรู้สึกว่าเคยสัมผัส ให้ได้รู้ว่าเคยผ่านมา แต่ไม่เคยทิ้งสิ่งใดไว้ให้จับต้อง

หลังออกจากโรงพยาบาล คีตกาลเลือกใช้เวลาช่วงที่เหลืออยู่กับผู้เป็นลุง ปิดกั้นตนเองจากครอบครัวรวมถึงนิลรพัด หันเหความสนใจของตนเองมาที่ญาติสนิทเพียงคนเดียว คือลุงผู้ซึ่งมีบริษัทนำเข้าเครื่องประดับและนาฬิกายี่ห้อดังจากต่างประเทศ ผู้ที่มีภาพลักษณ์ของนักธุรกิจหนุ่มใหญ่มือฉมัง เป็นที่จับตามองของสาวเล็กสาวใหญ่ในแวดวงไฮโซ มีความเป็นอัจฉริยะด้านการแต่งตัว มีความสามารถสูงในการออกแบบ การเลือกสรร ดัดแปลง แต่งเติมเสื้อผ้าต่างๆ และเครื่องประดับให้เข้ากันอย่างกลมกลืนและสวยงาม หลายคนมองว่าลุงของเธอเป็นเพศที่สาม แต่คีตกาลกลับไม่คิดแบบนั้น

“อยากไปที่บริษัทไหมวันนี้” พินิจวางมือลงบนศีรษะของหลานสาวที่นั่งเหม่อทอดสายตาออกไปไกล คีตกาลขอมาอยู่กับเขาช่วงปิดภาคเรียน ท่านเองก็พอเข้าใจและเห็นใจหลานสาวที่ไม่สามารถทำใจอยู่บ้านของตนเองได้ เมื่อมารดาจากไปได้ไม่นาน บิดาที่หวังจะยึดเป็นหลักชัยกลับพาผู้หญิงที่ไหนไม่รู้มาเชิดชู มาแย่งความรักความสนใจไปอีก แถมไม่ได้มาตัวเปล่า ยังมีลูกติดท้องมาด้วยอีกคน ท่านเองก็เดินทางอยู่บ่อยๆ เดือนหนึ่งอยู่เมืองไทยได้ไม่ถึงสิบวันก็ต้องบินไปเรื่องธุรกิจอีก จะเข้าไปช่วยเหลือจัดการอะไรให้หลานสาวก็ไม่ทันกาลสักอย่าง ทำให้รู้สึกผิดอยู่หลายครั้ง

“ไม่ค่ะ ใกล้เปิดเทอมแล้ว คีย์คงต้องกลับไปที่บ้านนั้น”

“ถ้าไม่สบายใจก็อยู่ที่นี่ไปก่อน หรือจะเลือกไปอยู่คอนโดที่ไหนสักที่ของลุงเอาไหม”

“ตอนแรกคีย์ก็คิดไว้แบบนั้น แต่พอมาคิดๆ ดูแล้ว อย่างไรที่นั่นก็เป็นบ้านของคีย์ เป็นที่ที่มีความจำมากมายของแม่อยู่ที่นั่น ยังไงคีย์ก็ต้องกลับไป”

“วันก่อนพ่อเราเขาโทร. มา จะให้ลุงกล่อมให้เรากลับบ้าน ส่วนเมียใหม่กับลูกเห็นว่าจะปลูกบ้านเล็กๆ ให้อีกหลัง”

คีตกาลหัวเราะเสียงขื่น มันควรจะเป็นแบบนั้นมาตั้งแต่ต้นแล้วไม่ใช่หรือ

“มาคิดทำเอาตอนนี้ มันไม่ได้ทำให้ความรู้สึกที่เสียไปของคีย์ดีขึ้นหรอกค่ะ”

“ลุงยังไม่เคยเจอเมียใหม่ของพ่อเรา”

“เขาก็ดีหรอกค่ะ แต่เป็นคีย์เองที่ใจไม่กว้างพอที่จะยอมรับการมีตัวตนของเขากับลูก”

พินิจถอนใจออกมาจากอก “ลุงเข้าใจ และดีใจนะที่เราเข้มแข็งได้ขนาดนี้”

“มีคนสอนคีย์ค่ะ เขาบอกให้คีย์รักตัวเองและเข้มแข็งเพื่อตัวเอง”

“คนคนนั้นเป็นคนที่ใช้ได้เลย ว่าแต่เขาคือใครล่ะ”

แม้แต่ชื่อที่ติดอยู่ที่ริมฝีปากเธอยังเอ่ยออกไปไม่ได้

“คงเป็นคนสำคัญสินะ”

คีตกาลพยักหน้ารับอย่างยอมจำนน กลืนก้อนสะอื้นกลั้นน้ำตาแห่งความคิดถึงเอาไว้ในอก นึกอยากเห็นรอยยิ้มที่เขาเวียนส่งให้เธอเสมอ อยากได้ยินเสียงกีตาร์แผ่วๆ แว่วหวานกับเสียงนุ่มทุ้มเบาที่ขับขานออกจากปากของเขา นานแค่ไหนแล้วนะที่เธอแยกจากเขามา หนึ่งเดือน สองเดือน แต่ทำไมความรู้สึกมันจึงเหมือนกับว่าเนิ่นนานมาแรมปี

 

นิลรพัดก้มมองการแต่งตัวของตนเองอีกหน ไม่รู้เธอเกิดบ้าอะไรขึ้นมาถึงได้ยอมออกมาตามนัดของผู้ชายที่รู้จักและพูดคุยผ่านข้อความทางโทรศัพท์มือถือมากว่าสองเดือน

ความอยากรู้อย่างไรเล่าที่ทำให้เธอออกมายืนอยู่ที่นี่

แต่ตอนนี้เธอชักประหม่าไม่มั่นใจ นึกอยากจะเปลี่ยนใจยกเลิกนัดเสียแล้ว ตอนนี้ทันไหม หญิงสาวถามตนเองพร้อมกับล้วงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและส่งข้อความไป

‘คุณ ฉันปวดท้อง ฉันไปตามนัดไม่ได้’ พิมพ์ไปมือก็สั่นไปด้วยความตื่นเต้น ลุ้นว่าอีกฝ่ายจะตอบไหม เพราะอีกตั้งสิบนาทีกว่าจะถึงเวลานัด

‘แล้วคนที่ยืนอยู่หน้าประตูทางเข้านั่นใคร’

นิลรพัดเงยหน้าขึ้นมองไปเบื้องหน้าและรอบตัวทันที ร่างบางก้าวถอยหลังเหมือนไม่รู้ตัว ดวงตาคมเบิกกว้าง ริมฝีปากบางอ้าค้าง ท่าทางตกใจสุดชีวิต นิ้วที่พิมพ์ข้อความเมื่อครู่ยกขึ้นมาชี้ไปที่ใบหน้าของชายหนุ่ม

“คุณ...คุณ...”

อิชย์ถอดแว่นกันแดดสีดำอันโตออกจากใบหน้า พร้อมกับส่งยิ้มที่คิดว่ามีเสน่ห์ที่สุดไปให้หญิงสาว

“ก็ผมไง ผมก็บอกว่าเป็นผม แต่คุณไม่เชื่อเอง” อิชย์คว้ามือที่ยังชี้หน้าเขาอยู่มาจับไว้มั่น “ปะ ไปเที่ยวกัน”

อิชย์เดินนำจูงมือ หรือจะเรียกอีกอย่างว่าลาก พานิลรพัดเดินผ่านป้ายขนาดใหญ่ที่เขียนว่า ‘สวนสัตว์ดุสิต’ เข้าไปด้านในด้วยท่าทางสดชื่นสดใส แถมยังยิ้มกว้างขยันหันมาส่งยิ้มให้คนที่เดินเยื้องอยู่เบื้องหลังตลอดเวลา

“นี่ เดินเองได้” นิลรพัดพยายามสะบัดมือของเธอให้หลุดจากการจับของอีกฝ่าย แต่ดูเหมือนจะไม่ง่ายเอาเสียเลย ยิ่งสะบัดก็ยิ่งแน่น เธอเลยเลิกสะบัดในที่สุด

“ไม่นึกว่าจะยอมรับนัด”

“ก็ไม่นึกว่าจะเป็นคุณนี่”

“เป็นผมแล้วยังไง”

“ก็ไม่ยังไง”

อิชย์พาหญิงสาวเดินไปเรื่อยๆ วันนี้เป็นวันธรรมดาทำให้คนไม่พลุกพล่านเหมือนวันหยุด แต่เพราะยังอยู่ในช่วงปิดเทอม ทำให้มีหลายครอบครัวอุ้มลูกจูงหลานมาเที่ยวที่นี่

“คุณเอาไลน์ของฉันมาจากไหน”

อิชย์พาหญิงสาวมานั่งใต้ต้นไม้ริมสระขนาดใหญ่

“ผมบอกไม่ได้” ชายหนุ่มร่างสูงที่วันนี้สวมเพียงเสื้อยืดคอกลมสีขาวกับกางเกงยีนเก่าขาดนั่งลงที่เก้าอี้ ในขณะที่คนที่เขาจับจูงอยู่ยืนนิ่ง ไม่ยอมนั่งลงด้วย

หญิงสาวสะบัดแขนอีกหน แต่อิชย์ไม่ยอมปล่อย

“ถ้าไม่บอกฉันจะกลับ”

“ผมกำลังจะไปเมืองนอก”

เพราะคำพูดของเขา นิลรพัดเลยหยุดนิ่ง มองอีกฝ่ายด้วยความสนใจทันที

“ผมจะไปออดิชันต่างประเทศ มีนายทุนที่นั่นเขาสนใจเรา”

“เรา...” นิลรพัดทวน “คุณกับใคร”

“เพื่อนผมที่ชื่ออิน”

“ใช่คนที่คุณเคยบอกว่าเป็นแฟนกับยายคีย์เพื่อนฉันหรือเปล่า”

อิชย์พยักหน้ารับ “ใช่”

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น