10

ตอนที่ 9


บทที่ ๙

               

ติ๊ง...ติ๊ง...

                นิลรพัดทำหน้ายุ่งทันที ตีหนึ่งกว่าแล้วแต่ใครยังส่งข้อความมาหาเธอ หญิงสาวคว้าผ้าขนหนูมาพันตัวก่อนจะก้าวออกจากกางเกงที่กำลังถอดอยู่ พร้อมกับเอี้ยวตัวไปดูจอโทรศัพท์

‘สุดที่รัก’ ใครกันที่ใช้ชื่อนี้ แถมอยู่ๆ ก็มาขอเพิ่มเพื่อนแล้วส่งข้อความมาหาเธอ คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากัน

‘นิลกลับถึงหอพักหรือยังครับ’

เฮ้ย! ผู้ส่งรู้จักชื่อเธอเสียด้วย นิลรพัดคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาดูทันที ก่อนจะพิมพ์โต้ตอบกลับไป

‘คุณเป็นใคร เอาไลน์ฉันมาจากไหน’ ไม่ใช่ว่าทุกคนที่มีเบอร์โทรศัพท์ของเธอจะมีไลน์ของเธอขึ้นมาโดยอัตโนมัติ ส่วนใหญ่หญิงสาวจะตอบรับการขอเป็นเพื่อนเป็นรายคนไป

อีกฝ่ายอ่านข้อความที่เธอส่งไปแต่ไม่ตอบอะไรกลับมา จนนิลรพัดวางโทรศัพท์ลงไปบนโต๊ะอีกหนนั่นแหละ ถึงมีเสียงเตือนว่ามีข้อความเข้า

‘ฝันดีนะที่รัก ไว้พรุ่งนี้ค่อยคุยกันใหม่ ง่วงละ บายครับนิล’

หญิงสาวอ้าปากค้าง หรือจะเป็นพวกโรคจิต นิลรพัดเตรียมจะกดบล็อกอยู่แล้วแต่ก็มีข้อความเข้ามาอีกครั้ง

‘อ้อ ถ้าแน่จริงก็อย่าบล็อกนะ ไม่อยากรู้หรือไงว่าผมคือใคร’

เฮ้ย! คนอย่างนิลรพัดไม่ชอบให้ใครท้า! ลองดูกันสักตั้งจะเป็นไร เธอก็อยากรู้เหมือนกันว่าใครคือคนที่กล้าส่งข้อความมากวนเธออยู่แบบนี้

 

เสียงกีตาร์โปร่งทำให้คนที่เริ่มรู้สึกตัวตื่นอยู่บนที่นอนยิ้มกริ่มทั้งที่ยังหลับตา ก่อนจะทะลึ่งพรวดจากที่นอนราวกับถูกเข็มทิ่มตำเอา

“กี่โมงแล้ว” คีตกาลพึมพำถามตนเองแล้วรีบกระโจนออกจากที่นอน วิ่งไปยังกระจกซึ่งติดไว้ที่ข้างฝา สองมือสางผมยาวที่ยุ่งอยู่ให้ดูเรียบขึ้นด้วยความเร่งรีบ ปลดกลอนเปิดประตูออกไปยังระเบียงบ้านกว้าง แล้วส่งยิ้มแหยๆ ให้ชายหนุ่มที่วันนี้สวมชุดที่ดูผิดแผกแตกต่างไปจากเดิม

เสื้อกล้ามกับกางเกงสามส่วน...หญิงสาวกลืนน้ำลายดังเอื๊อก รู้สึกหน้าร้อนขึ้นมาเหมือนมีใครเอาไฟมาลน ไม่แน่ใจว่าอาการนี้เกิดจากอะไรระหว่างอายที่ตนเองนอนตื่นเสียสายโด่ง กับกระดากอายไม่คุ้นชินกับท่อนแขนล่ำและหน้าอกแน่นๆ มีกล้ามขึ้นเป็นรูปดูสวยแบบนั้น

“ตื่นแล้วหรือ พี่ว่าถ้าอีกครึ่งชั่วโมงไม่ตื่นจะไปเคาะเรียกอยู่เชียว”

“ตื่นแล้วค่ะ ขอโทษนะคะ นอนเพลินไปนิด” คีตกาลก้มหน้าหลบใช้มือทัดผมยาวๆ ไปไว้ข้างหู แล้วค่อยๆ หมุนตัวกลับเข้าห้องไปหยิบฉวยของใช้ส่วนตัวมุ่งไปยังห้องน้ำต่อไป

 

อินทัชเงยหน้าจากกีตาร์และกระดาษที่วางอยู่ตรงหน้าเมื่อหางตาเห็นว่าคีตกาลเดินป้วนเปี้ยนไปมาอยู่ไม่ไกล

“มื้อกลางวันจะรอก๋วยเตี๋ยวเรือ หรือจะเดินไปกินร้านป้ากันดี”

“รอก๋วยเตี๋ยวเรือก็ได้ค่ะ ขอโทษนะคะที่ตื่นสาย” หญิงสาวค่อยๆ ลดตัวลงนั่งห่างจากจุดที่อินทัชนั่งอยู่ไม่ไกล

“พี่เองก็เพิ่งตื่น”

คีตกาลยิ้มรับรอยยิ้มอบอุ่นที่ส่งมาให้อย่างขัดเขิน รู้สึกแปลกๆ กับการที่มีอินทัชอยู่ที่บ้านนี้อีกคน เพราะช่วงเกือบสัปดาห์ที่ผ่านมา เขาแค่มาเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็ออกไปอีก จะทักทายกันก็ไม่กี่คำ แต่เธอกลับเฝ้ารอเวลานั้นเสมอ เป็นอย่างนี้ทุกๆ วัน แม้จะเป็นเพียงช่วงสั้นๆ แต่ก็ทำให้สุขใจไปได้เนิ่นนาน แต่พอวันนี้เจ้าของบ้านอยู่บ้าน คนที่มาอาศัยเขาอยู่กลับวางตัวไม่ถูกขึ้นมาทันที

“พี่อินทำอะไรอยู่คะ”

“แต่งเพลงครับ”

หญิงสาวชะโงกหน้าเข้าไปดูแผ่นกระดาษตรงหน้าชายหนุ่มทันที “เก่งจังค่ะ”

อินทัชยิ้มรับ ก่อนจะหันไปให้ความสนใจกีตาร์ในมืออีกหน คีตกาลยกเข่าขึ้นมากอดเอาไว้เอียงหน้าซบลงไปบนเข่า ฟังเสียงเพลงเบาๆ ที่ออกมาจากริมฝีปากคู่หนาเคล้าเสียงกีตาร์เบาๆ ไปอย่างเคลิ้มฝัน

เสียงนี้แหละที่ทำให้หัวใจที่ด้านชากลับมามีความรู้สึกอีกครั้ง ขณะที่กำลังนั่งเคลิ้มฟังเพลงเพลินๆ เสียง ‘ป๊อกๆ’ อันเป็นสัญลักษณ์ของก๋วยเตี๋ยวเรือพายก็ดังขึ้น ทำเอาคีตกาลตาโต ชะเง้อคอมองทันที

“เดี๋ยวคีย์ไปเตรียมชามก่อนนะคะ”

อินทัชพยักหน้ารับพร้อมกับยิ้มอย่างเอ็นดูเมื่อเห็นร่างบางผลุนผลันกระโดดลุกจากพื้นวิ่งลิ่วไปยังครัว ก่อนจะวิ่งตึงตังเสียงดังกลับออกมาพร้อมภาชนะในมือ

“คีย์ไปรอก๋วยเตี๋ยวที่ท่าน้ำนะคะ” หญิงสาวบอกแต่ไม่ได้ต้องการคำอนุญาต เพราะพอพูดจบก็วิ่งแน่บลงจากบ้านไปทันทีด้วยท่าทางสดใสมีชีวิตชีวาผิดกับวันแรกนัก

เสียงหัวเราะใสๆ กับการพูดจาต่อรองกับพ่อค้าทำให้คนร่างสูงที่เดินมายืนอยู่เบื้องหลังอดยิ้มไม่ได้ สิ่งที่เขาได้ยินมาเกี่ยวกับหญิงสาวคนนี้ไม่ใช่สิ่งที่เขาเห็นอยู่ด้วยสองตาแบบตอนนี้เลย

“ตายละลุง หนูลืมหยิบเงินมา ลุงรอเดี๋ยวนะคะ” คีตกาลทำท่าจะลุก แต่ก็หันไปเห็นอินทัชเสียก่อน “พี่อินขา พี่อินมีเงินติดตัวลงมาไหมคะ คีย์ลืมหยิบเงินมาด้วย”

ชายหนุ่มร่างสูงไม่ตอบ แต่เดินเข้าไปใกล้ๆ หญิงสาวแล้วทรุดนั่งลงเบียดกับคีตกาล ก่อนจะยื่นเงินส่งให้พ่อค้าที่อยู่ในเรือ

“ของผมเอาพิเศษนะลุง จะได้ไม่ต้องทอน”

“หายไปนานเลยนะ ไม่ได้เห็นหน้าเห็นตากันเลย พี่สาวเราเขาไม่กลับมาบ้างหรือไง” คนขายมีท่าทางคุ้นเคยกับอินทัช ขณะที่มือถือตะกร้อลวกก๋วยเตี๋ยว ปากก็ซักถามสารทุกข์สุกดิบกันไปเรื่อยๆ

“ไม่ค่อยได้กลับครับ”

“เห็นยายศรีว่าได้ดี มีผัวรวย”

“ครับ”

“เอ้า นี่ก๋วยเตี๋ยว ลุงเพิ่มลูกชิ้นให้ ยายหนูนี่เมียเรารึ หน้าตาน่าเอ็นดู”

อินทัชหันไปมองเสี้ยวหน้าหวานที่มีสีเข้มขึ้นตรงแก้ม แต่ไม่ได้ตอบอะไรไป ยื่นมือไปรับชามก๋วยเตี๋ยวมาปรุงจนเรียบร้อย ก่อนจะส่งเถาเครื่องปรุงคืนใส่เรือให้อย่างเดิม

“พรุ่งนี้ลุงหยุดขายหนึ่งวันนะยายหนู” ลุงคนขายก๋วยเตี๋ยวบอกก่อนจะใช้พายดันบันไดที่ท่าน้ำให้หัวเรือหันออกไปขายบ้านอื่นที่ออกมานั่งรอที่ท่าน้ำเหมือนสองหนุ่มสาว

“อร่อยมากหรือ กินเงียบเชียว” อินทัชอดแซ็วอีกฝ่ายไม่ได้ เมื่อก่อนหน้านี้พูดจาแจ๋วๆ เสียงดังชัด แต่ตอนนี้กลับก้มหน้าก้มตากินไม่แม้แต่จะเงยหน้ามองวิวทิวทัศน์

คีตกาลพยักหน้ารับ แล้วก้มหน้าจัดการก๋วยเตี๋ยวต่อไป เขาอาจจะไม่ได้คิดอะไร แต่คำถามของลุงคนขายก๋วยเตี๋ยวก็ทำเอาหญิงสาวเก้อเขินขึ้นมาทันที

“รู้ไหมว่าถ้าพายเรือออกไปทางนั้นไม่นานจะถึงแม่น้ำเจ้าพระยา”

หญิงสาวหันมาทำตาโต ให้ความสนใจสิ่งที่อินทัชเล่าให้ฟังทันที เขาเป็นชาวคลองแท้ๆ รู้อะไรเกี่ยวกับการขึ้นลงของระดับน้ำมากเอาการ หญิงสาวเลยนั่งเท้าคางฟังสิ่งที่อินทัชเล่าจนลืมเวลา ระหว่างนั้นก็มีเรือพายขายผลไม้ โอเลี้ยง ชา และขนมไทยอีกหลายเจ้า อินทัชก็กวักมือเรียกเอาไว้เสียทุกเจ้าเช่นกัน

คีตกาลเอนตัวไปข้างหลัง ใช้มือเท้าพื้น เมื่อรู้สึกว่าท้องตึงจนแทบจะปริแตก

“ไม่ไหวแล้วค่ะ ถ้าพี่อินเรียกเรือขายของมาอีกลำ คีย์ต้องท้องแตกตายแน่ๆ”

“ส่วนใหญ่ของอร่อยๆ จะออกขายวันเสาร์อาทิตย์ ไม่รู้หรือไง”

หญิงสาวส่ายหน้าเพราะความไม่รู้ คงจริงอย่างที่อินทัชว่า เพราะวันธรรมดานั้นมีเรือพายมาขายของไม่กี่ลำ แต่เสาร์อาทิตย์นับไปนับมาร่วมห้าลำเข้าไปแล้ว

“บ่ายนิดๆ จะมีวุ้นมะพร้าวแบบที่ใส่ลูกมะพร้าวพายมาขาย พี่รับรองว่าเจ้านี้อร่อยมาก”

หญิงสาวหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ลืมความขัดเขินหรือความใกล้ชิดที่เป็นอยู่ไปทันที

“ไม่ไหวแล้วค่ะ ไม่ไหวจริงๆ ท้องคีย์จะแตกแล้ว อีกอย่างคีย์เกรงใจพี่อินค่ะ มาอาศัยพี่อินอยู่แท้ๆ แต่รบกวนพี่อินต้องมาดูแลไปเสียหมด”

“ไม่เห็นเป็นไรนี่ เราเดือดร้อนมา พี่เห็นพี่ก็ช่วย ว่าแต่ยิ้มได้แบบนี้ สบายใจขึ้นบ้างแล้วใช่ไหม”

หญิงสาวพยักหน้ารับ ก้มมองถุงขนมในมือ “ดีขึ้นแล้วค่ะ”

อินทัชพยักหน้ารับเช่นกัน รู้สึกว่าไม่ควรถามอะไรแบบนั้นออกไปเลย เพราะใบหน้าที่สดใสมีรอยยิ้มกระจ่างหายวับไป แทนที่ด้วยใบหน้าหมองๆ นัยน์ตาเศร้าในพริบตา

“อยากระบายอะไรให้พี่ฟังไหม เผื่อจะสบายใจขึ้น”

คีตกาลส่ายหน้าอีกครั้ง “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกค่ะ”

“ไม่ใหญ่ แต่ทำให้คีย์ต้องออกจากบ้าน”

ใบหน้าสวยเมินหนี สายตาทอดมองออกไปยังลำคลองเบื้องหน้า “ไม่ทราบสิคะ แต่ทุกคนมองว่าคีย์ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ไปเอง”

“เล่าให้พี่ฟังได้ไหม เผื่อคีย์จะสบายใจขึ้นถ้าได้พูดออกมา”

คีตกาลเงยหน้าขึ้นมามองอินทัชเพียงนิด ก่อนพยักหน้าช้าๆ

“พ่อของคีย์มีภรรยาอีกคน พ่อพาผู้หญิงคนนั้นเข้ามาอยู่ในบ้าน บ้านที่มีความทรงจำของแม่ บ้านที่แม่เพิ่งจากไป และที่สำคัญที่สุด จุดที่คีย์รับไม่ได้เลยก็คือ แม่คีย์เพิ่งเสียไปได้แค่หกเดือนเท่านั้น แต่ผู้หญิงคนนั้นท้องได้เจ็ดแปดเดือนเข้าไปแล้วตอนที่พ่อพาเขาเข้ามาที่บ้าน พี่อินเข้าใจใช่ไหมคะ นั่นหมายความว่าพ่อมีผู้หญิงอีกคนตอนที่แม่ยังอยู่ แล้วตอนนั้นแม่ของคีย์ก็ป่วยหนัก” ขณะที่คีตกาลพูด หยาดน้ำตาใสๆ ก็ไหลออกมา “แม่ป่วย แต่พ่อกลับทรยศแม่ ทำลายความไว้วางใจ ความรักที่แม่และคีย์มีให้พ่อ”

“คีย์เลยออกมาจากบ้าน”

หญิงสาวพยักหน้ายอมรับ “คีย์ทนเห็นผู้หญิงคนนั้นเดินไปเดินมา ทำนั่นทำนี่ในบ้านแทนแม่ไม่ได้ ยิ่งผู้หญิงคนนั้นคลอดลูก ทุกคนก็ยิ่งไปรุมให้ความสนใจ ปรับเปลี่ยนนั่นนี่ภายในบ้านเพื่อผู้หญิงคนนั้น จนบ้านของแม่ไม่ใช่บ้านของแม่อีกต่อไปแล้ว”

คีตกาลหัวเราะเสียงขื่น “ทุกคนบอกว่าคีย์โตแล้ว คีย์จะต้องเข้าใจและมีความเป็นผู้ใหญ่ เข้าใจเหตุผลของคนอื่น แล้วคนอื่นเคยเข้าใจเหตุผลของคีย์ไหมคะ เคยให้เกียรติแม่คีย์ ให้เกียรติคีย์ไหมคะ หรือคนตายไปแล้วไม่ต้องให้เกียรติ ไม่ต้องจดจำก็ได้ แม่คีย์เพิ่งจากไปยังไม่ครบปีด้วยซ้ำ พ่อก็ยกย่องผู้หญิงคนนั้นขึ้นมาแทน สำหรับคีย์ คีย์รู้สึกเหมือนตัวเองโดนหลอกลวง ภาพที่พ่อแสดงความรักต่อแม่ ต่อคีย์มาโดยตลอดนั้น มันกลายเป็นเรื่องโกหก มันกลายเป็นเรื่องไม่จริงเลยสักนิด”

อินทัชยกมือขึ้นมาอย่างลังเลก่อนจะโอบร่างบางและดึงเข้ามาใกล้ รอจนอีกฝ่ายคลายสะอื้นถึงได้เอ่ยปากถามออกไป

“ผู้หญิงคนนั้นเขาร้ายหรือทำไม่ดีกับคีย์หรือ”

หญิงสาวปาดน้ำตา รู้สึกเหมือนตนเองไม่ได้เดียวดายเมื่อมีเขาอยู่ข้างกายแบบนี้

“ไม่ค่ะ...คีย์พยายามหลบเขา ไม่อยากพูดกับเขา พี่อินรู้ไหมคะว่าเขาชอบเสแสร้งมาทำดีกับคีย์ แต่คนดีที่ไหนกันถึงยอมเป็นเมียน้อยคนที่เขามีเมียอยู่แล้ว” หญิงสาวเหลือบมองมือใหญ่ที่โอบไหล่เธอเอาไว้ รับรู้ถึงแรงกดของน้ำหนักมือที่เพิ่มขึ้น

“คีย์กับแม่คงจะรักกันมาก”

“ใช่ค่ะ คีย์กับแม่ เรารักกันมาก เราสนิทกันเหมือนเพื่อน เราคุยกันได้ทุกอย่าง ไม่มีใครมาแทนแม่ของคีย์ได้ คีย์รู้ว่าแม่รักพ่อมาก พยายามทำทุกอย่างให้พ่อมีความสุข แม้แต่ตอนที่ป่วย แม่ก็ไม่เคยทำตัวให้เป็นภาระของคีย์ ของพ่อ แม่ขอไปอยู่โรงพยาบาลเพราะใกล้หมอ พ่อจะได้ไม่กังวล แต่ระหว่างนั้นพ่อกลับไปมีผู้หญิงคนนั้น คีย์ดีใจนะคะที่แม่ไม่ได้อยู่รับรู้ปัญหานี้ ท่านจากไปพร้อมกับความรู้สึกว่าท่านเป็นที่รักของทุกคน” คีตกาลปาดน้ำตาที่ไหลออกมาเงียบๆ “รู้ไหมคะ ถ้าพ่อไม่พาผู้หญิงคนนั้นเข้ามาที่บ้าน แยกไปอยู่ไกลหูไกลตา ความรู้สึกคีย์อาจจะดีกว่านี้ อาจทำใจยอมรับผู้หญิงคนนั้นกับลูกของเธอก็ได้”

คีตกาลยกมือเรียวขึ้นปาดน้ำตาอีกครั้งพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าปอดแรงๆ เรียกกำลังใจให้ตนเอง ตอนแรกว่าจะไม่เล่าอะไร แต่พอได้พูดแล้วเธอกลับพูดไม่หยุด คนฟังก็ดีแสนดี นั่งฟังเฉยๆ พยายามไม่แทรกแซงความรู้สึกของเธอเลย

“ถ้าอย่างนั้นคีย์ลองฟังพี่นะ ไม่ต้องเชื่อในสิ่งที่พี่พูดก็ได้ พี่อยากให้คีย์ฟังแล้วลองนึกตาม ได้ไหม”

หญิงสาวพยักหน้ารับ นิ่งเงียบเมื่อคิดตาม ย้อนนึกไปถึงพฤติกรรมต่างๆ ที่อินทิราแสดงออกต่อเธอ ก่อนจะรู้สึกว่าร่างกายกำลังถูกดึงให้เข้าไปแอบอิงอยู่กับอ้อมอกแกร่งมากยิ่งขึ้น หญิงสาวโอนอ่อนไปตามแรง ไม่ได้ขืนตัวเอาไว้

“เชื่อพี่ไหมว่าปัญหาทำให้เราเปลี่ยนจากเรื่องร้ายให้กลายเป็นเรื่องดีๆ ได้ ปัญหาจะไม่มีวันหายไปถ้าคีย์เอาแต่หนี เอาแต่เงียบ ไม่ลงมือทำอะไรสักอย่าง เริ่มลงมือแก้ปัญหาตรงที่คีย์ออกจากบ้านมาแบบนี้ก่อน นี่ไม่ใช่ทางแก้ไขที่ดีในสายตาพี่ ลองคิดง่ายๆ นี่เท่ากับคีย์ยกบ้านของคีย์ให้เขาไปเลยใช่ไหม นี่มันแย่ลงใช่ไหม”

ใช่ เธอหวงทุกอย่างในบ้าน แต่กลับทิ้งทุกอย่างแล้วเดินออกมา

“พี่อยากให้คีย์เปิดใจลองคุยกับคุณพ่อของคีย์ พูดสิ่งที่คีย์เก็บไว้จนหนักอึ้งในใจ บอกคุณพ่อไปว่าตอนนี้คีย์รู้สึกอย่างไร ทุกข์ใจแค่ไหน เมื่อมีผู้หญิงคนนั้นเข้ามาอยู่ในบ้านอีกคน เพื่อความสุขใจของคีย์ และบางทีคีย์อาจจะได้รู้ว่าอะไรคือสาเหตุที่ผู้หญิงคนนั้นต้องเข้ามาอยู่ที่บ้านของคีย์”

“...”

“การพูด การบอกความอึดอัดคับข้องใจของเราออกไป บางทีมันก็ไม่ใช่สิ่งที่น่ารำคาญหรอกนะ แต่ถ้าเราเก็บเงียบไว้ แล้วใครล่ะจะรู้ว่าเราคิดอะไรอยู่ เขาคิดอะไรอยู่ อย่าให้ใครมาบงการความสุขหรือทุกข์ของเราได้ จำไว้นะคีย์ ชีวิตนั้นมีทางเลือกหรือมีทางแยกให้เลือกเสมอ เมื่อมีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้น เราเลือกได้ว่าจะมีปฏิกิริยาในทางบวกหรือลบ เราเลือกได้ว่าจะสุขหรือทุกข์ เราเลือกได้ว่าจะปล่อยให้มันพาเราไปในทางที่ย่ำแย่ลงหรือดีขึ้น ทุกอย่างมันเกิดขึ้นแล้ว ตอนนี้เราไปเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้แล้ว แต่การที่คีย์หนีออกมา ประชดชีวิตด้วยการกินเหล้า เที่ยวกลางคืน คนที่ย่ำแย่และตกต่ำลงก็คือคีย์นะ พี่อยากให้คีย์รักตัวเองให้มากๆ รักให้อิ่ม ให้เหมือนกับความรู้สึกที่คีย์ได้รับจากคุณแม่ คุณแม่คีย์คงไม่ได้รู้สึกยินดีแน่ๆ ถ้าท่านยังรับรู้ได้ แล้วรู้ว่าคีย์หนีออกจากบ้าน เที่ยวกลางคืน ทำร้ายตัวเองประชดใครก็ไม่รู้”

คีตกาลพยักหน้ายอมรับ เธอทำชีวิตให้แย่ลงด้วยน้ำมือของเธอเองทั้งนั้น

“คีย์ว่าคุณพ่อของคีย์รักคุณแม่ของคีย์มากไหม”

หญิงสาวพยักหน้ารับช้าๆ “ค่ะ คีย์ถึงไม่อยากเชื่อว่าท่านจะมีใครอีกคนได้”

“คีย์เคยถามพ่อไหมว่า เพราะอะไรถึงมีผู้หญิงคนนี้ขึ้นมาอีกคน”

คีตกาลส่ายหน้าช้าๆ “ไม่ค่ะ”

“พี่ว่าคีย์ควรจะลองถามท่านดูนะ พี่ว่าท่านเองก็คงมีเหตุผลอะไรบางอย่าง พี่รู้ว่าความรู้สึกที่ถูกทำลายไปมันก็เหมือนรอยร้าวที่ยากจะประสาน แต่คีย์รักพ่อ พ่อคีย์เองก็รักคีย์ ความรักตรงนี้นี่แหละที่จะประสานรอยร้าวทั้งหมด อีกอย่างพี่อยากให้คีย์มองอีกมุม เปิดใจให้กว้าง ถ้าผู้หญิงคนนั้นเขาไม่ได้ร้ายกาจ พี่ก็อยากให้คีย์เปิดโอกาสให้เขาบ้าง อย่างน้อยก็เห็นแก่คุณพ่อของคีย์”

หญิงสาวพยักหน้ารับช้าๆ หลังจากนิ่งไปครู่ใหญ่ ซึมซับคำพูดและอ้อมกอดอบอุ่น กับผู้ชายคนนี้...คนที่เพิ่งได้พบกัน แต่เธอกลับไม่มีแม้แต่ความหวาดระแวงสักนิด เธอเชื่อใจเขาตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้สัมผัส แม้ไม่ได้เห็นหน้า แต่น้ำเสียงของเขากลับทำให้เธออุ่นใจ รู้สึกมั่นคงได้อย่างแปลกประหลาด ทำให้หัวใจของหญิงสาวอุ่นซ่านขึ้นโดยไม่มีเหตุผล

“ดีขึ้นแล้วใช่ไหม” เจ้าของเสียงนุ่มฟังแล้วอบอุ่นเอ่ยถามเบาๆ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายคลายสะอื้น “พี่อยากให้คีย์ระบายสิ่งที่เก็บไว้ในใจออกมา มันจะดีต่อตัวคีย์เองดีกว่าเก็บเอาไว้คนเดียวในใจ พี่พร้อมจะเป็นผู้ฟังและให้คำแนะนำหากว่าคีย์ต้องการ”

“พี่อินใจดีจังค่ะ”

อินทัชยิ้มมุมปากนิดๆ เหมือนกำลังสมเพชอะไรบางอย่าง นึกถึงอนาคตข้างหน้า หากวันใดคีตกาลได้รู้ความจริงบางอย่าง เธออาจไม่พูดประโยคนี้ออกมาอีกก็เป็นได้

“อีกอย่างที่พี่คงต้องบอกคีย์ก็คือ ถ้าสบายใจขึ้นแล้ว พี่ว่าคีย์ควรกลับบ้านได้แล้วนะ ไม่ใช่ว่าพี่จะไล่หรืออะไรหรอกนะ แต่คีย์ก็เห็นไม่ใช่หรือว่าผู้หญิงที่มาอยู่กับผู้ชายตามลำพัง คนเขามองไปในทางชู้สาวทั้งนั้น และคนที่จะเสียหายก็คือคีย์ ซึ่งพี่ไม่อยากให้ใครมาว่าคีย์แบบนั้น”

มาถึงตรงนี้ใจของคีตกาลก็วาบไหว ก่อนจะฝืนพยักหน้ารับช้าๆ

“อีกสักอาทิตย์ได้ไหมคะขอคีย์สบายใจกว่านี้อีกสักนิด แล้วคีย์จะไป”

“อย่าคิดว่าพี่ไล่ สำหรับคีย์ พี่อยากให้คีย์คิดว่าที่นี่คือบ้านของคีย์อีกหลังหนึ่ง”

รอยยิ้มอบอุ่นกับมือที่วางลงบนศีรษะทำให้หญิงสาวยิ้มได้ ก่อนที่เขาจะชวนเธอพูดเรื่องสัพเพเหระอื่นๆ ทำให้รอยยิ้มสดใสกลับมาบนใบหน้าของหญิงสาวอีกหน

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น