บทที่ ๒
“เจ็บฉิบหาย มึงเกิดบ้าอะไรขึ้นมาวะ ปกติแม่งเห็นเย็นจนแทบเป็นน้ำแข็ง ห่าเหวอะไรก็ไม่เคยยุ่งกับใครเขา” อิชย์ นักร้องนำของวงพึมพำขณะจับก้อนน้ำแข็งวางลงไปตรงมุมปากที่มีรอยช้ำเลือดซึมออกมานิดๆ “ดีนะมึง ทางร้านเขาช่วยไกล่เกลี่ยให้ ไม่อย่างนั้นได้ไปโรงพักแน่ๆ นี่ถ้าเกิดเป็นเรื่องขึ้นมา มึงเองนั่นแหละที่จะลำบากเอา เพราะเป็นข้าราชการด้วย ต้องหาคนมาประกันตัวให้วุ่นวาย”
อินทัชเอนศีรษะลงไปกับพนักเก้าอี้ ใบหน้าของเขาเองก็เขียวช้ำไม่ต่างจากอิชย์เท่าไร
“กูขอบใจมึงมากที่เข้ามาช่วย และขอโทษด้วยที่ใจร้อนจนเกิดเรื่องขึ้นมาแบบนี้”
“ค่าเสียหายเดี๋ยวกูจะไปคุยกับเฮียเจ้าของร้านเอง ดูๆ แล้วเสียหายไม่มากเท่าไหร่ แต่ชื่อเสียงของร้านนี่สิ” อิชย์ทำเสียงจิจ๊ะในปาก “แล้วคิดไงวะถึงเอาเท้าเข้าไปแส่แบบนั้น หรือมึงมองผู้หญิงคนนั้นไว้”
ชายหนุ่มหลับตาลงแล้วส่ายหน้า ภาพใบหน้าหวานยามหวาดกลัวจนตัวสั่นราวกับลูกนกยังติดตา “กูเห็นเขาโดนลวนลาม เลยเข้าไปช่วย”
“แล้วไง เขาอยู่ขอบใจมึงสักคำไหม พระเอกผิดวิสัยนะมึง”
อินทัชไม่ตอบ หากแต่ขยับยืนขึ้นก่อนจะรั้งแขนอิชย์ขึ้นมาด้วย “ไป กลับบ้าน กูอยากนอน”
“มึงก็กลับไปสิ คืนนี้กูหาคนทายาได้แล้ว อีกอย่าง กูก็ขนของไปที่คอนโดใหม่หมดแล้วด้วย คงไม่กลับไปนอนที่บ้านมึงอีก” อิชย์กวักมือส่งสัญญาณให้เด็กสาวหน้าแฉล้มคนหนึ่งเดินเข้าสู่วงแขน “น้องฝน เด็กกูเอง”
อินทัชพยักหน้ารับ “เออ งั้นกูกลับละ มีอะไรโทร. มาละกัน” พูดจบก็โบกมือให้เพื่อนรักหนึ่งที แล้วหมุนตัวเดินห่างออกไปยังลานจอดรถ
สายตาคมกวาดมองไปตามรถหรูที่ยังคงมีจอดเรียงรายให้เห็น เขาก็เหมือนคนหนุ่มอีกหลายๆ คนที่มีความใฝ่ฝันในชีวิต อยากเดินตามความฝัน อยากประสบความสำเร็จในชีวิตเหมือนที่ตั้งใจไว้ มีรถหรูราคาแพงๆ ขับ มีชีวิตที่ดี มีชีวิตที่สุขสบาย และเขาก็สัญญากับตัวเองแล้วว่าสักวันจะต้องทำให้มันเป็นจริงขึ้นมาให้จงได้ สายตาที่มาดมั่นมองไปยังรถหรูราคาแพงสีเงินยวง ก่อนจะหันและเดินห่างไปอีกทางซึ่งตรงไปยังลานจอดมอเตอร์ไซค์
เวลาล่วงเข้าตีสองแล้วเมื่อคีตกาลไขกุญแจเข้าบ้าน คิ้วบางขมวดเข้าหากันก่อนเธอจะถอนใจเบาๆ เธอยังกังวลและห่วงใยชายหนุ่มคนที่เข้ามาช่วยไว้ อยากรู้ว่าตอนนี้เขาเป็นอย่างไร เจ็บตัวมากน้อยเพียงใด แล้วเรื่องราวมันจะบานปลายใหญ่โตไปจนเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์หรือไม่ เพราะสถานที่ที่เธอไปนั้นเป็นร้านที่ค่อนข้างมีระดับ ลูกท่านหลานเธอ นักศึกษามหาวิทยาลัยทั้งนั้นที่ไปเที่ยวกัน หากไม่ติดว่าเพื่อนทั้งสองรั้งตัวเธอออกมา เธอคงจะยืนอยู่ตรงนั้นจนกว่าเหตุการณ์จะคลี่คลาย พร้อมทั้งรอคอยขอบคุณคนที่มีน้ำใจมาช่วยเธอไว้
แสงไฟในบ้านสว่างขึ้น ทำให้คีตกาลต้องหยีตา หันมองหาผู้ที่เปิดไฟ แต่พอเห็นว่าเป็นใคร หน้านิ่งๆ ของหญิงสาวก็เชิดขึ้น นิ่งสนิทลงยิ่งกว่าเดิม ที่นี่เคยเป็นบ้านที่เธอรักและภูมิใจ เต็มไปด้วยคนที่เธอรักและรักเธอ แต่ตอนนี้มันไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว
“คุณคีย์เพิ่งกลับหรือคะ”
“ก็เห็นอยู่จะถามทำไม” หญิงสาวตอบเสียงมะนาวไม่มีน้ำ มันทั้งห้วน ทั้งไร้ไมตรี ก่อนจะหมุนตัวเตรียมเดินหนีไปยังห้องพักของตน แต่คงเพราะหมุนเร็วไปหน่อยเลยเกิดอาการเซจนต้องเอนไปจับพนักเก้าอี้ที่อยู่ไม่ไกลเอาไว้เป็นหลัก
อินทิรารีบเดินเข้าไปหาคีตกาลทันทีเมื่อเห็นดังนั้น ก่อนจมูกจะได้กลิ่นควันบุหรี่ กลิ่นแอลกอฮอล์โชยออกมาจากลมหายใจของคีตกาล ทำให้รู้สึกไม่ชอบใจขึ้นมาทันที
“นี่คุณคีย์กินเหล้าหรือคะ ถ้าคุณพ่อทราบเข้าจะเป็นเรื่องเอานะคะ”
คงเพราะคำพูดว่า ‘ถ้าคุณพ่อทราบเข้า’ เลยทำให้สติที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดขาดผึง คีตกาลตวัดสายตาไปมองใบหน้าหวานๆ ของอินทิรา
“ก็ไปฟ้องเลยสิ ฟ้องเลย คุณพ่อจะได้รู้ อยากให้เป็นอย่างนั้นอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง ทำมาเป็นหวังดี ที่แท้ก็เสแสร้ง!”
“คุณคีย์ ดิฉันแค่...”
“เลิกเสแสร้งเป็นคนดีซะทีได้ไหม! คนดีๆ ที่ไหนเขาจะกล้ามีอะไรกับสามีคนอื่นทั้งที่เมียเขานอนเจ็บอยู่ นี่คงดีใจจนเนื้อเต้นสินะที่แม่ตายไป คงรอเวลามานานแล้วใช่ไหม รอจะเข้ามาอยู่ในบ้านนี้แทนแม่ของฉัน ใช่ไหม!”
เธอตะคอกเสียงสั่นเครือใส่อีกฝ่ายด้วยอารมณ์ ก่อนจะสะบัดแขนที่ถูกอินทิราจับไว้ จนอีกฝ่ายเสียหลักหงายท้องลงไปนั่งพับเพียบอยู่กับพื้น แม้จะตกใจที่เห็นดังนั้น แต่คีตกาลก็ไม่คิดว่าการสะบัดแขนของตนจะทำให้อีกฝ่ายล้มลงไปได้ จึงคิดว่าอีกฝ่ายสำออย เรียกร้องความสนใจจากเธอเท่านั้นเอง
“ตายละ! เกิดอะไรขึ้นกันคะ คุณนางล้มหรือคะนั่น!”
คีตกาลมองแจ่มใส แม่บ้านที่เลี้ยงดูเธอมาวิ่งพรวดเข้ามาอีกคน ด้วยแววตาเจ็บช้ำ เมื่อแจ่มใสดูมีไมตรีต่ออินทิรา แถมยังเข้ากันได้ดีจนเธออดน้อยใจไม่ได้
อินทิราเงยหน้าขึ้นไปมองใบหน้าสวยของหญิงสาวที่มีศักดิ์เป็นลูกเลี้ยง แววตาของคีตกาลที่เธอเห็นตอนนี้มีแต่ความเจ็บช้ำทั้งๆ ที่เธอเป็นคนเจ็บตัว แต่อินทิราก็เข้าใจดีว่าเพราะอะไรคีตกาลถึงเป็นเช่นนี้ เธอเองก็ผิดจริงอย่างที่เด็กสาวพูด แต่ใครเล่าจะมาเข้าใจเธอ
“นางเดินไม่ระวังเองค่ะ ป้าแจ่มใส” เธอรับผิดแทนทันที เพราะไม่อยากให้เรื่องราวบานปลายมากกว่านี้
“เจ็บตรงไหนหรือเปล่าคะ ทำไมไม่ระวัง ท้องแก่แบบนี้ถ้าเกิดอะไรขึ้นจะทำอย่างไร” แจ่มใสทำหน้าหนักใจ ไม่เชื่อคำพูดของอินทิราเลยสักนิด แต่เธอก็ไม่อาจกล่าวหาเด็กสาวที่เลี้ยงมาเองกับมือได้เช่นกัน
“สำออย” ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้หญิงสาวอดพูดแขวะอีกฝ่ายไม่ได้ ก่อนจะก้าวหนีไปยังห้องส่วนตัวของตน
แม้จะตกใจกับคำพูดของคีตกาล แต่แจ่มใสก็ทำอะไรไม่ได้ นางอยากให้บรรยากาศในบ้านหลังนี้ บ้านที่เป็นเสมือนบ้านของนางอีกหลัง มีแต่ความสงบสุขร่มเย็นเหมือนเมื่อครั้งก่อน จึงพยายามช่วยประสานรอยร้าวที่เกิดขึ้น
“อย่าไปโกรธไปเคืองคุณคีย์เลยนะคะคุณนาง เมื่อก่อนคุณคีย์น่ารักน่าเอ็นดู ไม่ได้ก้าวร้าวแบบนี้เลยสักนิด”
อินทิรายิ้มรับอย่างเข้าใจ แล้วค่อยๆ ขยับลุกขึ้นจากพื้น
“นางเข้าใจค่ะ...โอ๊ะ...อือ...” อยู่ๆ อินทิราก็งอตัว ทำหน้านิ่ว วางมือลงบนหน้าท้อง ใบหน้าสวยบิดเบี้ยวเพราะรู้สึกเจ็บขึ้นมากะทันหันบริเวณเชิงกราน “ป้า...นางเจ็บท้อง”
อินทิราทรุดลงไปนั่งอยู่กับพื้นอีกหน สีหน้าแย่ลงเรื่อยๆ จนแจ่มใสใจเสีย เริ่มเหลียวซ้ายแลขวามองหาคนช่วยทันที
“ตายละ คุณท่านยังไม่กลับมาเสียด้วย เอาไงดีๆ คุณนาง คุณนางนั่งนิ่งๆ อยู่ตรงนี้นะคะ เดี๋ยวป้าจะให้เด็กเอารถอีกคันออก แล้ว...แล้วเราจะไปโรงพยาบาลกัน” แจ่มใสกระวีกระวาดวิ่งห่างออกไปอย่างว่องไวราวกับไม่ใช่คนอายุเกือบหกสิบปี
อินทิรากำมือ กัดริมฝีปากแน่น เหงื่อเม็ดเล็กผุดขึ้นมาบริเวณหน้าผาก ก่อนที่หญิงสาวจะร้องออกมาด้วยความตระหนกเมื่อรู้สึกว่าช่วงล่างของร่างกายเริ่มเฉอะแฉะมีน้ำซึมเปียก เปรอะเปื้อนกระโปรงที่สวมอยู่เต็มไปหมด
“ป้า! ป้าแจ่มใส ป้า! น้ำคร่ำ น้ำคร่ำ...” อินทิราร้องเสียงหลงเมื่อเห็นแจ่มใสเดินแกมวิ่งมาพร้อมกับคนขับรถ นาทีนี้เธอห่วงก็แต่ลูก ลูกของเธอ อินทิราร่ำไห้ด้วยความหวาดหวั่น เพราะอายุครรภ์ของเธอเพิ่งจะแปดเดือนเท่านั้น
“ไวๆ สิแก! รีบพาคุณนางไปโรงพยาบาลเร็วเข้า ว้าย! อกอีแป้นจะแตก! ถุงน้ำคร่ำแตกแล้วด้วย”
“ลูก ป้าแจ่ม ลูกของนาง”
เพราะเสียงร้องของอินทิราและเสียงแจ่มใสตะโกนหาคนขับรถประจำบ้าน เลยทำให้สมาชิกคนอื่นๆ ในบ้านต่างพากันตื่นขึ้นมาดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
แม้แต่คีตกาลเองที่เดินขึ้นไปเกือบถึงห้องของตนแล้วยังต้องเดินย้อนกลับลงมาดู เมื่อเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นก็ได้แต่ยืนนิ่งอยู่ตรงบันไดด้วยใบหน้าซีดเผือดแทบไร้สีเลือด เพราะไม่คิดว่าเหตุการณ์จะบานปลายใหญ่โตแบบนี้
ยิ่งได้สบตาอินทิราก่อนที่หญิงสาวจะถูกพยุงพาขึ้นรถไป คีตกาลก็ทำอะไรไม่ถูก มือไม้สั่นไปหมด เธอไม่ได้ตั้งใจสักนิด ไม่ได้ตั้งใจให้อินทิราล้มลงไปแบบนั้น คีตกาลยืนนิ่งราวกับหินอยู่ตรงบันไดจนกระทั่งคนอื่นๆ ค่อยๆ แยกย้ายกันไปจนไม่เหลือใครสักคน หญิงสาวมองไปรอบตัวก่อนจะเดินขาสั่นขึ้นไปยังห้องของตนเองด้วยความไม่สบายใจและเป็นกังวลอย่างที่สุด อาการมึนเมาจากเครื่องดื่มแทบจะหายไปเป็นปลิดทิ้งเพราะความกลัวที่กำลังเกิดขึ้นภายในใจ
หากอีกฝ่ายฟ้องพ่อว่าเธอสะบัดจนทำให้ล้มลงไปล่ะ หญิงสาวบีบมือแน่น ในสมองคิดฟุ้งซ่านไปต่างๆ นานา หากพ่อเอาเรื่องเธอล่ะ...
“แม่ขา คีย์ไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้ตั้งใจเลยสักนิด” หญิงสาวเพ้อหามารดาก่อนจะขึ้นไปซบหน้าอยู่กับหมอนบนเตียง คิดกังวลไปต่างๆ นานาจนไม่มีแก่ใจแม้แต่จะเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว คิดจนกระทั่งเผลอหลับไปในที่สุด
เสียงเคาะประตูทำให้ร่างบางที่นอนหลับอยู่บนที่นอนพลิกตัวลืมตาตื่น ก่อนจะกะพริบตารับแสงสว่างของเช้าวันใหม่ เสียงเคาะประตูยังดังต่อเนื่องไม่มีหยุด ทำให้คีตกาลต้องรีบขยับลุกจากเตียงไปเปิดประตูห้อง
“คุณพ่อ...” หญิงสาวครางเบาๆ เมื่อเปิดประตูห้องออกไปแล้วได้เจอกับใครเข้า ความยินดีปรีดาที่เคยมีอยู่ทุกครั้งที่ได้พบหน้าบิดา หนนี้กลับแทบไม่มี หญิงสาวก้มหน้าหลบพร้อมกับเดินเลี่ยงกลับมานั่งที่ขอบเตียงด้วยความรู้สึกผิดที่รู้ดีอยู่แก่ใจ เตรียมทำใจยอมรับการดุด่าว่ากล่าวของบิดา แม้ลึกๆ เธอจะคิดว่าตนเองไม่ผิดก็ตามที
“เมื่อคืนไปไหนมา ถึงกลับเอาตีสองตีสาม” ผู้เป็นบิดาเอ่ยถามลูกสาวคนเดียวทันทีด้วยน้ำเสียงเข้มงวด “คีย์อย่านึกว่าพ่อไม่รู้ไม่เห็นนะ แม้ว่าพ่อจะไม่ได้กลับบ้านตรงเวลา หรือมีเวลาให้คีย์น้อยกว่าแต่ก่อน แต่พ่อก็ไม่เคยละเลยเรื่องของลูกนะ”
“ใครไปฟ้องอะไรคุณพ่อคะ” คีตกาลเอ่ยถามบิดาเสียงเบาด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ ดวงตามองแต่มือของตนซึ่งวางอยู่ตรงหน้าตัก
“เรื่องนั้นคีย์ไม่ต้องสนใจ แต่คีย์เหลวไหลกลับบ้านดึกนั่นต่างหากที่พ่ออยากถามว่าจริงไหม คีย์ไปไหนมา” สาโรจน์เดินเข้ามายืนตรงหน้าลูกสาว รู้สึกเหมือนกันว่าช่วงห้าหกเดือนที่ผ่านมาท่านละเลยลูกสาวไปมาก
“คีย์ไปเที่ยวกับเพื่อนมาค่ะ” เธอสารภาพเสียงเบา
“กินเหล้าด้วยไหม เพื่อนผู้หญิงหรือเพื่อนผู้ชาย”
“ทำไมคะ คุณพ่อเกิดสนใจคีย์ขึ้นมาหรือคะ แต่คีย์ว่าตอนนี้คุณพ่อควรจะไปห่วงภรรยาคุณพ่อมากกว่านะคะ เมื่อคืนเธอเจ็บท้อง ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาลโน่น”
สาโรจน์ถอนใจ “พ่อเพิ่งกลับมาจากโรงพยาบาล คีย์...คีย์รู้ไหม คีย์ได้เป็นพี่สาวแล้วนะ” มือใหญ่วางไปบนศีรษะของลูกสาวด้วยความปรานี คาดหวังว่าเสี้ยวหนึ่งของความรู้สึกของลูกสาวจะยินดีไปพร้อมๆ กับท่านที่ครอบครัวมีสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้นมาอีกคน
แม้มือของบิดาจะเป็นสัมผัสที่เธอถวิลหามาตลอด แต่นาทีนี้เธอกลับรู้สึกไม่อยากได้เลยสักนิด เพราะมันเหมือนกับว่าทุกสิ่งที่มาจากบิดาตอนนี้ไม่ได้มาเต็มร้อยเหมือนเมื่อครั้งอดีตอีกต่อไปแล้ว
“คีย์ได้น้องชาย...” สาโรจน์บอกแล้วเงียบไป คีตกาลเองก็เงียบไปเช่นกัน ความรู้สึกระหว่างสองพ่อลูกในตอนนี้มีแต่ความอึดอัดขัดเขิน คำพูดแม้จะมีมากมายแต่กลับไม่รู้จะเอ่ยออกมาได้อย่างไร “พ่ออยากให้คีย์ตั้งชื่อเล่นให้น้อง จะได้ไหม”
ตอนนี้ดวงตาของคีตกาลร้อนผ่าว แม้น้ำเสียงบิดาจะฟังดูเนิบนาบเพียงใด แต่เธอก็เดาว่าภายในใจของท่านนั้นคงจะยินดีเป็นที่สุดที่ได้ลูกชายสมใจเสียที
“คุณพ่อตั้งเองเถอะค่ะ อย่าให้คีย์เข้าไปวุ่นวายเลย”
“พ่ออยากให้คีย์ให้โอกาสนางเขาบ้าง เขาพยายามทำดีที่สุดแล้ว หากคีย์จะหาคนผิด หรือหาความผิดจากใคร พ่อขอรับมันไว้เอง อย่าไปโทษนางหรือน้องชายของคีย์เลยจะได้ไหม”
คีตกาลหันไปมองบิดาแล้วแสดงสีหน้าเจ็บช้ำอย่างไม่ปิดบัง คำพูดแบบนี้เหมือนท่านกำลังออกรับแทนอินทิราอย่างไรอย่างนั้น แล้วความรักที่มีต่อมารดาของเธอนั้นเล่า มันหายไปไหน หรือตายไปพร้อมกับมารดาของเธอแล้ว
“ต่างคนต่างอยู่เถอะค่ะ คีย์บอกพ่อตรงๆ ว่าคีย์รับไม่ได้ที่จะต้องไปญาติดีหรือคุยกับเขา”
“คนอยู่บ้านเดียวกัน ไม่คุยกันมันใช้ได้ที่ไหน แล้วคีย์จะให้พ่อทำอย่างไร”
หญิงสาวกล้ำกลืนก้อนสะอื้นลงคอ “คีย์ไม่รู้ คีย์ไม่สน แต่ที่คีย์รู้คือ...ที่นี่คือบ้านของแม่คีย์ ผู้หญิงคนนั้นไม่มีสิทธิ์มาอยู่ที่นี่ ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะก้าวเท้าเข้ามาด้วยซ้ำ”
“แต่นางเขาเป็นแม่ของน้องชายคีย์นะ พ่อให้เขาไปอยู่ที่อื่นไม่ได้ พ่อหวังว่าคีย์จะเข้าใจ แต่คีย์ไม่เคยปรับตัวเข้าหานางเขาเลยด้วยซ้ำ คีย์ควรทำตัวให้เป็นผู้ใหญ่ หัดมีความคิดแบบผู้ใหญ่ได้แล้วนะ เราไม่ใช่เด็กๆ แล้วที่จะมาเอาแต่ความคิดของตัวเองเป็นใหญ่ โวยวายเอาแต่ใจอย่างนี้ เหตุผลทุกอย่างพ่อก็อธิบายไปแล้ว และหวังว่าคีย์จะเปิดใจสักนิด ถ้าคีย์รักพ่อ พ่ออยากให้คีย์เมตตานางกับน้องชายบ้างจะได้ไหม”
สาโรจน์ลุกขึ้นเดินออกห่างจากลูกสาว เขาไม่อยากใช้อารมณ์กับคีตกาล เพราะรู้ว่าอาจทำให้เหตุการณ์ทุกอย่างเลวร้ายลงไปอีก แต่บางเรื่องมันก็เหลืออดจริงๆ เมื่อคีตกาลปิดกั้นตัวเองและไม่ให้โอกาสใครๆ เลย
“ถ้าเขาอยู่ที่นี่ มันคงจะดีกว่าใช่ไหมคะถ้าคีย์เป็นฝ่ายออกจากบ้านนี้ไปเสียเอง”
“คีย์...” สาโรจน์หันมาเรียกลูกสาวอย่างอ่อนใจ ยิ่งเห็นว่าคีตกาลจมูกแดงๆ เริ่มมีน้ำตาก็ยิ่งพูดอะไรไม่ออก “พ่อไม่ได้อยากจะเลือกฝั่งหนึ่งฝั่งใด หรือให้คีย์มายื่นคำขาดกับพ่อแบบนี้ พ่ออยากให้คีย์เข้าใจ” สาโรจน์ทำสีหน้าลำบากใจ
“ตอนนี้...เอาที่คีย์สบายใจ พ่อไม่อยากบังคับ คีย์เองก็โตแล้ว พ่อเชื่อว่าคีย์คิดเองได้ว่าอะไรดี อะไรไม่ดี คิดดูดีๆ ก็แล้วกัน ฟังเหตุผลของพ่อบ้าง” นายพลทหารบกถอนใจ “ช่วงนี้ปิดเทอม คีย์อยากไปพักผ่อนที่ไหนไหม ไปพักผ่อนให้ใจสบาย ไปอยู่กับลุงเขาก็ได้ เขาคงชอบหรอกหากคีย์จะไปหา” สาโรจน์หวังดีอยากให้ลูกได้ไปพักผ่อนทั้งร่างกายและจิตใจ เผื่อสภาพจิตใจจะได้ดีขึ้น
แต่คีตกาลกลับมองเจตนาดีของบิดาไปในแง่ลบ คิดไปว่าคำพูดที่ออกมาจากปากบิดาเป็นเสมือนการไล่แบบอ้อมๆ แล้วแบบนี้เธอจะอยู่ไปทำไมกัน
“คีย์จะไป ไม่อยากอยู่ที่นี่ ไม่อยากอยู่ให้ขวางหูขวางตาคุณพ่อหรือใครๆ หรอก”
“คีย์...” สาโรจน์เอ่ยเรียกลูกสาวอย่างอ่อนใจอีกหน
หญิงสาวหลุดสะอื้น “ดีไหมคะ คีย์จะออกจากบ้านนี้ ไม่อยู่ให้ขวางหูขวางตาคุณพ่อกับผู้หญิงคนนั้น คีย์ไม่มีความสำคัญอะไรในบ้านนี้แล้วนี่ ที่นี่ไม่ต้องมีคีย์ก็ได้”
“คีย์ ไม่ว่าคีย์จะคิดจะพูดอะไร พ่ออยากให้รู้เอาไว้นะว่าคีย์ยังคงเป็นที่หนึ่งสำหรับพ่อเสมอ” นายพลทหารบกมองลูกสาวที่สะบัดหน้าหนีท่านไปเช็ดน้ำตาป้อยๆ ด้วยความลำบากใจ เมื่อรู้สึกว่าลูกสาวไม่ได้รักและเชื่อฟังท่านเหมือนดั่งวันวานอีกต่อไปแล้ว
ร้านปิดปรับปรุง 3 วัน เปิด ... ต.ค. 60
มือที่จับป้ายประกาศตกลงข้างตัว เธอมาที่นี่แต่วันก็เพราะอยากรู้ข่าวคราวของคนที่ช่วยเธอไว้เมื่อคืน อยากรู้ว่าเขาบาดเจ็บมากน้อยเพียงใด อยากเอ่ยปากขอบคุณเขาสักครั้ง คีตกาลมองไปรอบร้านด้วยความผิดหวัง เพราะไม่มีใครสักคนที่พอจะให้เธอสืบข่าวได้เลย
หญิงสาวเดินกลับไปที่รถของตนเพื่อตัดสินใจว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป ทำไมตอนนี้ชีวิตเธอถึงดูไร้ความสุขแบบนี้ เทพแห่งโชคชะตากำลังกลั่นแกล้งเธอหรืออย่างไรกัน เธอจะเอาอย่างไรต่อไปดี จะไปที่ไหนดี เมื่อบ้านที่เคยเป็นสถานที่ที่มีความสุขและอบอุ่นที่สุดกลายเป็นสถานที่ที่เธอไม่อยากกลับไปมากที่สุด แต่เธอไม่มีที่ไหนให้ไปเลย
“เอาไงวะอิน” อิชย์มีสีหน้าเคร่งเครียดไม่ต่างจากอินทัชเลยสักนิด “กูอยากไป อยากไปลอง อย่างน้อยก็ได้ลอง ถ้าเขาต้องการกูคนเดียว กูจะไปแบบไม่คิดเลย แต่นี่เขาระบุว่าเราสองคน”
อินทัชถอนใจออกมาพรืดใหญ่ “นั่นหมายความว่ากูกับมึงต้องทิ้งทุกอย่างที่นี่ไปเลย”
“แต่มันก็น่าสนไม่ใช่หรือวะ จะมีสักกี่หนที่คนแบบเดฟจะเดินเข้ามาหาเราถึงสองหน เมื่อก่อนเราเดินสายประกวดกันแทบตาย หาทางเข้าวงการทุกทางแต่ไม่มีใครเลยให้โอกาสเรา แต่วันนี้ วันนี้เดฟเดินเข้ามาหาเราเองนะโว้ย โอกาสที่เราวิ่งหากันมาตลอดหลายปี อยู่ๆ ก็เดินมาหาเราเอง กูอยากให้มึงคิดสักนิด โอกาสแบบนี้มันไม่ได้เกิดขึ้นได้ทุกวัน ถ้าเราลองแล้วไม่สำเร็จ อย่างน้อยเราก็ได้ลองทำไม่ใช่หรือไง”
อินทัชสบตาอิชย์ แววตาที่มีแต่ความกระตือรือร้นของอิชย์ทำให้เขาปฏิเสธไม่ลง ก่อนจะพยักหน้าในที่สุด
“ขอบใจว่ะอิน ขอบใจ ขอบใจ กูรับรองเลยว่าเราสองคนจะต้องประสบความสำเร็จ” อิชย์วางมือลงบนบ่าของเพื่อนรักพร้อมกับออกแรงบีบเบาๆ เข้าใจว่าอินทัชมีเรื่องให้ต้องเลือกและตัดสินใจมากกว่าเขา ไหนจะงานราชการที่กำลังรุ่ง ไหนจะครอบครัวอีก อิชย์เริ่มวาดหวังถึงอนาคตเบื้องหน้า กับความสำเร็จที่ต้องไขว่คว้ามาให้จงได้
เงินไม่อาจซื้อความสุขได้ คือสัจธรรมที่คีตกาลเพิ่งได้เรียนรู้ หญิงสาวมองถุงใส่ข้าวของสารพัดที่เธอขนซื้อมาเพื่อบรรเทาความหมองหม่นในใจ ตลอดสามสี่วันมานี้เธอซื้อทุกอย่าง ซื้อแม้แต่ของที่ไม่อยากได้ ซื้อเพื่อความสะใจ จนเงินในบัญชีส่วนตัวที่เก็บสะสมมาพร่องไปเกือบหมด แต่มันกลับไม่มีความสุขเลยสักนิด เพราะไม่ว่าข้าวของนั้นจะสวยแค่ไหน แพงแค่ไหน แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความหมองหม่นในใจหายไปได้เลย
หญิงสาวก้าวเข้าไปในบ้านพร้อมสารพัดถุงที่อยู่ในมือ ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้คีตกาลต้องเมินหน้าหนี กำสิ่งของที่อยู่ในมือแน่น ห้องที่เมื่อก่อนมารดาของเธอมักจะมาพักผ่อนนั่งเอนหลังอ่านหนังสือหรือเอาไว้ทำงานอดิเรกเล็กๆ น้อยๆ บัดนี้ถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นห้องเด็กอ่อน มีข้าวของเด็กอ่อนสารพัดวางไว้เต็มห้องราวกับมีเด็กเกิดใหม่เป็นสิบคน คนที่เคยสนิทสนมเคยให้ความสนใจเธอเป็นที่หนึ่ง ตอนนี้ก็แปรเปลี่ยนไปให้ความสนใจสมาชิกใหม่ของครอบครัว ไม่เว้นแม้แต่แจ่มใส แม่บ้านที่เลี้ยงดูเธอมาตั้งแต่เกิด
เสียงรถยนต์คุ้นหูที่แล่นเข้ามาในบ้านทำให้คีตกาลรีบเดินไปหาที่หลบ วางข้าวของในมือลงพร้อมกับเหลียวหากระจกใกล้ตัวเพื่อส่องดูความเรียบร้อยของตนเอง เพราะทุกครั้งยามที่บิดาก้าวเข้าบ้านมา คนแรกที่ท่านจะถามหาคือเธอ
“คุณนางกับตาหนูล่ะ”
ประโยคที่ได้ยินทำให้เท้าที่กำลังจะก้าวออกไปชะงักงัน คำว่าเสียใจ น้อยใจ คงน้อยไปสำหรับคีตกาลในเวลานี้ ความผิดหวังอย่างรุนแรงจู่โจมเข้ามากระแทกใจ เมื่อนาทีนี้ความสำคัญของตนถูกลดทอนจนแทบไม่เหลือ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นรุนแรงจนคีตกาลไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำว่าเดินขึ้นมานอนอยู่บนเตียงตนเองได้อย่างไร และตอนไหน ไม่รู้ว่าตอนนี้เวลาเท่าไร ร่างกายไร้ความรู้สึกหิว มีแต่ความรู้สึกโหยหา เธอโหยหาอ้อมกอด โหยหาความรักของมารดาเหมือนเมื่อครั้งอดีต หญิงสาวพลิกตัวกอดตนเองแน่น น้ำตาร้อนๆ ค่อยๆ ไหลรินจากดวงตา ก่อนจะไหลมากขึ้นราวกับทำนบแตก มากขึ้น มากขึ้นจนเจ้าตัวสะอื้นตัวโยน
ที่นี่ไม่ใช่ที่ของเธออีกต่อไปแล้ว แล้วเธอจะอยู่ไปทำไมกัน
หญิงสาวถามตนเองก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นจากเตียงนอน สองมือปาดน้ำตาแรงๆ เหมือนต้องการระบายความอัดอั้นภายในใจ แม้อยากกรีดร้อง แม้อยากทุ่มทำลายข้าวของ แต่เธอก็ไม่ได้ทำและทำไม่ลง เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในห้องนี้ล้วนแต่เป็นความทรงจำของเธอกับมารดาแทบทั้งสิ้น
“แก๊ แกจะกระดกเหล้าราวกับน้ำแบบนี้ไม่ได้นะคีย์” นิลรพัดเอื้อมมือออกไปคว้าแก้วเหล้า แต่ไม่ทัน คีตกาลยกมันขึ้นกระดกใส่ปากไปเสียก่อน
“กินแบบนี้เปลืองนะแก แถมเมาเร็วด้วย”
“เราจ่ายเอง” หญิงสาวหันไปบอกกรวินทร์ แล้วยกมือเรียกบริกรมาสั่งเครื่องดื่มแก้วต่อไป
กรวินทร์เม้มปากไม่พอใจ “ฉันไม่ได้ห่วงเรื่องนั้น ใครกินคนนั้นก็จ่ายอยู่แล้ว แต่ที่สำคัญแกเพิ่งหัดกิน เดี๋ยวก็ได้เมาเอาหรอก”
“เราอยากเมา” คีตกาลปาดน้ำตา ในขณะที่กรวินทร์กับนิลรพัดมองหน้ากันด้วยความสงสัย
“มีอะไร อกหักหรือไง” นิลรพัดเอ่ยถาม
ในขณะที่กรวินทร์มองเพื่อนด้วยความลำบากใจ อยากรู้อยู่เหมือนกันว่าอะไรทำให้คีตกาลที่เป็นเด็กสาวคงแก่เรียนกลัดกลุ้มใจจนต้องมาระบายออกด้วยวิธีการแบบนี้ แต่คีตกาลเลือกที่จะไม่ตอบพร้อมกับส่ายหน้าเบาๆ แล้วยกเครื่องดื่มที่เหลือขึ้นดื่มจนหมดแก้ว ก่อนจะแย่งบุหรี่ไฟฟ้าในมือของนิลรพัดไปสูบจนสำลัก ส่งเสียงไอออกมา
“แบบนี้ไม่สนุกละ” กรวินทร์ส่ายหน้า จริงอยู่เธอชอบเที่ยว ชอบดื่ม แต่ไอ้ที่จะมาเที่ยวและดื่มให้เมาแบบคีตกาลนั้นเธอไม่ทำแน่ๆ
“เอาน่า สงสารคีย์มัน มันอาจไม่สบายใจอยู่” นิลรพัดเอนตัวมากระซิบกระซาบกับกรวินทร์
“อืมๆ” กรวินทร์พยักหน้ารับอย่างไม่เต็มใจ “ริมาเที่ยวต้องไม่เป็นภาระเพื่อนสิ แบบนี้ไม่พ้นพวกเราแน่ๆ ที่ต้องมาคอยดูแล”
“น่านะ อย่าบ่นเลย ไหนๆ ก็มาแล้ว วันนี้วงโปรดของพวกเรามาด้วยนะ อย่าอารมณ์เสียไป”
“จริงดิ”
“ช่าย เห็นว่าเล่นตอนห้าทุ่ม”
กรวินทร์ก้มลงไปกดโทรศัพท์ดูเวลาบนหน้าจอทันที “อีกสามสิบนาที” หญิงสาวยิ้มสมใจ
“ยิ้มออกแล้วสิ”
“อืม อยากฟังเสียงกับนั่งจ้องหุ่นแซ่บๆ ของนักร้องนำ”
“มือเบสก็น่ากินนะ” นิลรพัดกระเซ้า
“ไม่อะ เราชอบหล่อแบบร้ายนิดๆ”
“วง...นั้น...มา...ด้วยหรือ”
คีตกาลเอ่ยถามเสียงยานคาง ทำให้ทั้งนิลรพัดและกรวินทร์หันไปมองด้วยสีหน้าเหนื่อยใจ ยิ่งเห็นคีตกาลนั่งเอนหลังพิงเก้าอี้แบบนี้ก็ทำนายได้ทันทีว่า อีกไม่นานถ้าไม่เมาหลับไปก็ได้วิ่งไปอาเจียนกันบ้าง ดีว่าวันนี้พวกเธอได้ที่นั่งพิเศษแยกมาเป็นสัดเป็นส่วนเลยไม่ค่อยกังวลเท่าไร เพราะไม่มีคนเดินเพ่นพ่าน แถมอยู่ใกล้เวทีอีกต่างหาก
“แล้วทีนี้จะเอายังไง เสียงกูแหบแบบนี้ ขึ้นไปร้องไม่ได้แน่ๆ” อิชย์เปิดหน้ากากอนามัยออก โชว์เสียงแหบราวกับเป็ดให้เพื่อนๆ ในวงฟัง ทำเอาสมาชิกทุกคนในวงต่างพากันตกใจ ต่างจากอินทัชที่รู้มาก่อนหน้านี้แล้ว
“มึงก็ขึ้นไปร้อง” อินทัชพูดเบาๆ ขณะก้มหน้าก้มตาปรับเสียงกีตาร์ที่อยู่ในมือ
“ร้องยังไง เสียงเป็นเป็ดแบบนี้”
“ก็พะงาบๆ ลิปซิงค์ไปสิ เดี๋ยวกูร้องอยู่ข้างหลังให้ สาวๆ เขามารอดูมึง ถ้ามึงไม่ขึ้นไปถอดเสื้อโชว์คงมีคนผิดหวังหลายคน”
“แบบที่ไอ้อินแนะนำก็ดีนะ คนคงไม่จ้องจับผิดขนาดนั้น อีกอย่างงานของอาทิตย์นี้เราก็รับเงินเขามาครบแล้วด้วย” หนึ่งในสมาชิกของวงเห็นด้วยทันที
“เออ มึงก็ปิดไมค์ แสดงให้เต็มที่ เดี๋ยวกูจะไปบอกช่างไฟให้เขาปรับแสงให้มันสว่างน้อยกว่านี้”
“เอาแบบนั้นหรือวะ” อิชย์ถามเหมือนไม่มั่นใจ ก่อนจะหันไปมองเพื่อนร่วมวงด้วยความสำนึกผิด เพราะวันที่ร้านปิดปรับปรุง แทนที่เขาจะพักผ่อนเหมือนสมาชิกคนอื่นๆ ในวง เขากลับไปสรวลเสเฮฮาอยู่กับสุรานารีเสียเต็มคราบจนร่างกายรับไม่ไหว ล้มป่วยมีไข้อยู่แบบนี้ “งั้นกูจะไปหาน้ำอุ่นใส่มะนาวจิบเสียหน่อย หวังว่าจะดีขึ้น”
ดวงตาที่หรี่ปรือค่อยๆ ฝืนเปิดขึ้นมา เสียงนี้! เธอจำเสียงของเขาได้ เสียงนุ่มทุ้มฟังดูอบอุ่นเป็นที่สุด และเป็นเสียงเดียวกับคนที่เข้าไปช่วยเธอไว้ในคืนก่อน
ภาพชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ยืนจับไมโครโฟนร้องเพลงอยู่บนเวทีทำให้คีตกาลค่อยๆ พยุงตัวขึ้นมามอง นักร้องหนุ่มเจ้าเสน่ห์กำลังถอดเสื้อโชว์ซิกซ์แพ็ก ผสมกับลีลาการร้องของเขา ทำเอาสาวๆ พากันส่งเสียงกรีดร้องราวกับคนโดนทำร้าย บ้างก็ร้องเพลงตามที่ชายหนุ่มร้องอยู่ บางคนถึงกับเดินไปยืนชิดติดหน้าเวที โบกไม้โบกมือให้ประหนึ่งศิลปินชื่อดัง
“ดู๊ ดูยายคนนั้น หน้าไม่อาย กล้าไปยืนชิดติดเวทีแบบนั้น” กรวินทร์ชี้ให้นิลรพัดดูอย่างไม่สบอารมณ์
“อย่าไปยอมๆ ลุกเลยๆ” นิลรพัดยุกรวินทร์ ก่อนจะหันมาดูคีตกาลที่เงยศีรษะขึ้นมามองตรงไปยังหน้าเวที “ยายคีย์” นิลรพัดตะโกนฝ่าเสียงเพลงที่ดังก้อง “อย่าไปไหนนะ นั่งอยู่ที่นี่ เข้าใจไหม”
คีตกาลไม่รู้ว่านิลรพัดพูดอะไร เสียงมันดังเหลือเกิน ยิ่งเห็นผู้หญิงอีกหลายคนวิ่งไปหน้าเวที เธอเลยให้ความสนใจตรงนั้นมากกว่า หันมาอีกทีเพื่อนทั้งสองก็หายจากโต๊ะไปรวมกลุ่มกับสาวๆ ที่ยืนชูไม้ชูมืออยู่หน้าเวทีเสียแล้ว
เธอต้องไปหาเขา...หญิงสาวค่อยๆ ขยับลุกอย่างทุลักทุเล คว้ากระเป๋าถือมาสะพาย สองมือจับคว้าทุกอย่างใกล้ตัวเอาไว้เป็นหลัก จุดหมายคือด้านข้างเวที
เธอต้องไปขอบคุณเขา!
ความคิดเห็น |
---|