4

บทที่ 3


บทที่ ๓

 

                ระยะทางที่คีตกาลเขม้นมองอยู่นั้นไม่ไกล แต่ด้วยสภาพของเธอในตอนนี้ กว่าจะเดินไปยังจุดหมายที่เธอต้องการก็ใช้เวลามากเอาการ หญิงสาวพยายามสะบัดศีรษะไล่ความมึนเมาออกจากหัว ใช้มือสางผมยาวๆ ให้เป็นรูปเป็นทรงขึ้น ใช้ผนังที่พิงอยู่เป็นหลักให้ยืนอยู่ไหว

                แล้วสติที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดก็คิดได้ว่า หากตนเข้าไปพูดกับคนที่มีบุญคุณด้วยสภาพเมาจนแทบทรงตัวไม่อยู่แบบนี้คงไม่เป็นการดีแน่ๆ คีตกาลเดินไปที่เคาน์เตอร์บาร์แล้วสั่งน้ำเปล่ามาดื่ม หวังให้ระดับแอลกอฮอล์ในเลือดเจือจางลง ก่อนจะเดินไปห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตาให้ร่างกายตื่นตัวสดชื่นขึ้นมาอีกสักหน่อย

หลังจากทำให้ตนเองเป็นผู้เป็นคน มีสติ หน้าตาสดชื่นขึ้น คีตกาลก็มายืนรออยู่ตรงทางลงข้างเวที หวังว่าเมื่อชายคนนั้นเดินลงมาเธอจะได้เห็นเขาทันที แม้จะทำสารพัดวิธีแล้วก็ตามเพื่อให้ตนเองสร่างเมา แต่ขาของหญิงสาวตอนนี้เหมือนไม่มีกระดูก พานจะอ่อนยวบลงไปกองอยู่กับพื้นได้ทุกวินาที

ร่างบางเอนพิงผนังค่อยๆ เลื่อนไหลลงไปทีละนิด ทีละนิด ดีว่าจุดที่เธอเลือกยืนพิงมีตู้ลำโพงซับวูเฟอร์ขนาดย่อมตั้งอยู่ คีตกาลเลยนั่งแหมะลงไปตรงนั้นทันที แล้วเงยหน้าขึ้นไปมองบนเวทีที่วงดนตรียังแสดงอยู่ หญิงสาวเขม้นมองฝ่าความมืดออกไป หลังฉากมืดๆ ตรงนั้นมีชายคนหนึ่งดีดกีตาร์และร้องเพลงอยู่ แต่เธอเห็นหน้าเขาไม่ชัด เห็นแต่แผ่นหลังกว้างกับมือใหญ่ที่มีนิ้วเรียวยาวซึ่งขยับจับเปลี่ยนคอร์ดไปเรื่อย ความสงสัยเกิดขึ้นในใจของหญิงสาวทันที ก่อนจะมองเลยไปยังนักร้องนำคนที่เธอหมายมาดอยากมาเจอและอยากขอบคุณ

“ทำไมมีคนร้องสองคน” คีตกาลเหมือนจะเอ่ยกับตนเอง แต่เพราะความมึนเมาเลยทำให้มองผ่านไปอย่างง่ายดาย สายตาพุ่งความสนใจไปยังชายหนุ่มที่ยืนร้องเพลงทั้งเปลือยร่างกายท่อนบน ทั้งร้องทั้งกระโดดไปมาอยู่หน้าเวทีแทน

แต่เพราะเมื่อครู่เธอดื่มน้ำเข้าไปเป็นขวด นั่งรออยู่เพียงพักเดียวก็ปวดท้องขึ้นมาอีกหน คีตกาลจึงจำเป็นต้องลุกออกจากจุดที่รออยู่ไปห้องน้ำ กลับมาอีกทีก็เห็นว่าเกิดความวุ่นวายเล็กๆ ขึ้นตรงจุดที่เธอเคยนั่งอยู่เสียแล้ว หญิงสาวอยากจะหาอะไรตีตนเองนักที่พลาดช่วงเวลาสำคัญที่รอคอยไป วงดนตรีที่เธอนั่งดูอยู่เมื่อครู่เดินลงจากเวทีไปแล้ว ตอนนี้กลายเป็นว่ามีวงใหม่ขึ้นไปแสดงแทน และคนที่เธออยากพบกำลังถูกกลุ่มสาวๆ รายล้อมพากันเดินห่างออกไปไกลขึ้นทุกทีๆ

“สาวๆ ครับ ขอให้นักดนตรีเราพักก่อนนะครับ” การ์ดตัวใหญ่หน้าดุออกมากางแขนกันให้สมาชิกวงดนตรีเดินเข้าไปในห้องที่อยู่หลังเวที กลุ่มแฟนคลับและสาวๆ ต่างส่งเสียงครางฮืออย่างไม่พอใจอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ แตกกลุ่มออกไปคนละทิศละทาง จนประตูห้องนั้นปิดลง การ์ดคนดังกล่าวก็นั่งลงบนเก้าอี้หน้าห้องนั้นเอง ทำราวกับวงดนตรีวงดังกล่าวเป็นกลุ่มศิลปินชื่อดังก็ไม่ปาน

                ‘เอาไงดี’ หญิงสาวถามตนเอง ก่อนจะค่อยๆ เดินไปหาการ์ดที่นั่งเฝ้าอยู่หน้าห้องอย่างกล้าๆ กลัวๆ

                “พี่คะ...”

                “ไม่ต้องพูด ไม่ต้องพูด” การ์ดคนดังกล่าวยกมือขึ้นห้ามทันที “ผมอนุญาตให้เข้าไปไม่ได้ ที่ตรงนี้หวงห้าม สำหรับนักดนตรีเท่านั้น”

                “แต่หนูมีธุระสำคัญอยาก...เจอนักร้องนำคนนั้น พี่ช่วยอนุญาตให้หนูเข้าไปได้ไหมคะ”

                การ์ดส่ายหน้าช้าๆ นึกสมเพชเด็กสาวสมัยนี้ที่ไร้ยางอาย วิ่งต้อนหน้าต้อนหลังไล่จับผู้ชายแบบที่เขาเห็นมาทุกค่ำคืน

                “ไปซะ ถ้าเมาก็กลับบ้านไปนอน อย่ามาทำตัวอย่างนี้ พ่อแม่จะเสียใจเอานะหนูนะ” การ์ดตัวใหญ่นั่งกอดอกนิ่ง ไม่แยแสคำอ้อนวอนของหญิงสาวตรงหน้าเลยสักนิด

                คีตกาลอ้อนวอนจนเหนื่อย ก่อนจะล่าถอยออกมายืนอิงเสาอยู่ไม่ไกล ในเมื่อตั้งใจแล้วเธอก็จะทำให้สำเร็จ หญิงสาวสะบัดศีรษะเพื่อเรียกสติอีกหนเมื่อเห็นว่าประตูห้องดังกล่าวเปิดออก และมีหนึ่งในสมาชิกวงดนตรีที่เธอจำได้ก้าวออกมา ด้วยอารามดีใจทำให้คีตกาลปรี่เข้าไปหาเขาทันที

                “คุณคะ ขอโทษนะคะ”

                นักดนตรีคนดังกล่าวหยุดมองหน้าคีตกาลเพียงนิดก่อนเตรียมจะก้าวเท้าต่อไป แต่หญิงสาวก็ดึงรั้งเสื้อแจ็กเกตของเขาเอาไว้อย่างถือวิสาสะ

“เฮ้ย อะไรกันน้อง”

                “พี่คะ หนูอยากพบนักร้องนำของวง อยากขอบคุณเขา”

                คิ้วหนาสั้นขมวดเข้าหากันเพราะเสียงอ้อแอ้และคำพูดของหญิงสาว “ขอบคุณอะไร”

                “วัน...วันก่อนที่เกิดเรื่องชกต่อยกัน เขาช่วยหนูไว้ หนูอยากขอบคุณเขา รบกวนพี่ช่วยไปตามให้หน่อยได้ไหม” หญิงสาวพูดไวจนลิ้นแทบพันกัน เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่ฟังเธอและเดินหนีไปเสียก่อน

                “เรื่องวันนั้น...”

น้ำเสียงเหมือนจำได้ทำให้คีตกาลยิ้มออก “ใช่ค่ะ เมื่อหลายวันก่อน ที่ชกกัน หนูแค่อยากขอบคุณเขา แค่นั้นจริงๆ”

ชายหนุ่มคนดังกล่าวหรี่ตามองคีตกาลอยู่พักหนึ่ง

“งั้นมานี่” เขาพูดแล้วหมุนตัวกลับไปยังประตูห้องที่มีการ์ดหน้าดุคนนั้นนั่งอยู่อีกครั้ง ก่อนจะเปิดประตูออกกว้าง แล้วหันมาพยักหน้าเรียกคีตกาล “ไอ้อิชย์มันอยู่ข้างใน เข้าไปสิ”

หญิงสาวลังเลอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนจะเดินเซๆ เข้าไปในห้องดังกล่าวอย่างกล้าๆ กลัวๆ

ผู้ชายทั้งสี่คนที่นั่งอยู่ในท่วงท่าสบายๆ หันมามองหญิงสาวที่ก้าวเข้ามาในห้องพร้อมกันราวกับนัด

แต่คนที่สะดุดตาคีตกาลที่สุดกลับไม่ใช่คนที่เธอตั้งใจจะมาหา...เมื่อได้มองสบเขาเข้าเต็มๆ ตา มันถึงกับทำให้เธอสะท้านไปทั้งตัว ร่างกายเกร็งนิ่งเหมือนว่าเจ้าของร่างจะหยุดหายใจไป สายตาแบบนั้น ความรู้สึกบอกเธอว่าเขารู้จักเธอ...

...แต่เธอไม่รู้จักเขา...

“เข้ามาหาใครครับ” หนึ่งในสี่หนุ่มเอ่ยถาม

คีตกาลกะพริบตา ละสายตาจากชายหนุ่มคนดังกล่าว หันไปมองผู้ชายคนที่ตั้งใจจะมาหา เธอยังเห็นร่องรอยเขียวช้ำบนใบหน้าของเขา ทำเอาใจชื้นว่าคงใช่เขาแน่ๆ

“นั่งก่อนไหมครับ”

“มะ...ไม่ต้องค่ะ ดิฉันแค่จะมาขอบคุณ แล้วก็...แล้วก็จะไป” หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าปอดขณะมองตรงไปยังหนุ่มนักร้องนำของวงที่ขยับยืนขึ้นและก้าวเข้ามาหาเธอ แทนที่สายตาของเธอจะมองตรงไปยังคนที่เธออยากมาหาและกำลังก้าวเข้ามา แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร มันกลับคอยเหลือบแลไปมองชายอีกคน คนที่กำลังนั่งกอดอกมองเธออยู่ไม่ไกล

คีตกาลมองแผ่นอกแกร่งที่หนั่นแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อตรงหน้าแล้วกลืนน้ำลาย ไม่บ่อยนักที่เธอจะได้เห็นผู้ชายเปลือยแผ่นอกแบบนี้

“คีย์ เอ่อ...ดิฉันจะมาขอบคุณ สำหรับเรื่องเมื่อวันก่อน ขอบคุณที่เข้ามาช่วยดิฉันไว้”

ทำไมความรู้สึกถึงบอกว่าไม่ใช่ ความรู้สึกตอนนี้กับตอนนั้นทำไมมันถึงต่างกันนัก ดวงตาคู่สวยช้อนขึ้นมองใบหน้าหล่อเหลาราวกับนักร้องเกาหลีนั้นอีกหน

อิชย์เขม้นมองผู้หญิงตรงหน้าเขาทันที เกิดความเข้าใจผิดเสียแล้ว ชายหนุ่มใช้หางตามองไปทางเพื่อนรัก ก่อนจะพิจารณาผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้อีกหน สวยน่ะสวยแน่ๆ แต่เป็นสวยแบบหวานเย็นฉ่ำชื่นใจ ไม่สวยเร้าใจทำเอาเร่าร้อนไปทั้งตัวแบบที่เขานิยม แต่...มันก็น่าลองไม่ใช่หรือไง ถ้ามันจะทำให้ใครบางคนเลิกเป็นฤๅษีได้

ดวงตาสีนิลที่เคยนิ่งสนิทประดุจผิวนํ้าในทะเลสาบที่ไร้คลื่นวาวโรจน์ขึ้นมาทันที เมื่อเห็นจุดหมายของมือเพื่อนรัก อินทัชขยับยืนขึ้นคว้ามืออิชย์เอาไว้ก่อนที่มันจะแตะลงบนเอวคอดของหญิงสาวที่ยืนอยู่เบื้องหน้า

อิชย์หรี่ตามองมือของเพื่อนที่อยู่ๆ ก็ยกขึ้นมาจับกระชับข้อมือเขา ทั้งน้ำหนักและการกระทำของอีกฝ่ายทำให้เขาเข้าใจอะไรๆ ได้ทันที

หญิงสาวสะอึกเบาๆ มองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความสงสัย

“อะไรวะอิน” อิชย์ทำเป็นไขสือ หันไปกระซิบถามเพื่อนรักพร้อมสะบัดมือจนมือของอินทัชหลุดไป ชายหนุ่มยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วผายมือไปยังมุมห้องที่ห่างออกไป ส่งสัญญาณให้หญิงสาวตรงหน้า ก่อนจะหมุนตัวเดินนำด้วยมาดกวนๆ ไปพิงผนัง หันหน้ามามองอินทัชที่ยังยืนอยู่จุดเดิมพร้อมส่งสายตายียวน รอคอยให้หญิงสาวเดินตามเขาไป

คีตกาลหันมองตามชายคนที่เธอต้องการมากล่าวคำขอบคุณอย่างงงๆ ก่อนจะเดินตามเขาไป แต่ก็ไม่วายหันกลับมามองชายหนุ่มอีกคน

“ว่าไงครับ” อิชย์เอ่ยขึ้นมาเบาๆ

“เสียงคุณ...” แม้จะอยู่ในสภาพมึนเมา แต่เธอก็ยังสัมผัสได้ถึงความแตกต่างของเสียงที่ทำเอาเธอหลงเคลิ้มไปตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ยิน กับเสียงคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้า

“ผมไม่สบาย...เสียงเลยแหบ ว่าแต่คุณเถอะ อยากจะมาขอบคุณอะไรผม”

“งั้น...เป็นคุณหรือเปล่าคะที่ช่วยดิฉันไว้เมื่อหลายวันก่อน คือ...พอดีวันนั้นมันมืด ดิฉันจำได้แต่เสียงคุณ แต่...ที่คุณร้องเพลงเมื่อครู่มันคือเสียงนั้น”

อิชย์ส่งยิ้มกระชากใจไปให้หญิงสาว ระหว่างนั้นสายตาของเขาไม่ได้คลาดไปจากใบหน้าของเพื่อนรักเลย ชายหนุ่มโน้มตัวลงกระซิบข้างหูของหญิงสาวตรงหน้าด้วยความตั้งใจ

“ถ้าคุณคิดว่าใช่ ก็ใช่...คนคนนั้นก็คือผม”

คีตกาลมองชายหนุ่มหน้าหล่อเหลาตรงหน้าอย่างพินิจ ถ้าเธอรู้ว่าจะได้มีโอกาสมาพบเขาแบบนี้ เธอจะไม่ดื่มเหล้าให้เมามายจนสมองแทบไม่ทำงานแบบนี้เป็นอันขาด

“คุณ...”

“ตอนพูดเสียงผมมันจะแหบๆ หน่อย แต่ตอนร้องเพลง คุณก็ได้ยินนี่”

แม้ความรู้สึกในใจจะร่ำร้องบอกว่าไม่ใช่...ไม่ใช่ แต่สิ่งที่เห็นบนเวทีก่อนหน้านี้ทำให้เธอปฏิเสธไม่ออก ในที่สุดก็ต้องยอมจำนน

“ถ้าเขาคนนั้นคือ...คุณ คีย์อยากจะ...”

“เฮ้อ...สงสัยจะซื่อพอกัน” อยู่ๆ อิชย์ก็ถอนใจออกมาเฮือกใหญ่ “ผมขี้เกียจเล่นแล้ว เอาละ สาวน้อย คนคนนั้นไม่ใช่ผม แต่...ถ้าคุณยอมทำตามที่ผมบอก ผมจะบอกว่าใครคือคนคนนั้น”

“คุณไม่ใช่หรือคะ ยะ...ยังไงคะ”

“อย่าทำหน้าตื่นๆ แบบนั้นสิคุณ ทำหน้าปกติ ไหนยิ้มให้ผมซิ น่าน...แบบนั้นแหละ ทีนี้คุณก็แค่เดินออกไปนอกประตูนั้นกับผม ทันทีที่ประตูปิดลง ผมจะบอกว่าเขาคือใคร”

“คะ...แค่นั้นหรือคะ ทำไมบอกตรงนี้ไม่ได้”

“เอาน่า ทำตามที่บอกเถอะ โอเคไหม”

คีตกาลพยักหน้ารับงง ๆ ถ้าไม่ใช่เขา แล้วใครคือคนคนนั้น หญิงสาวหันไปมองมือแข็งแรงที่วางลงบนบ่าของเธอ ที่เธอไม่สะบัดออกก็เพราะมันวางเอาไว้เหมือนกับไม่ได้วาง แม้ดูเผินๆ มือนั้นจะเหมือนโอบบ่าของเธออยู่ แต่มันแทบไม่ได้ลงน้ำหนักมาเลย มีเพียงปลายนิ้วของเขาเท่านั้นที่แตะลงบนต้นแขนเธอ

“เฮ้ย พรรคพวก กลับก่อนนะโว้ย พอดีมีธุระกับน้องคนนี้หน่อย”

มือที่สัมผัสบ่าของคีตกาลเบาๆ บังคับให้หญิงสาวก้าวเดินเคียงคู่กันตรงไปยังประตู แม้จะยังรู้สึกงงด้วยทั้งความสับสนและมึนเมา แต่คีตกาลก็ยังหันกลับไปมองคนอื่นๆ ที่อยู่ภายในห้อง โดยเฉพาะคนที่ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิมคนนั้น...

สายตาของเขาทำเอาใจเธอเต้นแรงขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล

ทำไม!

 

ทันทีที่ประตูปิดลง บ่าของคีตกาลก็ปราศจากมือของนักร้องนำเจ้าเสน่ห์ของวง คนที่เธอเข้าใจผิดว่าคือคนคนนั้นของเธอทันที ร่างสูงใหญ่นั้นกอดอกพิงผนังทำท่าเหมือนรอคอยอะไรบางอย่าง ก่อนจะดึงคีตกาลให้ไปยืนพิงผนังอยู่ไม่ไกลจากเขาเช่นกัน

“ผมชื่ออิชย์ แล้วคุณล่ะ”

“คะ...คีย์ค่ะ”

อิชย์ยิ้มอย่างน่าดู แล้วยื่นมือออกมาทักทายตามแบบฝรั่ง “ยินดีที่ได้รู้จักครับ”

“แล้ว เขาคนนั้น...”

“รอเดี๋ยวสิครับ เขาคนนั้นเป็นคนประเภทคิดเยอะนิดหนึ่ง แต่เดี๋ยวเขาจะเปิดประตูบานนี้ตามมาแน่ๆ” อิชย์พูดกลั้วหัวเราะ ยังไม่ทันที่คีตกาลจะได้ถามอะไรต่อ เขาก็ขยับพลิกตัวใช้สองมือเท้ากำแพง ขังคีตกาลไว้ระหว่างสองแขนแล้วกระซิบกระซาบ “เขามาแล้ว”

ไม่ทันขาดคำอิชย์ ประตูที่คีตกาลและอิชย์เดินออกมาเมื่อครู่ก็เปิดผางออก

เช่นเดียวกับอิชย์ที่ขยับเข้าใกล้คีตกาลอย่างรวดเร็วจนหญิงสาวร้องออกมาด้วยความตกใจ มันเหมือนกับวันนั้นไม่มีผิด ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แล้วเธอก็ตกอยู่ในอ้อมกอดแข็งแรงแต่อบอุ่นนั้นอีกครั้ง ในขณะที่อิชย์ถูกกระชากแล้วผลักให้ไปยืนห่างออกไป เสียงหัวใจที่เต้นหนักแน่นแนบใบหูทำให้คีตกาลต้องเงยหน้าขึ้นไปมอง

เป็นเขา เขาคนนั้น...

เสียงหัวเราะที่ดังขึ้นราวกับขบขันอะไรบางอย่างของอิชย์ทำให้คีตกาลหันไปมองเขา

อิชย์ผายมือออกกว้าง แล้วปล่อยเสียงหัวเราะให้ดังขึ้นกว่าเก่า พร้อมยักคิ้วหลิ่วตากับคีตกาล “เขาคนนั้นที่คุณตามหา คือ...คนคนนี้”

สองมือที่โอบประคองคีตกาลอยู่ผละออกทันที ทำให้หญิงสาวอดเสียดายนิดๆ ไม่ได้

“ไอ้อิชย์” เจ้าของเสียงนุ่มพูดขึ้นได้แค่นั้น เมื่ออิชย์เดินหัวเราะกลับเข้าไปในห้องที่ประตูยังเปิดกว้างอยู่ เขายังไม่หยุดหัวเราะด้วยซ้ำตอนที่หันมาดึงบานประตูปิด

‘แล้วทีนี้ยังไงล่ะ’ คีตกาลเงยหน้าขึ้นมองคนตัวสูงที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเธอ ความมึนเมาก่อนหน้านี้หายไปแทบสิ้น เธอจำได้ว่าเขาตัวสูงใหญ่ และเมื่อได้มายืนคู่กันอีกหนก็พบว่าเธอสูงเพียงไหล่ของเขาเท่านั้น คีตกาลพิจารณาชายที่ยืนอยู่เบื้องหน้า ในขณะที่ใจเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อครู่เธอไม่ได้พิจารณาเขานานแบบนี้ ตอนนี้คีตกาลเริ่มเห็นรอยช้ำจางๆ ที่มุมปากและโหนกแก้ม ไม่ต่างจากอิชย์เลยสักนิด

“คุณ...” เธอเอ่ยเบาๆ เมื่อเขายืนเฉย แถมยังเมินหน้าหันไปมองทางอื่นราวกับไม่ได้สนใจเธอเลยสักนิด

เสียงกระแอมในคอดังขึ้นเบาๆ ก่อนที่เขาจะหันมามองเธอ “อินทัช” เขาเอ่ยเสียงนุ่มเบาๆ

เสียงนี้! ใช่เขาจริงๆ

“คีย์ค่ะ คีตกาล” หญิงสาวรู้สึกหน้าร้อนขึ้นมาอีกครั้งเมื่อได้สบตากันเข้าโดยบังเอิญ แล้วต่างคนก็ต่างหันหนีกันไป ความร้อนวาบนั้นไม่ต่างจากตอนที่เธอหัดซดเหล้าเพียวๆ ลงคอเลยสักนิด “คีย์...อยากจะขอบคุณสำหรับเรื่องวันนั้น ถ้าไม่ได้คุณคีย์คงแย่ แล้วคีย์ก็ต้องขอโทษด้วยที่ทำให้คุณต้องมีเรื่องมีราวเจ็บตัวแบบวันนั้น”

คนตัวสูงพยักหน้ารับ แล้วต่างคนต่างก็เงียบไปอีกครั้ง ไม่มีใครพูดอะไรต่อ

‘แค่นั้นหรือ!’

คีตกาลทำอะไรไม่ถูกไปทันที

“เอ่อ งั้น...คีย์รบกวนแค่นี้นะคะ” หญิงสาวยืนนิ่งอยู่อีกพักหนึ่ง แต่อินทัชก็ไม่ได้โต้ตอบอะไรกลับมา ทำเอาคีตกาลเก้อไปทันที

“ขอบคุณค่ะ” เธอย้ำสิ่งที่ต้องการจะพูดอีกครั้งพร้อมกับยกมือไหว้ ซึ่งอีกฝ่ายก็ยกมือขึ้นมารับไหว้ แต่ไม่พูดอะไรออกมาสักคำ คีตกาลเผยยิ้มจางๆ ก่อนจะหมุนตัวเดินห่างออกไป

ดวงตาคมมองตามร่างบางไป คำพูดบางคำที่เขาอยากเอ่ยไม่ได้เปล่งออกไป

‘แบบนี้ก็ดีแล้ว’ อินทัชบอกตนเองขณะหมุนตัวกลับเข้าไปในห้องพักนักดนตรีอีกหน

คีตกาลหยุดเดินพร้อมทั้งหันกลับไปมองเบื้องหลัง ทันเห็นเจ้าของแผ่นหลังกว้างภายใต้เสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนเดินกลับเข้าไปในห้องพักนักดนตรีเสมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เธอหวังอะไร คีตกาลถามตนเอง หวังว่าเขาจะรู้สึกเหมือนเธออย่างนั้นหรือ หญิงสาวเดินลากขากลับไปยังโต๊ะที่จากมาด้วยความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายออกมาได้ มันเหมือนยังค้างคา รู้สึกเหมือนระหว่างเธอกับอินทัชยังมีบางสิ่งบางอย่างที่ค้างคากันอยู่ แต่เธอไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร ทั้งๆ ที่คำขอบคุณที่ตั้งใจจะพูดก็ได้พูดออกไปแล้ว

 

“ไปไหนมาแก พวกฉันเดินหาแกให้วุ่น” นิลรพัดเปิดฉากถามคีตกาลทันทีที่หญิงสาวทรุดนั่งลงที่โต๊ะ

“ไปห้องน้ำมาน่ะ” หญิงสาวมองสมาชิกใหม่ทั้งชายและหญิงที่มานั่งร่วมโต๊ะ เธอคุ้นหน้าอยู่หลายคน เลยคาดเดาว่าคงเป็นเพื่อนร่วมสถาบัน

“นี่...มีอะไรจะอวด” กรวินทร์ยกเสื้อยืดสีขาวขึ้นมาอวด “เมื่อกี้ไปหน้าเวทีมา ได้เสื้อของอิชย์ นักร้องนำของวงมาด้วยแหละ”

กรวินทร์นำเสื้อตัวดังกล่าวมาแนบแก้ม ท่าทางปลื้มใจเป็นอย่างมากที่ได้เสื้อตัวนี้มาครอง ทำเอาสมาชิกทุกคนในกลุ่มส่งเสียงคราง โดยเฉพาะสาวๆ ที่แย่งเสื้อตัวดังกล่าวมา บ้างก็กอด บ้างก็ดม เสียงหัวเราะดังไปทั้งโต๊ะ ทำให้บรรยากาศตอนนี้สนุกสนานครื้นเครงขึ้นอีกหลายเท่าตัวนัก

คีตกาลแอบยิ้ม พร้อมทั้งคิดว่าถ้าเพื่อนๆ รู้ว่าเมื่อครู่เธอไปพบใครมา ทุกคนจะทำสีหน้าอย่างไร ในเมื่อวงนี้ดูจะเป็นที่ชื่นชอบของสาวๆ ในกลุ่มนัก แค่คิดถึงตรงนี้ ความรู้สึกชาๆ จากการได้พบอินทัชเมื่อครู่ก็ทำให้หญิงสาวไม่ได้เล่าอะไรออกไป ได้แต่รับแก้วเหล้าจากเพื่อนๆ มากระดกมันลงคอไป แม้จะรู้สึกร้อนราวกับโดนน้ำร้อนลวกคอ แม้รสชาติจะขมราวกับกินดี แต่มันคือสิ่งเดียวที่ช่วยให้เธอลืมเรื่องราวบางอย่างไปได้ แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ก็ตามที

 

อินทัชกลับเข้ามานั่งในห้อง ท่าทางหัวเสียผิดวิสัย สายตาจับจ้องเพื่อนรักอย่างอิชย์ที่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กับสิ่งใด

“ทำแบบนั้นทำไม”

“ทำอะไร” อิชย์หันมาทำตาใสซื่อใส่อินทัช

“แบบที่มึงทำ”

“ไม่เห็นได้ทำอะไรเลย น้องเขาเข้ามาขอโทษผิดคน กูก็แค่พาไปอธิบายให้เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร บอกน้องเขาไปว่าเข้าใจผิดนะครับ พออธิบายเสร็จมึงก็ออกไปพอดี ว่าแต่น้องเขาขอบคุณมึงหรือยัง”

อินทัชพยักหน้ารับ มองอิชย์เหมือนไม่ไว้ใจ

“น่ารัก คนนี้กูสน...”

“หยุดเลย! คนนี้กูขอไว้คน”

อินทัชไม่รอให้อิชย์พูดจบ เขาแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงจริงจังเข้มงวด แต่สมาชิกในวงกลับหัวเราะครืนขึ้นมาพร้อมกันราวกับนัด จากนั้นสองหนุ่มในวงก็ควักแบงก์ห้าร้อยในกระเป๋าสตางค์ของตนขึ้นมาคนละใบและส่งให้อิชย์ ทำเอาคิ้วหนาของอินทัชขมวดเข้าหากันทันทีทันใด

“ค่าอะไร”

แบงก์ห้าร้อยในมืออิชย์ถูกโบกไปมา ก่อนที่เจ้าของมือจะยกมันขึ้นจูบเบาๆ แล้วหัวเราะเหมือนสะใจอะไรบางอย่าง

“ไอ้อิชย์มันท้าพวกกูว่า เด็กสาวคนนี้มึงจะยกให้มันเหมือนคนก่อนๆ ไหม ถ้ามันขอ”

“แล้วพวกมึงตอบว่าอะไร ทำไมต้องจ่ายเงินให้มัน”

อิชย์ขยับยืนขึ้น คว้าแจ็กเกตยีนขึ้นมาสวมทั้งที่ท่อนบนยังเปลือยเปล่า

“ไม่เห็นต้องถาม พวกมันตอบว่าให้” อิชย์ส่งยิ้มให้สมาชิกในวงอีกหนก่อนจะยั่วอินทัชต่อ บ่อยที่ไหนกันที่เขาจะเห็นเพื่อนของตนแสดงอาการหวงใครสักคนแบบนี้ “ขอไปนั่งดื่มอะไรที่บาร์หน่อยนะ ครั่นเนื้อครั่นตัว รู้สึกเหมือนคืนนี้จะได้อะไรติดมือกลับคอนโดไปด้วย”

สีหน้าของอินทัชเรียบสนิทผิดกับแววตาเมื่อตอนที่ขยับลุกตามอิชย์ไป

“กูไปด้วย”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น