3

ตอนที่ 3


ตอนที่ ๓

            อัศวินขี่จักรยานกำลังจะไปทำงาน ผ่านหน้าซูเปอร์มาร์เกต M-One และมุลิลาที่เดินหิ้วถุงซาลาเปา หน้าตาไม่ได้แต่ง ท่าทางกระเซอะกระเซิงเดินออกจากซูเปอร์มาร์เกตมา

เธออยู่ในชุดทำงาน หยิบซาลาเปาขึ้นมากัดหนึ่งคำแล้วนิ่วหน้า มองซาลาเปาแล้วเคี้ยวฝืดๆ ก่อนจะคิดเสียดาย ฝืนยัดๆ เข้าไป ที่หูก็หนีบโทรศัพท์คุยกับต้องตาที่เป็นห่วงอยู่ด้วย

            “กำลังจะไปสมัครงานที่ใหม่...อยู่ที่คอนโดเพื่อนที่ทำงานเก่าชั่วคราว กลัวมันตามไปที่บ้านแก ไม่อยากทำแกเดือดร้อนอีก เกรงใจพี่ยักษ์ว่ะ อีกอย่างที่นี่ก็ใกล้โรงเรียนน้องปลื้ม รับ-ส่งสะดวกดี”

            “โอ๊ย มู่ลี่ แกก็เกรงใจเกินไป พี่ยักษ์ไม่ได้อยู่บ้านเดียวกับฉันสักหน่อย อย่าลืมสิ ยังไม่ได้แต่งงาน” ต้องตาพูดขณะที่มองคนรักซึ่งนั่งรออยู่ไม่ไกล

            “แกก็หัดเกรงใจพี่ยักษ์บ้าง อย่าให้เค้ารอนาน นี่ก็ตามรับ-ส่งจนแก่จะสี่สิบเข้าไปแล้ว ฝ่อทั้งผัวทั้งเมีย มีลูกไม่ได้นะแก”                 

            “บ้า ไม่มีก็ไม่มีสิ...เลิกพูดเรื่องฉัน พูดเรื่องแกดีกว่า เดือดร้อนมีอะไรให้ช่วยก็บอกนะ”

            “คงไม่มีแล้วละ ขอบใจมากนะแก เออ ฉันต้องไปแล้วว่ะ แค่นี้ก่อนนะ เดี๋ยวเจอกัน” มุลิลากดวางสายมือถือ สุดท้ายเธอก็กินซาลาเปาไม่หมด เธอโยนซาลาเปาทิ้งก่อนที่จะวิ่งไปขึ้นรถแล้วขับออกไป

            พงศ์พิศุทธิ์นอนเมาหมดสภาพอยู่ที่มุมหนึ่งของบ้าน ไม่รู้เลยว่าบริสุทธิ์ ผู้เป็นมารดาได้เดินทางมาถึงด้วยอารมณ์ขุ่นมัวและมองเขาด้วยสายตาเอือมระอา

บริสุทธิ์ในวัยหกสิบต้นๆ ยังคงดูดีตามประสานักธุรกิจหญิงที่ร่ำรวยและเจนจัดในสังคม จุดด่างพร้อยอย่างเดียวในชีวิตของบริสุทธิ์ก็เห็นจะเป็นเรื่องครอบครัว ถ้าจะพูดให้ถูกคือ เรื่องคนที่นอนเมาไม่ได้สติอยู่ตรงหน้านี่แหละ

            “ตาพงศ์” บริสุทธิ์ฟาดแขนลูกชายอย่างแรง

พงศ์พิศุทธิ์ลืมตามองแบบงงๆ

            “อ้าว คุณแม่นี่เอง นึกว่าใคร” ชายหนุ่มกะพริบตาถี่ๆ เห็นเค้าร่างของแม่ตัวเองชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เขาพยายามยันตัวขึ้นนั่ง เอามือกุมศีรษะ รู้สึกหนักหัว

            “นี่บ้านหรือที่หมานอน” บริสุทธิ์เริ่มพูดด้วยอารมณ์ขณะกวาดตามองบ้านที่สกปรก รกรุงรัง

            “ฮะๆ” พงศ์พิศุทธิ์หัวเราะอย่างสมเพชตัวเอง “หมากับผมมันก็ไม่ต่างกันหรอก”

ว่าแล้วก็จะล้มลงไปนอนที่เดิม แต่บริสุทธิ์ดึงตัวบุตรชายขึ้นมาอีกรอบ

            “นี่ ห้ามนอนต่อนะ ไปทำตัวให้เป็นคนเดี๋ยวนี้! เรามีเรื่องต้องคุยกัน” บริสุทธิ์สั่งเสร็จก็สะบัดหน้าเดินออกไป

พงศ์พิศุทธิ์มองตามอย่างเซ็งจัด ไม่อยากคุยแต่ทำอะไรไม่ได้ เขาค่อยๆ คลานเข้าห้องน้ำอย่างเชื่องช้า

            เกือบครึ่งชั่วโมงถัดมา พงศ์พิศุทธิ์มานั่งทำหน้าตาเบื่อโลกต่อหน้าแม่ที่กำลังมองตนด้วยสายตาพิฆาต เขาเกลียดท่าทางเชิดและทำคอแข็งของแม่นัก เพราะมันทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่ใช้ไม่ได้ตลอดเวลา

            “เมื่อวาน งานเปิดตัวร้านเพชรสาขาใหม่ของแม่ ทำไมไม่ไป” บริสุทธิ์ถามเสียงแข็ง

“เมาอยู่” พงศ์พิศุทธิ์ตอบง่ายๆ แล้วก็ได้ยินเสียงเฮอะในลำคอของมารดาทันที

            “เสียใจ?”

บริสุทธิ์ถามคล้ายเยาะ ด้านลูกชายถอนหายใจหนัก เริ่มนั่งไม่อยู่สุขเหมือนอยากจะเดินออกไปจากตรงนั้นเสียเดี๋ยวนี้ เพราะรู้ว่ามารดากำลังจะเริ่มพูดเรื่องอะไร

 “เมียกับลูกผมนะแม่” พงศ์พิศุทธิ์คิดถึงวันที่ทะเลาะและไล่มุลิลาออกไปอย่างเครียดๆ หลายต่อหลายครั้งที่เป็นแบบนั้น แต่ครั้งนี้เขารู้สึกว่ามันต่างออกไป

            “ก็แกมันเลวเอง” บริสุทธิ์ชี้หน้าด่าลูกชาย แล้วพูดต่อ “ไฟแนนซ์รถกับแบงก์ที่แกกู้บ้าน โทร.มาตามหนี้กับฉัน”

            “โอ๊ย แม่ก็ออกไปก่อนสิ ตอนนี้ผมไม่มีอะ ไม่มีงาน” พงศ์พิศุทธิ์พูดอย่างฉุนๆ อารมณ์เสียพาลไปทุกอย่าง

            “แกไม่มีงาน แล้วทำไมไม่มาทำงานกับฉัน”

            “ไม่ชอบ”

            “หึ...ทำในสิ่งที่ชอบ แต่เอาตัวรอดไม่ได้ นังเมียแทนที่จะช่วยผัว กลับทิ้งเอาตัวรอด” บริสุทธิ์ยิ้มเหยียดอีก

พงศ์พิศุทธิ์ทนไม่ไหวลุกขึ้น “แม่จะว่าผมว่าเลวก็ว่าไป แต่อย่าว่ามู่ลี่”

            “รักกันมาก? ปกป้องกัน แล้วไง...ไปกันรอดมั้ย”

พงศ์พิศุทธิ์อึ้ง พูดไม่ออก

            “ฉันเตือนแกแล้วก็ไม่ฟัง คนแข็งอย่างยายมู่ลี่ไม่มีทางทนแกได้นานหรอก แล้วมันก็จริง แทนที่จะคบหาดูใจกันให้นานๆ ก่อน ดันปล่อยให้ท้อง”

พงศ์พิศุทธิ์ไม่พอใจ แต่ก็พูดอะไรไม่ออก ด้านคนเป็นแม่ลุกขึ้นบ้าง

            “หรือไม่มันก็ตั้งใจปล่อยให้ท้องเพื่อที่จะจับแก แล้วก็สมใจมัน แกมันโง่เอง ตามมันไม่ทัน”

คราวนี้พงศ์พิศุทธิ์เดินหนี แต่บริสุทธิ์ยังเดินตาม

            “ถ้าไม่อยากให้บ้านกับรถถูกยึด ก็ไปเอาหลานฉันกลับมา!”

พงศ์พิศุทธิ์ชะงักแล้วหันกลับมาทางมารดา “อะไรนะ”

            “ถ้าแม่มันจะไป ก็ให้มันไปแต่ตัว ยังสาวยังสวยเดี๋ยวก็หาผัวใหม่ได้ แต่หลานฉันจะกลายเป็นหมาหัวเน่า ฉันไม่ยอม”

            “จะให้ผมไปพรากแม่พรากลูกเหรอ”

            “หรือจะให้ฉันตัดแม่ตัดลูกกับแก สมบัติของฉันอย่าหวังว่าแกจะได้ไปแม้สักสลึง” บริสุทธิ์พูดเด็ดขาดจนลูกชายถึงกับยกมือขึ้นกุมหัว

            “ผมไม่รู้จะทำยังไง เพราะผมผิดเองมาตั้งแต่ต้น”

            “แกต้องบีบให้แม่มันคืนหลานมาให้ฉัน ตอนนี้ฉันได้ข่าวว่ามันเพิ่งถูกไล่ออกจากงาน”

คราวนี้พงศ์พิศุทธิ์ได้ฟังก็แปลกใจ เขาไม่เคยรู้เรื่องมุลิลาออกจากงานมาก่อน ด้านคนเป็นแม่รู้ทัน

            “ไม่รู้ละสิ เคยรู้อะไรเกี่ยวกับเมียแกบ้าง”

            “แม่ก็รีบๆ ว่ามาเหอะ จะให้ผมทำยังไง อย่าเสียเวลาด่าอยู่เลย”

            “ใช้เรื่องที่มันตกงานกดดันมัน ให้มันคืนหลานฉันมา แกต้องทำให้ได้!” บริสุทธิ์สั่ง พงศ์พิศุทธิ์ได้แต่ก้มหน้าเครียดไม่รู้จะทำอย่างไรดี

            ที่คอนโดมุลิลากำลังอ่านนิทานก่อนนอนเรื่อง แม่รักหนูที่สุดในโลก You’re My Miracle ให้น้องปลื้มฟัง น้องปลื้มซุกตัวลงกับอ้อมแขนผู้เป็นแม่

            “วันที่หนูเกิดมาบนโลกใบนี้ ดวงอาทิตย์ส่องแสงทักทายหนู การที่ฟ้าส่งหนูมาให้แม่คือสิ่งที่วิเศษที่สุด...” มุลิลาอ่านแล้วน้ำตาก็รื้นขึ้นมา หญิงสาวพยายามระงับมันเอาไว้ ทว่าการที่เธอเงียบไปทำให้ลูกชายรู้สึกผิดปกติ น้องปลื้มเงยหน้ามองแม่แล้วรับรู้ถึงความเศร้าได้ เด็กชายขยับเข้าใกล้แม่มากขึ้นและกอดคอมารดาเอาไว้

            “รักแม่ใช่มั้ยเนี่ย” มุลิลายิ้มทั้งน้ำตา

            “ไม่อยากให้แม่ร้องไห้” เด็กน้อยพูดเหมือนห้วนๆ แต่กลับเต็มไปด้วยความรู้สึกห่วงใย

            “แม่ไม่ได้ร้อง แม่หาว” เธอว่า

            “ปลื้มรู้ แม่ร้องเพราะป๊าไม่อยู่”

มุลิลานิ่งไป “แล้วปลื้มจะเป็นอะไรหรือเปล่าลูก ถ้านานๆ ทีป๊าจะมาหาเรา”

น้องปลื้มส่ายหน้าตอบ “ปลื้มชอบอยู่กับแม่มากกว่า ป๊าชอบหงุดหงิด แม่สนุกสนาน”

มุลิลาลูบหัวลูกชายอย่างรักใคร่ สอนลูก “ปลื้มอย่าว่าป๊านะลูก มันบาป...ป๊าเค้าทำงานเยอะ เค้าเหนื่อย หงุดหงิดบ้างก็เป็นของธรรมดา”

            “แม่ก็ทำงานเยอะ แม่ไม่เห็นเหนื่อย” ลูกชายย้อนกลับตาใส

มุลิลาอึ้งไปนิดก่อนที่จะพูดติดตลก “แม่เป็นคนประหลาดไง”

หญิงสาวทำหน้าตาตลกๆ หลอกลูกชาย น้องปลื้มหัวเราะ แต่ยิ่งลูกชายมีความสุขมากเท่าไหร่ ในใจของมุลิลาก็คิดเศร้าเพราะสงสารลูกมากขึ้นเท่านั้น

            “แม่...เมื่อไหร่เราจะกลับบ้าน” น้องปลื้มถาม

มุลิลาไม่รู้จะตอบลูกอย่างไร เธอจึงเลือกโกหกออกไป “พอดีบ้านต้องซ่อมน่ะลูก ปลื้มเป็นภูมิแพ้ แม่กลัวปลื้มแพ้ฝุ่น”

            “งั้นแล้วป๊าจะมาหาเราเมื่อไหร่ครับ”

คราวนี้คนเป็นแม่ไม่กล้าสบตาลูกชาย เธอรู้สึกผิดกับการโกหก แต่ก็เป็นห่วงความรู้สึกลูกชายมาก “อืม ก็...ก็คงเร็วๆ นี้แหละ แต่ปลื้มครับ สัญญากับแม่ก่อนว่าจะไม่ว่าป๊าอีก และต้องเข้าใจป๊านะ ที่ป๊าไม่มาอยู่กับเราเพราะป๊าต้องออกกองถ่ายไปต่างจังหวัดบ่อย โอเคนะครับ”

            “ครับ” น้องปลื้มรับคำ

            “มา แม่อ่านนิทานให้ฟังต่อ” ปลื้มขยับซบแนบอกมุลิลา มุลิลากลั้นใจอ่านนิทานด้วยน้ำเสียงเป็นปกติที่สุด ทั้งที่หัวใจเจ็บมาก “วันที่หนูหัวเราะครั้งแรก ดอกไม้ต่างผลิบาน ราวกับอยากจะหัวเราะไปพร้อมกับหนู...”

            เมื่อนิทานจบลง น้องปลื้มก็หลับไปแล้ว มุลิลาห่มผ้าให้ลูกชายอย่างเบามือ เธอมองลูกด้วยความรัก สิ่งเดียวที่จะเป็นกำลังใจของเธอในการก้าวเดินต่อไปคือน้องปลื้ม หญิงสาวหวังว่าความกล้าของเธอจะทำให้เธอเอาชนะความกลัวและอุปสรรคต่างๆ ในวันข้างหน้าได้ แต่เหนือสิ่งใดนั้น เธอก็ปรารถนาให้ลูกชายเติบโตอย่างมีความสุข...มุลิลาได้แต่ขอพรเบื้องบนทุกวันว่าขอให้สิ่งที่เธอปรารถนาเหล่านั้นกลายเป็นจริง

หญิงสาวลุกขึ้นแล้วปิดไฟ ก่อนที่จะออกจากห้อง เธอแง้มประตูค้างไว้มองดูลูกนอนหลับในความมืด น้ำตาไหลออกมาอย่างสุดกลั้น ก่อนจะปิดประตูอย่างเบามือ

            มุลิลาเดินเข้าห้องน้ำตั้งใจว่าจะล้างหน้าล้างคราบน้ำตาเสียหน่อย ทว่ายิ่งล้างหน้าน้ำตาเธอกลับยิ่งไหล ความเจ็บใจในครั้งนี้เป็นเหมือนพายุที่ทำลายกำแพงที่เก็บกักความขมขื่นซึ่งสะสมมานานแรมปี มันเหมือนน้ำท่วมใจ ครั้งแล้วครั้งเล่าที่เธอบอกกับตัวเองว่าไม่เป็นไร ยามนี้มุลิลาทั้งเจ็บปวด ทั้งโกรธ

            ไม่เป็นไรงั้นเหรอ...

            ไม่จริงหรอก ที่ว่าไม่เป็นไร

            มุลิลากัดริมฝีปากพยายามกลั้นเสียงสะอื้น แต่ยามนี้เธอไม่ไหวแล้ว ความอ่อนแออยู่เต็มหัวใจ หญิงสาวกลัวว่าลูกชายจะได้ยิน เธอเดินไปเปิดฝักบัวให้น้ำไหลเสียงดังก่อนที่จะปลดปล่อยความรู้สึกออกมาทั้งหมด มุลิลาทรุดตัวลงนั่งชันเข่าพิงผนังด้านหนึ่ง ร้องไห้ตัวโยน...โดยไม่รู้สักนิดว่าด้านนอกประตูนั้นน้องปลื้มยืนอยู่ และรับรู้ว่าแม่กำลังเสียใจ เด็กน้อยยืนซึมอยู่พักใหญ่ก่อนจะค่อยๆ เดินกลับไปยังเตียงนอน

            วันรุ่งขึ้นตอนเที่ยง มุลิลามาพบกับต้องตาที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ต้องตามองหน้าเพื่อนอย่างหนักใจ เธอกับมุลิลาสนิทกันมานานจนรู้สึกว่าความเดือดร้อน ทุกข์ใจของเพื่อนก็ไม่ต่างกับของตนเอง ต้องตารู้ว่าไม่ควรจะก้าวก่ายเรื่องครอบครัวของเพื่อนนัก แต่หลายครั้งแล้วที่มุลิลามาร้องไห้กับเธอ...ลึกๆ แล้วต้องตาอยากจะให้เพื่อนมีความสุขเสียที

            “คราวนี้เลิกแน่นะ” ต้องตาถาม มุลิลาพยักหน้าหนักแน่น

“ฉันขอโนคอมเมนต์นะ ไม่อยากพูดอะไร กลัวจะบาปกรรม เอาเป็นว่า...ฉันเคารพการตัดสินใจของแก”

            “ขอบใจนะ”

            “แต่แกเข้มแข็งดีนะ ไม่มีน้ำตาสักหยด” ต้องตาเลื่อนจานขนมให้เพื่อน

            “น้ำตามันหมดตัวไปแล้ว”

            “แล้วจะเอายังไงต่อ”

            “รีบหางานให้เร็วที่สุด ก่อนที่เงินชดเชยหกเดือนจะหมดน่ะสิ...เนี่ย ฉันต้องจ่ายค่าเช่าคอนโด เงินค่าเทอมลูกเทอมหน้า ค่าซ่อมไอ้บุญช่วยที่ยังผ่อนค่างวดไม่หมดอีก” มุลิลานับนิ้วไปตามความรับผิดชอบของตัวเอง

            “อย่าหาว่าอย่างโน้นอย่างนี้เลยนะ สิ่งที่ฉันกังวลมากกว่ารายจ่ายพวกนั้นน่ะก็คือเรื่องงานของแก อายุขนาดแกไปเริ่มทำงานที่ใหม่มันยากนะ”

            “มันต้องมีสักที่แหละแก” ถึงจะตอบแบบนั้น แต่สีหน้าคนพูดดูไม่ดีเลยสักนิด

            “เอางี้ แกมาช่วยฉันทำบัญชีมั้ย” ต้องตาชวน

มุลิลาส่ายหน้าพรืด “ฉันทำงานเอเจนซี่ วางแผนกลยุทธ์การตลาดมาทั้งชีวิต...ให้ไปทำบัญชี? ไม่ไหวหรอก”

            “ไปเรียนก่อนสิ”

ต้องตาพูดง่ายๆ แต่มุลิลาไม่ขำ ถลึงตาใส่เพื่อน

            “ใจเย็นๆ อย่าเพิ่งขึ้น แกต้องมีสติให้มากๆ นะ จะได้เกิดปัญญาหาทางแก้ปัญหา”

มุลิลามองมือของเพื่อนที่ยกขึ้นมาทำท่าประกอบคำว่าใจเย็น แล้วนับหนึ่งถึงสามในใจ สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเอ่ยว่า “โอเค ฉันจะใจเย็น” พร้อมสายตามุ่งมั่น

            “แล้วเค้าติดต่อมาบ้างมั้ย” ต้องตาหมายถึงพงศ์พิศุทธิ์

            “กริบ คงกำลังดีใจอยู่ละมั้ง คนไม่รู้จักพอ คิดถึงแต่ตัวเอง อีโก้จัด สลัดเอ๊ย!” พอนึกถึงสามี อารมณ์คนพูดก็ขึ้นอีก

            “ไหนบอกจะใจเย็นไง” ต้องตาขัด

            “ก็พูดแล้วขึ้น!” มุลิลาตบโต๊ะเบาๆ

สองสาวถอนหายใจพร้อมกัน ดื่มกาแฟไปเงียบๆ เวลาผ่านไปชั่วครู่ จู่ๆ มุลิลาก็พูดขึ้นมา

            “ตอนนั้นฉันคิดสั้นไปหน่อย คิดว่าคงไม่ท้องแล้วก็รักมันมาก ก็เลยยอม...ฉันคิดผิดไปจริงๆ”

            “ทั้งรักทั้งหลง สมองเสมิงหายหมด”

ต้องตาฟังแล้วก็นึกถึงเพื่อนในวันนั้น มุลิลาเถียงไม่ออก ได้แต่พยักหน้ายอมรับนิ่งๆ

“พวกแกมันประมาท สุดท้ายเป็นไง ท้องแล้วก็ต้องแต่ง สันดานเป็นไงยังไม่รู้จักกันดีพอเลย แล้วก็อยู่กันไม่ได้ กรรมก็ตกที่ลูก โอ๊ย...ว่าจะไม่คอมเมนต์แล้วเชียว”

            “ตอนนั้นคิดแค่ว่าความรักอย่างเดียวจะเอาชนะทุกอย่างได้ โคตรอุดมคติเลย แต่ความเป็นจริงแค่รักมันไม่พอ ถ้ามองข้ามข้อเสียเค้าไม่ได้ก็คือจบ” มุลิลายิ้มขื่นเมื่อนึกถึงความผิดพลาดที่เปลี่ยนชีวิตของเธอไปทั้งชีวิต

            “แต่น้อยคนนะที่จะมองข้ามข้อเสียของผัวแกได้ ทำตัวเป็นเด็กไม่รู้จักโต ไม่รับผิดชอบลูกเมีย หน้าที่หัวหน้าครอบครัวเป็นไงมันจะรู้มั้ย โอ๊ย...คอมเมนต์อีกแล้ว” คราวนี้เป็นต้องตาที่เริ่มจะของขึ้นบ้าง

            “ฉันพยายามแล้วนะตา พยายามทำหน้าที่เป็นเมีย เป็นแม่ ขับเคลื่อนครอบครัว แต่ให้ฉันพยายามคนเดียว...คงไม่ได้”

ต้องตาพยักหน้าอย่างเข้าใจ ยื่นมือไปบีบมือเพื่อนเบาๆ

            “แกทำดีที่สุดแล้วละ ใครๆ ก็คาดหวังว่าแต่งงานแล้วมันต้องดีทั้งนั้นแหละ ถ้าไม่อยากผิดหวังก็แค่ไม่ต้องแต่ง ก็แค่นั้น” ต้องตาพูดถึงเรื่องเพื่อน แต่สิ่งที่เอ่ยออกไปนั้นก็สะท้อนใจตัวเองเหมือนกัน เพราะนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอไม่ยอมตกลงแต่งงานกับยักษ์เสียที

            “ต่อไปนี้ฉันจะใช้สมองให้มากกว่าหัวใจ ฉันไม่อยากผิดหวังอีกแล้ว”

ต้องตาพยักหน้าเข้าใจเพื่อนและเห็นใจ ก่อนจะหยิบกระดาษจดเบอร์โทร.ของดนัยเทพ เพื่อนสมัยเรียนให้มุลิลา

            “จำดนัยเทพได้มั้ยแก นั่นแหละ ฉันเพิ่งเจอมันในเฟซบุ๊ก ตอนนี้มันเป็นผู้บริหารที่ชอปปิงทีวี แกลองโทร.หามันนะ มันบอกว่าไม่เคยลืมเพื่อนหรอก รีบโทร.เลยนะ เผื่อมันจะช่วยได้”

มุลิลารับกระดาษจดเบอร์โทร.มาถือไว้ ขอบใจต้องตา แล้วบอกลาเบาๆ เพราะต้องรีบไปรับลูกชาย

            มุลิลารับน้องปลื้มกลับมาถึงคอนโด ก็นั่งสะสางทำบัญชีค่าใช้จ่ายมากมาย เธอทำเพื่อจะวางระบบเอาไว้ให้รู้ว่าจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน ต้องรีบหางานทำให้ได้เมื่อไร โดยไม่ทันเห็นว่าน้องปลื้มกำลังนั่งซึมเพราะคิดถึงพงศ์พิศุทธิ์ เมื่อวางแผนเสร็จแล้วมุลิลาก็ไม่รอช้า ต่อสายถึงดนัยเทพทันที สัญญาณดังอยู่ครู่ใหญ่ก่อนที่จะได้ยินเสียงดัดแหลมเล็กใส่จริตมาเต็มน้ำเสียง

            “ฮัลหลูว...”

มุลิลาอึ้ง ไม่แน่ใจว่าตนเองโทร.มาถูกเบอร์หรือเปล่า

            แล้วมุลิลาก็พบว่าดนัยเทพตอนนี้เปลี่ยนไปมาก เขาไม่ใช่ดนัยเทพคนเดิมอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นดอลลี่หรือแสงดาวผู้บริหารสาวข้ามเพศช่อง ว้าว ชอปปิงทีวี...WOW TV มีชื่อเสียงด้านความทันสมัย แซ่บ และแพรวพราว...แต่คุยกันแค่พักเดียวเท่านั้น พราวฟ้า เลขาฯ สาวมั่นเปรี้ยวเข็ดฟันของแสงดาวก็เดินเข้ามาในห้อง แจ้งข่าวว่าเจ้านายคนใหม่กำลังจะมาภายในสิบนาที ดอลลี่ทำท่าขัดใจ ไล่เลขาฯ ออกไป

            “มู่ลี่ ทีหลังเรียกฉันว่าดอลลี่นะ หรือแสงดาวก็ได้ ดนัยเทพคืออดีต พลีส...โอเค ฉันก็อยากจะคุยกับเธอนานๆ เหมือนกันนะ แต่ได้เวลาประชุมกับเจ้านายใหม่แล้ว เค้าเพิ่งมาเทกโอเวอร์ช่องฉันอะ งั้นเอางี้ เรานัดกันหลังจากนี้ดีกว่านะ” ดอลลี่จัดแจงนัดแนะเวลา “เธอว่างใช่ไหม”

            “ว่างสิ โอเค แล้วเจอกัน” มุลิลาวางสาย รู้สึกมีความหวัง

            ด้านดอลลี่วางสายแล้วก็ยิ้มให้โทรศัพท์ แต่พอหันมาเห็นงานที่กองบนโต๊ะ เขาก็ทำท่าจะเป็นลมก่อนจะเชิดใส่ หันไปหยิบตลับแป้งในลิ้นชักมาตบๆ ใบหน้า เติมลิปสติกอีกนิด แล้วยิ้มสวยใส่กระจก คว้าเอาแฟ้มเอกสารเดินออกจากห้องไป

พราวฟ้ายืนรออยู่หน้าห้องอย่างเตรียมพร้อม ดอลลี่หยุดแล้วปรายตามองกระโปรงสั้นจู๋ของอีกฝ่าย พราวฟ้ารู้ความหมายเลยค่อยๆ ปลดขอบกระโปรงที่พับขึ้นลง ทำให้กระโปรงยาวเพิ่มอีกเกือบสองนิ้ว ดอลลี่ทำท่าพอใจก่อนที่จะเชิดหน้าเดินตรงไปยังห้องประชุม

ทั้งสองเดินมาหยุดที่หน้าประตูบานหนึ่ง พราวฟ้าเคาะเบาๆ เอ่ยขออนุญาตแล้วเปิดประตูเข้าไป ที่นั่นสุจินต์ มือขวาคนสำคัญของชิษณุนั่งตัวตรงอยู่ที่เก้าอี้ตัวหนึ่ง ส่วนเจ้านายกำลังยืนหันหลัง มองออกไปนอกกระจกบานใหญ่ และเมื่อชิษณุหันกลับมา ดอลลี่ถึงกับชะงักที่ได้เห็นภาพนั้น ทั้งรูปร่างสูงโปร่ง สูทเนี้ยบตัดพอดีตัว และเหนืออื่นใด บุคลิกภาพอันสง่างาม เสริมใบหน้าอันหล่อเหลาราวเทพบุตร ทำให้ดอลลี่และพราวฟ้าแทบลืมหายใจ 

            “อะ เอ่อ...ท่านประธาน สวัสดีค่ะ” ดอลลี่ได้สติก็รีบยกมือไหว้ แล้วย่อเข่าด้วยท่าที่นางงามยังอาย พราวฟ้าทำตามแล้วส่งยิ้มทอดสะพาน ปูพรม พร้อมโรยดอกไม้อย่างดีให้ชิษณุ

            “โอ So Young and so handsome” ดอลลี่คิด เผลอพูดออกมาด้วย

            “อะแฮ่ม!” สุจินต์ส่งเสียงเตือน

ดอลลี่หันไปกระซิบกระซาบกับพราวฟ้า “สงสัยฉันจะคิดดังไปหน่อย”

ถึงกระนั้นก็ยังดังพอที่สุจินต์ได้ยิน “ครับ ดังมากด้วยครับ”

ดอลลี่หันไปยิ้มแหยก่อนจะหันไปมองชิษณุ หนุ่มใหญ่ผู้บริหารสูงสุดของ M-One ธุรกิจอุปโภคบริโภคครบวงจรยักษ์ใหญ่ของประเทศ

            “ผมเห็นศักยภาพของว้าว ชอปปิงทีวี ที่น่าจะทำตลาดให้สินค้าของ M-One ได้เข้าถึงทุกบ้านทุกครัวเรือนมากขึ้น” ชิษณุเอ่ยเข้าเรื่องทันทีตั้งแต่เริ่มประชุม

            “ขอบพระคุณค่ะ และถูกต้องที่สุดค่ะ”

ดอลลี่ยิ้มรับหน้าบาน แต่ก็หุบยิ้มแทบไม่ทันเมื่อเจ้านายใหม่พูดต่อ

            “แต่ดูจากผลประกอบการที่ผ่านมาของว้าว จัดได้ว่าแย่มาก”

ดอลลี่หน้าเจื่อน หันไปทางพราวฟ้าซึ่งนั่งก้มหน้านิ่ง ไม่ขอรับรู้อะไร

สุจินต์ส่งไอแพดให้กับชิษณุ

            “จากการวิเคราะห์ของผม การที่ผลประกอบการของว้าวแย่ขนาดนี้ เพราะคุณไม่สามารถทำให้กลุ่มเป้าหมายหลักสนใจตัวสินค้าได้ เน้นแต่ตลาดบน ทั้งๆ ที่เคเบิลทีวีเข้าถึงคนทุกระดับ”

ดอลลี่ได้ฟังก็ทำตัวลีบลง พยายามขยับหาพราวฟ้าหาเพื่อน แต่เลขาฯ สาวขยับหนี

            “ผมต้องการการเปลี่ยนแปลง” ชิษณุสรุปเสียงเข้ม

            “เอ่อ...ยังไงคะ” ดอลลี่ถามกล้าๆ เกรงๆ

            “เพิ่มยอดขายให้ได้สามสิบเปอร์เซ็นต์ภายในสามเดือน คุณต้องทำให้ร้านสะดวกซื้อ M-One ของเราเข้าถึงได้ทุกบ้าน ตั้งแต่บ้านชาวนา คนเก็บของเก่า พนักงานบริษัท จนถึงเศรษฐี”

ได้ยินเป้าหมายแล้วดอลลี่ก็ตบอกอุทาน “โอว...So hard ทำได้ยากมากค่ะ”

ชิษณุได้ฟังก็ยิ้มอ่อน พูดเสียงนุ่ม “ถ้าทำไม่ได้ผมจะปลดคุณออก”

เป็นผลให้ดอลลี่สวนกลับทันทีว่า “โอว So easy ทำได้ง่ายมากค่ะ”

คราวนี้ชิษณุฉีกยิ้มกว้าง ทั้งดูดีและร้ายกาจในสายตาของลูกน้องคนใหม่ในเวลาเดียวกัน “คุณต้องขายแต่สินค้าของ M-One แต่ถ้าใครอยากจะมาวางขายสินค้าในช่องของเรา ก็ต้องยอมรับได้ว่าจะต้องส่งสินค้าให้เราในราคาถูก”

พราวฟ้าที่นั่งจดอยู่เงยหน้ามองชิษณุ “นี่มันไม่เท่ากับกีดกันซัปพลายเออร์รายอื่นทางอ้อม ขายแต่ของของเราเหรอคะ”

ชิษณุหันมายิ้มอ่อนให้พราวฟ้าเช่นกัน “ช่วยไม่ได้ นี่คือระบบทุนนิยม ใครอ่อนแอก็ต้องหายไป”

ท่าทางนิ่มๆ ยิ้มๆ ของชิษณุกลับทำให้ดอลลี่และพราวฟ้าคาดไม่ถึง พอจบการประชุมดอลลี่กับพราวฟ้าก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ไม่คิดว่านายใหม่จะเขี้ยวลากดินขนาดนี้

หลังออกจากห้องประชุมชิษณุก็สั่งให้สุจินต์จับตาดูความเคลื่อนไหวในบริษัท

“โอ๊ย อยากตาย...”

ดอลลี่แผ่ไปกับพนักเก้าอี้ ด้านพราวฟ้าก็สภาพไม่แพ้กัน จังหวะนั้นเสียงเคาะประตูดังขึ้น พนักงานในบริษัทคนหนึ่งนำมุลิลาเข้ามา พราวฟ้าเงยหน้าขึ้นเห็นก่อนก็ร้องบอกดอลลี่

            “เพื่อนมาหาค่ะ”

ดอลลี่มองตามมือของเลขาฯ พอเห็นมุลิลาก็เบิกตาโพลงราวกับว่ามีพลังวิเศษกระตุ้นให้กระเด้งลุกขึ้นแล้วถลาไปกอดเพื่อน จูบแก้มทั้งสองข้าง มุลิลาอึ้งๆ แต่ก็ยิ้มรับจูบแก้มตอบแบบเดียวกันด้วย

            “พอกันมะ” มุลิลาถามเมื่อดอลลี่ไม่มีท่าทีที่จะหยุดสักนิด

            “โอเค...” ดอลลี่ลากเสียงยาวอย่างขำขัน ดึงเพื่อนไปนั่งที่เก้าอี้ข้างพราวฟ้าซึ่งมองมุลิลาแล้วยิ้มอย่างสนใจ

            “มา มีอะไรว่ามา” ดอลลี่ถาม

            “คือว่า...” มุลิลาเล่าปัญหาตัวเองให้เพื่อนฟัง แล้วกลั้นใจว่าเพื่อนจะว่าอย่างไร...ดอลลี่หรือแสงดาวได้ฟังก็นั่งนิ่งไป มองเพื่อนอย่างใช้ความคิดก่อนจะเอ่ยต่อ

            “ฉันเสียใจกับเรื่องของเธอจริงๆ นะมู่ลี่...ฉันอยากจะช่วยมากเลย ช่วยได้ทุกเรื่องนะ ยกเว้นเรื่องยืมเงิน”

            “เข้าใจ ฉันไม่ได้มาเพื่อจะยืมเงินเธอ แต่อยากทำงานแลกเงิน ถ้าเธอพอมีตำแหน่งการตลาดว่างๆ ดูแลลูกค้า...”

มุลิลายังพูดไม่ทันจบ ดอลลี่ก็ตาวาว คว้ามือมุลิลาหมับแล้วรีบถาม

            “ติดโพรไฟล์งานตัวเองมามั้ย”

มุลิลาควักออกจากกระเป๋ายื่นให้ทันที “เป็นอวัยวะชิ้นที่สามสิบสามในตอนนี้เลยละ”

ดอลลี่เห็นแล้วก็รับมา ท่าทางถูกใจมาก

            “So good พร้อมเสมอแบบนี้สิ กดไลก์” ดอลลี่พลิกๆ ดูอย่างรวดเร็ว มุลิลาลุ้น

            “ฉันได้ยินเรื่องของเธอมาจากเพื่อนๆ คนอื่นๆ อยู่บ้าง เค้าบอกว่าเธอเก่ง เอาลูกค้าอยู่ เป็นการตลาดที่มีความคิดสร้างสรรค์ สู้งาน...ถึงจะมีลูก มีภาระ ก็ไม่เคยทำให้งานเสีย ตกลงรับ”

            “หา!” ดอลลี่พูดง่ายดายจนมุลิลาตกใจ

            “โน...โน อย่าคิดว่าฉันง่าย มันไม่ so easy ขนาดนั้น เธอต้องรับเงื่อนไขฉันได้ด้วยนะจ๊ะ” คนพูดยกมือขึ้นทำนิ้วปัดไปมา

            “โอเค ว่ามา” มุลิลาทำท่าพร้อมรับฟัง

            “หนึ่ง ตำแหน่ง MM การตลาดและเลือกสินค้ามาขาย เงินเดือนสองหมื่น”

            “ฮ้า!” มุลิลาร้องเสียงหลงพร้อมทำหน้าว่าไม่นะ

            “ฟังก่อน ทดลองงานสามเดือนตามกฎ ถ้าผ่านขึ้นให้อีกสองพัน”

            “!?” มุลิลาตะลึงพูดไม่ออก

            “สอง วางแผนกลยุทธ์ หรือเรียกง่ายๆ ว่าต้องทำทุกอย่างเพื่อกระตุ้นยอดขายให้เพิ่มขึ้นสามสิบเปอร์เซ็นต์ให้ได้ภายในสามเดือน ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตาม”

            “หา!?”

มุลิลาลุกพรวดขึ้นมา ทำหน้าเหมือนโดนผีหลอก แต่ดอลลี่ก็หนักแน่นมาก มองเพื่อนตรงๆ

            “ได้หรือไม่ได้”

            “ไม่ได้!” มุลิลาตอบ

คนถามมองเธอครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจพยักหน้ายอมรับและเห็นด้วย “ฉันก็ว่างั้น ใครจะมาทำ แต่ไม่ได้จริงๆ เหรอ ฉันอยากได้คนเก่งและถูก”

            “เก่งและถูกมันไม่มีในโลก!”

มุลิลาโพล่งขึ้นมา ดอลลี่เงยหน้าสบตาเธอ ทำตาปริบๆ แล้วคว้าหมับบีบมือเธอเอาไว้ จากท่าทางเหล่านั้นทำให้มุลิลารู้ว่าถึงเวลาอีกครั้งที่ตัวเองต้องตัดสินใจ

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น