4

ตอนที่ 4


 

ตอนที่ ๔

อัศวินเดินเข้าบริษัทอย่างอารมณ์เสียสุดๆ วันนี้เขาต้องพาอาม่าไปหาหมอแต่เช้าก็เลยไม่รู้เรื่องประชุมสำคัญ แถมพอขี่จักรยานมาถึงหน้าบริษัทก็ดันเกิดเรื่องอีก ชายหนุ่มเงยหน้ามองป้ายห้องโพรดักชันของว้าวทีวี พยายามทำหน้าทำตาให้มันดีขึ้นก่อนที่จะเดินเข้าไป

            “ว้าย!” ลูกพีชฝ่ายประสานงานร้องลั่น ตกใจแทบจะตะครุบโทรศัพท์ที่หลุดมือไม่ทัน

            “เฮ้ย!” อัศวินหันมาตกใจเสียงลูกพีช แต่กลายเป็นว่าทำให้ลูกพีชตกใจอีก

            “ว้าย!” แล้วทั้งคู่ก็พากันบ้าจี้ตกใจพร้อมกัน

            “ว้าย! เฮ้ย! เฮ้ย!” ลูกพีชตบปากตัวเอง แล้วสะบัดหน้าก่อนหันตาเขียวใส่อัศวิน

            “มายืนอะไรตรงนี้ แล้วดูสภาพซิ ไปโดนหมาที่ไหนฟัดมา” คนพูดเป่าปาก เมื่อกี้เธอกำลังเดินคุยโทรศัพท์กับดอลลี่เรื่องการประชุมอยู่ดีๆ เงยหน้าอีกทีก็เห็นอัศวินในสภาพน่าตกใจ

            “ไม่ได้ฟัดกับหมา แต่เป็นมนุษย์ป้าถูกผัวทิ้ง”

คำตอบอันแสนหงุดหงิดของอัศวินทำให้ลูกพีชขมวดคิ้วแน่น

            ด้านอัศวินถอนใจหนัก เพราะพอพูดถึงก็ทำให้เขารู้สึกเจ็บที่หัว เจ็บที่ตัวขึ้นมาอีกแล้ว ก่อนหน้านี้เขาขี่จักรยานมาหยุดรับโทรศัพท์หน้าตึกอยู่ดีๆ ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาชน ทำให้ทั้งเขาทั้งเธอล้มกองกับพื้นโดยมีล้อจักรยานคั่นกลาง พอได้สติอัศวินที่กำลังอ้าปากจะโวยก็ช้าไปเสียแล้ว เพราะอีกฝ่ายโวยขึ้นมาก่อน เธอผลักเขาแล้วดันตัวขึ้นไปในขณะที่พูดด้วยน้ำเสียงใกล้จะอาละวาด

            ‘ทำไมต้องเป็นฉันที่โดน หา!’ พูดจบเธอหันมาถลึงตาใส่เขาก่อนจะใส่เป็นชุดรัวๆ

            ‘ฉันอยู่ของฉันดีๆ ฉันมั่นใจว่าเป็นคนดี ไม่เคยทำตัวเหลวไหล ตั้งใจทำงาน เลี้ยงลูก ดูแลบ้าน ว่างๆ ก็ไปทำบุญสังฆทาน สร้างพระประธาน ผ้าป่า ยังไม่พอเหรอ เจ็บใจไม่พอ ต้องต่อด้วยเจ็บตัวอีก ยังจะมีอะไรอีกมั้ย ทำไมต้องเป็นฉัน ทำไมไม่เป็นคนอื่น ทำไม หา!’

อัศวินมองคนที่พูดรวดเดียว เหนื่อยหอบอย่างอึ้งๆ เขาค่อยๆ ลุกขึ้นพร้อมกับลากจักยานมาด้วยท่าทางงุนงง ยังไม่ทันพูดอะไร จู่ๆ อีกฝ่ายก็โพล่งขึ้นมาอีก

            ‘ที่ชีวิตพังอยู่เนี่ย ก็เพราะผู้ชายเฮงซวย เกิดมาทำไม เกิดมามีแต่จะเอา ไม่เคยให้ ดีแต่ทำให้คนอื่นเจ็บ เกิดมาทำไม ทำไมไม่ไปลงนรกซะ’ ความอัดอั้นของมุลิลาระเบิดออกมา

            ‘อ้าว รัวเป็นชุดเลยว้อย นี่วัยทองหรือถูกสามีทิ้งเนี่ยป้า!’

จากนั้นกระเป๋าถือของมุลิลาก็ฟาดโครมลงบนหัวของอัศวินทันที

            ‘โอ๊ย!’ อัศวินร้องลั่น มองหน้ามุลิลาอย่างตกใจ

            ‘ถามใหม่อีกทีซิ’ มุลิลาเอากระเป๋าชี้หน้า

อัศวินเริ่มโมโห ‘แบบนี้ถูกสามีทิ้ง ชัวร์!’

อัศวินชี้หน้ามุลิลา แล้วตกใจเมื่ออีกฝ่ายกรี๊ดเสียงดังตอบกลับ ชายหนุ่มส่ายหัว เข็นจักรยานเดินหนี ขี้เกียจสนใจผู้หญิงบ้า แต่มุลิลาเลือดขึ้นหน้าแล้ว เธอวิ่งเข้าไปเอามือยันแฮนด์จักรยานอัศวิน แล้วเอากระเป๋าตีๆ เอามือจิกๆ ทึ้งๆ จนอัศวินเจ็บไปหมด เขาเองก็ได้แต่ปัดป้องเท่านั้น

            ‘อย่าเดินหนีฉัน ทำอะไรไว้แล้วต้องรับผิดชอบ ฉันยังอยู่ในวัยเจริญพันธุ์ เพราะฉะนั้นฉันยังไม่ใช่วัยทอง!’

            ‘เออ รู้แล้ว พอได้ยัง!’

            ‘ยัง! และฉันก็ไม่ใช่คนที่ถูกทิ้ง ฉันเป็นคนทิ้งมัน ทิ้งไอ้เลวที่ดีแต่สร้างความเจ็บปวดให้คนอื่น แล้วชอบเดินหนีเหมือนกับที่นายทำกับฉัน’

อัศวินอึ้ง มุลิลาเหนื่อยหอบ ทั้งคู่จ้องมองหน้ากัน อัศวินเห็นความปวดร้าวในสายตาของมุลิลา รู้สึกว่าตัวเองคงพูดแรงไป ถึงจะยังเจ็บแต่ก็รู้สึกเสียใจ

            ‘ผมคงพูดจี้ใจดำคุณ’

            ‘ไม่ใช่แค่จี้ แบบนี้เรียกว่ากระทืบ!’ มุลิลาสวนกลับเสียงดัง น้ำตาเริ่มคลอ รู้สึกทั้งโกรธทั้งเจ็บใจ

อัศวินพอเห็นน้ำตาของผู้หญิงก็ทำอะไรไม่ถูก ‘ผมไม่ได้ตั้งใจ ผมขอโทษ’

            ‘ถึงนายจะขอโทษ แต่มันไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นหรอกนะ เพราะนายทำร้ายความรู้สึกฉันไปแล้ว’

            ‘แต่ผม...’

            ‘ไม่ต้องแก้ตัว! นายถูกฉันตัดสินไปแล้ว!’

            ‘ไม่สงสัยเลย ทำไมผัวป้าถึงทำยังงั้นกับป้า ก็เป็นซะยังงี้’

            ‘ไอ้...’ มุลิลาพูดได้เท่านั้นก็เอากระเป๋าฟาดอัศวินอีกครั้ง

            อัศวินนึกแล้วก็ยกขามาลูบพร้อมทำหน้าแหยงอิทธิฤทธิ์ของมุลิลาไปด้วย ทำให้ถึงจะโดนฟาดไปหลายทีแต่เขาก็ยังไม่อยากรู้ว่าเธอเป็นใคร ที่คิดอย่างเดียวก็คือขออย่าให้ได้เจอกันอีกเลย

ลูกพีชฟังอัศวินเล่าแล้วทำหน้าเหลอตกใจ “อะไรมันจะซวยปานนั้น”

อัศวินพยักหน้ายอมรับในความซวยของตัวเอง

            “แนะนำให้ไปทำบุญโลงศพ ปล่อยปลาไหล หอยขม อะไรก็ได้เลือกเอา” ลูกพีชแนะนำ พออัศวินพยักหน้าหงึกๆ ก็รีบบอกเรื่องสำคัญ

            “อีกสิบนาทีถึงเวลาประชุมรับมอบนโยบายใหม่จากผู้บริหารนะจ๊ะ เข้าเฉพาะหัวหน้าฝ่าย”

            “อืม” ชายหนุ่มรับคำอีก ในหัวเขาพยายามทำความเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่

ลูกพีชที่ทีแรกจะเดินเลยไปหันกลับมาเห็นอัศวินที่ยืนนิ่งงันอยู่กับที่ก็ถอยกลับมาใหม่ เธอมองหนุ่มรุ่นน้องเล็กน้อย

            “ต้องการกอดปลอบใจมั้ย”

ลูกพีชทำท่าเจ๊ แต่อัศวินก็ยังไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ เขาส่ายหน้าโดยไม่หันมามอง

            “เป่ากระหม่อมล่ะ” ลูกพีชกอดอก อีกฝ่ายส่ายหน้าเหมือนเดิม

            “งั้นซบอกไหม” คนพูดทำท่ายืดอก คราวนี้อัศวินคอตกถอนหายใจเฮือกใหญ่

            “เจ๊ ผมรักเจ๊นะ แต่...” อัศวินหันขวับกลับไปทางลูกพีช แกล้งเงื้อหมัด “เดี๋ยวต่อยเลย!”

ลูกพีชตั้งการ์ดตั้งที “สู้นะเว้ย!”

ทั้งคู่มองหน้ากันอย่างจริงจังมากอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนที่อัศวินจะหลุดยิ้มออกมา ลูกพีชพยายามเก๊กหน้าท่าทางว่าโกรธสุดๆ แต่แล้วก็ขำพรืดออกมาเช่นกัน เธอหันไปตบไหล่รุ่นน้องด้วยท่าทางแมนๆ

            “อารมณ์ดีแล้วใช่ปะ”

            “ครับ เดี๋ยวเจอกันที่ห้องประชุมนะเจ๊” ชายหนุ่มรับคำในขณะที่เดินเข้าประตูฝ่ายโพรดักชันพร้อมกัน

อั๋น กะเทยช่างแต่งหน้าและช่างทำผมประจำว้าวทีวีเดินมาทันเห็นเหตุการณ์ระหว่างลูกพีชกับอัศวิน ก็ตามเข้ามาลอยหน้าลอยตากัดลูกพีชให้นุ่นทีมงานผู้หญิงฝ่ายโพรดักชันที่กำลังนั่งทำงานอยู่ที่มุมหนึ่งฟัง

            “นุ่น...” อั๋นลากเสียงยาว เจ้าของชื่อหันกลับมาส่งสายตาเป็นคำถาม “แถวบ้านเจ๊เรียกอีคนที่พยายามแจกอ้อยผู้ชายทั้งๆ ที่รู้ว่าเค้าไม่กินว่าอะไรรู้ปะ”

            ลูกพีชหันมองอั๋นขวับ ตาเขียวปั้ด  อัศวินถอนใจหนัก ศึกกะเทยกับชะนีกำลังจะเริ่มขึ้น เขาหันไปทางลูกพีชที่วางกระเป๋า ทำท่าพร้อมลุยเต็มที่

นุ่นที่ได้ฟังแล้วไม่เข้าใจก็ถามพาซื่อ “เรียกไร เจ๊อั๋น”

            “เรียกว่าควาย! ดูปากเจ๊อีกครั้ง...ควาย!”

นุ่นได้ยินแล้วอึ้ง  

อัศวินขยับเข้าไปใกล้ลูกพีช “เจ๊ใจเย็น”

ลูกพีชพยายามนับหนึ่งถึงสิบสะกดจิตตัวเอง

            “ฉันคือนางฟ้า ไม่มีวันลดตัวลงไปเกลือกกลั้วกับอี...” ลูกพีชสูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามทำตามที่อัศวินบอก พอจะใจเย็นเข้าหน่อยแต่หันไปเห็นอั๋นก็ตบะแตกอีกครั้ง “อีกะเทยนรก!”

อัศวินกุมขมับ รู้สึกอยากจะบ้า ในที่สุดเขาก็ห้ามไม่ได้

            “ว่าใคร อีชะนีควาย!” อั๋นเถียงกลับทันควัน จ้องหน้าลูกพีชอย่างหาเรื่อง

            “กูไม่ตอบ กูตบเลย! อีตุ๊ดนรก!” ลูกพีชปราดเข้าไปตบอั๋นทันที อั๋นปัดป้อง ฟัดกันพัลวันร้องกรี๊ดๆ อัศวินถลาเข้าไปแยกทั้งสองออกแต่ไม่สำเร็จ โดนลูกพีชกับอั๋นผลักเซไปอีกทาง

            “พอๆ เจ๊พีซ เจ๊อั๋น พอแล้ว” ชายหนุ่มพยายามอีกครั้ง แต่ก็ไม่สำเร็จ

ทีมงานอีกสองสามคนที่อยู่ในห้องตกใจ จะเข้าไปห้ามก็ไม่กล้า รีบวิ่งออกไปตามกำลังเสริมมาช่วย ทิ้งให้อัศวินรับศึกหนักพยายามห้ามทัพต่อไป แต่ในที่สุดห้านาทีผ่านไปทุกคนก็กลับเข้ามาพร้อมด้วยดอลลี่และพราวฟ้าที่เข้ามามองเหตุการณ์อย่างตกใจ

            “พราวฟ้า ไปห้ามให้หยุดตีกันทีซิ!” ดอลลี่สั่ง

            “ใครจะฟังหนู พี่เป็นเจ้านาย พวกเค้าฟังพี่ พี่ก็ห้ามเลย” พราวฟ้าหันมาบอกเจ้านาย

ดอลลี่เท้าสะเอวตอบกลับ “ฉันเป็นนางฟ้า ไม่ใช่นางยักษ์ ตกลงใครเป็นเจ้านาย ใครเป็นเลขาฯ”

            “ก็ได้ค่ะ” พราวฟ้ารับคำอย่างไม่เต็มใจนัก เลขาฯ สาวเดินเข้าไปใกล้ๆ แล้วห้ามเบาๆ “หยุดตีกัน...” เสียงห้ามของพราวฟ้าไม่มีใครสนใจ หญิงสาวจึงกลับมาหาดอลลี่ “ไม่มีใครฟังหนูเลยค่ะพี่”

            “เสียงเบาเป็นเสียงแมว ใครจะไปฟัง! มันต้องดังๆ แรงๆ!” ดอลลี่ทำท่าแบบไม่ได้ดั่งใจ

            “ก็หนูไม่ชอบความรุนแรงอะ”

ดอลลี่กุมขมับ มองไปที่อั๋นกับลูกพีชที่ตีกันนัว แต่คนที่น่วมที่สุดเห็นจะเป็นอัศวิน ดอลลี่ถอนใจหนักก่อนประกาศก้อง “ถ้ายังไม่หยุดตีกัน ฉันจะแช่งให้ไม่มีผู้ชายตกถึงท้องพวกแกไปตลอดชีวิต!”

ปรากฏว่าได้ผลชะงัด ลูกพีชกับอั๋นหยุดตีกันทันที ทุกคนโล่งอก

            “อะ ดีมาก” ดอลลี่ทำท่าพออกพอใจยิ้มหวานใส่ทุกคน โดยไม่รู้สึกว่าที่ทุกคนต่างอึ้งนี่ไม่ใช่เพราะเสียงดังหรือประโยคเด็ดๆ ที่ใช้ร้องห้ามนั่น แต่เป็นเพราะดอลลี่สามารถเปลี่ยนสีหน้ายักษ์เวลาตะโกนให้กลับเป็นใบหน้านางฟ้าได้เพียงแค่พริบตาเดียวนั่นต่างหาก

            “นี่เป็นการเตือนครั้งสุดท้าย คราวหน้าถ้าสะกดจิตตัวเองไม่ได้ ช่วยลากไปตบกันนอกออฟฟิศ ไม่งั้นฉันไล่ออกทั้งคู่ เค้?”

ลูกพีชกับอั๋นมองหน้ากันแล้วก้มหน้าก้มตารับคำ “ค่ะ”

            “โอเค งั้นทุกคนก็นั่งลงได้” ดอลลี่เดินไปนั่งที่หัวโต๊ะยาวอีกด้าน จากนั้นจึงหันไปถามพราวฟ้า “ตกลงมากันครบหรือยังล่ะ”

พราวฟ้าไม่ได้สนใจเจ้านายเลยสักนิด เพราะมัวแต่มองอัศวินแล้วอายม้วนอยู่ ดอลลี่มองท่าทางของเลขาฯ สาวแล้วหมั่นไส้

            “ตกลงฉันมีเลขาฯ หรือเปล่าเนี่ย ตอบ!”

แต่พราวฟ้าก็ยังไม่สนใจ อัศวินต้องสะกิด เลขาฯ สาวสะดุ้งรีบหันกลับมาตอบเจ้านาย

            “ค่ะ พี่ดอลลี่”

            “ถามว่ามาครบหรือยัง”

            “เหลือพี่นกเอ็มเอ็มกับพี่เจมส์ตัดต่อค่ะ” หญิงสาวตอบหลังจากกวาดตามองไปทั่วห้อง และทันทีที่เธอพูดจบ ประตูห้องก็เปิดผลัวะเข้ามา รัชนก ฝ่ายการตลาดพ่วงด้วยจัดซื้อ กับเอ็มเอ็มสาวมั่นเดินเข้าประตูมา       

            “นกมาแล้วค่ะ” รัชนกประกาศในขณะที่เดินเฉิดฉาย คอตั้งตรงเข้ามานั่งประจำที่ใกล้ๆ ดอลลี่

            “งั้นก็เหลือไอ้เจมส์ ช้าตลอด นี่มันเป็นหอยทากหรืออะไรเนี่ย ช่วยไปตามมันหน่อย”

            “ผมไปเองครับ” อัศวินรีบอาสา เพราะอึดอัดสายตาของพราวฟ้า ชายหนุ่มลุกออกไป

ดอลลี่เข้าใจความรู้สึกอัศวินเป็นอย่างดี หันไปส่งสายตาจิกเลขาฯ สาวอีก “พราวฟ้าจ๊ะ ตรงนั้นที่ของไอ้เจมส์ เลขาฯ เอ็มดีอยู่ตรงนี้จ้ะ”

พราวฟ้ารู้สึกตัว หันไปมองดอลลี่แล้วพบว่าทุกคนกำลังมองมาที่เธอ เลขาฯ สาวรู้สึกหน้าม้านไป รีบขยับเข้าไปประจำที่ตัวเองข้างๆ ดอลลี่

            ด้านรัชนกยิ้มแบะปาก นึกเยาะการกระทำของพราวฟ้าอยู่เงียบๆ ออร่านางมารร้ายของรัชนกแรงมากจนพราวฟ้าต้องตวัดตาหันกลับมามองรังสีอำมหิตข้างหลังอย่างงงๆ...พอเหตุการณ์สงบ ทุกคนก็เริ่มนั่งรอประชุมอย่างใจเย็น ในขณะที่ดอลลี่กุมขมับเครียดเพราะคิดถึงเรื่องที่ชิษณุมอบหมายมาอยู่คนเดียว

มุลิลายังคงยืนอยู่หน้าตึก หลังจากปล่อยให้อัศวินรอดชีวิตไปแล้ว ร่างกายของเธอสั่นเทาเต็มไปด้วยความผิดหวัง ความโกรธ และความรู้สึกผิดต่อชายหนุ่มแปลกหน้า เธอไม่น่าจะทำอย่างนั้นกับเขา แต่เรื่องตอนนี้มันแย่เกินกว่าที่เธอจะทนไหว เธอกลับมาสับสนอีกครั้งว่าควรจะรับงานของเพื่อนดีไหม เธอไม่อยากรับเพราะคิดว่าค่าจ้างไม่สมกับความสามารถและหน้าที่รับผิดชอบ แต่ถ้าไม่รับเธอก็กังวลว่าจะไม่มีเงินเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับเดือนต่อๆ ไป

            “เฮ้อ ทำไมมันต้องเป็นแบบนี้ด้วยนะ” หญิงสาวบ่นพึมพำกับตัวเองก่อนที่จะออกเดิน ไม่ได้สนใจรอบตัวเท่าไหร่นัก

            เธอเดินเหม่อๆ มุ่งหน้าตรงจะไปหาบุญช่วย พอจะถึงรถคู่ใจ ในหัวคิดวนเวียนแต่ว่าตัวเองจะทำยังไง ด้วยความเครียดขั้นสุดทำให้รู้สึกอยากจะอาเจียน จู่ๆ หัวก็หมุน เซจะล้มไปชนประตูรถสปอตหรูที่จอดไม่ห่างตัวดังปัง!

ชิษณุที่นั่งด้านในรถตกใจรีบลงมาจากรถกลัวว่ารถจะเสียหาย แต่มุลิลาก็ทรุดลงไปนั่งพิงประตูรถอีกครั้ง ชิษณุรีบบอกหญิงสาว

            “คุณ ถอยไป”

            มุลิลาได้ยินเสียงตกใจก็เงยหน้า ตาปรือมองอีกฝ่าย ก่อนจะค่อยๆ มีสติรู้ว่ากำลังอยู่ในสถานการณ์แบบไหน เมื่อหญิงสาวหันไปเห็นรถราคาแพง ใบหน้าที่ซีดเผือดก็ยิ่งซีดเข้าไปใหญ่ เธอหันไปยกมือเป็นเชิงขอโทษชิษณุแล้วขยับตัวหลบให้พ้นทางมากขึ้น ด้านชิษณุก็ไม่รอช้า กุลีกุจอตรวจดูประตูรถอย่างจริงจัง เมื่อไม่เห็นว่ามีร่องรอยบุบสลายอะไรก็หันมาทางคนก่อเรื่อง แต่ไม่ทันเอ่ยปาก หญิงสาวก็สวนขึ้นมาก่อนแล้ว

            “อะไร คิดว่าฉันทำรถคุณบุบงั้นเหรอ”

ชิษณุอึ้งไป มุลิลาเห็นเขาเงียบก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดขึ้นไปอีก

            “แล้วตกลงมันบุบไหม”

            “คือว่า...”

ชิษณุพยายามใจเย็น ทว่าเขายังไม่ทันตอบ หญิงสาวก็สวนขึ้นมาก่อนอีก

            “ก็ไม่บุบ...ฉันสิบุบ พัง เยิน” มุลิลามองชิษณุตาแดงก่ำ รู้สึกแย่เต็มที ท่าทางของเธอทำให้ชิษณุพูดอะไรไม่ออก

            “คุณ...เป็นอะไรหรือเปล่า” เขาถาม

หญิงสาวกระชากคอเสื้อชิษณุดึงเขาเข้ามา “บอกเลยว่าเป็น! และกำลังจะไม่ไหว ฉันจะ...”

ว่าแล้วมุลิลาก็ร่วง หมดแรงไปอีก ชิษณุตกใจคว้าร่างของเธอเอาไว้ได้ทัน ทั้งคู่ทิ้งตัวลงไปนั่งอยู่อย่างนั้น

            “คุณ! เป็นอะไรไหม”

            “ฉัน...จะเป็น...ลม”

            “อาการนี้เป็นแล้ว ไม่ใช่จะเป็น ไม่ต้องพูดอะไร ไปนั่งที่รถผมก่อน”

            “ไม่ ฉันขออยู่ตรงนี้ อีกแป๊บเดียวก็ดีขึ้น” มุลิลานั่งพัก ซบชิษณุอย่างลืมตัว

            ชิษณุนิ่ง รู้สึกประหลาดใจที่มีผู้หญิงแปลกหน้ามาเป็นลมซบตรงอก ทว่าไม่นานนักความกระอักกระอ่วนตอนแรกได้เปลี่ยนไป เมื่อเขาได้ลองมองหญิงสาวอย่างเต็มตา พอทุกอย่างเงียบลง มีบางอย่างในตัวเธอที่ทำให้เขารู้สึกสงสาร ชิษณุมองแขนของตนเองที่ประคองเธอ ดูเหมือนส่วนลึกในใจของเขาก็เห็นด้วยว่ายามนี้เขาไม่อาจจะปล่อยมือจากหญิงสาวที่หลับตาและพยายามสงบใจคนนี้ได้โดยง่าย ทั้งที่เมื่อครู่นี้เธอยังมีแรงพูดใส่อารมณ์กับเขา แต่ตอนนี้กลับเหมือนเด็กตัวเล็กๆ เปราะบางจนบางทีหากเพียงแค่แตะลงไปเบาๆ อาจจะแหลกสลายก็เป็นได้

            “หือ...” ชิษณุลองเอามือแตะใบหน้าของเธอเบาๆ สัมผัสถึงผิวเนียนนุ่ม แล้วเลื่อนมือไปปัดปอยผมที่ตกมาปรกหน้าของเธออย่างเบามือ ในจังหวะนั้นมุลิลาลืมตาขึ้นมา ทั้งคู่บังเอิญสบตากันแล้วนิ่งงันไปชั่วขณะหนึ่ง พลันมุลิลาที่ได้สติก็เป็นฝ่ายรวบรวมแรงอันน้อยนิดทั้งหมดนั้นดันตัวชิษณุให้ออกห่าง

            “ฉันไม่เป็นอะไรแล้วค่ะ” เธอพยายามจะลุกขึ้น

            “แน่ใจเหรอว่าดีขึ้นแล้ว ไม่เป็นอะไรแล้ว” ชิษณุยืนมือไปทำท่าเหมือนจะประคองช่วย ทว่ามุลิลากลับเบี่ยงหลบเล็กน้อย

            “ฉันไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ ขอโทษ...แล้วก็ขอบคุณมากค่ะ” พูดจบมุลิลาก็ค่อยๆ เดินไปที่รถ แม้ว่าท่าทางของเธอจะไม่สู้ดีนักแต่หญิงสาวก็อดทนไว้

ชิษณุได้แต่มองตามอย่างอึ้งๆ เขารู้สึกเป็นห่วงเธอขึ้นมา แต่ก็ตัดสินใจไม่ถูกว่าควรจะเดินเข้าไปหาหรือไม่ เพราะเขากับเธอก็เพิ่งเจอกัน จนกระทั่งมุลิลาขึ้นรถและสตาร์ตขับออกไปนั่นเองนั่นแหละ ชิษณุถึงรู้สึกได้ว่าที่จริงแล้วเขานึกประทับใจผู้หญิงแปลกหน้าคนนี้เพียงใด

            มุลิลามาเจอต้องตาที่ร้านส้มตำ หน้าตาของเธอยังดูอิดโรยอยู่ แต่ถึงจะหิวและเพลียเพียงใด กระนั้นหญิงสาวก็ยังกินอาหารเต็มโต๊ะไม่ลงอยู่ดี

ต้องตากอดอกมองเพื่อนอย่างหนักใจ เพราะเพิ่งได้รู้เรื่องเงื่อนไขการรับเข้าทำงานของดอลลี่

            “ทำไมมันเขี้ยวงี้ล่ะแก” ต้องตาเริ่มออกปากบ่น

            “แกก็รู้ เคเบิลงบน้อย” มุลิลาออกรับแทนดอลลี่ เพราะเมื่อเธอมาใคร่ครวญแล้ว เพื่อนคงมีเหตุผลที่ตั้งเงื่อนไขแบบนี้

            “สรุปไม่ทำ” ต้องตาถาม

            “ฉันยังมีโอกาสเลือกได้อยู่นะ” มุลิลาพูดคอตก

            “รีบๆ แล้วกันนะแก กินก่อนๆ ช่วงนี้แกซูบลงเยอะเลยอะ กินอะไรบ้างหรือยังเนี่ย”

            “กินไม่ลง”

            “มู่ลี่ แกต้องกิน ถ้าป่วยเป็นอะไรขึ้นมา ลูกแกทั้งคนนะ”

มุลิลาอึ้ง คิดถึงลูกแล้วน้ำตาจะไหลออกมาอีก เหนื่อยก็เหนื่อย เครียดก็เครียด มองอาหารตรงหน้า

            “ของชอบแกทั้งนั้นเลย กินกันๆ เร็วๆ อ้ะช้อน” ต้องตาจับช้อนใส่มือมุลิลา

มุลิลานั่งมองอาหารตรงหน้า กินไม่ลง ถือช้อนคาไว้ ต้องตาต้องคะยั้นคะยออีกครั้ง ในที่สุดเธอก็ตัดใจฝืนกิน

            “ดีมาก ต้องอย่างนี้ จำไว้ แกต้องรอด! สู้ๆ”

มุลิลายิ้มขอบใจเพื่อน พยายามฝืนกินต่อไป ต้องตามองเพื่อนอย่างสงสารจับใจ เธอปล่อยให้เพื่อนจัดการของกินตรงหน้าไปเงียบๆ ก่อนจะเริ่มถามต่อ

            “แม่แกรู้เรื่องหรือยัง”

            “ยังไม่ได้บอก ไว้บอกตอนที่หย่าเสร็จเรียบร้อยก่อน ไม่งั้นฉันไม่ได้หย่าแน่”

            “แล้วจะเรียบร้อยเมื่อไหร่” ต้องตาถาม

            “ว่าจะโทร.ไปถามอยู่เหมือนกัน แต่ให้ตายเหอะ เสียงมันฉันก็แทบไม่อยากจะได้ยิน”

มือถือของมุลิลาดังขึ้น มุลิลาแปลกใจรีบหยิบขึ้นมาดู

            “ตายยากจริงๆ” มุลิลาถอนใจ รวบรวมสติกดรับสาย “ฮัลโหล”

            ออฟฟิศ M-ONE ตั้งอยู่บนตึกสูงใจกลางเมือง ด้านหน้าบริษัทมีคำว่า M-ONE ตัวใหญ่สะดุดตาผู้คน เพียงแค่เห็นก็รู้สึกได้ถึงความใหญ่โตทันสมัยของบริษัทแห่งนี้ ท่ามกลางพนักงานที่กำลังทำงานแข็งขันเพื่อผลประกอบการที่ดีของบริษัท โดยคิดจริงจังว่ารายได้บริษัทก็คือโบนัสของเรา เหนือขึ้นไปยังชั้นบนในส่วนทำงานของผู้บริหาร ตรีดาว ไฮโซสาวหุ้นส่วนคนสำคัญของบริษัท รวมถึงเป็นว่าที่คู่หมั้นของชิษณุกำลังเดินจิกส้นสูง เชิดหน้าใส่ทุกคนที่เดินผ่าน โดยไม่สนใจว่าใครจะคิดว่าตนเองหยิ่งสักนิด

            หญิงสาวกำลังหงุดหงิดขึ้นเรื่อยๆ เมื่อพยายามต่อสายถึงชิษณุแล้วไม่เป็นผล เธอเดินไปที่ห้องทำงานของเขาแล้วสั่งให้แพตตี้ เลขาฯ ชิษณุโทร.ตามชายหนุ่มให้ แล้วไปนั่งรอในห้อง สักพักแพตตี้ที่ติดต่อกับชิษณุได้แล้ว แต่คุยกับเจ้านายแบบรู้งานว่าเธอจะบอกว่าเจ้านายไปประชุมอยู่ สร้างความพอใจให้ชิษณุที่กำลังต้องการเวลาส่วนตัวเป็นอย่างมาก

            “ขอบใจมาก ผมใกล้จะถึงพัทยาแล้วละ ขอไปเทสต์คันใหม่หน่อย” ชิษณุพูดถึงงานอดิเรกสุดโปรดของตน ตอนนี้เขากำลังมุ่งหน้าไปยังสนามแข่งรถ

            “อยากมีโอกาสได้ไปดูบอสที่สนามจังค่ะ”

            “ว่างๆ ก็มาสิ แข่งวันไหนจะบอก” ชิษณุบอกเลขาฯ สาวอย่างใจดี

            “ขอบพระคุณมากค่ะบอส”

            “นัดดินเนอร์กับดาวคืนนี้กี่ทุ่มนะ”

            “สองทุ่มค่ะ”

            “จะพยายามไปให้ทัน เดี๋ยวจะงอนอีก ฝากบอกดาวด้วย” เขาว่า

            “บอสค่อยๆ ขับนะคะ อย่ารีบมาก อันตราย”

            “รู้น่ะ ขอบใจมาก”

            “ค่ะบอส สวัสดีค่ะ” แพตตี้รับคำวางสายไปแล้วยิ้มร้ายมุมปาก ก่อนเดินตรงเข้าไปในห้องทำงานชิษณุที่ตรีดาวรอฟังข่าวอยู่ ทันทีที่แพตตี้เดินเข้าไป คนที่อยู่ในห้องก็กวาดตามองเธอตั้งแต่หัวจดเท้า

            “ติดต่อคุณชิษณุได้หรือยัง” ตรีดาวถามเชิดๆ

            “ติดต่อได้เมื่อกี้เองค่ะ บอสโทร.กลับมา บอกว่ายังประชุมไม่เสร็จ แล้วก็...ไม่แน่ใจว่าจะกลับมาทันดินเนอร์ด้วยไหมค่ะ”

            “งั้นแคนเซิลเลย ฉันมีธุระด่วน ต้องไปรับเพื่อนที่สนามบิน ช่วยบอกคุณชิษณุให้ที อ้อ คอนเฟิร์มเวลาประชุมบอร์ดของวีกนี้ให้ฉันอีกทีนะ อย่าสะเหล่อลืมล่ะ”

            “ค่ะ...”

ตรีดาวไม่รอให้แพตตี้พูดจบ เดินสะบัดบ๊อบออกไปทันที

            “สวัสดีค่ะคุณตรีดาว” แพตตี้พูดไล่หลัง

            ตรีดาวไม่หันมามองและไม่คิดจะรับคำด้วย เลขาฯ สาวยิ้มหวานจนกระทั่งประตูปิดไล่หลังตรีดาวไป ใบหน้าเธอก็เปลี่ยนไป ดวงตาประสงค์ร้าย แท้จริงแล้วหญิงสาวหมั่นไส้ตรีดาวมาก และคิดว่าเป็นตัวขัดขวางสำคัญในการคว้าตัวชิษณุมาไว้ในการครอบครอง ยังไงซะเธอเป็นเลขาฯ เป็นผู้ที่ใกล้ชิดชิษณุที่สุด เขาก็ควรจะเป็นของเธอ

หลังจากวางสายเลขาฯ สาว ชิษณุก็ขับรถต่อ แต่ทันทีที่เหลือบมองกระจกด้านข้างรถ ภาพมุลิลาก็ปรากฏขึ้นมาอีก ชายหนุ่มเลิกคิ้ว ตกใจระคนแปลกใจที่ตนเองคิดถึงผู้หญิงเพิ่งเคยเจอ ก่อนจะยิ้มขันออกมา รู้สึกว่าชักจะไปกันใหญ่แล้วที่จู่ๆ ประทับใจผู้หญิงที่เพิ่งเคยเจอได้ขนาดนี้

ชายหนุ่มตัดความคิดไร้สาระทิ้งอย่างรวดเร็ว ตั้งใจขับรถมุ่งหน้าสู่พัทยา

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น