5

ตอนที่ 5


 

            การประชุมของ WOW TV ยังไม่เสร็จสิ้นดีเพราะไม่อาจจะดำเนินไปได้อย่างราบรื่นนัก เนื่องจากข่าวสำคัญที่ดอลลี่เพิ่งประกาศไปสร้างความช็อกอึ้งกิมกี่ให้ทุกคนโดยพร้อมเพรียงกัน ดอลลี่มองทุกคนที่กำลังอ้าปากค้างด้วยสายตาเข้าอกเข้าใจเป็นอย่างยิ่ง

            “เข้าใจตรงกันนะ สามสิบเปอร์เซ็นต์ภายในสามเดือน” ในที่สุดดอลลี่ก็ทำลายความเงียบ แต่พอพูดจบประโยคก็ได้เสียงถอนหายใจหนักของทุกคนตอบกลับมา

            “ก็ไม่รู้สินะ ยอดขายจะเพิ่มขึ้นได้หรือไม่ได้ ไม่ได้อยู่ที่นก” รัชนกยักไหล่

ดอลลี่หันขวับไปถามทันที “แล้วอยู่ที่ใคร”

            “ถ้ารูปแบบรายการมันจะน่าสนใจมากกว่านี้...” รัชนกพูดแล้วท้ายประโยคก็ละไว้ในฐานที่เข้าใจ

อัศวินสบตากับเจมส์ทันที ทั้งคู่รู้สึกเซ็งรัชนกผู้ที่นอกจากไม่เคยผิดแล้วยังมักคิดผยองว่าตัวเองสำคัญ

            “อ๋อ โบ้ยให้ฝ่ายผลิตรายการ” อัศวินพูดขึ้นมาอย่างเซ็งๆ

            “ไม่ได้โบ้ย!” รัชนกลอยหน้าลอยตาตอบ

            “พอๆ ทำไมคะทำไม ทำไมพนักงานว้าวของดิฉันมันถึงได้ไม่มีความสมัครสมานสามัคคีกันเลย ทะเลาะกันทุกวันแบบนี้ แล้วเรือสำเภาที่เราช่วยโล้ ช่วยกันพาย มันจะไปถึงฝั่งได้ยังไง...ตอบ!” ดอลลี่เข้าห้ามทัพ กวาดตามองทุกคนด้วยสายตาผิดหวัง

ในห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง อัศวินกับรัชนกสบตาอย่างไม่ลงรอยกันกัน เรียกได้ว่าแทบจะเห็นสายฟ้าลั่นเปรี๊ยะตรงกลางระหว่างทั้งสอง ก่อนที่จะเบือนหน้าหันหนีไปคนละทาง

            “ฉันไม่สนใจหรอกว่ายอดขายจะเพิ่มขึ้นได้ต้องอยู่ที่ใคร แต่มันต้องเพิ่มขึ้นนั่นแปลว่าทุกคนต้องช่วยกัน”

            “ทำยังไงล่ะคะ พี่เป็นผู้บริหาร ก็บอกวิธีมาสิคะ” รัชนกถาม

            “ฉันเป็นผู้บริหาร ทำงานระดับนโยบาย ส่วนเรื่องวิธีเป็นหน้าที่ของพวกเธอ ไม่งั้นจะจ้างมาทำไมเงินเดือนตั้งเยอะ”

            “เยอะตรงไหนคะ...”

รัชนกเถียง แต่พอจะพูดต่อ ดอลลี่ก็เบรกด้วยการตัดบท

            “จบการประชุม แยกย้าย!”

รัชนกหงุดหงิดแต่ก็ไม่กล้าเถียงอีก ลุกเดินออกไป

ดอลลี่มองตามอย่างหมั่นไส้แล้วหันมาทางอัศวิน “วิน!”

            “ครับพี่” เจ้าของชื่อตอบรับ

            “ทำได้มั้ย” ดอลลี่ถาม จ้องตาอัศวินเขม็ง

            “ได้ครับ” แม้จะไม่แน่ใจนัก แต่อัศวินก็รับคำแข็งขัน

            “พี่เชื่อมือเรานะ ส่วนไอ้เจมส์...” ดอลลี่หันไปทางคนที่นั่งข้างๆ อัศวิน เจมส์ตอบรับด้วยการนิ่ง ทำให้คนเป็นนายต้องส่ายหน้าเล็กน้อย “ช่วยแสดงความแตกต่างของคำว่าได้และไม่ได้ให้ฉันเห็นหน่อยได้ปะ ขอร้อง”

สิ้นเสียงดอลลี่ เจมส์ก็ยิ้มมุมปากออกมาเล็กน้อย ดอลลี่มองหน้าอัศวินเป็นอันรู้กันว่าต้องการความช่วยเหลือในการแปลรอยยิ้มนั่น

            “แปลว่าได้ครับพี่” อัศวินตอบ

            “ขอบใจ”

ดอลลี่ว่าแล้วก็นั่งเครียดอีก ซึ่งก็ราวกับเป็นโรคติดต่อ เพราะตอนนี้ไม่ใช่มีแต่หัวหน้าเท่านั้นที่เครียดมาก แต่ลูกน้องอย่างอัศวินก็เครียดเช่นกัน ชายหนุ่มนั่งทำหน้าคิดหนัก มีพราวฟ้าแอบมองอยู่ด้วยความห่วงใย ซึ่งเลขาฯ สาวเองก็มีเจมส์มองด้วยสายตาอ่อนโยนต่ออีกทอดหนึ่งด้วย

            “พี่ดอลลี่ยังไม่ถามลูกพีชเลยว่าไหวมั้ย”

ดอลลี่หันไปทางคนถามแล้วมองนิ่ง

            “ดวงตาเป็นหน้าต่างของดวงใจ เคลียร์” ลูกพีชส่งสายตามุ่งมั่นให้หัวหน้า ก่อนที่จะลุกแล้วเดินลิ่วออกไป ดอลลี่ถอนใจแล้วลุกตามออกไปด้วยคน

            อัศวินลุกขึ้นตั้งใจจะไปทำงาน เดินตรงไปที่ประตูห้อง คนอื่นๆ ก็ทยอยกันแยกย้ายไปทำตามหน้าที่ พราวฟ้ารีบเดินตามอัศวินมา

            “พี่วิน...” พราวฟ้าร้องเรียก

            “หือ” อัศวินหันมาเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

            “สู้ๆ นะ ฟ้าเอาใจช่วย พี่วินเป็นครีเอทิฟที่เก่งที่สุดเท่าที่ฟ้าเคยเจอมาเลยนะ” คนพูดทำมือแบบไฟติงส่งให้เขา

            “ฟ้า” อัศวินเรียก เจ้าของชื่อยิ้มกว้าง ทำตาแป๋วให้เขา ก่อนจะหุบยิ้มแทบไม่ทันเมื่ออัศวินพูดต่อ “เยอะไป”

อัศวินพูดจบก็เดินจากไป ทิ้งให้พราวฟ้าหน้าเสีย มีเจมส์ที่เดินตามมาติดๆ มองตามหลังอัศวินไปด้วยความไม่พอใจ เพราะเขาไม่ชอบที่เพื่อนทำให้ผู้หญิงที่ตัวเองหลงรักเสียใจ

            พราวฟ้ายืนเซ็งจิตอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะหมุนตัวกลับ เดินผ่านเจมส์ที่พยายามจะคิดหาคำปลอบใจอยู่โดยไม่ปรายตามองชายหนุ่มสักนิด ราวกับว่าเจมส์ไม่มีตัวตน ด้านคนที่โดนเมินใส่ก็ได้แต่ยืนนิ่งไม่กล้าทำอะไรมากกว่านี้

เจมส์รอจนเย็นจึงเข้าไปถามอัศวินที่กำลังจะกลับบ้าน

            “มีไร” อัศวินมองเพื่อนอย่างงงๆ เมื่อครู่เขากำลังทอดถอนใจเรื่องรถจักรยานที่บันไดงอหักด้วยความเซ็ง

            “เมื่อไหร่จะมีแฟน” เจมส์ถามเพื่อนทึ่มๆ

            “ไม่รู้! ถามทำไม” อัศวินตอบเพื่อน มองหน้ารอว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรต่อไหม ทว่าเจมส์ก็พูดแค่...

            “แค่นี้แหละ” แล้วก็เดินกลับออกไป

อัศวินมองตาม “อะไรของมันวะ” เขาเกาหัวแกรกๆ ก่อนที่จะไม่สนใจ เข็นจักรยานออกไปอีกทางหนึ่ง

            มุลิลารับน้องปลื้มจากโรงเรียนแล้วก็พากันมาที่ห้างสรรพสินค้า เธอรู้สึกกังวลใจกับการนัดพบสามีในครั้งนี้ ผิดกับลูกชายที่กำลังร่าเริงสุดๆ อยู่

            “เราอยู่นานไม่ได้นะครับ ปลื้มยังไม่ได้ทำการบ้าน ต้องรีบเข้านอนอีก”

            “ครับ” เด็กชายตอบรับ มุลิลายิ้มดีใจที่ลูกเข้าใจ กระชับมือลูกแน่นพาเดินจูงเข้าไป ทันทีที่ไปถึงที่นัดหมายปลื้มวิ่งไปหาพงศ์พิศุทธิ์ด้วยความดีใจ

            “ป๊า!” เด็กชายร้องเรียก พงศ์พิศุทธิ์โอบกอดปลื้มไว้อย่างแนบแน่นด้วยความคิดถึง

มุลิลาสะเทือนใจ เบือนหน้าหนีทันที

            “คิดถึงป๊ามั้ยลูก”

            “ครับ”

            “งั้นวันนี้อยู่กับป๊านานๆ นะลูก”

            “นานไม่ได้ครับ ยังไม่ได้ทำการบ้าน ต้องรีบนอนครับ”

พอได้ยินคำตอบของลูกชาย พงศ์พิศุทธิ์ก็เหลือบมองมุลิลาทันที

            “นึกว่าต้องรีบกลับเพราะแม่ต้องรีบไปหาที่สมัครงาน” เขาประชด

            “ใช่ ไม่ได้มีเงินถุงเงินถังหรือแม่คอยเลี้ยงก็ต้องรีบ” มุลิลาประชดกลับแต่ทำเสียงเบา เพราะเกรงว่าลูกจะได้ยิน ทว่าถึงกระนั้นก็ทำให้คนฟังหน้าชาจนแทบจะลืมตัวได้

            “โอเค แป๊บเดียวก็แป๊บเดียว ไป ป๊าพาไปเล่นบ้านบอล” พงศ์พิศุทธิ์กัดฟันจูงน้องปลื้มไป

มุลิลามองภาพนั้นก็ถอนหายใจหนัก เพราะว่านี่เป็นภาพที่ครั้งหนึ่งเธอเคยหวังว่าจะได้เห็น ภาพที่พ่อกับลูกคุยกันอย่างมีความสุข ภาพที่สามีดูแลลูก แต่มันกลับมาเกิดเมื่อสายเกินไป

            “วันนี้ป๊าหล่อ”

พงศ์พิศุทธิ์ยิ้มกว้าง “หล่อทุกวันอยู่แล้ว แต่หล่อสู้ลูกป๊าไม่ได้หรอก”

มุลิลาได้ยินแล้วแอบเบ้ปาก รู้สึกไม่ไว้ใจอยู่ลึกๆ

พงศ์พิศุทธิ์ส่งลูกเข้าบ้านบอลแล้วเดินออกมาดูอยู่ห่างๆ เคียงข้างมุลิลา ทั้งสองมองภาพลูกชายที่กำลังสนุกสนาน สักพักพงศ์พิศุทธิ์หันไปมองคนข้างๆ แล้วค่อยๆ เอื้อมมือไปจับมือของมุลิลา ทันทีที่แตะโดนหญิงสาวก็สะบัดออก กระเถิบถอยห่างทันที

            “รังเกียจแล้วเหรอ”

            “ใช้คำว่าขยะแขยงดีกว่า”

พงส์พิศุทธิ์พยักหน้ารับรู้ ยิ้มขื่น ไม่พูดอะไรต่อ

มุลิลารีบเปลี่ยนเรื่อง “จะไปหย่าให้ได้เมื่อไหร่”

            “ผมหย่าแน่ แต่ถ้าภายในสามเดือนคุณยังหางานที่มั่นคงทำไม่ได้ ผมจะฟ้องเอาลูกมาเลี้ยงเอง”

มุลิลาอึ้ง ไม่คิดว่าพงศ์พิศุทธิ์จะทำแบบนี้ “ใครยัดข้อมูลใส่สมองมาให้ แม่คุณอีกละสิ ทำไม ถ้าไม่ทำตามที่แม่สั่ง แม่จะไม่ให้เงินค่าขนมเหรอ ทุเรศ!

            “ปากแบบนี้ไง ฉันถึงไม่นอนกับเธอ! เคยรู้ตัวหรือเปล่า!” พงศ์พิศุทธิ์อยากจะตะคอกใส่มุลิลาแต่ก็กัดฟันเอาไว้ เขาจ้องหน้าเธอดุ

มุลิลาได้ยินคำพูดของสามีแล้วอึ้ง เจ็บ เธอรู้สึกเหมือนถูกหยาม แต่ก็พูดไม่ออกเมื่อหันไปเห็นว่าน้องปลื้มกำลังมองดูอยู่ หญิงสาวส่งยิ้มให้ลูกชายทำเหมือนว่าทุกอย่างปกติดี น้องปลื้มยิ้มรับอย่างสดใสแล้วหันไปเล่นต่อ

            “ฟังนะ ใครหน้าไหนก็เอาลูกฉันไปไม่ได้!” มุลิลาหันไปโวยใส่พงศ์พิศุทธิ์

            “ก็ลองดู ถึงวันนั้นผมจะฟ้องศาลให้ลูกอยู่ในความดูแลของผม”

            “คุณไม่มีทางชนะ ที่ผ่านมาคุณมันเลว ศาลต้องให้ความยุติธรรมกับฉัน” หญิงสาวว่า

            “มีเงินค่าทนายต่อสู้คดีหรือเปล่า”

            “ถึงไม่มีฉันก็จะสู้”

            “ผมก็จะยื้อ ศาลนี้ไม่ชนะ ผมก็ฟ้องศาลต่อไป...จะเอาให้คุณหมดตัว ไม่มีสมาธิทำงาน หมดแรง อยากเสียเวลาต่อสู้ก็เอา” พงศ์พิศุทธิ์ยื่นคำขาด

            “ฉันพลาดไปรักและแต่งงานกับคุณได้ยังไง เลวทั้งความคิดและการกระทำ!” มุลิลากัดฟันอย่างเจ็บใจ แต่อีกฝ่ายกลับลอยหน้าลอยตาไม่รู้สึกรู้สาอะไร

            “อีกสามเดือนเราค่อยมาดูกัน” แล้วพงศ์พิศุทธิ์ก็ไม่สนใจมุลิลาอีก เขาเดินไปดูน้องปลื้มใกล้ๆ

            มุลิลามองพงศ์พิศุทธิ์ด้วยความเคียดแค้น ยิ่งเห็นภาพพงศ์พิศุทธิ์คุยและหัวเราะกับลูกยิ่งรู้สึกเหมือนอกจะระเบิด เสียงมือถือของมุลิลาดังขึ้น หญิงสาวสะดุ้งหยิบขึ้นมาดูหน้าจอขึ้นชื่อว่า ‘แม่’ แล้วตกใจ ลังเล ทำใจ ก่อนจะเดินเลี่ยงออกไปรับสาย

            “หนูมาซื้อของกับน้องปลื้มแล้วก็พงศ์ค่ะ ก็โอเค ไม่ได้ทะเลาะกันแล้ว” มุลิลาแอบเซ็งตัวเองที่ต้องโกหกแม่

            “ดีแล้ว อยู่กันดีๆ เห็นตอนวันเกิดน้องปลื้ม จู่ๆ แกก็มาหอบลูกไป ฉันก็ใจไม่ดี จะทำอะไรก็นึกถึงหน้าลูกไว้ อย่าให้เหมือนฉันกับพ่อแก” บุปผาเดินถือข้าวไปหน้าบ้านที่เป็นร้านของชำของตัวเอง

            “นึกอยู่ตลอด”

            “ทำอะไรก็รักษาหน้าผัวแกด้วย ตระกูลเค้าไม่ใช่ไก่กา ได้เป็นสะใภ้บ้านเค้านับว่าบุญแกบุญฉัน ไม่เหมือนตอนที่ฉันเป็นสะใภ้บ้านพ่อแก อู๊ย...ลำบาก เลิกมาได้ถึงจะนับว่าบุญฉันบุญแก” ได้ฟังคำของมารดามุลิลาก็ถอนใจไม่ชอบเลย

            “ฉันยังพอมีอะไรได้ไปคุยกับชาวบ้านเค้าบ้าง ว่าลูกฉันมันได้ดีเพราะมันมีผัวดี”

พอมารดาเริ่มพูดมุลิลาก็รีบตัดบททันที เพราะเกรงว่าเดี๋ยวจะยาวไปใหญ่และก็เป็นแต่เรื่องเดิมๆ ที่ซ้ำซากเต็มที

            “แม่แค่นี้ก่อนนะ กำลังซื้อของ เดี๋ยวจ่ายผิดจ่ายถูก”

            “เออ อย่าลืมโอนเงินเดือนมาให้แม่นะ แล้วจะไปนอนกับหลานได้มั้ยเนี่ย”

            “ไม่ได้” มุลิลาโพล่งไปอย่างลืมตัว

            “ทำไมล่ะ” น้ำเสียงบุปผาเต็มไปด้วยความสงสัย

            “กำลังซ่อมบ้าน เดี๋ยวเรียบร้อยเมื่อไหร่ หนูบอกแม่อีกที แค่นี้นะ” มุลิลารีบร้อนพูดตัดบทแล้ววางสายไปทั้งอย่างนั้น มุลิลามองโทรศัพท์อย่างเครียดๆ

คนเป็นแม่เองก็มีท่าทางไม่ต่างกัน บุปผานั่งสงสัยในพฤติกรรมลูกสาว

            “ซ่อมบ้านก็เพิ่งซ่อมไปนี่หว่า อะไรของมัน” บุปผานั่งกินข้าวต่อ ก่อนจะลุกขึ้นไปขายของให้ลูกค้าพลางคุยโวเรื่องลูกสาว ลูกเขย แล้วก็หลานชายไปด้วย

            อัศวินเหงื่อซึมจูงจักรยานเดินมาถึงหน้าบ้าน วันนี้เขากลับมาถึงบ้านช้าเพราะความไม่สมประกอบของจักรยาน เขาเจอเจ๊สมข้างหน้าประตูบ้าน พี่สาวของเขากำลังจะปิดบ้านอยู่พอดี

            “ทำไมกลับช้าวะตี๋” เจ๊สมหยุดยืนรอให้น้องชายเข็นรถเข้าไปในบ้าน อัศวินยังเซ็งอยู่ เขาพยักพเยิดไปที่บันไดจักรยาน เจ๊สมก้มลงมองดูตามสายตาน้องชายแล้วตกใจ

            “ไอ้ตี๋ถูกรถชน!” เจ๊สมโวย

สิ้นเสียงนั้น ดวงใจกับอาม่าก็พรวดออกมาจากข้างในบ้าน ตื่นตกใจกันใหญ่

            “อาตี๋/ลูก” ผู้สูงวัยทั้งสองประสานเสียงกัน

            “ใครชนหลานอั๊ว” อาม่ายืนเท้าสะเอว กวาดตามองหาคู่กรณีของอัศวินอยู่หน้าบ้าน ท่าทางเอาเรื่อง

            “ตี๋ เป็นอะไรมากไหมลูก” ดวงใจถลาเข้ามาลูบหัว ลูบไหล่ลูกชาย มองสำรวจบาดแผลของเขาตั้งแต่หัวจดเท้า

            อัศวินมองความวุ่นวายรอบๆ แล้วถอนใจขำๆ เพราะความเป็นห่วงและตื่นตูมของทุกคนแท้ๆ ที่ทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้น ชายหนุ่มหันไปทางอาม่าที่ตอนนี้กลับมายืนเท้าสะเอวจ้องอัศวินเขม็ง ดูเหมือนอาม่าของเขาจะแน่ใจแล้วว่าเขาไม่ได้เป็นอะไร

            “ตี๋ มันอะไรกัน” ดวงใจเริ่มรู้สึกเช่นกันว่าลูกชายไม่ได้เป็นอะไร

            “ก็ไม่มีอะไรอะ” อัศวินตอบได้แค่นั้น เสียงประสานกันของผู้สูงวัยก็ดังขึ้น

            “อ้าว”

            “เจ๊มันเว่อร์เองม้า อาม่า จักรยานผมล้ม บันไดหัก ผมไม่ได้เป็นอะไรเลย” อัศวินชี้ไปที่บันไดจักรยาน ทั้งอาม่าของแม่เขาหันไปมอง เสร็จแล้วจึงหันไปโวยเจ๊สม

            “อาสม!”

            “เดี๋ยวเถอะนะ”

            “ขอโทษ อั๊วติดเล่นใหญ่” เจ๊สมยิ้มแหย ท่ามกลางเสียงบ่นของอาม่าและแม่ อัศวินยืนขำครอบครัวตัวเองอยู่ข้างๆ

            พออาบน้ำอาบท่าเสร็จ อัศวินก็มานั่งซ่อมจักรยานอยู่หน้าบ้าน พอนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก็ถอนหายใจออกมา ชายหนุ่มเงยหน้ามองฟ้าที่มืดมิด อากาศคืนนี้ไม่ดีนัก มันร้อนอบอ้าวและดูเหมือนว่าเขาเองก็มีชีวิตที่ต้องเร่งรีบอยู่เหมือนกัน อัศวินทำหน้ายุ่งเมื่อตอนนี้คำพูดของดอลลี่ตอนที่ประชุมดังเข้าหู แต่จู่ๆ ก็มีเสียงวิ่งพร้อมตะโกนดังมาให้สะดุ้ง

            “ตี๋ๆ เร็วๆ สายแล้ว เดี๋ยวไปไม่ทันจัดรายการ” ดีเจพี่แสดเพื่อนบ้านสายฮาร์ด รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กๆ ทำงานเป็นดีเจกะดึก สวมใส่เสื้อผ้าสีสันสดใสสไตล์อินดี้ รีบร้อนวิ่งเข้ามายืนอยู่ตรงหน้าเขา

            “เจ๊” อัศวินตะโกนเรียกเจ๊สมทันที ชั่วอึดใจเจ้าของชื่อก็เดินออกมาพร้อมถุงใส่ซาลาเปากับติ่มซำร้อนๆ ในมือ

            “เห็นร้านกูเปิดยี่สิบสี่ชั่วโมงหรือไงวะ ขายแค่หกโมงเช้าถึงหกโมงเย็นโว้ย! นี่มันกี่ทุ่มกี่ยามไปแล้ว” เจ๊สมโวยวายพลางมองค้อนและแบะปากใส่คนที่แต่งตัวไม่เกรงใจชาวบ้านแม้ว่าเป็นเวลากลางคืน

            “แล้วจะขายมั้ย อีเจ๊! ไม่ขายก็เอาไปเก็บ” แสดควักกระเป๋าตังค์ขึ้นมาขณะที่พูดใส่หน้าเจ๊สมไปด้วย

            “เออ!” เจ๊สมรับคำท้าจะเดินเข้าไป ทว่าต้องชะงักก่อนเมื่อมีเสียงดัดนุ่มสไตล์ดีเจของแสดดังขึ้นมาว่า

“แกเอาไปเก็บ แกก็แพ้ฉัน!”

เจ๊สมหันออกมา ความรู้สึกอยากเอาชนะพุ่งปรี๊ด

            “แข่งกันไม่เลิก ตั้งแต่เด็กยันแก่” อัศวินเห็นทั้งคู่แล้วได้แต่ส่ายหน้า           

            “ยังไม่แก่ว้อย” เจ๊สมหันมาแว้ดใส่ ตาเขียวปั้ด

            “โอเคๆ แก่น่ะอาม่า พอใจยัง อะต่อเลย”

            “ฉันแพ้แกยังไง” เจ๊สมหันไปทางคนที่กวนประสาทเธอมาตั้งแต่เด็ก

            “คนค้าขาย ใครเค้าเลือกลูกค้ากันวะ”

            “กูนี่แหละ” เจ๊สมว่าใส่หน้า

            “ไร้ธรรมาภิบาล เดี๋ยวจะใช้ความเป็นสื่อโจมตีร้านซาลาเปาแกว่าเลือกปฏิบัติสองมาตรฐาน แกแพ้ฉันแน่อีเจ๊”

สิ้นเสียงของดีเจแสด เจ๊สมก็ยื่นถุงซาลาเปายัดใส่มือของพี่แสดทันที

            “เอาไป! เอาตังค์มา!”

พี่แสดยัดเงินใส่มือเจ๊สม แล้วสะบัดหน้าเดินออกไป

            “แต่งตัวไปจัดรายการ หรือไปแสดงละครสัตว์ อีแสด”

คนโดนว่าหันขวับกลับมาตะโกนสวนลั่นซอย “ถ้าไม่รีบไปทำงานมีกลับไปตบแน่”

อัศวินส่ายหัวให้กับพฤติกรรมของทั้งสอง “ถามจริง เกลียดโกรธอะไรกันนักหนาเนี่ย”

            “ไม่มีเหตุผล เกิดมาเห็นหน้ามันก็เกลียดเลย” เจ๊สมว่าแล้วเดินเข้าบ้านไป

            “รุนแรงอะ สังคมจะเป็นสุขได้ยังไงถ้าเกลียดชังกัน”

            “อย่ามาโลกสวย! เข้าบ้านได้แล้ว ม้าให้ตามไปกินข้าว หรือจะไม่กิน”

            “กิน” อัศวินว่าแล้วกองทุกอย่างไว้กับพื้น เดินเข้าบ้านทันที

            “เออ!” สองพี่น้องเข้าบ้านกันไป เสียงดังโล้งเล้งแต่อบอุ่น

            มุลิลานั่งอยู่บนระเบียงคอนโด มองท้องฟ้าสีดำทะมึนที่กว้างใหญ่ มันไม่มีดาวสักดวงให้เห็น คงเปรียบเหมือนกับสถานการณ์ของตัวเธอ ที่ตอนนี้ชีวิตเรียกว่ามืดมน ถ้าไม่มีแสงสว่างจากเพื่อนที่ก็เปรียบเหมือนไฟประดิษฐ์ ไม่ได้สวยงามแต่ก็ช่วยขับไล่ความมืดออกไปได้

หญิงสาวถอนใจ หันมองกลับเข้าไปในห้อง เห็นน้องปลื้มนั่งทำการบ้านอยู่ ลำพังตัวคนเดียวมุลิลาไม่ได้วาดหวังถึงชีวิตที่สวยงามไว้มากนัก เธอแค่ขออยู่อย่างสบายใจ ทว่าชีวิตของเธอเปลี่ยนไปเมื่อมีเด็กน้อย สำหรับเธอแล้วยังไงลูกชายก็ต้องมีชีวิตที่ดี เธอจะปกป้องเขาจากอันตรายและความทุกข์ทั้งปวง แม้ว่ามันจะยาก แต่มุลิลาก็ปรารถนาจะให้เป็นเช่นนั้น หญิงสาวนึกถึงการพูดคุยกับต้องตาก่อนหน้า คำพูดของเพื่อนดังก้องขึ้นมาในหัวอีกครั้ง

            ‘อย่างที่เคยบอกว่าฉันเคารพการตัดสินใจของแก แต่ตัดสินใจจะทำอะไร มองหน้าลูกแกไว้เยอะๆ นะ ต้องรักษาตัวเองให้รอด ไม่อย่างนั้นแกจะมีแรงเลี้ยงลูกต่อไปได้ยังไง ฉันรู้ว่าแกไม่เคยคิดจะไปทำงานเคเบิล แต่กำขี้ดีกว่ากำตดในสถานการณ์แบบนี้ จำได้มั้ยที่ฉันเคยบอกว่า...อายุขนาดแกจะไปเริ่มต้นใหม่ที่ไหน คงยาก เพราะงานหายาก...อะไรทำได้ก็ทำไปก่อนมั้ง’

            นอกจากจำคำพูดเพื่อนได้แม่นแล้ว เธอก็ยังจำความอึ้งของตัวเองได้ด้วย มุลิลารู้ว่าเธอเป็นพวกช่างเถียง ช่างรั้น และหัวดื้อ หากมีเส้นทางที่ดีกว่าให้เลือก และเธอคิดออกก็คงไม่รอให้ต้องตามาคอยบอกแบบนี้หรอก นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตเธอจริงๆ ที่เธอไม่สามารถตอบโต้ต้องตาได้ เธอได้แต่เงียบและก็นั่งมองหน้าเพื่อนจนกระทั่งต้องตาเป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นมาอีกครั้ง

            ‘บางทีอาจจะได้อะไรดีๆ จากที่นั่นก็ได้’

            มุลิลาถอนหายใจอีกครั้ง เธอขยับตัวเดินกลับเข้าไปในห้องหาลูกชายที่กำลังทำการบ้านอยู่ เธอนั่งใกล้ๆ ลูกชาย ลูบหัวน้องปลื้มและช่วยสอนการบ้านจนเสร็จ หญิงสาวพาบุตรชายเข้านอน มองน้องปลื้มที่กำลังหลับก่อนที่จะสัญญากับลูกและตัวเองว่า

            “นับจากวินาทีนี้...แม่สัญญา แม่จะเข้มแข็งนะลูก” ว่าแล้วมุลิลาปิดประตู เดินตรงไปยังห้องนั่งเล่น

            เธอรู้ตัวดีว่าในเวลาแบบนี้คงไม่อาจจะข่มตาหลับลงโดยง่าย หญิงสาวเดินตรงไปใกล้เครื่องเสียง เอื้อมมือเช็กระบบการทำงาน เปิดวิทยุค้างเอาไว้ แต่ตั้งใจจะหาเพลงโปรดฟัง ทว่าแถวนั้นไม่มีซีดีเลยสักแผ่น หญิงสาวลุกขึ้นเดินไปหาในกล่องใบหนึ่งที่ตั้งแต่ย้ายมายังไม่ได้เปิดออกเลย เธอค้นซีดีได้กล่องหนึ่ง แต่พอจะเอามาเลือกและเปิดฟัง เสียงลูกชายก็ดังขึ้นเสียก่อน

            “แม่ครับ”

น้องปลื้มตกใจตื่น ร้องไห้เพราะฝันร้าย ในจังหวะนั้นเอง เสียงเข้ารายการของดีเจแสดก็ดังขึ้น

            “นี่คือ SINGLE LADIES’ CLUB โดยดีเจพี่แสดค่ะ เรามีนัดคุยกันเป็นประจำทุกคืนแบบนี้ เป็นเพื่อนคนโสดขี้เหงาทั้งหลาย ไม่ว่าคุณจะโสดเพราะอะไร แต่ขอให้จำไว้ ถึงจะโสดแต่ชีวิตก็แซ่บได้ ถ้าคุยกับดีเจพี่แสด” ดีเจแสดจัดรายการอย่างสนุกสนานตามสไตล์

อัศวินอยู่ที่บ้านกำลังเล่นกีตาร์ฆ่าเวลาก็เปิดฟังไปด้วย ชายหนุ่มได้ยินคำพูดของแสดแล้วก็ขำ

            “พี่แสดเอ๊ย มัวแต่แซ่บงี้ไงเล่าเลยยังโสด” เขาบ่นไม่จริงจังนัก

            “เหตุผลของความโสดเป็นไปตามทฤษฎีความหลากหลายทางชีวภาพค่ะ อย่างพี่โสดเพราะเลือกเอง แบบว่าอยู่คนเดียวก็เสียว เอ๊ย แซ่บและฟินได้” ดีเจแสดเริ่มเมาท์กับผู้ติดตามด้วยน้ำเสียงน่าฟัง

            “ไม่ต้องมีใครมาแย่งพูด แย่งกิน แย่งใช้ เลิกพูดเรื่องตัวเองดีกว่า จบ...นี่ก็มีอีเมลจากคุณผู้ฟังที่เพิ่งหย่าจากสามี เพราะทนสามีเจ้าชู้ไม่ได้ ทำถูกแล้วค่ะ จะทนทำไม ถ้ายิ่งทน ยิ่งทำให้ศักดิ์ศรีความเป็นคนของเราหดหายลงไปเรื่อยๆ”

            มุลิลาเดินออกมาจากห้องลูกชายหลังจากปลอบเขาพอดี ตอนที่ดีเจแสดพูดถึงประโยคนี้ หญิงสาวชะงักกึกแล้วหันไปมองเครื่องเสียง เธอขยับเข้าไปใกล้อย่างสนอกสนใจ เพราะไม่เคยฟังรายการเช่นนี้มาก่อน

            “มนุษย์ต้องเดินหลังตรง การถูกเหยียบย่ำดูถูกแบบนี้เหมือนถูกทุบกระดูกสันหลังให้ยุบลงทีละข้อๆ จนหลังค่อมลงๆ ราบเรียบแบนบี้ติดไปกับพื้น ก่อนที่เราจะสูญเสียความเป็นมนุษย์ เราต้องหยุดทำร้ายตัวเองด้วยการไม่ปล่อยตัวเองให้ตกอยู่ในสถานการณ์แบบนั้นอีก คุณทำถูกแล้ว” แสดประกาศอีก ความมั่นใจและน้ำเสียงที่ใส่อารมณ์สมจริงหนักแน่นของแสด ทำให้คนฟังอย่างมุลิลารู้สึกฮึกเหิมขึ้นมา

            “ใช่! ฉันทำถูกแล้ว” เธอกำหมัดแล้วบอกกับตัวเอง

            “ฟื้นฟูกระดูกสันหลังเราให้ตั้งตรงให้ได้เร็วๆ แล้วต่อจากนั้น...ก็เดินหน้าต่อ” เสียงดีเจแสดดังลอยมาจากวิทยุอีก

            “ใช่! ต้องเดินหน้าต่อ!” มุลิลาบอกกับตัวเอง สายตาของเธอมุ่งมั่น มีกำลังใจขึ้นอย่างประหลาด

“เดินหลังตรง หน้าเชิด ดวงตาเปิด ใจเปิด มองให้เห็นว่าในวิกฤติยังมีโอกาส คำว่าพลาดมันจะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ส่วนข้างหน้าคือคำว่าชีวิตใหม่...ที่โลกทั้งโลกจะอยู่ในมือเรา ท่องไว้ค่ะ เราทำได้!” แสดยังคงปลุกปลอบใจคนสิ้นหวังด้วยพลังของตนเองต่อไป และมันก็ได้ผลมาก

            “เราทำได้” มุลิลากำมือ ทำท่าไฟติงอยู่ในท่าเดียวกับที่แสดกำลังจัดรายการไม่มีผิด

            ในเวลาเดียวกันกับชิษณุที่อยู่ที่บ้านพักริมทะเลก็กำลังวางเข็มลงบนแผ่นเสียงโปรด การเคลื่อนไหวของชายหนุ่มดูราวกับภาพวาด เขาค่อยๆ เดินจากมุมหนึ่งไปยังอีกมุมซึ่งเป็นห้องครัวแบบเปิด เริ่มเตรียมอาหารอย่างง่ายแล้วก็มองออกไปด้านนอก ภาพท้องทะเลยามค่ำคืนเคล้ากับเสียงเพลงจากแผ่นเสียงทำให้ชิษณุรู้สึกสงบ ผ่อนคลายลง ความคิดมากมายที่สับสนตลอดวันเริ่มจะเข้าที่เข้าทาง

            วันรุ่งขึ้นมุลิลาไปที่ WOW TV แต่เช้าเพื่อพูดคุยกับดอลลี่ และยื่นข้อเสนอใหม่ที่ว่าเธอจะเข้าทำงานก็ต่อเมื่อได้เงินเดือนหกหมื่นบาท ถ้าผ่านการทดลองงานก็ต้องได้เปอร์เซ็นต์ตามที่บริษัทกำหนดเอาไว้ เรื่องเวลาเข้างานไม่มีปัญหา แต่เวลาเลิกงานที่เป็นช่วงคาบเกี่ยวกับที่น้องปลื้มเลิกเรียน เธอขอเวลาไปรับลูกหนึ่งชั่วโมง แล้วค่อยกลับมาทำงานให้ครบตามกำหนด แน่นอนว่าข้อเสนอของหญิงสาวทำให้ดอลลี่อึ้งไป แต่หลังจากความเงียบอันยาวนาน ดอลลี่ก็เริ่มเจรจาต่อรองโดยเน้นเรื่องเงินเป็นสำคัญ

            “ฉันยอมรับเงื่อนไขเรื่องเวลาเข้างาน เลิกงาน หรือให้เธอเอาลูกมาเลี้ยงที่ออฟฟิศได้ เพราะฉันเห็นใจเธอตามธรรมชาติของนางฟ้า แต่เรื่องเงินมันมากเกินไป สองหมื่นสามเดือนในช่วงทดลองงาน ถ้าเธอผ่านไปได้ ค่อยขึ้นตามที่เธอขอ รวมทั้งเปอร์เซ็นต์ด้วย”

มุลิลาอึ้งไปนาน ในหัวกำลังคิดหนัก ทว่าคราวนี้ดอลลี่ก็ยื่นคำขาด

            “ถ้ารับไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ฉันยอมเธอได้แค่นี้ ถ้าจะขอกลับไปคิดก่อนก็ได้นะ แต่ฉันคงไม่รอ เธอต้องเข้าใจว่าตอนนี้เราอยู่ในช่วงเวลาคับขัน” ดอลลี่มองมุลิลาด้วยสายตาจริงจัง เครียด เอาจริง โหมดโหด เคี่ยวมาเต็ม

มุลิลาหนักใจมาก ถ้าเธอตัวคนเดียวก็คงไม่ตกลง ทว่าภาพน้องปลื้มที่กำลังนอนหลับแวบเข้ามาในความคิดของมุลิลาทำให้ตัดสินใจได้ทันที

            “โอเค!” เธอตอบในที่สุด

            “กู้ด” ดอลลี่ลากเสียงยาว สีหน้าสีตาเปลี่ยนกลับมาอยู่ในโหมดนางฟ้า ปิ๊งวับทันที “และช่วงไหนถ้างานเยอะ เอาลูกมาเลี้ยงที่ออฟฟิศได้เลย ฉันอนุญาต ไม่มีปัญหา ลูกเธอก็หลานฉัน”

เมื่อเรื่องเงินโอเคแล้ว เรื่องอื่นๆ ดอลลี่ก็ไม่มีปัญหา สามารถใจกว้างเป็นแม่น้ำแยงซีเกียงบวกด้วยแอมะซอนได้เลยทีเดียว

            “ดอลลี่...” มุลิลาเรียกเพื่อนด้วยความซาบซึ้ง เพราะคงหาได้ยากที่ออฟฟิศจะเห็นใจเธอในเรื่องลูกเช่นนี้ แต่พอดอลลี่ตอบว่า

            “ฉันนี่นางฟ้าชัดๆ เนอะ”

เธอก็พยักหน้าขอไปที พลางฝืนยิ้ม

            “มู่ลี่ ฉันฝากความหวังไว้ที่เธอนะ เราจะต้องรอดไปด้วยกัน”

ว่าแล้วทั้งคู่ก็กอดกันกลม

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น