9

ตอนที่ 9


ตอนที่ ๙

 

        ที่มหาวิทยาลัยชื่อดังเมื่อหลายปีก่อน พงศ์พิศุทธิ์ขับรถสปอร์ตที่แม่ซื้อให้ มีเพื่อนๆ นั่งมาเต็มคันรถเข้ามาจอดที่หน้าคณะ มุลิลา ต้องตา และดอลลี่ซึ่งยังเป็นกระเทยหัวโปก ไม่ได้แต่งหญิงเต็มยศกำลังเดินผ่านมา ทั้งหมดหยุดมองดูกลุ่มของพงศ์พิศุทธิ์ ต้องตาและดอลลี่นั้นมองแบบอยากรู้อยากเห็น ส่วนมุลิลามองแบบประทับใจ

        พงศ์พิศุทธิ์เดินลงจากรถมาอย่างเท่ มุลิลาเห็นแล้วปิ๊งยิ้มออกมาอย่างชอบมาก ซึ่งก็ไม่ได้รอดพ้นสายตาพงศ์พิศุทธิ์ไปได้ ชายหนุ่มชะงักประทับใจรอยยิ้มน่ารัก สดใสของมุลิลา และสบตาเธออย่างมีความหมาย หญิงสาวเอียงอายรีบก้มหน้าเดินจ้ำอ้าวออกไป ต้องตากับดอลลี่ต้องรีบเดินตาม แต่ภาพของมุลิลาก็ได้ประทับเข้าไปในหัวใจของพงศ์พิศุทธิ์เรียบร้อยแล้ว จากนั้นมาเขาก็เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเธอ

        พงศ์พิศุทธิ์ตามตื๊อติดจนทั้งชวนไปดูหนัง ชวนไปดูคอนเสิร์ต ชวนไปกินข้าว แต่แรกเลยมุลิลาไม่เคยยอมตกลงที่จะไปด้วย เธอยังไร้เดียงสาและเอียงอายเกินกว่าจะเผชิญหน้ากับผู้ชายที่ตนเองชอบได้ แต่พงศ์พิศุทธิ์ไม่ยอมแพ้ เขารู้สึกถึงความท้าทายครั้งใหญ่ ไม่มีผู้หญิงคนไหนที่เขาจีบแล้วจะเล่นด้วยยากเท่ามุลิลา วันหนึ่งชายหนุ่มจึงเข้ามาขวางหญิงสาวเอาไว้ แล้วเริ่มพูดอย่างตรงไปตรงมา

‘ต้องเป็นแฟนกันก่อน ถึงจะยอมไปไหนมาไหนกับผมใช่มั้ย’

‘มั้ง’

‘ผมรู้ว่าเราชอบกัน’

‘ไม่จริงอะ’ มุลิลายังคงไว้ตัว เธอพยายามปลีกตัวหลบอีก แต่พงศ์พิศุทธิ์ไม่ปล่อยไปง่ายๆ

‘แต่สายตาคุณไม่ได้บอกแบบนั้นนะ’

มุลิลาอึ้ง รีบปั้นหน้าใหม่ ‘แบบ...แบบไหน’ เธอถามตะกุกตะกัก

        ‘ก็แบบที่คุณไม่ได้ชอบผม หรือเราไม่ได้ใจตรงกันอะไรแบบนั้นไง’ สายตาของชายหนุ่มทำให้มุลิลาสั่นสะท้าน

พงศ์พิศุทธิ์ตะโกนลั่น ไม่แคร์ใครที่เดินผ่านไปมา ‘คุณต้องเป็นแฟนผม!’

มุลิลาสะดุ้ง รีบเดินด้วยความเขินอาย ใจเต้นแรง หวามไหวด้วย หญิงสาวเดินออกไปยังไม่ทันพ้นตา พงศ์พิศุทธิ์หันไปบอกคนอื่นๆ อย่างไม่อายว่า

‘พี่ๆ คนนั้นอนาคตแฟนผม ชัวร์’ มุลิลาทนไม่ไหวหันไปตะโกนบอกพงศ์พิศุทธิ์

‘จะบ้าหรือไง หยุดพูดแบบนั้นเลยนะ’

‘อ้าว ก็จองไว้ก่อนไง ยังไงไม่รอดแน่ คุณต้องเป็นแฟนผม... น้องๆ ไปบอกเพื่อนนะ คนนี้กำลังจะเป็นแฟนพี่ ห้ามใครจีบ’

มุลิลาวิ่งกลับมาห้ามเขา เพราะทนไม่ไหวแล้วที่เขาตะโกนไม่หยุดแบบนี้ ‘หยุดเลยนะ ทำอะไรเนี่ย’

‘จีบคุณไง’

‘ไม่อายบ้างหรือไง’

‘ทำไมต้องอาย คนสองคนชอบกัน หัวใจตรงกัน ที่บอกให้คนอื่นรู้ เพราะผมภูมิใจที่อนาคตแฟนผมคือคุณ มู่ลี่’

ความมั่นใจและมุ่งมั่นของเขาทำให้มุลิลาพูดไม่ออก เธอมองหน้าเขานิ่ง ก่อนที่จะรู้สึกใจอ่อนกับแววตาลึกซึ้งที่พงศ์พิศุทธิ์สื่อให้

        ปัจจุบัน...

ภายในห้องนอน มุลิลายังร้องลั่น เธอดิ้นรนท่ามกลางความเจ็บใจ เรื่องปัจจุบันความรู้สึกในอดีตปะปนในหัวเต็มไปหมด

“ปล่อย! ช่วยด้วย!” เธอร้องลั่น เอามือปัดป้องสุดกำลัง

พงศ์พิศุทธิ์หน้ามืด โมโห เอามือปิดปากมุลิลาแล้วล็อกเอาไว้ “ทำไมล่ะมู่ลี่...จะร้องให้คนช่วยทำไม ผัวจะมีอะไรกับเมียมันผิดเหรอ”

มุลิลามองพงศ์พิศุทธิ์ด้วยความรังเกียจ แค้นจนอกแทบระเบิด พยายามจะร้อง

“มันไม่ผิด มันถูกต้อง หลังๆ มา เราไม่ค่อยได้นอนด้วยกัน เพราะอย่างนี้ใช่มั้ยคุณเลยหาเรื่องผม นี่ไง ผมสนใจคุณแล้วไง”

มุลิลาหยุดดิ้น พงศ์พิศุทธิ์คิดว่ามุลิลาใจอ่อน ปล่อยมือจากการปิดปาก

“ผมจะทำให้คุณมีความสุขที่สุด เราจะมีความสุขด้วยกัน...มีลูกด้วยกันอีกคน”

มุลิลาถึงกับอึ้ง ขยะแขยงความคิดของพงศ์พิศุทธิ์

“พร้อมแล้วใช่มั้ย” เขาถาม

“พร้อม”

หญิงสาวพูดตามน้ำ พงศ์พิศุทธิ์ยิ้มอย่างพอใจ ก้มลงจะจูบ แต่เธอก็ตะโกนใส่หน้าขึ้นมาก่อนว่า

“พร้อมจะทำให้แกเป็นหมัน ไอ้ผู้ชายเฮงซวย!” มุลิลายกเข่ากระแทกเป้าของพงศ์พิศุทธิ์อย่างแรง

“โอ๊ย!” พงศ์พิศุทธิ์ร้องลั่น เจ็บจนล้มลงตัวงอ มุลิลาเป็นอิสระ ยืนด่าพงศ์พิศุทธิ์ด้วยความโกรธ “ในสมองแกมันคิดเป็นแต่เรื่องต่ำๆ วันๆ มีแต่ความมักมาก อย่าลากฉันลงต่ำไปกับแก!”

พงศ์พิศุทธิ์นอนโอดโอย มุลิลาโกรธจนตัวสั่นเดินออกไป ทว่าขณะที่กำลังจะก้าวพ้นประตูแล้ว พงศ์พิศุทธิ์ก็เข้ามาจิกหัวเธอจนหน้าหงาย แล้วกระชากให้เธอกลับเข้ามาในห้องนอนอีกครั้ง

“สูงส่งนักหรือไง ถึงได้ตัดสินว่าคนอื่นต่ำ ถ้าฉันต่ำจนน่ารังเกียจ แล้วมาอ่อยทำไม” พงศ์พิศุทธิ์ตะคอก สายตาท่าทางแตกต่างจากภาพในอดีตจากหน้ามือเป็นหลังเท้า

มุลิลามองพงศ์พิศุทธิ์ด้วยสายตาหวาดกลัว ไม่เคยเห็นมาก่อน หญิงสาวพยายามดิ้นรนต่อสู้ เธอทั้งข่วนทั้งจิกอีกฝ่าย กรีดร้องหวังว่าจะมีใครสักคนมาช่วยเธอ บัดนี้เธอตระหนักอย่างชัดเจนแล้วว่า เมื่อเวลาผ่านไป เปลือกนอกของของพงศ์พิศุทธิ์ก็ถูกลอกออกไปทีละชั้นๆ จนมาถึงแกนกลาง แล้วเธอก็รับรู้ได้เรื่อยๆ ว่ามันเลวร้ายแค่ไหน และตอนนี้เธอก็สรุปได้ว่าเขาเป็นปีศาจร้ายชัดๆ มุลิลาตัดสินใจกัดแขนพงศ์พิศุทธิ์จนจมเขี้ยว

“โอ๊ย!” พงศ์พิศุทธิ์ร้องลั่น ลืมตัวฟาดมุลิลาเปรี้ยง มุลิลากระเด็นไป หัวชนขอบเฟอร์นิเจอร์ที่อยู่ใกล้ๆ หันกลับมาเลือดไหลเป็นทางออกมาจากหัวคิ้ว พงศ์พิศุทธิ์เห็นเลือดที่ไหลจากคิ้วของมุลิลารวมถึงสายตาขยะแขยง ทั้งเกลียดทั้งกลัวของหญิงสาวก็ตกใจ อึ้งไปและเริ่มได้สติ

“มู่ลี่ ผมขอโทษ” พงศ์พิศุทธิ์ขยับจะเข้าไปหา แต่มุลิลาถอยร่นไปจนติดผนัง ชายหนุ่มชะงัก หัวใจหล่นวูบ “ผมขอโทษ...ผมไม่ได้ตั้งใจ”

มุลิลาฉวยโอกาสที่พงศ์พิศุทธิ์กำลังเผลอ วิ่งออกไปนอกห้องทันที

“เดี๋ยวก่อน มู่ลี่”

พงศ์พิศุทธิ์วิ่งตามจะคว้าตัวเธออีก แต่หญิงสาวก็หนีสุดชีวิต เธอลงไปที่ห้องรับแขก ได้ยินเสียงมือถือดังเรียกเธออยู่ พอคว้ากระเป๋ามาได้ มุลิลาก็เอามือล้วงกระเป๋ายังไม่ชักออกมา หันไปเผชิญหน้ากับพงศ์พิศุทธ์แล้วขู่เขา

“อย่าเข้ามานะ”

“มู่ลี่...จะทำอะไร” พงศ์พิศุทธิ์ชะงัก นึกว่ามุลิลามีปืน

“แก...ตาย!” มุลิลาชักมือออกมา

พงศ์พิศุทธิ์ตกใจ ลงหมอบทันที กลัวจนลนลาน คิดว่ามู่ลี่ชักปืนออกมายิง

“อย่า! มู่ลี่อย่า!” แต่กลับไม่มีเสียงดังเปรี้ยงปร้าง พงศ์พิศุทธิ์เงยหน้าขึ้นมอง เห็นมุลิลาชูมือถืออยู่

“ไม่ใช่ปืน” เขาว่าอย่างงงๆ แล้วลุกขึ้น

“อาวุธที่ทรงอานุภาพที่สุดในยุคนี้ คือ...โทรศัพท์มือถือ!”

มุลิลาเปิดหน้าจอมือถือ กดโหมดกล้องถ่ายรูป แล้วถ่ายเซลฟี่ตัวเองที่คิ้วแตกเลือดอาบทันทีด้วยความรวดเร็ว ยังไม่พอกดอัดคลิปตัวเองแล้วหันไปทางพงศ์พิศุทธิ์ด้วย ชายหนุ่มมองอึ้ง มุลิลากดหน้าจอให้ขึ้นรูปที่เป็นรูปเซลฟี่คิ้วแตกให้พงศ์พิศุทธิ์ดู

“นี่จะเป็นหลักฐานให้ตำรวจใช้เอาผิดในข้อหาพยายามฆ่าฉัน!”

“มู่ลี่” พงศ์พิศุทธิ์ตกใจ

        “นอกเหนือจากข้อหาพยายามข่มขืน ซึ่งตอนนี้มีกฎหมายคุ้มครองเมียที่ไม่เต็มใจให้ผัวมีเซ็กซ์ด้วยแล้ว...รู้ยัง! ยัง ยังไม่พอ ฉันเอาไปแฉออกสื่อว่าผู้กำกับดังซ้อมเมีย! เอาให้ฉิบหาย ไม่มีอาชีพ ไม่มีที่ยืนในสังคมไปเลย!”

“มู่ลี่...ผมบอกแล้วว่าผมขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจ ผมไม่เป็นตัวของตัวเอง เหมือนถูกผีเข้า”

“ไม่ต้องไปโทษผี! โทษความไม่มีสติของคุณเถอะ!”

“ถ้าผมติดคุก แล้วความรู้สึกของลูกล่ะจะเป็นยังไง ที่มีพ่อเคยติดคุก”

คำพูดของพงศ์พิศุทธิ์ทำให้มุลิลาอึ้งไป ฉุกคิดถึงน้องปลื้มขึ้นมาทันที

“น้องปลื้ม” มุลิลาพึมพำชื่อของลูกชายขึ้นมา ทุกอย่างชะงักค้างรวมถึงอารมณ์และความเจ็บปวดในเวลานี้ด้วย

“ใช่ ลูกเราจะกลายเป็นลูกไม่มีพ่อ ลูกคนขี้คุก ตัวปัญหา ไม่มีผู้หญิงที่ไหนรัก สังคมรังเกียจ...”

“พอ!” มุลิลายกมือขึ้นตะโกนขัด แต่พงศ์พิศุทธิ์ก็ยังคงย้ำ

“คุณทนได้เหรอ”

คำพูดของเขาทำให้เธอเงียบไป ก่อนตัดบทเร่งเรื่องให้จบเร็วขึ้น “พรุ่งนี้แปดโมงครึ่ง ไปเจอกันที่สำนักงานเขต หย่ากันให้จบๆซะที!”

“คุณคงเกลียดผมเข้ากระดูกดำแล้วจริงๆ สินะ”

“จริงยิ่งกว่าจริง และถ้าคุณยังพยายามจะแตะเนื้อต้องตัวฉันอีก...อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด รูปนี้ได้วางอยู่บนโต๊ะร้อยเวรแน่ อยากให้ตัวเองกับลูกพังก็เอา!” คนพูดยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมา

“มู่ลี่ อย่าให้เป็นเรื่องใหญ่เลย...”

“อยู่ให้ห่างๆ ฉันนะ!” มุลิลารีบถอยหนี จะออกไปจากบ้านทันที ด้วยความกลัวว่าจะถูกทำร้ายอีก

แต่แล้วมุลิลาก็ชะงัก เมื่อหันกลับไปเห็นบุปผายืนตกใจอยู่ด้านหลัง บุปผาหน้าซีด มองมุลิลาและพงศ์พิศุทธิ์ที่สภาพเยินเพราะเพิ่งผ่านการต่อสู้มา  

“นี่มันอะไรมู่ลี่ ไหนแกบอกว่าซ่อมบ้านกันไง...”

มุลิลากุมขมับทันที ความวัวไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก พงศ์พิศุทธิ์สงบลงทันที เพราะยังเกรงใจแม่ยาย

“แม่กลับก่อน” มุลิลาเดินมาดึงแขนแม่ แต่บุปผาสะบัดแขนออก

        “ยังไม่กลับ ฉันอยากคุยกับตาพงศ์ หย่าเหย่ออะไร มันต้องไม่หย่า”

“แม่เห็นหน้าหนูมั้ย เห็นยังว่าเค้าทำอะไรกับหนู!”

บุปผาเห็นคิ้วเลือดอาบของมุลิลาก็อึ้งไป “แกไปยั่วโมโหเค้าหรือเปล่า”

“แม่!” มุลิลาร้องเสียงหลง ไม่คิดว่าแม่จะถามเช่นนี้

“ใจเย็นๆ ตั้งสติกลับไปคุยกับเค้าใหม่ว่าแกจะไม่หย่า ฉันเห็นสายตาเค้า ฉันรู้ว่าตาพงศ์ไม่ได้อยากเลิกกับแกหรอก”

“แม่ ฟัง หนูทนความเจ้าชู้ ไม่รู้จักพอของเค้าไม่ไหวแล้วแม่ นั่นคือเหตุผลที่หย่า แล้วยิ่งเค้าทำแบบนี้ หนูยิ่งมั่นใจ ว่าหนูใชัชีวิตอยู่กับเค้าไม่ได้อีกแล้ว”

“แล้วแกจะเลี้ยงลูกเดียวไหวได้ยังไง” บุปผาพยายามเตือนลูก

        “แล้วแม่เลี้ยงหนูมาได้ยังไง” คนเป็นลูกย้อน

“มันไม่เหมือนกัน พ่อแกมันไม่มีสมบัติอะไรติดตัว มันจะเอาจากที่ไหนมาช่วยฉันเลี้ยงแก แต่นี่ผัวแกเป็นเศรษฐี เป็นไฮโซ หาได้ง่ายๆ ที่ไหน ยังไงฉันก็ไม่ให้แกหย่า!”

“สรุป ให้หนูอยู่เพราะเงิน เรื่องศักดิ์ศรี เรื่องหัวใจและความรู้สึก ไม่สำคัญ?”

“ไม่ใช่อย่างนั้น”

        “ไม่ใช่ได้ไง มันต้องใช่สิ ไม่งั้นแม่ไม่พูดอย่างนี้หรอก หนูกับแม่ไม่เหมือนกัน” มุลิลาเดินออกไป

“จะไปไหน มู่ลี่!”

        “ลูกรอหนูอยู่ น้องปลื้มป่วย นอนอยู่โรงพยาบาล จะไปหามั้ย แล้วก็จะรีบไปทำแผลด้วย กลัวหนูเป็นบาดทะยักมั้ย”

บุปผาลังเล อยากจะเข้าไปคุยกับพงศ์พิศุทธิ์ก็อยาก เป็นห่วงหลานก็เป็นห่วง  มุลิลาเซ็งเดินออกไปเลย สุดท้ายแล้วบุปผาตัดสินใจตามมุลิลาไป

 

        อัศวินกลับบ้านมือเปล่า เขาไม่ได้ซื้อของตามที่คุณแม่ผู้ใจดีแนะนำให้ สาเหตุเพราะว่าแต่ละอย่างเกินงบไปมาก ทั้งหุ่นยนต์ บ้านจำลอง ตุ๊กตาบาร์บี้ ในขณะที่ดอลลี่ให้งบมาแค่ร้อยเดียว ชายหนุ่มคิดว่าหากเขาขืนซื้อไปคงเข้าเนื้อตัวเองมากเกินไปหน่อย แต่สุดท้ายแล้วเขาก็พบทางสว่างเมื่อมาถึงบ้านแล้วพบว่ามีซาลาเปาที่ทำเอาไว้มากกว่าปกติ

        “ทำไมวันนี้ทำซาลาเปาเยอะกว่าทุกวันอะม้า แล้วก็มีแต่ไส้ครีมด้วยเนี่ย”

“น้องแสดเค้าสั่ง จะเลี้ยงวันเกิดเด็กๆ ที่บ้านเด็กกำพร้า เด็กๆ ชอบ”

“เออม้า...งั้นผมขอแบ่งซื้อหน่อยได้ปะ”   

“จะเอาไปออฟฟิศเหรอ”

“เปล่า” อัศวินยิ้มแฉ่ง ตามประสาครีเอทิฟดีใจเวลาคิดงานออก

        ชายหนุ่มหิ้วซาลาเปาแล้วไปจัดใส่กล่องอย่างสวยงาม ก่อนที่จะนั่งลงตั้งใจวาดและตกแต่งการ์ดเยี่ยมไข้ด้วยมือตัวเองในสไตล์เรียบง่ายและน่ารัก บนการ์ดเขียนคำว่า “Get Well Soon” from Miss Dolly ตามด้วยการ์ตูนลายเส้นแครักเตอร์ดอลลี่

อัศวินนั่งมองการ์ด ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างพอใจ

 

มุลิลามาถึงโรงพยาบาลแล้วก็รีบไปทำแผล แล้วรีบรุดไปหาลูกชายกับบุปผาที่พอถึงห้องก็พบว่าน้องปลื้มตื่นอยู่แล้ว ต้องตาเห็นเพื่อนแล้วโล่งใจ บุปผาถลาเข้าไปหาหลานชาย กอด ลูบหัวอย่างรักใคร่ น้องปลื้มดีใจกอดตอบ ยายหอมแก้มหลาน หลานเองก็หอมแก้มยาย ต่างคิดถึงกันและกัน มุลิลาที่มองอยู่อีกมุมหนึ่งรู้สึกสะเทือนใจ

“เมื่อกี้ยายไปบ้านปลื้มมา เจอพ่อด้วยนะ พ่อบ่นคิดถึง” บุปผาว่า

มุลิลาสะดุ้งเฮือก กลัวบุปผาพูดมาก รีบขัดเบาๆ “แม่...”

“เออ รู้น่ะ ทุกอย่างปกติ ซึ่งมันต้องเป็นอย่างนั้น” บุปผาถอนใจเบาๆ แต่ก็ส่งสายตาให้ลูกสาวเห็นว่าถึงอย่างไรก็ไม่เห็นด้วยกับการหย่า และตนเองก็จะไม่มีวันยอมให้เกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นแน่ๆ

“แก...ไปข้างนอก” ต้องตากระซิบ อยากคุยกับเพื่อนจะแย่

ทั้งคู่ออกไปยืนตรงระเบียงโถงกลาง

“ฉันโทร.ไปหาแกตั้งหลายรอบแกก็ไม่รับสาย เป็นห่วงแทบแย่ ไม่คิดเลยว่าแกจะต้องมาโดนแบบนี้” ต้องตามองเพื่อนด้วยสายตาเป็นห่วง หลังจากฟังมุลิลาเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง

“ฉันกลัวแทบแย่ ถึงจะมีเรื่องระหองระแหงกันมาหลายครั้ง แต่ไม่มีครั้งไหนเลยที่ฉันทั้งเกลียด ทั้งกลัวมันมากเท่านี้” มุลิลาพูดขณะพยายามข่มอาการสั่นเทาลง

“ท่าทางแม่แกจะยื้อสุดแรงเกิดแน่ ประมาณว่าหย่าได้ก็กลับไปแต่งใหม่ได้” ต้องตาเครียดแทนเพื่อน

“ช่างมันเถอะ ฉันตัดสินใจแล้ว และเรื่องนี้สักวันแม่คงรับได้”

“พรุ่งนี้ฉันจะรีบมาแล้วกัน แล้วแน่ใจนะว่าไปคนเดียวได้ ให้พี่ยักษ์ไปเป็นเพื่อนมั้ย” ต้องตาถาม

“ไม่เป็นไร ฉันไม่กลัว อีกอย่างเขาคงไม่กล้าทำอะไรต่อหน้าคนเยอะๆ หรอก”

        “งั้นก็ตามใจ...”

        “พี่ยักษ์ถึงไหนแล้ว”

        “อีกสิบนาทีถึงข้างหน้า แกขึ้นไปก่อนก็ได้ ไม่ต้องรอส่งฉัน นอนพักเยอะๆ นะ ปวดแผลหรือเปล่า”

        “นิดๆ พรุ่งนี้น่าจะปวดมากกว่านี้ เวรละ! พรุ่งนี้ฉันต้องเป็นพิธีกรออกทีวี!” มุลิลาพูดไปพูดมานึกถึงเรื่องสำคัญขึ้นมาได้

“จะไหวเหรอแก” ต้องตารีบถามอย่างเป็นห่วง

“แค่คิ้วแตก ไม่เป็นไรหรอก”

        “ไม่ใช่ หมายถึงเป็นพิธีกรน่ะ”

มุลิลาเงียบไปนิดก่อนที่จะยิ้มกว้างเหมือนให้กำลังใจตัวเอง แล้วพูดต่อว่า “โอ๊ย สบาย ฉันดูรายการชอปปิงทีวีบ่อยๆ น่าจะไม่ยาก”

ต้องตามองมุลิลาแบบไม่ค่อยจะเชื่อเท่าไหร่นัก

        “เออน่า แกไม่ต้องเป็นห่วง ไอ้ตี๋นั่นไม่มีทางว่าอะไรฉันได้แน่...เพราะฉันคือมืออาชีพ ไม่มีอะไรเกินมือ!” มุลิลาว่าแล้วก็ดันเพื่อนให้เดินไปยังลิฟต์ แล้วไล่ต้องตากลับไปพักผ่อน

 

        หลังจากจัดการกับของเยี่ยมเรียบร้อยแล้ว อัศวินก็ใช้เวลาพักผ่อนเล็กๆ กับกาแฟ เคล้าเสียงวิทยุที่เจ๊สมพี่สาวเปิดฟัง เจ๊สมกำลังเช็ดอุปกรณ์นึ่งซาลาเปาติ่มซำเตรียมขายวันรุ่งขึ้น และฟังวิทยุรายการแสดไปด้วย

“มีแต่ใจที่กล้าหาญของตัวเองเท่านั้น ที่จะทำให้เราก้าวข้ามมันไปได้” เจ๊สมตั้งใจฟังสุดฤทธิ์ โดยไม่รู้ตัวว่าอัศวินมองอยู่ อัศวินเข้าทิ้งตัวลงนั่งใกล้พี่สาว

“ฟังด้วยคนสิ” อัศวินพูดขึ้น เจ๊สมสะดุ้งเพราะกำลังฟังเพลินๆ

“เฮ้ย! เอ้อ มาไม่ให้สุ้มให้เสียง” ว่าแล้วก็หันไปขัดถูอุปกรณ์ทำมาหากินอีกรอบ ทำเป็นไม่สนใจวิทยุที่เปิดค้างเอาไว้

“ไม่บอกใครหรอกว่าเจ๊ปากอย่างใจอย่าง ไม่บอกพี่แสดด้วยว่าเจ๊เป็นแฟนคลับ”

“ใครบอก แค่ฟังผ่านๆ ก็ว่าจะเปลี่ยนคลื่นอยู่” เจ๊สมลุกจะไปเปลี่ยนคลื่น แต่จะกดแล้วได้ยินเสียงของพี่แสดดังขึ้น

“มีเพื่อนของพี่แสดคนนึงค่ะ นางขายซาลาเปา...”

เจ๊สมชะงักกึก รอฟัง...

        ที่ห้องจัดรายการสถานีวิทยุ เจ๊แสดกำลังจัดรายการอยู่หน้าไมค์ เมาท์มอยมันปากสุดๆ มีบอลผู้ช่วยนั่งสัปหงกอยู่หน้าห้อง

“คือซาลาเปาอร่อย แต่นางน่ะไม่อร่อย แข็ง กระด้าง เคี้ยวไปแล้วต้องดื่มน้ำเป็นลิตรกว่าที่จะกลืนลงไปได้ แต่นางก็ชอบมาบอกว่าของนางน่ะของดี...”

        ที่บ้านของอัศวิน เจ๊สมมองวิทยุด้วยความรู้สึกอยากจะทุ่มทิ้งเต็มแก่ และก่อนที่เจ๊สมจะทำแบบนั้นสำเร็จ อัศวินก็กระโดดเข้ามาห้ามเอาไว้ก่อน

        “เดี๋ยวเจ๊”

        “อีแสด!!! มันว่ากู!”

“เฮ้ย เค้าไม่ได้ระบุชื่อ”

“แล้วมันจะเป็นใครที่ขายซาลาเปาแล้วก็ไม่อร่อย ก็เจ๊นี่แหละ!” เจ๊สมเดือดสุด หันจะไปทุ่มวิทยุอีก อัศวินปกป้องวิทยุด้วยชีวิต เสียงดีเจแสดดังลอยออกมาอีกว่า

“จริงๆ นางก็รู้ตัวนะคุณผู้ฟังว่าตัวเองไม่อร่อย”

“นั่นไงๆ เหมือนตาเห็นนะมึง แล้วไง กูไม่อร่อยแล้วมันเกี่ยวกับเรื่องความกลัวที่มึงพูดตรงไหน พูดให้เกี่ยวนะ ไม่เกี่ยว กูพังสถานี”

อัศวินยืนมองพี่สาวทะเลาะกับวิทยุแล้วขำ ส่ายหน้า ได้ยินเสียงดีเจแสดพูดต่อไป

“ก็เลยสร้างกำแพงทั้งยาวทั้งใหญ่พอๆ กับกำแพงเมืองจีนขึ้นมาปิดตัวเอง ไม่ทำในสิ่งที่อยากทำ รู้ตัวอีกทีก็สายไปซะแล้ว น่าเสียดาย”

คราวนี้เจ๊สมอึ้งไป ซึมลงอย่างเห็นได้ชัด อาการโวยวายโมโห เหวี่ยงหายไปแล้ว อัศวินก็อึ้งเช่นเดียวกัน แต่ความรู้สึกของเขามีปนกับความเห็นใจ ด้วยรู้ว่าอะไรในคำพูดของแสดที่จี้ใจดำของพี่สาว

“เอามานี่” เจ๊สมดึงวิทยุกลับมาแล้วปิด ก่อนที่จะเดินเข้าไปข้างใน

        “เจ๊” อัศวินร้องเรียกอย่างเป็นห่วง

เจ๊สมหันมายิ้มเศร้า “จริงๆ แล้วมันคงไม่ได้หมายถึงเจ๊หรอก มันหมายถึงคนอื่น”

แล้วเจ๊สมก็เดินเข้าไป อัศวินมองตามอย่างสงสาร

‘ความกลัว...มันมีอำนาจกับคนคนหนึ่งได้ขนาดนี้เลยเหรอ’ เขาคิด

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น