9

ตอนที่ 8...แพ้ทาง


ฌอนพูดแล้วแกล้งหยุดอยู่แค่นั้น มองไปยังขวัญชีวาตาเขม็ง ทั้งยังเผยรอยยิ้มที่มุมปากอย่างมีเลศนัย ทำเอาคนถูกมองใจเต้นตุ๊มๆ ต้อมๆ นึกก่นด่าอีกฝ่ายอยู่ในใจ เพราะถ้าเจ้าตัวบอกออกไปว่าเผ็ด รับรองน้าแขต้องไปถามกับแม่ครัวอย่างแน่นอน ความจริงก็จะถูกเปิดเผย เธอไม่ได้กลัวอะไรหรอกนอกจากเสียหน้าและโดนกล่าวหาว่าเล่นเป็นเด็ก

“อ้าว...พูดไทยได้ด้วย เก่งจัง” แขไขเอ่ยชมชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาอย่างเอ็นดู

“คุณแม่ผมเป็นคนไทยครับ” หนุ่มลูกครึ่งบอกน้ำเสียงสุภาพ

“เหรอจ๊ะ แล้วเมื่อกี้จะบอกว่ารสชาติของต้มยำกุ้งเป็นยังไงหรือคะ ถ้าเผ็ดไปจะได้ไปต่อว่าแม่ครัว เพราะปกติอาหารของที่นี่จะเน้นรสชาติกลางๆ นอกจากคนสั่งต้องการเผ็ดเท่านั้น”

“ผมกำลังจะบอกว่ารสชาติอร่อยมากครับ”

คนที่รอฟังลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก อีตาบ้า...ชอบพูดกำกวมให้คิดไปไกล

“ขอบคุณค่ะ อย่างที่บอก ถ้าต้องการรสจัดบอกได้ เราจัดให้ตามใจลูกค้า ถ้าอย่างนั้นคงต้องขอตัวก่อนนะคะ ต้องการอะไรเพิ่มเติมบอกเด็กได้เลยค่ะ” เจ้าของร้านบอกยิ้มๆ ก่อนจะหันไปทางลูกสาวของเพื่อนสนิท “ก่อนกลับแวะไปหาน้าด้วยนะหนูวา”

“ค่ะ น้าแข”

หลังจากเจ้าของร้านเดินผละไปแล้วกนกลดาก็หันไปพูดกับขวัญชีวา

“ไม่ยักรู้ว่าคุณขวัญชีวารู้จักคุณแขด้วยนะคะ”

“นั่นสิคะคุณลดา ไม่อยากเชื่อว่าคนอย่างหนูวาจะรู้จักคนระดับคุณแข” ลูกขุนพลอยพยักอย่างมลทิพย์พูดเสริมทันควัน

“อ้อ...ไม่ยักรู้กับไม่อยากเชื่อ” ขวัญชีวาเน้นคำพูดพลางยิ้มแต่ดวงตาวาววับ “ทำไมหรือคะ คนที่รู้จักกับคุณแขไขต้องเป็นคนระดับคุณลดาหรือพี่มลทิพย์เท่านั้น? ระดับหนูวารู้จักไม่ได้?” ขวัญชีวาพูดย้อนอย่างไม่ต้องมีความเกรงใจกันแล้ว เพราะไหนๆ เธอก็จะไม่อยู่บริษัทนี้อีกแล้ว เกลียดนักเชียวกับคนที่ชอบพูดจาดูถูก คิดว่าตัวเองเหนือกว่าผู้อื่น ซึ่งคนถูกย้อนทั้งคู่ก็ถึงกับพูดไม่ออก โดยเฉพาะกนกลดาที่ถือว่าตัวเองเป็นผู้บริหารของบริษัทรู้สึกอับอายคนนอกอย่างฌอนกับเดฟเป็นยิ่งนัก ที่ถูกพนักงานในบริษัทพูดย้อนอย่างไม่เกรงใจ

แต่ยังไม่ทันพูดว่าอะไรออกไป มลทิพย์ก็ชิงพูดแทนออกไปก่อนด้วยน้ำเสียงเยาะๆ เพราะอยากพูดเอาหน้า กระทั่งลืมมารยาทว่าไม่ควรถามออกไปเช่นนั้น

“คนระดับอย่างคุณลดารู้จักคุณแขไม่ใช่เรื่องแปลก แต่เธอล่ะหนูวา จัดอยู่ระดับไหนไม่ทราบ”

คนไม่เคยพูดจาโอ้อวดใครถึงฐานะตัวเองมาก่อนอย่างขวัญชีวา จากที่ยิ้มอยู่กลายเป็นหัวเราะออกมาเบาๆ ที่เคยมองว่าพวกชอบโอ้อวดนามสกุลกันช่างไร้สาระ แต่ตอนนี้ขอทำตัวแบบนั้นบ้างเถอะ

“คนนามสกุลอริยะสัตย์เนี่ยจัดอยู่ระดับไหนได้บ้างล่ะคะพี่มลทิพย์”

มลทิพย์หัวเราะออกมาอย่างขบขันแบบคนที่ไม่รู้อะไรจริง “นามสกุลอริยะสัตย์เหรอ พี่ไม่ยักเคยได้ยินมาก่อนเลย ไม่รู้ว่าจะจัดให้อยู่ระดับไหน”

ปกรณ์ที่กำลังพาตัวเองเข้าสู่วงสังคมชั้นสูงมองไปยังขวัญชีวาด้วยสายตาตื่นตะลึง

“คุณขวัญชีวานามสกุลอริยะสัตย์หรือครับ”

“ใช่ค่ะ” ขวัญชีวาตอบน้ำเสียงเรียบ “ไม่มีใครรู้หรอกค่ะ แต่จะว่าไปแล้วคุณปกรณ์เป็นผู้จัดการแผนกยังไม่รู้แล้วใครจะรู้ล่ะคะ” คนพูดพูดประชดออกไปเพื่อความสะใจ หาได้มีความรู้สึกอย่างอื่นปะปนไม่ “แล้วคุณปกรณ์รู้จักคนนามสกุลนี้ด้วยหรือคะ”

“เอ้อ...ไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัวหรอกครับ แค่เคยได้ยินชื่อ”

“ใครหรือคะคุณกรณ์” กนกลดาเอ่ยถาม เธอเคยได้ยินเหมือนกันแต่นึกไม่ออกเท่านั้น

“คุณเอกดนัย อริยะสัตย์ ไงครับลดา ที่เป็นเจ้าของอริยะสัตย์กรุ๊ป เจ้าพ่อวงการก่อสร้างอันดับต้นๆ ของประเทศ” ปกรณ์บอกน้ำเสียงแหบแห้ง ทั้งบังเกิดความเสียดายขึ้นมาอย่างท่วมท้น

คนที่นั่งฟังคำสนทนาทั้งจับสังเกตคนรอบข้างไปด้วยอย่างฌอนมองไปยังขวัญชีวาแล้วลอบยิ้ม เขามองออกแต่แรกแล้วว่าผู้หญิงคนนี้ความเป็นมาไม่ธรรมดาหรอก ฟังจากคำพูด เจ้าตัวเป็นคนเก็บงำประกายได้อย่างมิดชิดจริงๆ จนสามารถหลอกตาคนอื่นได้

“หนูวา นั่นพี่ชายแกเดินตรงรี่มาโน่นแน่ะ” กรวรรณสะกิดบอกเพื่อน

ขวัญชีวาหันขวับไปมองตามสายตาเพื่อนจึงเห็นชายหนุ่มร่างสูงผิวขาวในชุดกางเกงสแล็กส์สีเทาดำ เสื้อเชิ้ตสีฟ้าริ้วขาวพับครึ่งศอกกำลังเดินตรงรี่มาหาเธอ กฤตนัยพี่ชายคนโตของเธอนั่นเอง

“น้องหนู...”

“พี่กฤต มายังไงคะ” คนเป็นน้องทักอย่างดีใจ

“พี่กฤตมาได้ไงไม่สำคัญ แต่น้องหนูล่ะมายังไงแล้วมากับใคร นี่ก็ค่ำแล้วทำไมยังไม่กลับบ้านอีกหือ” พี่ชายผู้หวงน้องสาวยิ่งชีวิตยิงคำถามรัวใส่ทันที

น้องสาวยังไม่ทันตอบคำถามที่พรั่งพรูออกมาก็เจอคำพูดเป็นเชิงคำสั่งตามมาติดๆ

“เดี๋ยวกลับพร้อมพี่กฤตเลยแล้วกัน”

ขวัญชีวาทำหน้าเมื่อยก่อนจะบอกน้ำเสียงออดอ้อนที่เธอใช้ได้ผลเสมอกับทุกคนในครอบครัว “พี่กฤตขา หนูมากับที่บริษัทค่ะ เดี๋ยวยังต้องขับรถไปส่งยายนกที่บ้านอีก”

กรวรรณยกมือขึ้นไหว้พี่ชายของเพื่อน “สวัสดีค่ะพี่กฤต”

กฤตนัยยกมือรับไหว้แล้วก็ชะงักเมื่อเห็นฌอน เขารู้สึกว่าหน้าตาแบบนี้เขาเคยเห็นจากที่ไหนมาก่อน เพียงแต่ตอนนี้นึกไม่ออกเท่านั้น ครั้นหันไปทางเรือนไทยหลังที่ลูกค้าของเขานั่งอยู่และกำลังมองมาก็เกิดอาการละล้าละลังทันที

ขวัญชีวาเห็นดังนั้นจึงยิ้มตาใสบอกพี่ชาย “พี่กฤตมากับลูกค้าไม่ใช่หรือคะ ไปเถอะค่ะไม่ต้องห่วง เดี๋ยวหนูก็กลับแล้ว”

“รีบกลับจริงๆ นะ” พี่ชายถามย้ำ

“แน่สิคะ พี่กฤตไปเถอะค่ะ”

“ถ้าอย่างนั้นพี่กฤตไปก่อน แล้วเจอกันที่บ้าน” พูดจบกฤตนัยก็หันไปมองฌอนอีกครั้ง นึกหงุดหงิดที่นึกไม่ออกว่าอีกฝ่ายเป็นใครก่อนจะเดินผละไป

“คนที่คุยกับคุณขวัญชีวาใช่คุณกฤตนัยหรือเปล่าครับ”

“ใช่ค่ะ พี่กฤตเป็นพี่ชายคนโตของหนูวาเอง” ขวัญชีวาบอกออกไปเพราะความหมั่นไส้ ทั้งที่ไม่ได้นึกอยากโอ้อวดใครเลยสักนิด

กนกลดาที่อึ้งตั้งแต่ได้ยินคนเป็นสามีบอกแล้ว กฤตนัยคือสิ่งยืนยันว่าคำพูดดังกล่าวเป็นความจริง เพราะเธอเคยเห็นชายหนุ่มผู้นี้ตามงานสังคมมาหลายครั้ง ตอนนี้ความอับอายที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้ากลับกลายเป็นความเสียหน้า ผู้หญิงที่ตัวเองเคยนึกดูถูกดูหมิ่นตั้งแต่รู้ว่าสามีเคยไปเกี้ยวพา ทว่าความเป็นจริงกลับมีความเป็นมาที่เหนือกว่าตัวเธอ ต้องเรียกกว่าเหนือกว่ามากมายด้วยซ้ำ

มลทิพย์มีอาการไม่ต่างกันและดูเหมือนจะยิ่งกว่ากนกลดา เพราะเธอเคยพูดจาดูถูกดูแคลนขวัญชีวาเอาไว้เยอะ ไม่นึกเลยว่าผู้หญิงที่แต่งตัวแสนจะธรรมดาไม่ได้มีอะไรหรูหราเท่าเธอ กระเป๋าที่ใช้ก็มีขายดาษดื่นทั่วไป เครื่องประดับสักชิ้นก็ไม่มีติดตัว ขับรถก็เป็นอีโกคาร์คันเล็กๆ

“คนเมื่อกี้พี่ชายเธอจริงๆ หรือหนูวา” มลทิพย์เอ่ยถามเสียงสั่นทั้งที่รู้ว่าเป็นคำถามไม่น่าถามออกไป จากคำสนทนาเมื่อกี้ถ้าไม่โง่จนเกินไปย่อมฟังออกถึงความสัมพันธ์ อีกทั้งหน้าตาที่ละม้ายคล้ายกันอีก

“พี่มลทิพย์ถามแบบนี้คงฟังจากคำพูดไม่เข้าใจหรือไม่ก็ดูหน้าตาไม่ออก ตกลงแกล้งโง่หรือว่าโง่จริงๆ คะ” ขวัญชีวาพูดตอกกลับทันควัน

คนถูกว่าสะอึกแต่ไม่กล้าพูดอะไรออกไปอีก

ฌอนมองหน้าจืดเจื่อนของแต่ละคนที่ดูท่าทางแล้วบางคนคงจะกลืนอะไรลงคอยากด้วยความขบขันระคนสะใจ เขาเองก็ถูกสั่งสอนมาแต่เล็กแต่น้อยว่าไม่ให้ดูถูกคนที่ด้อยกว่าเป็นอันขาด

ตอนนี้คนที่ดูมีความสุขกับการกินที่สุดคงเป็นหญิงสาวอีกคนที่เขาสังเกตเห็นว่ากินไม่ได้หยุดปาก รวมทั้งคนสนิทของเขาด้วยที่ดูจะเจริญอาหารมากกว่าปกติ ชายหนุ่มหันไปทางกนกลดากับปกรณ์แล้วถามเพื่อคลี่คลายสถานการณ์

“คุณปกรณ์กับคุณกนกลดามีอาหารอะไรแนะนำอีกไหมครับ”

“ขอแนะนำทอดมันปลากรายค่ะ ทอดมันของที่นี่จะทั้งเหนียวและนุ่มมากค่ะ และอีกอย่างคือหลนกุ้งสดกับผักสดค่ะ รับรองว่าคุณฌอนต้องติดใจแน่ๆ” กนกลดาที่ตอนนี้สีหน้าคืนกลับมาเป็นปกติแล้วอย่างคนเจนสังคมบอกยิ้มๆ

“ถ้าอย่างนั้นสั่งมาเลยครับ รับรองว่าผมกินได้ทุกอย่าง” ฌอนบอกแล้วหันไปทางกรวรรณ “อยากกินอะไรอีกก็สั่งมาได้เลยนะครับ”

คนถูกทักสะดุ้งเล็กน้อยพลางยิ้มอายๆ แล้วจึงหันไปทางผู้เป็นเพื่อน

“หนูวา ฉันยังไม่เห็นแกกินอะไรเลยนะนอกจากน้ำต้มยำ”

ขวัญชีวาหันไปมองค้อนเพื่อนที่พูดถึงเรื่องแสลงใจ เพิ่งรู้ตัวเหมือนกันว่าตั้งแต่ชิมน้ำต้มยำยังไม่มีอาหารอะไรตกถึงท้องเลย เพราะมัวแต่เผชิญกับเรื่องไร้สาระ ครั้นพอถูกถามความหิวจึงเริ่มบังเกิด หันไปมองอาหารบนโต๊ะก็เห็นแต่ละจานพร่องลงไปแทบทุกอย่าง คนที่จัดการคงไม่ใช่ใครนอกจากเพื่อนของเธอ ขณะกำลังนึกว่าจะสั่งอะไรมากินดีคนเป็นเจ้าภาพก็พูดขึ้น

“อยากกินอะไรสั่งได้เลยนะครับ นึกเสียว่าไถ่โทษที่ให้คุณชิมน้ำต้มยำเมื่อกี้”

หญิงสาวชำเลืองมองสีหน้าเรียบสนิทของคนพูดซึ่งฟังแล้วไม่ได้รู้สึกว่าเป็นการไถ่โทษเลยสักนิด จากที่ตอนแรกตั้งใจจะสั่งอาหารเกทับอีกฝ่ายให้สิ้นเปลืองเพื่อแก้แค้น ตอนนี้ความคิดนั้นไม่ได้อยู่ในหัวอีกแล้ว เพราะทำอย่างนั้นไปก็ไม่มีประโยชน์ คนระดับนี้ค่าอาหารแพงแค่ไหนไม่ระคายเขาหรอก ดูเหมือนว่าจะคิดทำอะไรกับเขาก็ไม่สำเร็จสักอย่าง แพ้ไปหมด ถึงขั้นให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัวเลยด้วยซ้ำ

ขวัญชีวาคิดอย่างเคืองขุ่นใจแล้วก็เรียกพนักงานมาหาแล้วสั่งอาหารประชด “ขอไข่เจียวทรงเครื่องด้วยค่ะ”

กรวรรณได้ยินเพื่อนสั่งอาหารแล้วอดขำไม่ได้ “แกสั่งไข่เจียวทรงเครื่องเนี่ยนะ แทนที่จะสั่งอาหารแปลกๆ มากิน”

“แล้วแกจะให้ฉันสั่งต้มยำเครื่องในกุ้งหรือหัวใจกบมากินหรือไง จะได้แปลกสมใจแก”

เดฟที่กำลังตักแสร้งว่าเข้าปากถึงกับสะดุ้ง พลางก้มลงมองกุ้งในช้อนก่อนจะเอ่ยถาม “มีด้วยหรือครับเครื่องในกุ้ง”

“ไม่มีหรอกค่ะฉันแกล้งพูดออกไปอย่างนั้นเอง เอ้อ...เค้กชาเขียวของที่นี่อร่อยมาก คุณเดฟไม่สั่งมากินล่ะคะ รับรองว่าอร่อยกว่าที่ซื้อมาวันนี้อีกค่ะ”

คนถูกถามเกือบจะทำช้อนหลุดจากมือก่อนจะยิ้มแห้งๆ “ผมกินอาหารไปเยอะคงกินขนมไม่ไหวแล้วครับ”

พูดจบก็มองไปยังคนเป็นนายพลางส่งค้อน ซึ่งคนถูกค้อนก็อดยิ้มขำไม่ได้เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายเกลียดอะไรที่เป็นชาเขียวที่สุด

“อ้าว...นั่นไข่เจียวของแกมาแล้วหนูวา มาเร็วทันใจดีแท้ แต่น่ากินชะมัดเลย”

ขวัญชีวามองไข่เจียวทรงเครื่องหน้าตาน่ากินที่พนักงานเอามาวางบนโต๊ะอย่างทึ่งๆ เพราะจานที่ใส่นั้นทำมาจากฟักทองสีเหลืองแกะสลักเป็นรูปดอกไม้อย่างสวยงาม กลิ่นหอมที่อวลขึ้นจมูกเรียกให้หญิงสาวตักใส่ปากเคี้ยวกินอย่างเอร็ดอร่อย ทว่ากินไปได้แค่คำเดียวเท่านั้นสีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นเหยเก พลางยกมือขึ้นกุมท้องก่อนจะร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด “โอย...”

สีหน้าเหยเกของหญิงสาวพร้อมกับเสียงร้องโอดโอยด้วยท่าทางเจ็บปวดทำเอากรวรรณที่กำลังจะตักไข่เจียวทรงเครื่องเข้าปากชะงักจนต้องวางช้อนลง ก่อนจะหันไปถามอย่างตกใจ

“แกเป็นอะไรไปหนูวา”

“ฉัน...ปวดท้อง” ขวัญชีวาบอกเพื่อนพลางนั่งตัวงอยกมือขึ้นกุมท้อง

“ปวดท้อง! เป็นเพราะกินน้ำต้มยำเมื่อกี้เข้าไปหรือเปล่า”

คนเป็นเพื่อนสันนิษฐาน ทำเอาสีหน้าของฌอนเริ่มเสีย มองคนนั่งกุมท้องร้องโอดโอยด้วยความรู้สึกผิดที่ถาโถมขึ้นภายในใจ เป็นเพราะเขาให้เธอชิมน้ำต้มยำนั่นแน่เลย

“คุณเป็นโรคกระเพาะอยู่หรือเปล่า”

“เคย...เป็นค่ะ” ขวัญชีวาตอบเสียงสั่น

คำตอบของหญิงสาวทำให้นักธุรกิจหนุ่มยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้น นี่เขาแกล้งเธอเกินกว่าเหตุไปหรือเปล่า อาจเป็นเพราะเจ้าตัวกินเผ็ดเข้าไปโดยที่ยังไม่มีอาหารอะไรตกถึงท้อง พอมากินอาหารเข้าจึงทำให้เกิดอาการเช่นนี้ “ผมขอโทษ...”

กฤตนัยที่คอยใช้สายตาเมียงๆ มองๆ มา เพราะเรือนที่เขานั่งไม่ได้อยู่ห่างจากที่น้องสาวนั่งนัก ทำให้สังเกตเห็นอากัปกิริยาผิดปกติได้ จึงรีบลุกขึ้นแล้วก้าวพรวดเข้ามาหาในทันใด

“น้องหนูเป็นอะไร”

ขวัญชีวาเงยหน้ามองพี่ชายพูดเสียงแผ่ว “หนู...ปวดท้องค่ะพี่กฤต”

ท่าทางเจ็บปวดของน้องสาวสุดที่รักทำให้พี่ชายแทบอยากจะเจ็บแทนเสียเอง ครั้นเห็นชามต้มยำบนโต๊ะก็นิ่วหน้าก่อนจะถามเสียงเครียด “เพราะน้องหนูกินต้มยำนั่นหรือเปล่าถึงทำให้ปวดท้อง”

“ใช่...ค่ะ แค่ชิมคำเดียวเท่านั้น” คนเป็นน้องตอบเสียงอ่อย

“โธ่...รู้ว่ากินเผ็ดไม่ได้แล้วกินเข้าไปทำไมนะน้องหนู ดูสิ น้ำแดงขนาดนั้นมองดูก็รู้ว่าเผ็ดมาก” กฤตนัยต่อว่า ครั้นเห็นมือที่กุมท้องของน้องสาวตกลงก็ถามด้วยสีหน้าที่ดีขึ้น “แล้วนั่นหายปวดแล้วหรือจ๊ะ”

“มันปวดๆ หายๆ ค่ะพี่กฤต แต่ตอนนี้ปวดอีกแล้ว” คนพูดยกมือขึ้นมากุมท้องอีกครั้ง เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นจนเต็มหน้า

กฤตนัยหันกลับไปมองที่โต๊ะด้วยท่าทางละล้าละลัง เพราะลูกค้าที่นั่งอยู่ก็สำคัญมาก กว่าจะหาโอกาสนัดหมายได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ห่วงน้องสาวก็แสนห่วง ครั้นกวาดสายตามองคนบนโต๊ะ ไม่มีใครที่เขาจะรู้จักและพอจะไว้ใจได้เท่ากรวรรณ

“นก พาน้องหนูไปโรงพยาบาลแทนพี่หน่อยนะ พี่คุยกับลูกค้าเสร็จเรียบร้อยแล้วจะรีบตามไป”

คนถูกฝากฝังยังไม่ทันเอ่ยปากรับคำเพราะถูกฌอนชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน

“ให้ผมเป็นคนพาไปโรงพยาบาลเถอะครับ เพราะต้นเหตุมาจากผมที่ขอให้คุณขวัญชีวาเป็นคนชิมน้ำต้มยำจนต้องเป็นแบบนี้เอง ผมชื่อ ฌอน เผิง หรือพชรครับ”

แม้จะอยู่ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน ทว่ากฤตนัยก็พลันนึกออกว่าเคยเห็นและได้ยินชื่อชายหนุ่มผู้นี้มาจากไหน ที่แท้เคยเห็นหน้าอีกฝ่ายจากในนิตยสารและได้ยินชื่อจากที่บิดาพูดถึงนั่นเอง และไม่รู้เป็นเพราะอะไรทำให้เขายอมรับปากออกไปโดยไม่ต้องนึกไตร่ตรอง ทั้งที่ไม่รู้จักอีกฝ่ายเป็นการส่วนตัวเลยด้วยซ้ำ

“ถ้าอย่างนั้นผมฝากน้องสาวกับคุณด้วยแล้วกัน” คนเป็นพี่ชายมองน้องสาวอีกครั้งอย่างห่วงกังวล ทว่าเมื่อนึกว่ากรวรรณต้องไปด้วยอยู่แล้ว ความรู้สึกดังกล่าวจึงค่อยคลายลงก่อนจะเดินผละกลับไปที่โต๊ะ

ฌอนหันไปมองสองสามีภรรยาที่ยังอยู่ในอาการตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น “ผมขอพาคุณขวัญชีวาไปโรงพยาบาลก่อนนะครับ”

“เชิญเลยค่ะ เดี๋ยวทางนี้ผมจัดการเอง ฝากคุณหนูวาด้วยนะครับคุณฌอน”

“ไม่ต้องฝากหรอกครับ ผมต้องรับผิดชอบในตัวคุณขวัญชีวาอยู่แล้ว” พูดจบก็หันไปมองทางขวัญชีวา “คุณพอจะเดินไหวไหม”

“พอไหวค่ะ”

“เดี๋ยวนกช่วยประคองเองค่ะคุณฌอน” กรวรรณบอกชายหนุ่มตาใส รู้สึกดีใจนักหนาที่จะได้ใกล้ชิดกับไอดอลแม้จะอยู่ในช่วงที่เพื่อนรักป่วยก็ตามที

“ผมอุ้มน่าจะดีกว่า”

คนพูดพูดจบก็ตวัดแขนอุ้มหญิงสาวที่ยังนั่งกุมท้องตัวเองอยู่แล้วเดินจ้ำพรวดๆ ตรงไปยังรถที่จอด โดยมีกรวรรณที่ยังตกอยู่ในอาการตกตะลึงปนอึ้งอยู่กับที่ ซึ่งก็ไม่แพ้หลายคนที่นั่งมองอยู่เช่นกัน

คงมีเพียงเดฟเท่านั้นที่ไม่ได้นึกแปลกใจอะไร ครั้นหันไปเห็นหญิงสาวที่ยังยืนอึ้งอยู่ก็เอ่ยถาม “ตกลงคุณจะไปด้วยกันไหม”

“ไป...ไปด้วยสิ”

คนถูกอุ้มโดยไม่ทันตั้งตัวได้แต่เกร็งตัวแข็งทื่อไม่กล้ากระดุกกระดิกแทบลืมหายใจ ตั้งแต่เกิดมาจนอายุยี่สิบสามปีนอกจากบิดากับพี่ชายเธอไม่เคยใกล้ชิดใครมากเท่านี้มาก่อน กลิ่นหอมจางๆ จากตัวเขาที่จมูกเธอสัมผัสอยู่สร้างความรู้สึกแปลกๆ ที่ไม่รู้จะบรรยายอย่างไรถูก กระทั่งเจ้าของอ้อมแขนเดินถึงรถแล้วเปิดประตูวางเธอลงบนเบาะนั่นแหละจึงค่อยคืนสติ จะดิ้นรนขัดขืนตอนนี้ก็คงสายไปเสียแล้ว

ไม่รู้ว่าพี่ชายของเธอเห็นไหม ไม่อยากจะคิดถึงผลลัพธ์ เพราะถ้าเห็นรับรองกลับไปถึงบ้านมีหวังได้ถูกตั้งกรรมการสอบสวนเป็นแน่

ตัวเธอไม่ใช่ผู้หญิงตัวเล็กๆ แต่อีกฝ่ายกลับยกเธอขึ้นอุ้มอย่างสบาย ท่าทางจะชำนาญเรื่องนี้ คงอุ้มใครอยู่บ่อยๆ เป็นแน่ เมื่อคิดถึงตรงนี้ภายในใจก็เกิดความรู้สึกหมั่นไส้ระคนเคืองขุ่นขึ้นมาทันที

คนบ้า...ออกความเห็นปุ๊บก็ทำตามนั้นปั๊บ ถามเธอสักคำสิว่าอยากให้อุ้มไหม! แต่ถ้าเขาถามจริงๆ แล้วเธอจะตอบว่าไงล่ะ

ครั้นหันไปมองเพื่อนสนิทที่ตามเข้ามานั่งที่เบาะข้างๆ ก็เห็นเจ้าตัวขยิบตาเจ้าเล่ห์ส่งมาให้ ขวัญชีวาจะทำยังไงได้นอกจากถลึงตาใส่กลบเกลื่อน

“อ้าว แกหายปวดท้องแล้วเหรอหนูวา”

เป็นเพราะมัวแต่คิดโน่นนี่จึงทำให้ขวัญชีวาลืมอาการปวดท้องไปชั่วขณะ ขณะกำลังจะตอบเพื่อนหูก็ได้ยินฌอนบอกกับเดฟซึ่งเป็นคนขับว่า

“เดฟแกขับไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดนะ”

หญิงสาวสาวรีบบอกออกไปว่า “ไปส่งที่โรงพยาบาลตรงซอยนานาดีกว่าค่ะเพราะมีบัตรคนไข้อยู่ที่นั่น จะได้ไม่ต้องยุ่งยาก”

ฌอนเหลียวไปมองคนพูดแล้วนึกในใจอย่างขบขันระคนเบิกบาน ขนาดปวดท้องยังจะเลือกโรงพยาบาลอีกนะ แต่ก็เบือนหน้าบอกคนสนิท “ไปตามที่คุณขวัญชีวาบอก”

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น