10

ตอนที่ 9...แพ้ใจ


โรงพยาบาลที่ขวัญชีวาบอกให้มาส่งเป็นโรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่ที่มีการบริการประหนึ่งโรงแรมระดับห้าดาว เพียงแค่รถจอดเท่านั้นก็มีเจ้าหน้าที่มายืนโค้งอยู่ข้างรถเพื่อรอเปิดให้พร้อมด้วยรถเข็นผู้ป่วย

ขวัญชีวาถูกพาขึ้นรถเข็นเข็นไปยังเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ ซึ่งเจ้าหน้าที่ที่นั่งประจำอยู่เอ่ยถามขึ้นทันที

“ไม่ทราบมีบัตรคนไข้ของที่นี่หรือยังคะ”

คนเจ็บยังไม่ทันตอบฌอนก็เป็นฝ่ายตอบ เพราะเดาได้อยู่แล้วอีกฝ่ายต้องมี

“มีครับ”

“ขอทราบชื่อด้วยค่ะ” เจ้าหน้าที่สาวสวยเอ่ยถาม ซึ่งคนตอบก็เป็นคนเดิมอีกตามเคย ที่บอกชื่อและนามสกุลออกไปอย่างคล่องแคล่วราวกับเคยเอ่ยถึงอยู่บ่อยๆ

“ขวัญชีวา อริยะสัตย์ ครับ”

เมื่อเจ้าหน้าที่คีย์ข้อมูลแล้วพบชื่อของหญิงสาวก็ส่งยิ้มให้ก่อนจะสอบถามถึงรายละเอียดเบื้องต้น

“คนป่วยมีอาการเป็นยังไงหรือคะ”

“ปวดท้องมากครับ จากการที่กินอาหารรสเผ็ดเข้าไป” คนตอบตอบราวกับตัวเองที่เจ็บป่วย

“ไม่ทราบว่าต้องการพบคุณหมอท่านใดเป็นพิเศษหรือเปล่าคะ” เจ้าหน้าที่สาวสวยในชุดยูนิฟอร์มของโรงพยาบาลถามน้ำเสียงนอบน้อม

“คุณหมออนวัชรค่ะ” ขวัญชีวาเพิ่งได้มีโอกาสตอบเองบ้าง คนที่เธอเอ่ยถึงมีศักดิ์เป็นพี่ชายลูกของลุง

“อ๋อ...คุณหมอวัชรเข้าเวรอยู่ห้องฉุกเฉินพอดีเลยค่ะ ถ้าอย่างนั้นเชิญตามเจ้าหน้าที่ไปเลยค่ะ”

เจ้าหน้าที่ที่เข็นรถตั้งแต่แรกตรงเข้ามาเพื่อจะพาคนเจ็บไปยังห้องฉุกเฉิน ทว่าฌอนโบกมือขึ้นห้าม

“เดี๋ยวผมเข็นเองดีกว่าครับ”

พูดจบคนรู้สึกผิดก็เข็นรถพาหญิงสาวตามเจ้าหน้าที่ตรงไปยังห้องฉุกเฉินทันที โดยไม่รู้เลยว่าหลังจากเขาคล้อยหลังไปไม่นาน เจ้าหน้าที่ที่ประจำอยู่เคาน์เตอร์ต่างหันไปซุบซิบกันทันที

“น่าอิจฉาผู้หญิงคนนี้จังเลยนะเธอ ดูสิ ผู้ชายดูแลไม่ห่างเลย แถมหล่อมากๆ อีกต่างหาก”

“นั่นสิ ผู้หญิงแทบไม่ต้องพูดอะไร ผู้ชายพูดแทนหมด ถ้าอุ้มได้คงอุ้มไปแล้ว เมื่อไหร่จะมีวาสนาได้เจอผู้ชายแบบนี้บ้างนะ ฉันนึกว่าผู้ชายอย่างนี้มีแค่ในละครเท่านั้น ไม่นึกว่าในชีวิตจริงจะมีบุญได้เห็น”

“นั่นสิเธอ ผู้ชายล้อหล่อ ตอนแรกฉันไม่นึกว่าจะเป็นคนไทยนะ หน้าเหมือนพวกฮ่องกงหรือไต้หวัน”

“อ๋อ ฉันนึกออกแล้ว ผู้ชายคนนี้หน้าเหมือนดาราไต้หวันคนหนึ่ง แต่ฉันนึกชื่อไม่ออก ที่เล่นเรื่อง ลำนำรักทะเลทราย ไงล่ะ คนติดกันทั่วบ้านทั่วเมือง”

“จริงเหรอ เดี๋ยวฉันต้องไปหาโหลดดูบ้างแล้ว”

 

ขวัญชีวาถูกพาเข้าไปยังห้องฉุกเฉินเพื่อรอพบแพทย์ที่ตัวเองระบุไป ส่วนคนอื่นรออยู่ตรงโซฟาด้านนอกที่มีไว้สำหรับรับรองญาติผู้ป่วย หญิงสาวนอนรออยู่บนเตียงไม่ถึงอึดใจก็เห็นร่างสูงของนายแพทย์อนวัชรเดินหน้าเครียดเข้ามา

“เป็นอะไรมาน้องหนู”

“ปวดท้องค่ะพี่วัชร” คนปวดท้องตอบทว่าสีหน้าไม่ได้ดูปวดอย่างที่บอกอาการออกไปเลย

“ปวดท้อง ปวดข้างไหน ปวดยังไง พี่จะได้บอกถูกว่าเป็นอะไร” คนเป็นพี่ชายเอ่ยถามอย่างห่วงใยแล้วทำท่าจะเข้ามากดท้องเพื่อดูอาการ

ทว่าคนเป็นน้องยิ้มแหยๆ ก่อนจะพูดเสียงอ่อย “เมื่อกี้ปวดแต่ตอนนี้หายปวดแล้วค่ะ”

“เมื่อกี้ปวดตอนนี้หายแล้ว” นายแพทย์หนุ่มทวนคำพูดแล้วหรี่ตามองน้องสาว “หมายความว่าไง”

คนที่ทำท่าปวดท้องก่อนหน้าทว่าตอนนี้ไม่มีอาการดังกล่าวหลงเหลืออยู่เลยยิ้มแห้งๆ ก่อนจะสารภาพ “หนูแกล้งปวดท้องเพราะอยากเห็นคนรู้สึกผิดค่ะพี่วัชร อยากแกล้งให้หนูชิมน้ำต้มยำดีนัก พี่วัชรก็รู้ว่าหนูกินเผ็ดไม่ได้...”

จากนั้นก็เล่าเรื่องให้พี่ชายฟัง ซึ่งคนฟังฟังจบได้แต่ส่ายหน้าพลางเอามือจิ้มหน้าผากคนเล่า

“เล่นเป็นเด็กไปได้น้องหนู ถ้าเจ้าตัวรู้ภายหลังไม่โกรธแย่เหรอ ไปล้อเล่นกับความรู้สึกเขาแบบนั้น”

“คงไม่ได้เจอกันแล้วแหละ เพราะหนูจะลาออกจากบริษัทนั้นแล้ว” เมื่อคิดว่าจะไม่ได้เจอตามที่พูดขวัญชีวากลับมีความรู้สึกโหวงๆ เหวงๆ แทรกเข้ามาจนต้องกลบเกลื่อนโดยการพูดออกไปว่า “เขาอยากมาแกล้งหนูก่อนทำไมล่ะ”

“ตามที่พี่ฟัง เขาไม่รู้ว่าน้องหนูกินเผ็ดไม่ได้ไม่ใช่หรือจ๊ะ”

“ก็...นั่นแหละ” คนเป็นน้องพูดน้ำเสียงอุบอิบ จากที่ตอนแรกรู้สึกสะใจกับท่าทีของฌอนที่แสดงอาการรู้สึกผิดซ้ำยังพูดขอโทษและยังพามาส่งโรงพยาบาลด้วยตัวเอง ตอนนี้เธอกลับเริ่มรู้สึกผิดที่หลอกเขาบ้างแล้ว

“เอาละ ถ้าอย่างนั้นพี่จะเขียนอาการว่ากระเพาะกำเริบเฉียบพลันแล้วกัน จะได้ให้พยาบาลจัดยาไปให้ตามนั้น”

“ขอบคุณค่ะพี่วัชร”

เมื่อขวัญชีวาออกมาจากห้องฉุกเฉิน คนลุกขึ้นเป็นคนแรกคือฌอนที่รีบเดินตรงรี่เข้ามาหาในทันทีราวกับรออยู่ ดวงหน้าหล่อเหลาเจือรอยกังวล

“คุณเป็นไงบ้าง ดีขึ้นหรือยัง”

“ค่อยยังชั่วแล้วค่ะ” คนตอบไม่ค่อยกล้าสบตาของคนถามนักด้วยกลัวจะเผยพิรุธ “เดี๋ยวไปรอรับยาที่ห้องยาแล้วก็กลับบ้านได้เลย”

เมื่อพูดถึงตรงนี้หญิงสาวก็นึกขึ้นได้ว่ารถยังจอดอยู่ที่ร้านอาหารและยังไม่ได้โทร. ไปหาพี่ชาย จึงมองไปทางผู้เป็นเพื่อนเพราะกระเป๋าสะพายของเธออยู่ที่อีกฝ่าย

“ฉันจัดการเอาโทรศัพท์แกโทร. ไปบอกพี่กฤตว่าแกอยู่ในความดูแลของพี่หมอวัชรแล้ว ไม่งั้นพี่ชายแกโทร. จะมาถามทุกห้านาทีเลยก็ว่าได้ ส่วนเรื่องรถเอาไว้ที่ร้านอาหารนั่นก่อนแล้วพรุ่งนี้ค่อยไปเอา”

กรวรรณนั้นคิดในใจอยู่แล้วว่ายังไงเสียฌอนก็ต้องขับรถไปส่งผู้เป็นเพื่อนอยู่แล้ว

“เดี๋ยวผมขับรถไปส่งคุณกับเพื่อนเอง”

นั่นไงล่ะ เดาไว้ไม่มีผิด ช่างเป็นสุภาพบุรุษเสียจริง สมกับเป็นไอดอลของเธอเหลือเกิน จะขอลายเซ็นตอนนี้ก็ดูผิดที่ผิดทาง เอาไว้ก่อนแล้วกัน

“ขอบคุณคุณฌอนมากค่ะ”

ขวัญชีวามองหน้าระรื่นของเพื่อนแล้วอยากร้องไห้นัก เรื่องถูกอุ้มไม่รู้ว่าพี่ชายจะเห็นหรือไม่ แล้วพ่อเจ้าประคุณยังจะไปส่งเธอที่บ้านอีก แล้วก็นึกอะไรขึ้นมาได้จึงบอกเพื่อน “คืนนี้แกนอนกับฉันแล้วกันยายนก”

ที่ต้องชวนเพื่อนไปนอนด้วยก็เพื่อกันอีกฝ่ายไว้เป็นพยานยามถูกกรรมการสอบสวน

“เรื่องนอนบ้านแกน่ะไม่มีปัญหา แต่จะมีก็ตรงเสื้อผ้านั่นแหละ เพราะฉันใส่เสื้อผ้าแกไม่ได้เข้าใจไหม”

“เกิดมาเตี้ยก็แบบนี้แหละ” จู่ๆ เดฟก็พูดทะลุกลางปล้องขึ้นมา ทั้งที่ตัวเองมั่นใจว่าคิดอยู่ในใจเท่านั้น

คนถูกว่าเกิดมาเตี้ยหันขวับไปมองคนเรียกตาขวางทันควันก่อนจะตวาดแว้ด “คุณทักฉันว่าอะไรนะ”...ไอ้ตี๋ คำสุดท้ายนั่นกรวรรณเรียกอยู่ในใจ ทั้งที่อยากเรียกออกไปใจแทบขาดแต่ก็เกรงใจฌอน

“ผมพูดว่า เกิดมาเตี้ยกว่าเพื่อนก็แบบนี้แหละ” เดฟพูดแก้ตัวน้ำขุ่นๆ นึกด่าตัวเองอยู่ในใจที่ไม่น่าเผลอพูดออกไปตามที่ใจคิดเลย ยายเตี้ยนี่ท่าทางเอาเรื่อง

“ผมก็ได้ยินเดฟพูดอย่างนั้นแหละครับ ภาษาไทยของเดฟบางคำอาจมีผิดเพี้ยนไปบ้าง” ฌอนช่วยพูดแก้ตัวให้คนสนิทเมื่อเห็นท่าทางเอาเรื่องของกรวรรณ

“แต่...”

“คุณขวัญชีวา เชิญรับยาที่ช่องหนึ่งด้วยค่ะ”

เสียงเจ้าหน้าที่ที่ประกาศชื่อคนป่วยทำให้กรวรรณชะงักคำพูดเอาไว้ ขณะกำลังจะลุกไปเอายาให้เพื่อนก็ถูกฌอนชิงตัดหน้าลุกขึ้นเสียก่อน

“เดี๋ยวผมจัดการเอง”

แม้จะมีบัตรประกันสุขภาพของบริษัทดัง แต่ก็เป็นไปตามกฎคือถ้าไม่ได้นอนโรงพยาบาลก็ต้องจ่ายเงินค่ารักษาเอง ขวัญชีวาไม่ได้ควักเงินจ่ายเองสักบาทเพราะฌอนเป็นคนจัดการรับผิดชอบให้ทั้งหมด และยาที่พี่ชายเป็นคนจัดให้ส่วนใหญ่เป็นพวกยาเคลือบกระเพาะที่กินแล้วไม่ได้เป็นอันตรายกับร่างกายแต่อย่างใด

“คุณเดินไปที่รถไหวไหม”

คำถามคล้ายคำถามเดิมทำให้ขวัญชีวารีบตอบ “เดินไหวค่ะ” แล้วก็รีบเดินไปเกาะแขนผู้เป็นเพื่อนราวกับเลือกอีกฝ่ายเป็นโล่และตรงไปยังรถทันทีโดยไม่รั้งรอ

เดฟมองหน้าคนเป็นนายแล้วหัวเราะหึๆ “มีแต่สาวๆ อยากให้นายอุ้ม คงมีคุณขวัญชีวาคนเดียวมั้งครับที่กลัวถูกนายอุ้ม”

คนเป็นนายมองไปยังคนที่เดินลิ่วๆ ไปยังรถ เจ้าหล่อนคงกลัวเขาอุ้มจริงๆ กระทั่งลืมว่าตัวเองเพิ่งจะหายปวดท้อง กลัวตอนนี้จะไม่สายเกินไปแล้วหรือเพราะเขาอุ้มมาแล้ว จึงหันไปมองคนสนิท “แกอย่ามาทำเป็นแซ็วฉันเลยน่า ระวังตัวไว้เถอะ จู่ๆ ไปว่าผู้หญิงเตี้ย รู้ไหมว่าผู้หญิงไทยถือ”

สีหน้าของเดฟเจื่อนลงก่อนจะพูดน้ำเสียงอุบอิบ “ผมไม่ได้ตั้งใจครับนาย คิดว่าพูดในใจแล้วเชียว” พูดจบคนพูดก็เดินนำหน้าตรงไปยังรถซึ่งตอนนี้หญิงสาวทั้งคู่ยืนรออยู่ข้างๆ โดยเฉพาะคนตัวเล็กกว่าที่จ้องมายังเขาตาวาวโรจน์ คาดว่าคงยังเคืองที่เขาเรียกเจ้าหล่อนว่าเตี้ยไม่หาย ซึ่งแตกต่างกับยามที่มองนายเขาราวกับคนละคน

“คุณบอกเส้นทางไปบ้านคุณมาแล้วกัน” ฌอนเอ่ยขึ้นหลังจากหญิงสาวทั้งคู่ขึ้นมานั่งบนรถเรียบร้อยแล้ว

ขวัญชีวาเกือบจะหลุดปากพูดออกไปแล้วว่าจะให้อีกฝ่ายไปส่งที่ร้านอาหาร แต่นึกขึ้นได้ว่าเธอสวมบทบาทเป็นคนปวดท้องที่เพิ่งอาการทุเลา ซึ่งจะต้องสวมบทนี้ไปจนกระทั่งถึงบ้าน “คุณขับรถเข้าไปเกือบสุดซอยทองหล่อ บ้านอยู่ทางขวามือค่ะ”

“บ้านหนูวาสังเกตง่ายค่ะคุณฌอน เป็นบ้านทรงไทยประยุกต์” กรวรรณพูดเสริมยิ้มๆ

เมื่อรถแล่นเข้ามาเกือบสุดซอยตามที่หญิงสาวบอก บ้านทรงไทยประยุกต์หลังงามทางขวามือก็ปรากฏขึ้นในสายตาของฌอน ซึ่งเขามั่นใจว่าต้องเป็นบ้านของหญิงสาวอย่างแน่นอน ไม่นึกสงสัยเลยที่ได้ยินปกรณ์บอกว่าอีกฝ่ายเป็นลูกสาวของเจ้าพ่อวงการก่อสร้างอันดับต้นๆ ของเมืองไทย เห็นแล้วทำให้นึกถึงบ้านสวนที่เมืองนนท์ของผู้เป็นยายขึ้นมาทันที เพียงแต่บ้านหลังนั้นเป็นทรงไทยแท้ๆ

“คุณจอดหน้าบ้านหลังขวามือนั่นแหละค่ะไม่ต้องเข้าไปส่งด้านในหรอก”

ฌอนเหลียวไปมองคนพูดอย่างขัดใจ แต่ครั้นนึกถึงพี่ชายของอีกฝ่ายที่ดูแล้วท่าทางจะหวงน้องสาวไม่น้อยก็ถอนหายใจหันไปพยักหน้าให้คนสนิท เมื่อรถแล่นถึงหน้าประตูรั้วที่ทำจากไม้สีน้ำตาลเข้ม “จอดตรงนี้แหละเดฟ”

หลังลงจากรถขวัญชีวาก็หันไปทางเจ้าของร่างสูงที่ลงมายืนอยู่ข้างรถ “ขอบคุณมากนะคะ” คิดในใจหวังว่าคงไม่ต้องมาพบเจอกันอีก

“ขอบคุณคุณฌอนมากนะคะ” กรวรรณหันไปขอบคุณชายหนุ่มพลางคิดในใจ เธอมีลางสังหรณ์ว่าต้องพบกับนักธุรกิจหนุ่มอีกอย่างแน่นอน จึงยังไม่รีบร้อนขอลายเซ็น ก่อนจะเดินตามผู้เป็นเพื่อนเข้าไปภายในรั้วบ้าน

ฌอนมองตามหลังร่างของคนที่หายเข้าไปในประตูรั้วจนลับสายตาแล้วจึงหันไปทางคนสนิท “ไปบ้านสวน”

“ครับนาย” เดฟรับคำพลางมองหน้าคนเป็นนายที่ก้าวเข้ามานั่งในรถก่อนจะเอนเบาะลงนอนหลับตา นึกอยากจะพูดอะไรออกไปแต่ก็เปลี่ยนใจ จึงกลับรถแล้วพารถคันงามพุ่งปราดไปยังที่หมายทันที

ขณะเดียวกับขวัญชีวาที่เดินนำผู้เป็นเพื่อนเข้าไปในบ้านก็พบกับสมาชิกทุกคนนั่งอยู่ราวกับรอคอย ยกเว้นพี่ชายคนโตที่ยังไม่ถึงบ้าน นราวิชญ์กับทักษกรนั้นพากันลุกพรวดขึ้นแล้วเอ่ยถามพร้อมกันราวกับนัด

“เมื่อกี้พี่กฤตโทร. มาบอกว่าน้องหนูปวดท้องจนต้องพาส่งโรงพยาบาล แล้วตอนนี้เป็นยังไงบ้าง”

คนถูกถามยิ้มแห้งๆ ก่อนจะเดินเข้าไปทรุดนั่งข้างระหว่างมารดากับบิดาที่มองมาอย่างห่วงใย

“เป็นไงบ้างหนูวา หายปวดท้องแล้วหรือลูก”

เห็นสายตาของทุกคนมองมาด้วยความห่วงใยขวัญชีวาก็รู้สึกผิดขึ้นมาในทันที เธอไม่ควรล้อเล่นกับความรู้สึกอย่างที่อนวัชรบอกจริงๆ

“เอ้อ...จริงๆ แล้วหนูวาไม่ได้ปวดท้องหรอกค่ะ”

“ไม่ได้ปวดท้อง!

ไม่ใช่เพียงแค่พี่ชายทั้งสองที่พูดขึ้นพร้อมกัน แม้แต่กรวรรณที่กำลังยกมือขึ้นไหว้คนในครอบครัวของเพื่อนก็หันขวับไปมองคนพูดเช่นกัน

“หมายความว่าไงหนูวา” ลลดาเอ่ยถามด้วยความสงสัยไม่ต่างกัน

“นั่นสิลูก ถ้าไม่ได้ปวดท้องแล้วตกลงเป็นอะไรหรือลูก” น้ำเสียงของบิดาดูจะยิ่งกังวลมากขึ้น

“คือ...เรื่องมันเป็นอย่างนี้” ขวัญชีวาจำต้องเล่าเรื่องแต่ไม่ได้บอกรายละเอียดทั้งหมดให้ทุกคนฟังแล้วยกมือขึ้นไหว้ขอโทษ “หนูขอโทษทุกคนด้วยค่ะที่ทำให้เป็นห่วง หนูแค่อยากให้ตานั่นรู้สึกผิดที่แกล้งหนูเท่านั้น”

“จริงๆ แล้วคุณฌอนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแกน่ะกินเผ็ดไม่ได้ จะว่าเขาแกล้งก็ไม่ถูกนะ”

ลลดาพยักหน้าเห็นด้วยกับกรวรรณ “นั่นสิหนูวา จากที่แม่ฟังก็เป็นไปตามที่นกพูด ลูกเล่นแกล้งปวดท้องเพื่อให้เขารู้สึกผิดแบบนั้น ถ้าเขารู้ขึ้นมาภายหลังจะว่ายังไงล่ะ”

“คงไม่ได้มีโอกาสเจอกันแล้วค่ะแม่” ขวัญชีวาพูดอย่างมั่นใจ

“เอาละไม่ได้ปวดท้องหรือเป็นอะไรพ่อก็เบาใจแล้ว” เอกดนัยถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ลูกสาวสุดที่รักไม่ได้เป็นอะไรอย่างที่นึกกังวล แล้วจึงหันไปสนใจหนังสือพิมพ์ที่อ่านค้างอยู่ต่อ ทว่าก็เงยหน้าขึ้นถามหลังจากนั้นไม่นาน “เมื่อกี้นกบอกว่าผู้ชายคนที่ให้หนูวาชิมน้ำต้มยำชื่ออะไรนะ”

“คุณฌอน ชื่อเต็มๆ ว่ามิสเตอร์เผิงอวี้เยี่ยค่ะคุณพ่อ บริษัทที่นกกับหนูวาทำงานอยู่เพิ่งจะสั่งชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ลอตใหญ่จากบริษัทเขา” กรวรรณพูดอธิบายอย่างคล่องแคล่วจึงถูกผู้เป็นเพื่อนส่งค้อนให้อย่างหมั่นไส้ เพราะเธออุตส่าห์ไม่เอ่ยถึงชื่อของฌอนมากนัก แต่แม่เพื่อนของเธอกลับสาธยายให้ฟังเสียเรียบร้อย

“เผิงอวี้เยี่ยคนนี้ใช่ที่พ่อเพิ่งพูดถึงกับพี่กฤตไปหรือเปล่าครับ ที่ว่าถูกจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในนักธุรกิจดาวรุ่งของไต้หวัน” พี่ชายคนสุดท้องของขวัญชีวาถามอย่างสนใจกระทั่งลืมว่าตัวเองกำลังไม่พอใจคนถูกพูดถึงที่ให้น้องสาวเขาชิมน้ำต้มยำ

“ถ้านกจำไม่ผิดบริษัทของคุณฌอนชื่อหงอี้ พรีซิชัน อินดัสตรีค่ะพี่กร แล้วคุณฌอนเองเป็นลูกครึ่งไทย - ไต้หวันด้วยค่ะ” กรวรรณบอกรายละเอียดเพิ่มเติม

“คนเดียวกัน พ่อเพิ่งรู้นะว่าเขามีสายเลือดไทยอยู่ครึ่งหนึ่ง”

น้ำเสียงของบิดาที่เจือแววชื่นชมทำให้ขวัญชีวาพ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิด แม้คดีของตัวเองจะตกไปแต่กลับมีเรื่องของผู้ชายคนนี้เข้ามาเป็นหัวข้อสนทนาแทนซะงั้น

“แล้วน้องหนูกลับมายังไงไม่เห็นได้ยินเสียงรถ” นราวิชญ์ถามพลางยกมือขึ้นลูบศีรษะน้องสาวอย่างรักใคร่

“นอกจากคุณฌอนจะเป็นคนพาหนูวาไปส่งโรงพยาบาลแล้วยังขับรถมาส่งที่หน้าบ้านค่ะพี่วิชญ์” กรวรรณเป็นฝ่ายตอบแทนอีกเช่นเคย

“อ้าว แล้วทำไมไม่เชิญเขาเข้ามาในบ้านล่ะลูก”

“นั่นสิครับพ่อ เสียดายจริงๆ ไม่ได้เจอตัวเป็นๆ ของเขา” ทักษกรพูดน้ำเสียงเสียดาย “อยากรู้ว่าเขาจะเหมือนพวกมาเฟียไหม”

ขวัญชีวาทำหน้าเมื่อยระคนเซ็งก่อนจะรีบขอตัวด้วยขี้เกียจฟัง “หนูขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะคะ” ก่อนจะหันไปดึงแขนเพื่อน “ไปอาบน้ำเลยยายนก”

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น