11

ตอนที่ 10...อ๋องน้อย


 “เอาละ แกจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่แก แต่ฉันเชื่อ แล้วจำไว้ เรื่องแบบนี้ไม่เชื่ออย่าลบหลู่”

ฌอนก้าวลงจากรถยนต์คันงามตรงไปยังรั้วที่ทำมาจากไม้ระแนงสีน้ำตาลออกแดงสูงเคียงอกซึ่งโอบล้อมเรือนไทยหลังใหญ่ใต้ถุนสูงอายุกว่าสองร้อยปีที่สร้างจากไม้สักทองทั้งหลังเอาไว้ เรือนหลังนี้เป็นมรดกตกทอดมาจากต้นตระกูลขุนนางเก่าของผู้เป็นยายในสมัยรัชกาลที่ ๕

            ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึกๆ ราวกับซึมซับเอาบรรยากาศรอบข้างเข้าไปเก็บไว้ข้างใน และเป็นอย่างนี้ทุกครั้งยามได้กลับมาเยือนบ้านเกิดของมารดา ช่วงในวัยเด็กเขาเคยมาอยู่ที่นี่ ดังนั้นภาพทุกภาพยังคงอยู่ในความทรงจำไม่ลืมเลือน

เจ้าของร่างสูงเพรียวยืนอยู่ในท่วงท่าค่อนข้างสบาย เสื้อเชิ้ตสีชมพูริ้วขาวตอนนี้อยู่ในสภาพไม่เรียบกริบเหมือนเช่นตอนเช้าแล้ว แขนเสื้อทั้งสองข้างถูกพับขึ้นลวกๆ มาจนถึงข้อศอก กระดุมถูกปลดออกสองเม็ดจนเห็นหน้าอกขาวๆ หนั่นแน่นไปด้วยมัดกล้ามสวย เรือนผมยุ่งเหยิงทว่ากลับทำให้ดวงหน้าขาวจัดที่เจือด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ดูคมเข้มขึ้น

แล้วภาพบ้านทรงไทยประยุกต์อีกหลังก็พลันวาบเข้ามาในห้วงสำนึก ป่านนี้คนในบ้านนั้นจะเป็นยังไงบ้างหนอ จะยังปวดท้องอีกไหม แล้วเจ้าตัวจะนอนหรือยัง

เป็นเพราะตกอยู่ในความคิด กระทั่งเผลอพูดออกไปตามที่ใจคิดโดยไม่รู้ตัว

“ไม่รู้ว่าป่านนี้นอนหรือยัง”

“นายหมายถึงคุณยายหรือใครครับที่ว่านอนหรือยัง” คนที่ยืนอยู่ด้านหลังเอ่ยถามเสียงเรียบทว่านัยน์ตาไหวระริก

คนที่เพิ่งรู้ตัวว่าเผลอคิดในใจดังมองคนถามอย่างเข่นเขี้ยวระคนหมั่นไส้ “ฉันมายืนหน้าบ้านใครก็ต้องถามถึงคนในบ้านนั้นสิ แล้วแกคิดว่าฉันหมายถึงใคร”

“นายหมายถึงใครก็คงเป็นคนนั้นแหละครับ” คนตอบตอบยียวนพลางส่งยิ้มยั่วเย้า

ฌอนก้มมองนาฬิกากลบเกลื่อนสีหน้า “คุณยายนอนหรือยังก็ไม่รู้ นี่ก็สามทุ่มกว่าเข้าไปแล้วเรามาช้ากว่าชั่วโมง”

พูดพลางดวงตาคู่คมก็มองไปยังเรือนหลังใหญ่ที่เห็นเป็นเงาตะคุ่มอยู่ด้านใน แสงไฟที่เล็ดลอดออกมาบ่งบอกว่าคนในเรือนน่าจะยังไม่นอน และคงเป็นเพราะเสียงเดินของเขากับเดฟทำให้สุนัขที่อยู่ด้านในส่งเสียงเห่ากันขรมขึ้นมาทันที

“เห่าอะไรกันนักหนาเจ้าพวกนี้”

เสียงดุสุนัขที่ดังแทรกขึ้นทำให้ฌอนยิ้มกว้าง เพราะเสียงนั่นไม่ใช่ใครที่ไหน นางพุดแก้วยายของเขาเอง และจากเสียงดุมีผลทำให้สุนัขที่กำลังเห่าเงียบกริบลงทันควัน มาพร้อมกับแสงไฟที่เปิดสว่างจ้าเช่นกัน

“แล้วนั่นใครมายืนลับๆ ล่อๆ อยู่ตรงนั้น ตกลงว่าเป็นหมาหรือคน” เจ้าของเสียงเดิมถามขึ้นอีกครั้ง

คนถูกถามหัวเราะหึกับคำถามดังกล่าว “อ๋องเองครับคุณยาย ไม่ใช่หมา”

“ตาอ๋องน้อยของยายมาแล้ว ยายพลู ลงไปเปิดประตูรั้วให้น้องหน่อยสิ”

คำเรียกอ๋องน้อยทำให้ฌอนได้ยินเสียงหัวเราะขลุกขลักดังขึ้นจากลำคอของคนสนิทซึ่งอยู่ทางด้านหลัง คนเป็นนายจึงหันไปหรี่ตามอง “ขำมากหรือเดฟ”

“ได้ยินแล้วทำให้ผมนึกถึงท่านอ๋องในละครน่ะครับนาย”

เจ้าของชื่ออ๋องน้อยส่งค้อนให้คนสนิท คนเรียกเขาแบบนี้มีคุณยายของเขาเพียงคนเดียว จากการที่เป็นคนตั้งชื่อให้ด้วยตัวเองเพราะไม่ชอบชื่อฌอนที่บอกว่าเหมือนฝรั่งมังค่า

ไม่นานประตูรั้วไม้ระแนงสูงเทียมอกก็ถูกเปิดออกโดยหญิงสาวร่างสูงเพรียวในชุดกางเกงเลสีน้ำตาลกับเสื้อยืดตัวย้วยที่ยืนยิ้มรออยู่

“ว่าไงอ๋องน้อยของพี่”

“พี่พลู สวัสดีครับ” ฌอนยกมือไหว้หิรัญญิการ์พี่สาวซึ่งเป็นลูกของผู้เป็นป้าที่มีชื่อเป็นดอกไม้อย่างเพราะพริ้ง แต่ชื่อเล่นกลับเป็นสมุนไพรไทย อายุมากกว่าเขาสองปี ก่อนจะตรงเข้าสวมกอดอีกฝ่ายด้วยความคิดถึง

“ว่าไงน้องชาย” คนพูดพูดขณะผละจากอ้อมกอดของน้องชายแล้วหันไปรับไหว้ชายหนุ่มอีกคน “สวัสดีเดฟ พูดไทยเก่งขึ้นหรือยัง”

“ก็พอได้แล้วครับคุณพลู”

“บอกให้เรียกพี่เหมือนอ๋องทำไมยังเรียกแบบนี้อีก ดื้อจริงๆ นะ”

หญิงสาววัยสามสิบแต่หน้าเด็กราวกับยี่สิบบ่นคนสนิทของน้องชาย ซึ่งคนถูกบ่นได้แต่ยิ้มแห้งๆ ไม่ตอบว่าอะไร อายุเท่ากันแล้วจะให้เรียกพี่ทำไม นั่นเป็นความคิดในใจของเดฟเท่านั้น

“เอ้า...มัวแต่ยืนคุยกันเดี๋ยวถูกยุงหามหรอก เอารถเข้ามาเก็บแล้วก็ขึ้นมาบนบ้านได้แล้ว”

เสียงของผู้เป็นยายทำให้เดฟเดินออกไปขับรถเข้ามาบริเวณหน้าบ้านพร้อมกับปิดประตูรั้ว ส่วนสองพี่น้องนั้นเดินจูงมือกันขึ้นบันไดที่ถูกขัดจนเป็นมันวับ ตรงส่วนของราวก็ถูกแกะสลักเป็นลายไทยอย่างสวยงาม

เมื่อก้าวพ้นประตูเข้าไปด้านในซึ่งเป็นโถงกว้าง ด้านซ้ายเป็นชุดรับแขกที่ทำด้วยไม้สักบุด้วยเบาะสีแดงเข้ม ทางขวามือเป็นตั่งเตี้ยๆ ทำจากไม้สักอีกเช่นกัน ร่างค่อนข้างสูงของหญิงชราผิวขาวกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนนั้น ดวงหน้าเหี่ยวย่นแม้จะเข้าสู่วัยเจ็ดสิบปีเข้าไปแล้วยังคงมีเค้าความงดงามเมื่อวัยสาวไว้อย่างครบครัน คนเป็นหลานชายรีบคลานเข่าเข้าไปก้มลงกราบ ตามด้วยเดฟ

“กราบคุณยายครับ”

คนบนตั่งก้มลงดึงหลานชายคนเดียวเข้าไปสวมกอดด้วยความดีใจระคนคิดถึง

“คุณยายรอจนหลับไปแล้วรอบหนึ่งนะอ๋อง” หิรัญญิการ์บอกน้องชายยิ้มๆ

ดวงหน้าของหญิงสาวกับน้องชายนั้นคล้ายคลึงกันจนมองเผินๆ แทบจะแยกไม่ออก มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นสายเลือดเดียวกันจากการที่มารดาของทั้งคู่เป็นฝาแฝดที่เหมือนกันมากนั่นเอง

“อ๋องขอโทษนะครับคุณยาย พอดีมีเรื่องเกิดขึ้นนิดหน่อยทำให้มาช้ากว่ากำหนด” คนเป็นหลานชายบอกพลางบีบนวดแขนผู้เป็นยายไปมาอย่างประจบ

“ไม่เป็นไรหรอก ยายทำกับข้าวไว้ให้ตั้งแต่เย็น เมื่อกี้ยายพลูไปอุ่นไว้ให้แล้ว อ๋องน้อยหายไปเลยนะ ไม่ได้มาหายายตั้งหลายเดือน” หญิงชราเอ่ยปากต่อว่าแม้จะไม่ชอบบิดาของหลานชายนัก แต่ก็รักหลานชายทูนหัวทูนเกล้าเช่นกัน เปรียบได้กับสุภาษิตไทยที่ว่าเกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกงก็ไม่คงไม่ผิดเพี้ยนนัก

“ช่วงนี้งานยุ่งครับ อ๋องไม่ได้มาหาแต่โทร. ถามไถ่กับพี่พลูตลอด แล้วนี่คุณลุงคุณป้านอนแล้วหรือครับ” ฌอนถามหาบิดามารดาของหิรัญญิการ์

“คุณพ่อไม่ค่อยสบายเป็นไข้หวัดน่ะอ๋อง คุณแม่เลยพลอยไม่สบายตามไปด้วย เข้านอนกันตั้งแต่หัวค่ำแล้วทั้งที่อยากรอเจอหลานชายคนโปรดนะ”

“ผมก็คิดถึงคุณป้ากับคุณลุงเหมือนกันครับ” ฌอนบอกแล้วหันไปทางผู้เป็นยาย “คุณยายครับ กับข้าวอุ่นไว้กินพรุ่งนี้เช้าได้ไหมครับ อ๋องเพิ่งกินข้าวกับลูกค้าก่อนหน้าจะมาหาคุณยาย ยังอิ่มตื้ออยู่เลย”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ชายหนุ่มก็อดเป็นห่วงคนปวดท้องขึ้นมาไม่ได้ ไม่รู้ว่าตอนนี้มีอะไรตกถึงท้องบ้างหรือยัง เพราะตอนก่อนจะปวดท้องเขาเห็นเจ้าตัวกินข้าวไข่เจียวแค่คำเดียวเท่านั้น

“ถ้าอย่างนั้นเอาไว้กินตอนเช้าแล้วกัน” นางพุดแก้วบอกหลานชายน้ำเสียงอ่อนโยน ก่อนจะหันไปทางชายหนุ่มอีกคน “ว่าไงพ่อโกมล เดี๋ยวนี้พูดไทยเก่งขึ้นหรือยัง”

คนถูกเรียกว่าพ่อโกมลทำหน้าจะหัวเราะก็ไม่ใช่ร้องไห้ก็ไม่เชิงกับชื่อใหม่ของตัวเองทั้งที่ไม่รู้หรอกว่าแปลว่าอะไร เพราะเขามาทีไรก็ถูกเปลี่ยนชื่อเรียกทุกครั้ง “ก็พอได้แล้วครับ”

ฌอนเห็นสีหน้าของคนสนิทแล้วก็ยิ้มออกมาอย่างขบขัน “ครั้งที่แล้วคุณยายตั้งชื่อเดฟเป็นโกมุทไม่ใช่หรือครับ มาคราวนี้กลายเป็นโกมลไปเสียแล้ว”

“อ้าวเหรอ...ยายจำไม่ได้ แต่ยายไม่ชอบหรอกชื่อฝรั่งมังค่า หน้าตาเป็นอาตี๋แต่ดันมีชื่อเป็นฝรั่งดูแล้วขัดตาไปหมด แล้วโกมลกับโกมุทก็แปลว่าดอกบัวทั้งคู่แหละน่า” นางพุดแก้วนั้นไม่ชอบชื่อฝรั่งของหลานชายที่ลูกเขยเป็นคนตั้งให้เลยสักนิด จึงจัดการเปลี่ยนชื่อเป็นภาษาไทยให้ว่า ‘อ๋องน้อย’ แม้กระทั่งชื่อจริง ตอนแรกนางกะจะตั้งเป็นชื่อดอกไม้เหมือนทุกคนในบ้าน แต่ถูกคัดค้านจากบุตรสาวที่ยินยอมให้ตั้งชื่อเล่นได้ แต่ขอเป็นคนตั้งชื่อจริงเองว่า ‘พชร’ ซึ่งแปลว่าเพชร กลัวว่ามารดาจะตั้งชื่อบุตรชายเป็นชื่อของดอกไม้ตามที่ลั่นวาจาไว้

ฌอนเองเมื่อคิดถึงตอนนี้แล้วอดขำไม่ได้ เขายังนึกไม่ออกว่าถ้าเขามีชื่อไทยที่หมายความถึงดอกไม้ควรจะชื่ออะไรดี เพราะส่วนใหญ่คนมีชื่อเช่นนี้มักจะเป็นผู้หญิงมากกว่า อย่างชื่อพี่สาวหรือแม้แต่แม่ของเขากับผู้เป็นป้าก็เช่นเดียวกัน

ตัวเดฟเองก็โดนหางเลขถูกตั้งชื่อเป็นภาษาไทยด้วยเช่นกัน เพียงแต่ไม่ได้เป็นเรื่องเป็นราวเช่นเขา จึงถูกเปลี่ยนชื่อทุกครั้งที่มาเมืองไทย

“พี่ยังนึกไม่ออกเลยว่าถ้าตอนนั้นอ๋องถูกคุณยายตั้งชื่อที่แปลว่าดอกไม้ควรจะชื่ออะไรดี”

หิรัญญิการ์พูดออกมาราวกับล่วงรู้ความคิดของน้องชายกระนั้น เรียกรอยยิ้มกว้างให้ปรากฏขึ้นที่ใบหน้าฌอน

“นั่นสิครับ” แล้วคนพูดก็หันไปบอกผู้เป็นยาย “คุณยายครับ ที่ต้องมีชื่อภาษาอังกฤษนั้นเพื่อความสะดวกในการเรียกให้ง่ายขึ้น เพราะชื่อภาษาจีนน่ะเรียกยาก คุณยายจำชื่อจีนของอ๋องได้ไหมล่ะครับ”

คนเป็นยายส่งค้อนให้หลานชาย “ยายไม่จำหรอกชื่อเผิงแผงอะไรนั่น เรียกก็ยาก แล้วแม่เราล่ะอ๋องน้อยเป็นไงบ้าง ไม่คิดจะกลับมาเยี่ยมยายเลยนะ หรือว่าห่วงผัวจนลืมแม่”

คำพูดกึ่งประชดของนางพุดแก้วทำให้ฌอนอมยิ้มเพราะเคยชินแล้ว

“ช่วงนี้ป๋าไม่ค่อยสบายครับคุณยาย แม่เลยต้องอยู่ดูแล แต่แม่ฝากของมาให้เยอะแยะเลยนะครับ”

ผู้เป็นยายไม่ชอบในตัวบิดานักด้วยนึกรังเกียจเรื่องเชื้อชาติตามประสาลูกผู้ดีเก่า มารดาเคยเล่าให้ฟังว่าตอนที่ดื้อดึงแต่งงานกันนั้นคุณยายซึ่งเป็นถึงลูกสาวขุนนางใหญ่ยศเจ้าพระยาในสมัยรัชกาลที่ ๕ โกรธจัดแทบตัดแม่ตัดลูก อีกทั้งโกรธนานเป็นแรมปีจนกระทั่งเขาเกิด ความรู้สึกดังกล่าวจึงค่อยเจือจางลง และหันมารักเขาอย่างทูนหัวทูนเกล้าแทน

ช่วงวัยเด็กเขาไม่ค่อยสบายบ่อย คุณยายเลยขอให้มารดาส่งมาอยู่เมืองไทยโดยเป็นคนเลี้ยงเขาด้วยตัวเองคู่มากับพี่สาว เขาอยู่เมืองไทยจนอายุเจ็ดขวบถึงกลับไปเรียนต่อที่ไต้หวัน จากนั้นจึงถูกส่งไปเรียนยังต่างประเทศ

“แล้วอ๋องน้อยล่ะจะมาอยู่กับยายกี่วัน”

“อาทิตย์หนึ่งครับ รอให้งานหายยุ่งแล้วอ๋องจะมาอยู่เป็นเดือนเลยครับ แล้วเมื่อไหร่คุณยายจะไปอยู่กับอ๋องที่ไต้หวันบ้างล่ะครับ”

นางพุดแก้วส่ายหน้าหวือ “ไม่เอาหรอกยายไม่ชอบนั่งเครื่องบิน เดี๋ยวยายไปนอนก่อนนะ พรุ่งนี้อ๋องน้อยอย่าลืมตื่นเช้าๆ มาใส่บาตรกับยายด้วยล่ะ”

“ครับคุณยาย”

หลังจากผู้เป็นยายเดินลับหายไปแล้วฌอนก็หันไปมองพี่สาว

“พี่พลูจ้องหน้าผมแล้วยิ้มหมายความว่าไงครับ”

คนถูกถามเท้าคางเอียงคอมองหน้าหล่อเหลาของน้องชายอย่างชื่นชมพลางยิ้ม “ถ้าสาวๆ มาได้ยินคุณยายเรียกอ๋องว่าอ๋องน้อยคงจะขำกลิ้ง”

“นั่นสิครับ” ฌอนคิดตามอย่างกลัดกลุ้ม รู้สึกสูญเสียความมั่นใจลงไปหลายขุม คนอย่างเขาที่ในแวดวงธุรกิจมีคนตั้งฉายาให้ว่ายิ้มพิฆาต ชื่อเล่นว่าอ๋องน่ะไม่เท่าไรแต่อ๋องน้อยนี่สิ โดยเฉพาะถ้าเธอผู้นั้นมาได้ยินเข้า คาดว่าคงหัวเราะเป็นแน่

“อ้อ พี่ลืมบอกไป เดี๋ยวนี้อ๋องดังใหญ่แล้วนะ”

“ดังใหญ่! อย่าบอกนะครับว่าพี่พลูเห็นผมจากในเฟซบุ๊ก”

คนเป็นพี่สาวยิ้ม “ตอนแรกพี่ไม่รู้หรอกจ้ะ เด็กที่ร้านเป็นคนบอกน่ะ”

“เด็กที่ร้าน…ร้านอะไรหรือครับ”

หิรัญญิการ์ยิ้มกว้าง “พี่ลาออกจากงานประจำแล้วนะอ๋อง ตอนนี้เปิดร้านกาแฟ เพิ่งเปิดได้ไม่ถึงสองอาทิตย์เลยจ้ะ” หญิงสาวเคยทำงานเป็นมัณฑนากรในบริษัทแล้วเกิดความเบื่อหน่ายจึงลาออกมาทำธุรกิจส่วนตัว

“อ๋อ...ครับ เรื่องรูปอะไรนั่นผมเองไม่รู้เหมือนกันครับว่ามีคนแอบถ่าย เดฟเป็นคนเอามาให้ดู ผมก็แค่ช่วยจูงคนแก่ตาบอดข้ามถนนเท่านั้นไม่ได้อยากดังอะไร”

“เดี๋ยวนี้คนเราคลั่งไคล้โลกโซเชียลกันมาก อ๋องน่ะมีคนแอบถ่ายแต่บางคนลงทุนถ่ายตัวเองทำเป็นคลิปโพสต์ลงในยูทูบเพราะอยากดังแล้วก็เอามาแชร์กันในเฟซบุ๊ก แม้แต่คุณยายยังเล่นไลน์กับกลุ่มเพื่อนวัยเดียวกัน ส่งสติกเกอร์มาให้พี่ทั้งวัน คุณพ่อคุณแม่อยู่บ้านเดียวกันยังคุยกันทางไลน์เลยนะ” พูดพลางก็มองหน้าน้องชายนิ่งๆ “แล้วความจริงหน้าตาของอ๋องก็คล้ายกับ เอ็ดดี้ เผิง เหมือนกันนะ เพียงแต่น้องชายพี่หล่อกว่าเท่านั้น”

คนถูกชมว่าหล่อกว่าดาราหัวเราะหึๆ “เลิกพูดกันเรื่องนี้ดีกว่าครับ แล้วตอนนี้คุณยายยังบ่นเรื่องที่พี่พลูไม่มีแฟนอยู่หรือเปล่าครับ”

“บ่นจนเลิกบ่นแล้ว พี่ไม่เข้าใจเลยว่าผู้หญิงเราจะต้องมีแฟนทำไม อยู่คนเดียวสิสบายจะตาย เพื่อนพี่หลายคนบ่นอยากกลับไปเป็นโสดกันทั้งนั้น บอกมีลูกกวนตัวมีผัวกวนตีน” หญิงสาววัยใกล้คานพูดเสียงกลั้วหัวเราะ

ฌอนมองหน้าพี่สาวนิ่งๆ แม้อีกฝ่ายมีอายุปาเข้าไปสามสิบแล้วแต่ใบหน้านั้นกลับอ่อนเยาว์กว่าอายุจริง ถ้าไม่รู้จักกันมาก่อนจะไม่รู้เลยว่าอายุเท่าไหร่ แล้วฉับพลันใบหน้าสะสวยของหญิงสาวอีกคนก็ซ้อนเข้ามาให้เห็น จนชายหนุ่มต้องอมยิ้มขำเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในห้องรับรองรวมทั้งที่ร้านอาหารขึ้นมา

ขวัญชีวา...ป่านนี้เจ้าตัวคงหลับปุ๋ยไปแล้วมั้ง!

“อ้าว แล้วนั่นเป็นอะไรไปจ๊ะอ๋อง จู่ๆ ก็นั่งยิ้มซะงั้น”

“ปละ เปล่าครับ ผมขอตัวไปนอนก่อนดีกว่า พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าใส่บาตรกับคุณยายอีก”

 

ขณะเดียวกันภายในห้องนอนสีครีมค่อนข้างกว้างและโปร่งโล่ง เฟอร์นิเจอร์ภายในห้องมีเพียงโต๊ะเครื่องแป้งสีเดียวกับห้อง นอกนั้นไม่ว่าจะเป็นเตียงนอน ผ้าม่าน ผ้าห่ม ผ้าเช็ดตัว ล้วนแล้วแต่เป็นสีเขียวอ่อนทั้งสิ้น ผนังห้องทางด้านซ้ายของเตียงมีรูปวาดขนาดใหญ่เป็นทุ่งหญ้าสีเขียวซึ่งแซมไปด้วยดอกไม้หลากสีสันที่พากันชูช่อล้อลม เป็นฝีมือการวาดของขวัญชีวาเจ้าของห้องที่มีพรสวรรค์ทางด้านนี้ นอกจากจะทำให้ทั่วทั้งห้องดูสว่างไสวแล้วยังทำให้ดูสดชื่นมีชีวิตชีวา

ทว่าอารมณ์เจ้าของห้องที่ตอนนี้อยู่ในชุดนอนดูไม่สดชื่นเอาเสียเลย ด้วยกำลังถูกกรวรรณที่แต่งกายในชุดนอนเช่นกันทำตัวเป็นผู้พิพากษาไต่สวนอยู่บนที่นอนหนานุ่มสีขาวสะอาด

“แกนี่เจ้าเล่ห์แสนกลเจ้าแผนการจริงๆ นะนังหนูวา แกล้งปวดท้อง ทำเอาคนอื่นตกอกตกใจกันหมด แบบนี้เขาเรียกว่าล้อเล่นกับความรู้สึกเป็นห่วงของคนอื่นรู้ไหม โดยเฉพาะคุณฌอน เขาเชื่อว่าแกปวดท้องจริงๆ ฉันเห็นสีหน้าที่รู้สึกผิดของเขาได้อย่างชัดเจน”

คนพูดต่อว่าทำหน้าตาขึงขัง ส่วนคนถูกต่อว่าจะทำยังไงได้นอกจากฝืนยิ้มเจื่อนๆ ภายในใจที่รู้สึกผิดมาก่อนยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นเมื่อถูกพูดตอกย้ำเช่นนี้

“ตอนอยู่โรงพยาบาลฉันถูกพี่วัชรต่อว่ามาครั้งนึงแล้ว ตอนนี้แกยังจะมาพูดตอกย้ำฉันอีกนะยายนก”

เสียงอ่อยๆ บวกกับหน้าสลดของผู้เป็นเพื่อนไม่ได้ทำให้กรวรรณรู้สึกสงสารแต่อย่างใด

“ก็สมควรแล้วที่ถูกพี่วัชรว่าเอาเพราะแกทำเกินไปที่หลอกเขา เรื่องความรู้สึกไม่ควรเอามาล้อเล่นกัน แล้วฉันจำได้ว่าคุณฌอนเขาถามว่าแกเป็นโรคกระเพาะหรือเปล่า ตอนนั้นแกตอบว่าเป็น ความจริงแกไม่ได้เป็นไม่ใช่หรือ” คนถามถามด้วยน้ำเสียงคาดคั้นราวกับตัวเองเป็นผู้พิพากษาตัวจริงที่กำลังทำการพิจารณาคดี

“ฉันไม่ได้หลอกเสียหน่อย ฉันเคยเป็นโรคกระเพาะตอนเรียนมัธยมต้นไง แต่ตอนนี้หายแล้ว”

คำแก้ตัวแบบเอาสีข้างเข้าถูของขวัญชีวาทำเอาคนฟังส่งค้อนตาแทบกลับ “เคยเป็นเนี่ยนะ! ฉันนึกไม่ถึงเลยหนูวาว่าแกจะเป็นคนเจ้าเล่ห์ได้ถึงเพียงนี้ แนบเนียนจนฉันที่สนิทกับแกมาตั้งหลายปียังจับไม่ได้ เฮ้อ...ฉันลืมไป ไม่งั้นแกจะทำตัวเรียบร้อยราวกับผ้าพับหลอกตาคนในบริษัทได้เป็นปีสองปีได้ยังไง”

ขวัญชีวาทำหน้าม่อย “แกเลิกว่าฉันได้แล้ว ตอนนี้ฉันหิวข้าว”

“ไม่ต้องมาโอดครวญเลย” กรวรรณไม่สนใจคำโอดครวญ ก่อนจะกลับมาพูดเรื่องเดิมอีก “คุณฌอนน่ะเขาไม่ได้มีเจตนาแกล้งให้แกชิมน้ำต้มยำเสียหน่อย แทนที่แกจะบอกว่ากินเผ็ดไม่ได้ก็ไม่ยอมปริปากพูด หรือว่า...ต้มยำที่เผ็ดจัดนั่นเป็นฝีมือของแก เพราะคุณปกรณ์กำชับไปว่าให้ทำรสชาติกลางๆ”

คนถูกถามหัวเราะแหะ เท่ากับเป็นคำตอบอย่างดีโดยไม่ต้องสารภาพ

“แสดงว่าแกกะจะแกล้งให้เขากินเผ็ด แต่ผลสุดท้ายโดนให้ชิมเสียเอง สมน้ำหน้าจริงๆ นี่แหละเรียกว่าให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัวนังหนูวา”

คนถูกสมน้ำหน้ามองค้อนเพื่อน “ตกลงว่าแกเป็นเพื่อนฉันหรือเป็นเพื่อนตาฌอนนั่น”

“ฉันเป็นเพื่อนแกนั่นแหละ แต่ครั้งนี้แกทำผิด ถ้าคุณฌอนรู้ภายหลังเข้าแกจะทำยังไง”

“รู้แล้วจะมีประโยชน์อะไร เพราะฉันกับเขาคงไม่มีวันมาพบเจอกันอีกแล้ว เดี๋ยวฉันก็ลาออกจากบริษัท ดังนั้นเวลาที่เหลือฉันตั้งใจว่าจะใช้เป็นลาพักร้อน ลาป่วย ลากิจให้หมด”

คนพูดพูดน้ำเสียงมั่นใจ ทว่าภายในใจลึกๆ กลับรู้สึกโหวงเหวง ซึ่งเธอก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมถึงรู้สึกเช่นนี้

“แต่ฉันกลับมั่นใจนะหนูวาว่าแกกับเขาจะต้องพบกันอีก แกจำไม่ได้หรือตอนอยู่ในร้านเสริมสวยที่ฉันพูดว่าขอให้ผู้ชายในภาพเป็นเนื้อคู่ของแก ต่อมาเราก็เจอคนในภาพตัวเป็นๆ จากที่แกพูดนินทาเขาต่อหน้า ตอนนั้นฉันยังบอกเลยว่าถ้าคำทำนายของอาจารย์กับคำขอของฉันเป็นจริงต้องได้พบเขาอีกครั้ง แล้วก็ได้พบจริงๆ ไม่คิดว่าเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์บ้างหรือไง”

“แกนี่เพ้อเจ้อเรื่องเดิมไม่เลิกรา ตอนนี้ฉันไม่มีเวลามาฟังแกพูดแล้วเพราะฉันหิวข้าวมาก แกก็รู้ว่าฉันกินข้าวไปแค่คำเดียวเท่านั้นนะยายนก” ขวัญชีวาพูดโอดครวญเสียงละห้อย ตอนนี้เธอไม่มีหัวสมองคิดถึงเรื่องอะไรได้อีก ด้วยความหิวที่รุมเร้าจนแทบจะขบหัวผู้เป็นเพื่อนกินอยู่แล้ว

กรวรรณมองท่าทางของเพื่อนแล้วก็หัวเราะชอบใจ “สมน้ำหน้าจริงๆ นี่ถ้าไม่ติดว่ากำลังหิวฉันจะด่าแกต่อ ไป เดี๋ยวฉันลงไปเจียวไข่ให้แกกินในครัวแล้วกัน”

“ฉันกำลังจะบอกอยู่พอดี เพราะแกน่ะเจียวไข่ได้อร่อยมาก”

หลังจากกินข้าวไข่เจียวฝีมือของผู้เป็นเพื่อนที่ขวัญชีวารู้สึกว่าเป็นไข่เจียวที่อร่อยที่สุดเท่าที่เคยกินมา หญิงสาวก็เดินกลับขึ้นไปบนห้องนอนเห็นกรวรรณนอนหลับปุ๋ยอยู่บนเตียงของเธอ เพราะหลังจากเจียวไข่ให้เธอเสร็จเรียบร้อยเจ้าตัวก็ขอตัวขึ้นมานอนก่อน

ที่พูดกันว่าหนังท้องตึงหนังตาก็หย่อนนั้นคงใช้ไม่ได้กับขวัญชีวาในเวลานี้อย่างแน่นอน เพราะเมื่อล้มตัวลงนอนข้างผู้เป็นเพื่อนก็ไม่ได้รู้สึกง่วงนอนแต่อย่างใด ดวงตาที่ควรจะปิดกลับเบิกโพลง พลิกไปพลิกมาก็แล้วแต่ไม่ได้ผล นับแกะไม่ต้องพูดถึง นับจนจำไม่ได้ว่ากี่ตัวแล้ว

กระทั่งนึกอยากปลุกคนนอนหลับมาคุย แต่ก็เพียงแค่คิดเท่านั้น ขืนปลุกเจ้าหล่อนขึ้นมาคงไม่แคล้วหูชาจากการถูกบ่นและอาจหยิบยกเรื่องเดิมมาว่าซ้ำอีก

แล้วหญิงสาวก็รู้ถึงสาเหตุที่นอนไม่หลับ คาดว่ามาจากเมื่อตอนกลางวันอุตริอยากดื่มกาแฟดำนั่นเอง

เพราะตาบ้านั่นคนเดียวที่ทำให้เธอดื่มกาแฟจนหมดถ้วยกระทั่งนอนไม่หลับอย่างนี้ คำสาปแช่งที่ควรจะเป็นของอีกฝ่ายดันตกมาอยู่ที่เธอเองทั้งหมด โลกช่างไม่ยุติธรรมจริงๆ

ขวัญชีวาหาวจนน้ำตาไหลแต่ยังไม่สามารถข่มตาหลับลงได้ จึงตัดสินใจเดินลงบันไดไปข้างล่าง ตั้งใจจะเข้าไปห้องครัวหาขนมในตู้เย็นมากินเพื่อเร่งให้เกิดความง่วง แต่ก็เปลี่ยนใจเดินออกไปด้านหลังซึ่งเป็นเรือนพักของคนทำงานในบ้าน แล้วก็ได้ยินเสียงหัวเราะคิกๆ ของนาจาดังแว่วมาจากในห้องจึงเดินไปเคาะประตู ไม่นานดวงหน้าเป๋อเหลอที่ทาแป้งจนขาววอกของเจ้าของห้องก็โผล่มา

“อ้าวคุณหนู นึกว่าใคร มีอะไรให้หนูนารับใช้คะ”

คนถูกถามเยี่ยมหน้าไปเข้ามอง “เปล่าหรอกจ้ะ แล้วกำลังดูอะไรอยู่หรือหนูนา ฉันได้ยินเสียงหัวเราะคิกคัก”

คนถูกถามยิ้มแป้นจนเห็นฟังเกือบเต็มปาก “กำลังดูละครเรื่อง ลำนำรักทะเลทราย ค่ะ เพื่อนหนูนาให้ยืมแผ่นมาดู สนุกมากๆ เลยนะคะคุณหนู”

ลำนำรักทะเลทราย?” หญิงสาวทวนคำเพราะเหมือนเคยได้ยินมาก่อน “ละครไทยเหรอ ทำไมชื่อแปลกๆ”

“ไม่ใช่หรอกค่ะเป็นละครจีน คุณหนูลองเข้ามาดูก่อนสิคะ พระเอกหล่อมากๆ เลย แต่นางเอกไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ สู้คุณหนูไม่ได้เลยค่ะ”

“แหม...ทำไมจะต้องเอามาเปรียบเทียบกับฉันด้วยล่ะ ไหนขอดูหน่อยสิพระเอกที่ว่าหล่อของเธอน่ะหล่อขนาดไหนเชียว”

เมื่อนั่งลงบนเตียงของสาวใช้ตัวป่วนประจำบ้านพลางจับจ้องไปยังโทรทัศน์เครื่องเล็กก็เห็นดวงหน้าของพระเอกในชุดแต่งกายของนักรบนั่งอยู่บนหลังม้า แต่นั่นไม่ทำให้หญิงสาวรู้สึกอะไรเท่ากับดวงหน้าของคนในจอที่ช่างคล้ายคลึงกับฌอนราวกับเป็นพี่น้องกัน แล้วขวัญชีวาก็นึกได้ว่าเคยได้ยินชื่อเรื่อง ลำนำรักทะเลทราย มาจากไหน ที่แท้ได้ยินมาจากแม่เพื่อนตัวดีของเธอที่บอกว่าพระเอกชื่อ เอ็ดดี้ เผิง หน้าตาคล้ายกับฌอนแต่หล่อกว่านั่นเอง

“เป็นไงล่ะคะหล่ออย่างที่หนูนาบอกจริงไหมคะ คุณหนูจ้องตาไม่กะพริบเลย” นาจาพูดกระเซ้าคนเป็นนาย

“บ้า จ้องตาไม่กะพริบที่ไหนกันเล่า หน้าตาก็งั้นๆ แหละ” เสียงท้ายประโยคแผ่วเบาราวกระซิบ

และจากที่คิดว่าจะนั่งดูให้รู้สึกง่วงนอนกลับเลยเถิดจนกระทั่งจบแผ่นซึ่งกินเวลาร่วมชั่วโมง ทำให้เกิดอาการง่วงนอนขึ้นมาจนต้องรีบเดินกลับไปนอน ด้วยกลัวว่าอาการดังกล่าวจะหายไป

 

“หนูวา หนูวา แกเป็นอะไรทำไมนอนดิ้นแบบนี้ ฝันร้ายหรือเปล่า” กรวรรณเขย่าตัวผู้เป็นเพื่อนที่นอนดิ้นไปมาราวกับหนีอะไรสักอย่าง เท่านั้นยังไม่พอยังร้องโวยวายดังลั่นด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหอบ

“ปล่อย ปล่อย...ฉันนะ ไอ้มังกรบ้า”

คนปลุกเอื้อมมือไปเปิดไฟหัวเตียงจนห้องมืดสนิทสว่างขึ้น ก่อนจะหันไปเขย่าตัวคนที่กำลังนอนดิ้น “หนูวา หนูวา”

คนถูกเรียกยังคงหลับหูหลับตาดิ้นรน ตามดวงหน้ามีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นที่หน้าผากจนเต็ม ทั้งที่ภายในห้องเปิดแอร์คอนดิชันเย็น จนกรวรรณต้องเขย่าตัวแรงๆ อีกครั้ง

“หนูวา ตื่นเดี๋ยวนี้”

คราวนี้ขวัญชีวาเริ่มรู้สึกตัว ก่อนจะลืมตาขึ้นเหมือนกำลังรวบรวมสติลุกนั่งแล้วพูดเสียงสั่น “นก ฉันฝันร้าย”

“แกฝันร้าย!” กรวรรณถามย้ำ

คนถูกถามพยักหน้า หน้าผากยังคงปรากฏเม็ดเหงื่ออยู่

“แกฝันว่าอะไรหรือ...ฝันว่าถูกงูรัดเหรอ แต่ฉันได้ยินแกร้องโวยวายว่าไอ้มังกรบ้าปล่อยฉันนี่นา”

“ไม่ใช่งู แต่น่าจะเป็นตัวมังกรมากกว่า” หญิงสาวรู้จักมังกรจากที่เคยไปวัดจีนกับผู้เป็นแม่

“มังกรเหรอ...เข้าเค้าจริงๆ” คนพูดพูดพลางหัวเราะคิกคักอย่างชอบอกชอบใจ

“แกหัวเราะอะไรนักหนา แล้วเข้าเค้าอะไรของแก” ขวัญชีวาส่งค้อนให้เพื่อนพลางนวดแขนตัวเองไปมาเพราะฟกช้ำจากการดิ้น

“อ้าว...ฉันเคยได้ยินแต่คนฝันว่าถูกงูรัด ของแกนี่พิเศษกว่าคนอื่นดันฝันว่าถูกมังกรรัด แล้วดูที่นอนสิ ดิ้นจนผ้าปูยับไปหมด”

คนฝันร้ายก้มลงมองผ้าปูที่นอนสีขาวที่ก่อนหน้าปูไว้จนเรียบตึง ทว่าเวลานี้ยับย่น แสดงว่าเธอดิ้นรุนแรงจริงๆ อย่างที่ผู้เป็นเพื่อนบอก มิหนำซ้ำผ้าห่มยังหล่นไปอยู่ข้างเตียง

“ถ้าแกฝันว่าถูกงูเอ๊ยมังกรรัด ไม่ได้เรียกว่าฝันร้ายหรอกต้องบอกว่าฝันดีต่างหาก ตกลงว่าหน้าของมังกรเหมือนคุณฌอนไหม”

ขวัญชีวานิ่งอึ้งพูดไม่ออกจากคำพูดประโยคสุดท้ายของผู้เป็นเพื่อนที่ราวกับเข้ามานั่งอยู่ในใจเธอ ทำให้หวนนึกถึงความฝันของตัวเองขึ้นมา เธอฝันว่าเดินเข้าไปในทุ่งหญ้าสีเขียวขจีที่มีดอกไม้หลากสีสันบานชูช่อไสว ผีเสื้อตัวโตๆ สีสันงดงามพากันบินว่อนอย่างไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน สร้างความตื่นตาตื่นใจให้เป็นยิ่งนัก ขณะกำลังไล่จับผีเสื้ออยู่นั้นจู่ๆ ก็มีมังกรสีทองอร่ามเลื้อยมาขวางหน้า ดวงตาคมปลาบของมันจ้องมายังเธอเขม็ง

ด้วยความตกใจกลัวเธอพยายามจะก้าวเท้าเพื่อวิ่งหนี ทว่ากลับทำไม่ได้อย่างที่คิดเพราะขาทั้งคู่แข็งจนก้าวไม่ออก กระทั่งมังกรตัวดังกล่าวเลื้อยอย่างรวดเร็วเข้ามาหา จึงรวบแรงฮึดสุดท้ายออกวิ่ง แต่วิ่งมาได้เพียงครู่เดียวเธอก็ถูกรัดและตวัดตัวเข้าไปหามันอย่างแนบแน่นจนกระดิกตัวไม่ได้

ณ ตอนนั้นขวัญชีวาคิดว่าตัวเองต้องตายอย่างแน่นอน แต่ความรู้สึกที่ได้รับกลับไม่ได้เป็นอย่างที่คิดเพราะการรัดไม่ได้ทำให้เกิดอาการเจ็บปวดแม้แต่น้อย ความรู้สึกที่ได้ราวกับถูกใครโอบกอดไว้แนบอก มีทั้งความอ่อนหวานและนุ่มนวล แล้วพลันงูสีทองอร่ามก็แลบลิ้นตวัดลงมาหา

ทว่า...ดวงหน้าที่เห็นแทนที่จะเป็นงูกลับกลายเป็นดวงหน้าฉาบรอยยิ้มพราวระยับของฌอน จำได้ว่าตอนนั้นเธอเผลออ้าปากจะพูดอะไรออกมา แต่กลับถูกเรียวปากของอีกฝ่ายก้มลงจูบเธออย่างดูดดื่ม จนเธอเริ่มมีสติจึงดิ้นรนอีกครั้งแล้วก็สะดุ้งตื่นจากการถูกเขย่า

รสสัมผัสดังกล่าวยังคงอวลอยู่ที่ริมฝีปากราวกับเกิดขึ้นกับเธอจริงๆ

“อ้าว...ทำไมนั่งเงียบ แกลองเล่าความฝันของแกให้ฉันฟังหน่อยสิ”

ขวัญชีวานิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะเล่าความฝันให้ผู้เป็นเพื่อนฟัง เพียงแต่ข้ามเรื่องชวนวาบหวามนั่นเสีย เพราะไม่อย่างนั้นแม่เจ้าประคุณต้องเอาไปมโนเป็นตุเป็นตะแน่นอน

“ในฝันแกไม่ได้ตีมังกรจนตายนะนังหนูวา”

คนถูกถามส่งค้อน “แกนี่ถามบ้าๆ มังกรนะไม่ใช่งู ถ้าตีได้คงตีไปแล้วแหละ”

กรวรรณหัวเราะคิกคัก “เดี๋ยวฉันขอดูก่อนนะว่าถ้าถูกมังกรตัวใหญ่สีทองรัดแล้วจะเป็นอย่างไร” ว่าแล้วคนพูดก็หยิบโทรศัพท์มือถือมากดค้นอะไรอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มกว้าง “ตามตำราบอกไว้แค่ว่าถ้าถูกงูสีทองตัวใหญ่รัดจะเจอเนื้อคู่ที่มีฐานะความเป็นอยู่ดีเลิศ หน้าตาหล่อเหลา รูปร่างสูง ผิวขาวผมหยักศกน้อยๆ” สองประโยคหลังคนพูดเติมเข้าไปเอง “แต่ของแกเป็นมังกรก็ต้องดีกว่างูแน่นอน”

“ทำไมแกไม่พูดชื่อออกมาด้วยเลยล่ะยายนก” ขวัญชีวาพูดค่อนเพื่อนแต่ภายในใจก็อดนึกถึงหน้าของผู้ชายในฝันไม่ได้

“อันนี้ต้องละไว้ในฐานะที่เข้าใจ” กรวรรณพูดพลางอมยิ้มอย่างมีเลศนัยก่อนจะทำตัวเป็นแม่หมอ “ในฝันแกบอกว่าพยายามวิ่งหนีแต่ไม่พ้นถูกรัดจนได้ แปลว่าแกจะได้แฟนแน่นอนเกินร้อยเปอร์เซ็นต์ และมังกรตัวนั้นก็เลื้อยอย่างรวดเร็วเข้ามาหา แปลว่าคนที่เป็นเนื้อคู่ของแกเข้ามาในชีวิตแบบรวดเร็วแบบปุบปับไม่ให้ทันตั้งตัว แล้วตอนนี้เพิ่งจะตีห้า ตามตำราบอกไว้ว่าการฝันใกล้สว่างมักจะเป็นจริงเสมอ”

คนฟังปั้นหน้าแสดงอาการไม่เชื่อถือทั้งที่ภายในหัวใจกำลังเต้นโครมครามจนกลัวจะทะลุออกมา

“เหลวไหลจริง แกนี่นอกจากจะบ้าหมอดูแล้วยังเชื่อความฝันอีก ที่ฉันฝันว่าตัวเองเดินอยู่ในทุ่งหญ้าอาจเป็นเพราะฉันมองไปทางภาพที่ติดผนังห้องก็ได้ แล้วที่ฝันเห็นงูเพราะฉันนอนไม่หลับเลยเดินลงไปข้างล่าง แวะไปดูละครที่ห้องของหนูนา ซึ่งในละครก็มีงูเลยเอามาฝันเป็นตุเป็นตะ”

ขวัญชีวาพูดแล้วก็หน้าร้อนผ่าวราวกับเป็นไข้ เพราะที่พูดออกไปไม่ได้เป็นความจริงสักนิด ในละครที่ดูไม่ได้มีงูมีแต่พระเอกของเรื่องที่หน้าคล้ายฌอน ถ้าขืนบอกออกไปคงถูกผู้เป็นเพื่อนเอาไปผูกโยงกับเรื่องความฝันเป็นแน่
 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น