12

ตอนที่ 11...การจากลาเพื่อพบเจอกันใหม่


บนชานกว้างริมระเบียงของเรือนไทยใต้ถุนสูงหลังใหญ่แบบโบราณที่ขนาบข้างด้วยเรือนหลังย่อมกว่าอีกสองหลัง ร่างสูงเพรียวของฌอนในชุดเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงเลสีน้ำตาลนอนเหยียดยาวอยู่บนพื้นกระดานที่ถูกขัดจนเป็นเงาวาววับโดยมีหมอนขิดสีสันสดใสรองศีรษะอยู่ ใกล้ๆ กันร่างผอมบางของนางพุดแก้วผู้เป็นยายนั่งพิงระเบียงมีหมอนอิงใบใหญ่รองหลังอยู่กำลังพูดโอดครวญระคนต่อว่าหลานชาย ด้วยคืนนี้อีกฝ่ายจะต้องเดินทางกลับไต้หวันแล้ว

“อ๋องน้อยของยายทำไมไม่อยู่ต่ออีกอาทิตย์ล่ะ ยายยังไม่หายคิดถึงเลย”

“นั่นสิอ๋อง ป้ากับลุงยังไม่ได้พาหลานชายไปอวดคนแถวนี้เลย น่าเสียดายจริงๆ” มัลลิการ์ผู้เป็นป้าพูดกับหลานชายด้วยน้ำเสียงไม่ต่างกัน

“อวด” คนเป็นหลานชายลุกขึ้นนั่งเคียงข้างผู้เป็นยายแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ “อวดอะไรหรือครับคุณป้า”

“ป้าเขาไปพูดอวดกับคนแถบนี้ไว้เยอะไงตาอ๋อง บอกว่าหลานชายรูปหล่ออย่างโน้นอย่างนี้ ทำให้ใครต่อใครอยากเห็น” พลเดชสถาปนิกมือฉมังที่ผันตัวเองมาดูแลสวนทุเรียนกับที่ดินมากมายของผู้เป็นแม่ยายบอกหลานภรรยายิ้มๆ

“คุณแม่อยากอวดหลานชายแต่เจ้าตัวกลับนอนเขลงอยู่กับบ้านไม่ยอมออกไปไหนซะงั้น” หิรัญญิการ์พูดกระเซ้าน้องชาย เธอก็เห่อน้องชายไม่ต่างกัน ถึงกับไม่ยอมไปร้านปล่อยให้เด็กที่ไว้ใจได้ดูแลคนเดียวมาสองสามวันแล้ว

“โถ...พี่พลูครับ ตั้งหลายเดือนกว่าผมจะได้กลับมาบ้านสวนสักครั้ง ขอนอนสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดให้เต็มที่หน่อยเถอะ ที่นี่อากาศดีจนไม่อยากออกไปไหน ในเมืองก็เจออากาศเจือด้วยมลพิษ แม้แต่โกมลของคุณยายยังบอกว่าติดใจบ้านสวนเลยครับ”

ฌอนบอกพี่สาวพลางมองไปยังผีเสื้อหลากสีสันสวยงามที่พากันบินว่อนดอมดมดอกไม้ซึ่งส่งกลิ่นหอมรัญจวนลอยล่องมาตามสายลม ช่วยคลายความร้อนจากแสงแดดยามบ่ายคล้อยได้เป็นอย่างดี บวกกับเสียงนกร้องทำให้บรรยากาศรอบข้างอบอวลไปด้วยความสุขจนสัมผัสได้ เขาคิดว่าการมาเมืองไทยของเขาครั้งนี้นอกจากจะมาเยี่ยมเยียนครอบครัวทางฝั่งมารดาแล้ว ยังมีบางสิ่งบางอย่างที่ดึงดูดใจเขาจนทำให้คิดว่าอีกไม่นานจะต้องกลับมาอีกบ่อยๆ เป็นแน่

“แล้วเมื่อไหร่อ๋องของยายจะมาอีกล่ะ” คนเป็นยายเอ่ยถามเสียงสั่นน้ำหูน้ำตาพานจะไหล

คนเป็นหลานชายหันไปโอบกอดร่างบอบบางก่อนจะพูดเสียงนุ่มนวล “ตอนนี้อ๋องเพิ่งเข้ามาบริหารที่บริษัทได้ไม่นาน ต้องแสดงผลงานให้คนเก่าคนแก่บางคนเห็นเพื่อสร้างความเชื่อมั่น ยังมีบางคนที่แข็งข้อไม่ยอมรับ ช่วงนี้อ๋องเลยต้องรับศึกหนักแสดงศักยภาพให้คนพวกนี้ดูหน่อยครับคุณยาย”

น้ำเสียงของฌอนไม่ได้มีวี่แววของคนที่บอกว่ากำลังรับศึกหนักอย่างที่พูดแต่อย่างใด ดวงตาคู่คมปลาบแฝงไว้ด้วยความมั่นใจจนเปี่ยมล้น ซึ่งท่าทางแบบนี้นางพุดแก้วมองแล้วก็ให้พลันนึกถึงเจ้าคุณปู่ของนางขึ้นมาในทันใด อย่างนี้สิถึงเรียกว่าเชื้อไม่ทิ้งแถว

“แต่ต่อไปอ๋องสัญญาว่าจะกลับมาหาคุณยายกับทุกคนบ่อยๆ ครับ”

“ยายจะรอ อย่าลืมสัญญาแล้วกัน”

ฌอนยิ้มประจบก่อนก้มลงหอมแก้มสองข้างของผู้เป็นยายแล้วจึงหันไปทางลุงเขยเมื่อนึกถึงเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้

“คุณลุงเป็นสถาปนิกเก่า รู้จักบริษัทอริยะสัตย์ กรุ๊ปไหมครับ”

สถาปนิกเก่าผู้คร่ำหวอดอยู่ในวงการหัวเราะเบาๆ “รู้จักสิ ใครจะไม่รู้จักบริษัทก่อสร้างอันดับต้นๆ ของเมืองไทยอย่างอริยะสัตย์ กรุ๊ปเล่า เจ้าของบริษัทชื่อเอกดนัยเป็นคนเก่งมาก อ๋องถามทำไมหรือ”

“คือตอนไปกินอาหารกับลูกค้าผมบังเอิญเจอคุณกฤตนัยน่ะครับ แล้วมีคนบอกว่าเป็นลูกชายของเจ้าของอริยะสัตย์กรุ๊ป” ฌอนยกชื่อพี่ชายของหญิงสาวผู้นั้นขึ้นมาเอ่ยอ้าง

“อ๋อ ถ้าลุงจำไม่ผิดคนที่อ๋องพูดถึงนั่นเป็นลูกชายคนโตของคุณเอกดนัย เป็นสถาปนิกที่อนาคตคาดว่าคงเก่งฉกาจไม่แพ้พ่ออย่างแน่นอน”

“บ้านนี้มีลูกชายสามคนใช่ไหมคะคุณพ่อ” หิรัญญิการ์ถามโพล่งขึ้นมาด้วยน้ำเสียงติดสะบัด

“น่าจะใช่นะ ลูกชายของตระกูลนี้เก่งกันทุกคน คนกลางเป็นวิศวกร ส่วนคนเล็กพ่อจำไม่ได้ว่าคนนี้มีตำแหน่งอะไรอยู่ในบริษัท แต่คิดว่าคงเก่งไม่แพ้พวกพี่ๆ เป็นแน่”

“คนนี้ชื่อทักษกรค่ะคุณพ่อ เก่งทางด้านการตลาด”

ฌอนมองพี่สาว “ทำไมพี่พลูถึงรู้ล่ะครับ”

“นั่นสิลูก ทำไมถึงรู้ แล้วรู้กระทั่งชื่อ” บิดาถามอย่างสงสัยเช่นกัน

“พลูไม่ได้รู้จักนายคนนี้เป็นการส่วนตัวหรอก รู้จากยายสาน่ะค่ะ” คนเป็นบุตรสาวตอบด้วยน้ำเสียงราวกับไม่ชอบหน้าคนที่พูดถึงนัก

“อ๋อ ยายมาริสาเพื่อนของลูกน่ะเหรอ”

“ใช่ค่ะ ยายสาทำงานอยู่ในบริษัทนี้ ยายนั่นคลั่งไคล้ใหลหลงนายคนนี้มากจนถึงกับตั้งแฟนเพจให้เลยนะคะ พลูเตือนก็ไม่ฟังว่าคนระดับนั้นเขาไม่มองตัวเองหรอก” หิรัญญิการ์พูดเสียงขุ่น

“พี่พลูทำเสียงเหมือนไม่ชอบหน้าเขาเลยนะครับ ฟังจากที่เล่า เพื่อนพี่พลูไปคลั่งไคล้เขาฝ่ายเดียวไม่ใช่หรือครับ” น้องชายออกความเห็น

“เอ้อ...ก็ทำนองนั้นแหละ” เป็นเพราะใจอคติทำให้หญิงสาวมองทักษกรในแง่ลบ ทั้งที่ผู้เป็นเพื่อนของเธอต่างหากที่ไปคลั่งไคล้อีกฝ่ายหรืออาจถึงขั้นหลงรักแล้วก็เป็นได้

“อ้าว แล้วลูกจะไม่ชอบเขาก็ไม่ถูกนะลูก” มัลลิการ์เงยหน้าจากจอโทรศัพท์ที่กำลังเล่นไลน์คุยกับกลุ่มเพื่อนๆ อยู่พูดกับลูกสาว

“ไม่รู้ละ หมั่นไส้ แล้วยายสานะก็ไปเกณฑ์เพื่อนๆ ให้มากดไลก์แฟนเพจที่ตัวเองตั้งขึ้นมา บ้าที่สุด เดี๋ยวนี้พลูว่าคนบ้าโลกโซเชียลกันอย่างไม่ลืมหูลืมตา ไม่ต้องดูใคร ดูคุณแม่กับคุณยายก็ได้ วันๆ จ้องแต่โทรศัพท์”

คนถูกพาดพิงถึงทั้งคู่สะดุ้งโหยง

“อ้าว...ทำไมพาดพิงล่ะลูก รู้ไหมว่าตอนนี้เขารณรงค์ให้คนมีอายุผ่อนคลาย โดยการเข้าไปสัมผัสโลกออนไลน์ จะได้รู้ว่าโลกปัจจุบันก้าวล้ำไปถึงไหนกันแล้ว ช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์ไปในตัวด้วยนะยายพลู แล้วลูกเองเป็นคนซื้อโทรศัพท์มาให้แม่กับคุณยายด้วยนะอย่าลืม” คนเป็นแม่ที่เป็นอดีตอาจารย์ที่ขอเออร์รีรีไทร์ออกมาพูดน้ำเสียงสูง

“พลูไม่เถียง แต่ใครจะรู้ล่ะว่าคุณแม่กับคุณยายจะเล่นกันจนไม่ลืมหูลืมตาแบบนี้” หิรัญญิการ์พูดเสียงอ่อยก่อนจะหันไปทางน้องชาย “คิดดูนะ อยู่บ้านเดียวกันแทนที่จะเอ่ยปากคุยกัน เปล่าหรอกมาถามทางไลน์”

ฌอนที่นั่งอมยิ้มฟังคนในครอบครัวคุยกันพลันหวนนึกถึงเหตุการณ์วันแรกที่เขาพานพบกับหญิงสาวขึ้นมาทันที แล้วจากการอมยิ้มในตอนแรกก็เปลี่ยนเป็นยิ้มจนเต็มหน้าโดยไม่รู้ตัว

“อ้าว...ตาอ๋อง ทำไมจู่ๆ ก็ยิ้มล่ะหลาน” คนเป็นป้าถามอย่างสงสัย

“ขำเรื่องที่พี่พลูพูดว่าคุณยายกับคุณป้าพากันบ้าเล่นไลน์น่ะครับ” คนพูดพูดแก้ตัวออกไปน้ำขุ่นหรือน้ำใสคงมีแต่เขาเท่านั้นที่รู้

“แล้วอ๋องจะเดินทางตอนไหนหรือจ๊ะ” คนเป็นพี่สาวถาม

“ต้องเช็กอินประมาณสามทุ่มครับ”

 

บริษัท ทีเค อิเล็กทรอนิกส์ จำกัด

“หนูวา ทำไมนั่งหน้ามุ่ยอย่างนั้นล่ะ” กรวรรณที่เพิ่งมาถึงที่ทำงานเอ่ยถามพลางทรุดนั่งลงที่โต๊ะของตัวเองซึ่งอยู่ใกล้ๆ กันก่อนจะอุทานเสียงสูงเมื่อเห็นถุงใส่เค้กของร้านกาแฟชื่อดังวางอยู่บนโต๊ะผู้เป็นเพื่อน “ว้าว นั่นเค้กร้านสตาร์แบล็กนี่นา ใครซื้อมาให้แกอีกล่ะ” ที่ต้องถามออกไปอย่างนี้เพราะแน่ใจว่าอีกฝ่ายไม่มีทางซื้อมากินเองอย่างแน่นอน ด้วยเจ้าตัวเคยพูดเอาไว้ว่าเค้กบ้าบออะไรชิ้นหนึ่งตั้งร้อยกว่าบาท

“พี่มลทิพย์ซื้อมาฝาก แกเอาไปกินสินก” ขวัญชีวาพูดพลางยกเค้กทั้งถุงให้เพื่อนอย่างไม่เสียดาย

“แหม ลาภปากแต่เช้า เค้กร้านนี้อร่อยแต่ราคาแพงเกินไปจริงๆ แล้วทำไมเดี๋ยวนี้พี่มลดูประจ๋อประแจ๋แกจังนะ ฉันว่าเจ้าหล่อนเปลี่ยนไปตั้งแต่รู้ว่าแกไม่ใช่ลูกตาสีตาสา” คนพูดพูดด้วยน้ำเสียงติดเย้ยหยัน

“นี่แหละคน! ฉันถึงไม่เคยอวดอ้างตัวเองไงล่ะ เพื่อจะได้รู้ถึงสันดานของแต่ละคนที่มองและคบกันที่ภาพลักษณ์ภายนอก เมื่อก่อนพี่มลทิพย์คอยแต่จะพูดจาดูถูกเหยียดหยามฉัน เคยถามแม้กระทั่งว่าฉันขับรถอะไรมาทำงาน พอบอกอีโกคาร์ก็ว่าเป็นรถกระป๋องบ้าง เล็กจนไม่กล้าขับออกนอกถนน แต่เดี๋ยวนี้กลับพูดว่ารถแบบนี้ก็ดีนะหาที่จอดได้ง่าย แล้วยังอีกหลายเรื่อง เรียกว่าเปลี่ยนจากหลังเท้าเป็นหน้ามือเลยก็ว่าได้ คงนึกว่าฉันจำไม่ได้มั้ง”

ขวัญชีวาไม่ได้พูดเกินจริงไปนักเพราะนับจากงานเลี้ยงที่ร้านครัวต้นตำรับ มลทิพย์ที่เคยแสดงท่าทีดูถูกเหยียดหยามขวัญชีวาเสมอยามสบโอกาสก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างที่พูดจริงๆ แต่ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกปลาบปลื้มหรือดีใจกับท่าทีใหม่ที่ได้รับแต่อย่างใด ทว่ากลับทำให้หญิงสาวรู้สึกรังเกียจคนชนิดนี้มากยิ่งขึ้นเพราะเท่ากับแสดงตัวตนของตัวเองออกมาให้เห็นว่าเป็นคนเช่นไร

“นี่แหละมนุษย์ขี้เหม็นนังหนูวา นั่นตายยากจริงๆ พูดถึงก็เดินมาพอดี”

“หนูวา ชอบเค้กที่พี่มลซื้อมาฝากหรือเปล่าเอ่ย” คนที่กำลังถูกพูดถึงเอ่ยถามน้ำเสียงอ่อนหวานต่างกับเมื่อก่อนราวหน้ามือกับหลังเท้าก็ไม่ปาน

“อ๋อ หนูวาไม่ชอบกินเค้กหรอกค่ะกลัวอ้วน เลยให้นกไปแล้ว” คนตอบตอบออกไปตามตรง ไม่ได้ถนอมน้ำใจคนให้เลยสักนิด

“อ้าว...เหรอจ๊ะ ไม่เป็นไรเอาไว้พี่หาขนมแบบคลีนมาฝากดีกว่า เอ้อ...แล้วหนูวาไม่เปลี่ยนใจแน่หรือจ๊ะ”

“เปลี่ยนใจเรื่องอะไรหรือคะ” คนถามถามอย่างสงสัย

“เรื่องลาออกจากงานไงจ๊ะ พี่และคนอื่นๆ ในแผนกเสียดาย ไม่อยากให้หนูวาลาออกเลยจ้ะ” มลทิพย์พูดเสียงอ่อนหวาน ลืมคำพูดของตัวเองเมื่อก่อนไปจนหมดสิ้น

“ไม่เปลี่ยนใจหรอกค่ะ”

ขวัญชีวาตอบทั้งที่อยากจะพูดอะไรออกไปแรงๆ นักเพราะจำได้ว่าตอนเธอยื่นใบลาออกเมื่อเดือนที่แล้ว มลทิพย์เป็นคนแรกที่พูดจาเยาะเย้ยถากถางเธอทั้งยังแสดงท่าทีสะอกสะใจ แถมพูดเป็นทำนองว่าหางานได้แล้วเหรอถึงจะลาออก ระวังจะอดตาย แต่ตอนนี้มาพลิกลิ้นพูดว่าไม่อยากให้ออกซะงั้น

ช่างพูดออกมาได้อย่างไม่ละอายปาก

“พี่ว่าหนูวาลองกลับไปคิดทบทวนใหม่ก็ได้นะจ๊ะ เอ้อ...พี่เกือบลืม บอสให้หนูวาไปพบที่ห้องแน่ะจ้ะ พี่ขอตัวไปทำงานก่อนนะ”

พูดจบคนพูดก็เดินนวยนาดกลับไปยังโต๊ะทำงานของตัวเองโดยมีกรวรรณมองแล้วพูดตามหลังไปว่า

“คาดว่าพี่มลทิพย์แกคงความจำเสื่อมนะหนูวา”

“นั่นสิ คงไม่ใช่แค่พี่มลทิพย์คนเดียวหรอก ยังมีอีกหลายคนที่ทำตัวเป็นจิ้งจกเปลี่ยนสี” ขวัญชีวาพูดพลางเหยียดยิ้ม เพราะไม่ใช่แค่มลทิพย์คนเดียวยังมีอีกหลายคนที่เคยมองข้ามเธอแต่ตอนนี้พากันเปลี่ยนท่าทีเข้ามาพูดจาพินอบพิเทาอย่างโน้นอย่างนี้

“แล้วคุณกรณ์เรียกเธอไปพบทำไม”

“นี่ละคือสิ่งที่ฉันอยากรู้”

พูดจบขวัญชีวาก็ลุกขึ้นแล้วเดินตรงไปยังชั้นลอยซึ่งเป็นห้องทำงานของปกรณ์ ที่เพิ่งมาทำงานเป็นวันแรกหลังกลับจากฮันนีมูนกับภรรยาซึ่งตอนนี้เจ้าตัวเลื่อนตำแหน่งจากผู้จัดการฝ่ายเป็นผู้อำนวยการบริษัท

 

“เชิญนั่งครับคุณหนูวา”

คนถูกเชิญทรุดตัวลงนั่งตรงเก้าอี้หน้าโต๊ะตัวใหญ่ก่อนจะถามถึงธุระทันที “ไม่ทราบผู้อำนวยการเรียกพบด้วยเรื่องอะไรหรือคะ”

“เรียกผมว่าคุณกรณ์เหมือนเดิมดีกว่าครับ เรียกผมอย่างนี้ไม่คุ้นเคยเลย”

ปกรณ์พูดพลางส่งสายตาหวานให้ ยิ่งทำให้ขวัญชีวานึกรังเกียจอีกฝ่ายมากขึ้น เพราะเมื่อก่อนยามต่อหน้ากนกลดาหรือคนอื่นเจ้าตัวมักเรียกชื่อเต็มๆ ของเธอ แต่พอตอนนี้มาเรียกชื่อเล่น แล้วก็ให้นึกฉงนตัวเองนักว่าทำไมตอนนั้นถึงไปหลงละเมอเพ้อพกผู้ชายแบบนี้ได้ ดีที่หลงแค่คำพูดหวานหู แต่ไม่ถึงขั้น...รัก

แล้วมาส่งสายตาแบบนี้กับเธอเพื่อ...ลืมไปหรือไงว่าตัวเองแต่งงานแล้ว ไอ้คนเส็งเคร็ง

“เรียกผู้อำนวยการแหละค่ะ แล้วตกลงมีธุระอะไรหรือเปล่าคะ” หญิงสาวเอ่ยถามตรงๆ ไม่อ้อมค้อมอีกครั้ง

“คือที่เรียกมาวันนี้ผมอยากให้คุณหนูวาลองคิดใคร่ครวญดูใหม่อีกครั้งดีไหมครับ”

ปกรณ์พูดพลางก็มองดวงหน้าสะสวยของหญิงสาวในชุดจั๊มสูทสีเทาที่นั่งอยู่อย่างสุดแสนเสียดาย ทำไมเขาถึงตาต่ำมองเพชรเป็นพลอยหุงไปได้ นึกแล้วอยากจะย้อนเวลากลับมานัก ไม่งั้นป่านนี้เขาคงได้กินเนื้อห่านฟ้าอิ่มเอมไปแล้ว

“ลองคิดใคร่ครวญอะไรหรือคะ”

“เรื่องลาออกจากงานไงครับ”

คนพูดพูดด้วยน้ำเสียงหวานไม่ต่างจากสายตา หญิงสาวฟังแล้วอยากจะอาเจียนออกมานักเพราะจำได้ว่าตอนยื่นใบลาออกเขารีบเซ็นอนุมัติในทันควันราวกับกลัวเธอจะเปลี่ยนใจ ซึ่งตอนนั้นอาจกลัวกนกลดารู้ว่ามาขายขนมจีบให้เธอ แล้วตอนนี้มาพูดแบบนี้เพื่อ

“อ๋อ...” หญิงสาวฉีกยิ้มทำให้ปกรณ์ที่เข้าใจว่าตัวเองพูดจาโน้มน้าวให้อีกฝ่ายเปลี่ยนใจได้ รอยยิ้มหวานที่ประดับอยู่บนใบหน้าจึงมากขึ้น ทว่าประโยคต่อมาทำเอาคนคิดเข้าข้างตัวเองหน้าม้าน “ไม่หรอกค่ะ”

แต่ก็ทำหน้ามึนถามต่อไปว่า “ใครทำอะไรให้คุณขวัญชีวาคับข้องหมองใจหรือเปล่าครับ เดี๋ยวผมจัดการให้”

คนถูกถามแค่นยิ้มนึกชมตัวเองว่าคราวนั้นนับเป็นการตัดสินใจถูกที่ยื่นใบลาออกจากบริษัทนี้ ซึ่งจริงๆ แล้วสาเหตุส่วนหนึ่งก็มาจากผู้ชายตรงหน้า ช่างเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องจริงๆ

“ไม่มีหรอกค่ะ ถ้าผู้อำนวยการไม่มีอะไรแล้วขอตัวก่อนนะคะ”

“เอ้อ...” คนอยากพูดอะไรมากกว่านี้อ้ำอึ้ง นึกสรรหาคำพูดไม่ออกในทันใด ได้แต่มองตามร่างเพรียวระหงไปจนลับสายตาด้วยความเสียดายที่ทวีคูณขึ้น

ขวัญชีวาออกจากห้องของปกรณ์ได้ก็เดินตรงไปที่โต๊ะทำงานของตัวเองทันทีโดยมีกรวรรณที่ผุดลุกขึ้นจากโต๊ะตรงเข้ามาถามราวกับรออยู่

“คุณกรณ์เรียกแกไปทำไม”

ขวัญชีวาเล่าให้เพื่อนฟังอย่างไม่ปิดบัง ซึ่งพอฟังจบกรวรรณก็พูดออกมาด้วยความโมโหแทนเพื่อน

“กล้าพูดออกมาได้ไม่อายปากจริงๆ ทำเป็นมาพูดอย่างนี้เพราะรู้ว่าแกเป็นลูกใครน่ะสิ เชอะ ผู้ชายแบบนี้ขออย่าได้เจอะได้เจอเลย เจ้าประคู้น”

“มนุษย์ผู้ชายส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นเหมือนกันหมดแหละยายนก”

“เฮ้ย...อย่าเหมารวมสิ คนดีๆ ยังมีอีกเยอะแต่ต้องควานหาหน่อยเท่านั้น ตาดีได้ ตาร้ายเจอ เหมือนซื้อลอตเตอรี่ไง ใครโชคดีก็เจอรางวัลที่หนึ่ง โชคน้อยหน่อยก็เจอเลขท้ายสองตัว แต่จะว่าไปแล้วเลขท้ายสองตัวยังถูกยากเลย เอ้อ...เกือบลืม เดี๋ยวเย็นๆ แกไปเป็นเพื่อนฉันที่สุวรรณภูมิหน่อยสิ”

“แกจะไปทำไมที่สุวรรณภูมิ”

“คุณนายแม่ฉันสิจะไปไหว้พระที่ไต้หวันกับญาติๆ เพราะตอนนี้เข้าไต้หวันไม่ต้องทำวีซ่าเหมือนเมื่อก่อนแล้วไงหนูวา ญาติๆ รวมทั้งแม่ฉันก็เลยแห่กันไปเที่ยว ฉันเลยต้องตามไปส่งซะหน่อย”

ขวัญชีวาพยักหน้า “ได้สิ”

“เอาไว้เราไปเที่ยวกันบ้างไหม แกบอกฉันว่าจะขอลาพักร้อนไม่ใช่เหรอ ไต้หวันมีที่เที่ยวสวยๆ หลายแห่งนะ ฉันนะอยากไปทะเลสาบสุริยันจันทราที่มีแต่คนบอกว่าสวยอย่างกับภาพวาดมากถึงมากที่สุด”

“แหม...ยายนก ในเมืองไทยทะเลสาบสวยๆ ก็มีถมเถไป ทำไมต้องถ่อไปเที่ยวถึงไต้หวันด้วย”

เมื่อพูดถึงประเทศนี้ทำให้ขวัญชีวาอดนึกถึงใครบางคนขึ้นมาไม่ได้ ป่านนี้เจ้าตัวคงกลับไต้หวันไปแล้วมั้ง

“แหม เราต้องไปเที่ยวหาประสบการณ์ จะได้รู้ไงว่าที่เขาบอกสวยเหมือนภาพวาดนั้นจริงไหม แกลองเก็บไปคิดเป็นการบ้านดูนะ แต่ฉันน่ะอยากไป”

“แกนะยายนก เมื่อกี้แกพูดถึงเรื่องแม่ไม่ใช่เหรอว่าแห่ไปเที่ยว จู่ๆ ก็อยากจะไปเองซะแล้ว”

“ฉันก็อยากไปบ้างนี่นา ไหนๆ ปลอดวีซาแล้ว เมื่อก่อนไต้หวันเข้ายากจะตาย ตอนนี้ใครต่อใครแห่ไปเที่ยวญี่ปุ่นกัน เราต้องสวนกระแส แล้วไต้หวันน่ะมีแต่หนุ่มหล่อๆ ทั้งนั้น อย่าง เอ็ดดี้ เผิง ก็เป็นคนไต้หวัน อ้อ..แกอย่าลืมสิหนูวา คุณฌอนอยู่ที่นั่น ไม่แน่เราอาจจะไปเจอเขาก็ได้ใครจะรู้”

“แกพูดเป็นนิยายไปได้ ประเทศไต้หวันไม่ใช่ห้างสรรพสินค้านะจะได้พบเจอกันได้ง่ายๆ เดี๋ยวฉันขอเขียนลาพักร้อนก่อนแล้วค่อยว่ากันว่าจะไปเที่ยวไหนกันดี”

 

อาคารผู้โดยสารขาออกของสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิในยามค่ำคืน คลาคล่ำและพลุกพล่านวุ่นวายไปด้วยเสียงผู้คนซึ่งมีทั้งคนไทยและต่างชาติ ทั้งยังเดินลากกระเป๋ากันอย่างขวักไขว่ รวมทั้งเสียงประกาศของสายการบินต่างๆ ที่ได้ยินเป็นระยะ

“แกรู้ไหมว่าสถานที่ที่ฉันไม่อยากมามากที่สุดคือสนามบินสุวรรณภูมินี่แหละ”

ขวัญชีวาบ่นอุบพลางเดินหลบหลีกกระเป๋าใบใหญ่ที่เจ้าของซึ่งเป็นหญิงชาวจีนเข็นโดยไม่มองใครเพราะปากมัวแต่คุยเสียงล้งเล้ง

“ระวังคำพูดของแกไว้เถอะหนูวา สิ่งไหนที่ไม่อยากมาหรือไม่อยากเห็นมักจะต้องมาอยู่บ่อยๆ และต้องเห็นอยู่เสมอ เหมือนสำนวนไทยที่ว่าเกลียดสิ่งไหนมักจะได้สิ่งนั้นไงล่ะ” กรวรรณบอกเพื่อนเสียงแกมหัวเราะพลางสอดส่ายสายตามองหามารดากับกลุ่มญาติๆ ที่มาถึงกันแล้ว

“ย่ะแม่คนเจ้าสำนวน แล้วแม่แกต้องเช็กอินและเดินทางกี่โมง”

“เช็กอินประมาณสามทุ่ม แม่บอกจะมาก่อนล่วงหน้าแล้วจะเดินดูของต่อ เพราะกว่าจะเดินทางก็ห้าทุ่มโน่น” คนเป็นเพื่อนบอกก่อนจะก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ “นี่ก็จะสามทุ่มแล้ว เราเดินไปรอที่เคาน์เตอร์ดีกว่า เพราะยังไงเดี๋ยวก็ต้องเจอกันที่นั่นอยู่ดี”

“ไปสิ”

หญิงสาวทั้งคู่พากันตรงไปยังเคาน์เตอร์เช็กอินของสายการบินเจ้าของสโลแกนว่ารักคุณเท่าฟ้าซึ่งมีเจ้าหน้าที่สาวสวยนั่งประจำอยู่แล้วก็เดินเตร่ๆ อยู่แถวนั้น

ขวัญชีวากำลังคิดจะเดินไปหาที่นั่งทว่าหูได้ยินเสียงเจ้าหน้าที่ประจำเคาน์เตอร์ พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงติดร้อนรนเป็นภาษาอังกฤษว่า

“มิสเตอร์เผิงอวี้เยี่ยใช่ไหมคะ”

เสียงตอบกลับนั้นเป็นภาษาไทยชัดถ้อยชัดคำแถมยังคุ้นหูว่า

“ใช่ครับ”

“ตอนนี้เป็นการประกาศเรียกขึ้นเครื่องครั้งสุดท้ายแล้ว รบกวนรอสักครู่นะคะเดี๋ยวจะมีเจ้าหน้าที่มารับตัวคุณไปส่งค่ะ”

“ผมขอโทษด้วยครับที่มาช้า พอดีเส้นทางที่ผ่านเจออุบัติเหตุรถชนกันครับ”

“ไม่เป็นไรค่ะ โน่น...เจ้าหน้าที่ของเรามาแล้วค่ะ เชิญคุณตามไปได้เลยค่ะ”

ขวัญชีวายืนตัวแข็งทื่อตั้งแต่ได้ยินเสียงคุ้นหูนั่นแล้ว ครั้นหันไปมองจึงเห็นร่างสูงของฌอนกับเดฟยืนอยู่ และจังหวะนั้นเองดวงหน้าของอีกฝ่ายก็หันมามองเธอแวบหนึ่ง ก่อนจะเดินตามเจ้าหน้าที่ที่เดินออกมารับเข้าไปในเกตอย่างเร่งรีบ

“นั่นคุณฌอนนี่นาหนูวา” กรวรรณพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นพลางชี้มือไปยังร่างสูงที่กำลังเดินหายลับเข้าไปภายใน

“เออ ฉันเห็นแล้ว แกจะพูดเสียงดังไปทำไมกัน” ขวัญชีวาทำเสียงดุใส่เพื่อนทว่าภายในใจของเธอเวลานี้ เกิดความรู้สึกโหวงเหวงกึ่งใจหายอย่างบอกไม่ถูก เพราะตอนคุยกับเพื่อนก่อนหน้าเรื่องประเทศไต้หวันเธอดันไพล่คิดไปถึงเขาว่าเจ้าตัวคงกลับประเทศไปแล้ว

แล้วหญิงสาวก็นึกด่าตัวเองขึ้นมาครามครัน เธอจะไปรู้สึกบ้าๆ นั่นทำไมกัน ต้องดีใจที่จะไม่ต้องพบเจอเขาอีกอย่างที่พูดลั่นออกไปกับเพื่อนสิถึงจะถูกต้อง

แต่...ทำไมความรู้สึกที่เป็นอยู่ขณะนี้กลับไม่ใช่!

“นั่นแน่นังหนูวา ฉันเห็นแกมองตามเขาตาละห้อยเชียวนะ”

“ตาละห้อยที่ไหนกันเล่า แค่มองแล้วนึกว่าคนเราทำไมไม่รู้จักตรงต่อเวลา มาถึงเป็นไฟนอลคอลเชียว” คนมองตามแก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ ทั้งที่ได้ยินถึงสาเหตุแล้ว

“เขาบอกแล้วว่าเจออุบัติเหตุรถชนกันแกไม่ได้ยินเขาพูดหรือไง...”

ผู้เป็นเพื่อนพูดยังไม่ทันจบขวัญชีวาก็พูดสวนออกไปเสียก่อนเมื่อเห็นมารดาของอีกฝ่ายกำลังเดินมา

“อย่ามัวแต่พูดพร่ำยายนก แม่แกเดินมาโน่นแล้ว”

 

ขณะเดียวกับคนที่ถูกพูดถึงตอนนี้ซึ่งนั่งเอนกายอยู่โดยมีหนังสือพิมพ์ถือในมือ แม้ตาจะอ่านอยู่ทว่าภายในใจนั้นเตลิดไปถึงไหนต่อไหนแล้ว

“นายครับ เมื่อกี้คุณหนูวากับยายเตี้ยนี่ครับ”

ฌอนหันไปมองคนสนิทที่นั่งอยู่ข้างๆ ก่อนเอ่ยถามน้ำเสียงเรียบราวกับไม่สนใจ “แล้วไง!

“เอ...หรือเมื่อกี้ผมตาฝาด”

น้ำเสียงแฝงเล่ห์กลของคนสนิททำเอาคนเป็นนายอยากลุกขึ้นเตะสักป้าบ

“ฉันบอกแล้วไงว่าผู้หญิงไทยเขาถือ เรื่องสรีระ”

“นายหมายถึงยายเตี้ยนั่นหรือครับ”

“อืม”

เดฟหัวเราะหึ “นายหมายถึงยายเตี้ยแต่ผมหมายถึงอีกคนครับ นายไม่นึกแปลกใจหรือประหลาดใจบ้างหรือครับ”

“เรื่องอะไร” ฌอนยังทำไขสือ

“วันแรกที่นายมาเหยียบเมืองไทยก็เจอเธอ ตอนกลับยังเจออีก ถ้าเราไม่มาเป็นไฟนอลคอลก็คงไม่เจอ สถานการณ์ช่างรู้เห็นเป็นใจจริงๆ”

คนเคยพูดน้อยดูเหมือนจะยิ่งพูดมากขึ้นทุกวัน ฌอนจึงมองอย่างหมั่นไส้ “เป็นเหตุบังเอิญ แกไม่ต้องเอามาโยงใยกันเลย”

“เป็นเหตุบังเอิญหรือทางเดินของพรหมลิขิตคงต้องรอดูกันต่อไปนะครับ” น้ำเสียงที่พูดแฝงเลศนัย

“รู้สึกมาเมืองไทยครั้งนี้แกพูดมากนะเดฟ ผีเจาะปากมาพูดหรือไง”

คนถูกหาว่าผีเจาะปากมาพูดส่งค้อนให้คนเป็นนาย “ผมไม่รู้หรอกว่าผีเจาะปากหรืออะไร แต่ผมเห็นนายหันไปมองเธอ ถ้านายไม่สนใจอย่าว่าแต่หันไปมองเลยครับ เจอกันต่อหน้าก็ยังเมิน”

การหลับตานิ่งๆ คือคำตอบของผู้เป็นนาย คงมีเจ้าตัวเท่านั้นที่รู้ว่าคำตอบที่แท้จริงคืออะไร

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น