บนชานกว้างริมระเบียงของเรือนไทยใต้ถุนสูงหลังใหญ่แบบโบราณที่ขนาบข้างด้วยเรือนหลังย่อมกว่าอีกสองหลัง
ร่างสูงเพรียวของฌอนในชุดเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงเลสีน้ำตาลนอนเหยียดยาวอยู่บนพื้นกระดานที่ถูกขัดจนเป็นเงาวาววับโดยมีหมอนขิดสีสันสดใสรองศีรษะอยู่
ใกล้ๆ
กันร่างผอมบางของนางพุดแก้วผู้เป็นยายนั่งพิงระเบียงมีหมอนอิงใบใหญ่รองหลังอยู่กำลังพูดโอดครวญระคนต่อว่าหลานชาย
ด้วยคืนนี้อีกฝ่ายจะต้องเดินทางกลับไต้หวันแล้ว
“อ๋องน้อยของยายทำไมไม่อยู่ต่ออีกอาทิตย์ล่ะ
ยายยังไม่หายคิดถึงเลย”
“นั่นสิอ๋อง ป้ากับลุงยังไม่ได้พาหลานชายไปอวดคนแถวนี้เลย
น่าเสียดายจริงๆ” มัลลิการ์ผู้เป็นป้าพูดกับหลานชายด้วยน้ำเสียงไม่ต่างกัน
“อวด”
คนเป็นหลานชายลุกขึ้นนั่งเคียงข้างผู้เป็นยายแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ
“อวดอะไรหรือครับคุณป้า”
“ป้าเขาไปพูดอวดกับคนแถบนี้ไว้เยอะไงตาอ๋อง
บอกว่าหลานชายรูปหล่ออย่างโน้นอย่างนี้ ทำให้ใครต่อใครอยากเห็น”
พลเดชสถาปนิกมือฉมังที่ผันตัวเองมาดูแลสวนทุเรียนกับที่ดินมากมายของผู้เป็นแม่ยายบอกหลานภรรยายิ้มๆ
“คุณแม่อยากอวดหลานชายแต่เจ้าตัวกลับนอนเขลงอยู่กับบ้านไม่ยอมออกไปไหนซะงั้น”
หิรัญญิการ์พูดกระเซ้าน้องชาย เธอก็เห่อน้องชายไม่ต่างกัน
ถึงกับไม่ยอมไปร้านปล่อยให้เด็กที่ไว้ใจได้ดูแลคนเดียวมาสองสามวันแล้ว
“โถ...พี่พลูครับ
ตั้งหลายเดือนกว่าผมจะได้กลับมาบ้านสวนสักครั้ง
ขอนอนสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดให้เต็มที่หน่อยเถอะ ที่นี่อากาศดีจนไม่อยากออกไปไหน
ในเมืองก็เจออากาศเจือด้วยมลพิษ แม้แต่โกมลของคุณยายยังบอกว่าติดใจบ้านสวนเลยครับ”
ฌอนบอกพี่สาวพลางมองไปยังผีเสื้อหลากสีสันสวยงามที่พากันบินว่อนดอมดมดอกไม้ซึ่งส่งกลิ่นหอมรัญจวนลอยล่องมาตามสายลม
ช่วยคลายความร้อนจากแสงแดดยามบ่ายคล้อยได้เป็นอย่างดี
บวกกับเสียงนกร้องทำให้บรรยากาศรอบข้างอบอวลไปด้วยความสุขจนสัมผัสได้
เขาคิดว่าการมาเมืองไทยของเขาครั้งนี้นอกจากจะมาเยี่ยมเยียนครอบครัวทางฝั่งมารดาแล้ว
ยังมีบางสิ่งบางอย่างที่ดึงดูดใจเขาจนทำให้คิดว่าอีกไม่นานจะต้องกลับมาอีกบ่อยๆ
เป็นแน่
“แล้วเมื่อไหร่อ๋องของยายจะมาอีกล่ะ”
คนเป็นยายเอ่ยถามเสียงสั่นน้ำหูน้ำตาพานจะไหล
คนเป็นหลานชายหันไปโอบกอดร่างบอบบางก่อนจะพูดเสียงนุ่มนวล
“ตอนนี้อ๋องเพิ่งเข้ามาบริหารที่บริษัทได้ไม่นาน
ต้องแสดงผลงานให้คนเก่าคนแก่บางคนเห็นเพื่อสร้างความเชื่อมั่น
ยังมีบางคนที่แข็งข้อไม่ยอมรับ ช่วงนี้อ๋องเลยต้องรับศึกหนักแสดงศักยภาพให้คนพวกนี้ดูหน่อยครับคุณยาย”
น้ำเสียงของฌอนไม่ได้มีวี่แววของคนที่บอกว่ากำลังรับศึกหนักอย่างที่พูดแต่อย่างใด
ดวงตาคู่คมปลาบแฝงไว้ด้วยความมั่นใจจนเปี่ยมล้น
ซึ่งท่าทางแบบนี้นางพุดแก้วมองแล้วก็ให้พลันนึกถึงเจ้าคุณปู่ของนางขึ้นมาในทันใด
อย่างนี้สิถึงเรียกว่าเชื้อไม่ทิ้งแถว
“แต่ต่อไปอ๋องสัญญาว่าจะกลับมาหาคุณยายกับทุกคนบ่อยๆ
ครับ”
“ยายจะรอ อย่าลืมสัญญาแล้วกัน”
ฌอนยิ้มประจบก่อนก้มลงหอมแก้มสองข้างของผู้เป็นยายแล้วจึงหันไปทางลุงเขยเมื่อนึกถึงเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้
“คุณลุงเป็นสถาปนิกเก่า รู้จักบริษัทอริยะสัตย์
กรุ๊ปไหมครับ”
สถาปนิกเก่าผู้คร่ำหวอดอยู่ในวงการหัวเราะเบาๆ
“รู้จักสิ ใครจะไม่รู้จักบริษัทก่อสร้างอันดับต้นๆ ของเมืองไทยอย่างอริยะสัตย์
กรุ๊ปเล่า เจ้าของบริษัทชื่อเอกดนัยเป็นคนเก่งมาก อ๋องถามทำไมหรือ”
“คือตอนไปกินอาหารกับลูกค้าผมบังเอิญเจอคุณกฤตนัยน่ะครับ
แล้วมีคนบอกว่าเป็นลูกชายของเจ้าของอริยะสัตย์กรุ๊ป”
ฌอนยกชื่อพี่ชายของหญิงสาวผู้นั้นขึ้นมาเอ่ยอ้าง
“อ๋อ
ถ้าลุงจำไม่ผิดคนที่อ๋องพูดถึงนั่นเป็นลูกชายคนโตของคุณเอกดนัย
เป็นสถาปนิกที่อนาคตคาดว่าคงเก่งฉกาจไม่แพ้พ่ออย่างแน่นอน”
“บ้านนี้มีลูกชายสามคนใช่ไหมคะคุณพ่อ”
หิรัญญิการ์ถามโพล่งขึ้นมาด้วยน้ำเสียงติดสะบัด
“น่าจะใช่นะ ลูกชายของตระกูลนี้เก่งกันทุกคน
คนกลางเป็นวิศวกร ส่วนคนเล็กพ่อจำไม่ได้ว่าคนนี้มีตำแหน่งอะไรอยู่ในบริษัท
แต่คิดว่าคงเก่งไม่แพ้พวกพี่ๆ เป็นแน่”
“คนนี้ชื่อทักษกรค่ะคุณพ่อ เก่งทางด้านการตลาด”
ฌอนมองพี่สาว “ทำไมพี่พลูถึงรู้ล่ะครับ”
“นั่นสิลูก ทำไมถึงรู้ แล้วรู้กระทั่งชื่อ”
บิดาถามอย่างสงสัยเช่นกัน
“พลูไม่ได้รู้จักนายคนนี้เป็นการส่วนตัวหรอก
รู้จากยายสาน่ะค่ะ” คนเป็นบุตรสาวตอบด้วยน้ำเสียงราวกับไม่ชอบหน้าคนที่พูดถึงนัก
“อ๋อ ยายมาริสาเพื่อนของลูกน่ะเหรอ”
“ใช่ค่ะ ยายสาทำงานอยู่ในบริษัทนี้
ยายนั่นคลั่งไคล้ใหลหลงนายคนนี้มากจนถึงกับตั้งแฟนเพจให้เลยนะคะ
พลูเตือนก็ไม่ฟังว่าคนระดับนั้นเขาไม่มองตัวเองหรอก” หิรัญญิการ์พูดเสียงขุ่น
“พี่พลูทำเสียงเหมือนไม่ชอบหน้าเขาเลยนะครับ
ฟังจากที่เล่า เพื่อนพี่พลูไปคลั่งไคล้เขาฝ่ายเดียวไม่ใช่หรือครับ”
น้องชายออกความเห็น
“เอ้อ...ก็ทำนองนั้นแหละ” เป็นเพราะใจอคติทำให้หญิงสาวมองทักษกรในแง่ลบ
ทั้งที่ผู้เป็นเพื่อนของเธอต่างหากที่ไปคลั่งไคล้อีกฝ่ายหรืออาจถึงขั้นหลงรักแล้วก็เป็นได้
“อ้าว แล้วลูกจะไม่ชอบเขาก็ไม่ถูกนะลูก”
มัลลิการ์เงยหน้าจากจอโทรศัพท์ที่กำลังเล่นไลน์คุยกับกลุ่มเพื่อนๆ
อยู่พูดกับลูกสาว
“ไม่รู้ละ หมั่นไส้ แล้วยายสานะก็ไปเกณฑ์เพื่อนๆ
ให้มากดไลก์แฟนเพจที่ตัวเองตั้งขึ้นมา บ้าที่สุด
เดี๋ยวนี้พลูว่าคนบ้าโลกโซเชียลกันอย่างไม่ลืมหูลืมตา ไม่ต้องดูใคร
ดูคุณแม่กับคุณยายก็ได้ วันๆ จ้องแต่โทรศัพท์”
คนถูกพาดพิงถึงทั้งคู่สะดุ้งโหยง
“อ้าว...ทำไมพาดพิงล่ะลูก
รู้ไหมว่าตอนนี้เขารณรงค์ให้คนมีอายุผ่อนคลาย โดยการเข้าไปสัมผัสโลกออนไลน์
จะได้รู้ว่าโลกปัจจุบันก้าวล้ำไปถึงไหนกันแล้ว
ช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์ไปในตัวด้วยนะยายพลู
แล้วลูกเองเป็นคนซื้อโทรศัพท์มาให้แม่กับคุณยายด้วยนะอย่าลืม”
คนเป็นแม่ที่เป็นอดีตอาจารย์ที่ขอเออร์รีรีไทร์ออกมาพูดน้ำเสียงสูง
“พลูไม่เถียง
แต่ใครจะรู้ล่ะว่าคุณแม่กับคุณยายจะเล่นกันจนไม่ลืมหูลืมตาแบบนี้”
หิรัญญิการ์พูดเสียงอ่อยก่อนจะหันไปทางน้องชาย “คิดดูนะ
อยู่บ้านเดียวกันแทนที่จะเอ่ยปากคุยกัน เปล่าหรอกมาถามทางไลน์”
ฌอนที่นั่งอมยิ้มฟังคนในครอบครัวคุยกันพลันหวนนึกถึงเหตุการณ์วันแรกที่เขาพานพบกับหญิงสาวขึ้นมาทันที
แล้วจากการอมยิ้มในตอนแรกก็เปลี่ยนเป็นยิ้มจนเต็มหน้าโดยไม่รู้ตัว
“อ้าว...ตาอ๋อง ทำไมจู่ๆ ก็ยิ้มล่ะหลาน”
คนเป็นป้าถามอย่างสงสัย
“ขำเรื่องที่พี่พลูพูดว่าคุณยายกับคุณป้าพากันบ้าเล่นไลน์น่ะครับ”
คนพูดพูดแก้ตัวออกไปน้ำขุ่นหรือน้ำใสคงมีแต่เขาเท่านั้นที่รู้
“แล้วอ๋องจะเดินทางตอนไหนหรือจ๊ะ”
คนเป็นพี่สาวถาม
“ต้องเช็กอินประมาณสามทุ่มครับ”
บริษัท ทีเค อิเล็กทรอนิกส์ จำกัด
“หนูวา ทำไมนั่งหน้ามุ่ยอย่างนั้นล่ะ”
กรวรรณที่เพิ่งมาถึงที่ทำงานเอ่ยถามพลางทรุดนั่งลงที่โต๊ะของตัวเองซึ่งอยู่ใกล้ๆ
กันก่อนจะอุทานเสียงสูงเมื่อเห็นถุงใส่เค้กของร้านกาแฟชื่อดังวางอยู่บนโต๊ะผู้เป็นเพื่อน
“ว้าว นั่นเค้กร้านสตาร์แบล็กนี่นา ใครซื้อมาให้แกอีกล่ะ”
ที่ต้องถามออกไปอย่างนี้เพราะแน่ใจว่าอีกฝ่ายไม่มีทางซื้อมากินเองอย่างแน่นอน
ด้วยเจ้าตัวเคยพูดเอาไว้ว่าเค้กบ้าบออะไรชิ้นหนึ่งตั้งร้อยกว่าบาท
“พี่มลทิพย์ซื้อมาฝาก แกเอาไปกินสินก”
ขวัญชีวาพูดพลางยกเค้กทั้งถุงให้เพื่อนอย่างไม่เสียดาย
“แหม ลาภปากแต่เช้า
เค้กร้านนี้อร่อยแต่ราคาแพงเกินไปจริงๆ แล้วทำไมเดี๋ยวนี้พี่มลดูประจ๋อประแจ๋แกจังนะ
ฉันว่าเจ้าหล่อนเปลี่ยนไปตั้งแต่รู้ว่าแกไม่ใช่ลูกตาสีตาสา”
คนพูดพูดด้วยน้ำเสียงติดเย้ยหยัน
“นี่แหละคน! ฉันถึงไม่เคยอวดอ้างตัวเองไงล่ะ
เพื่อจะได้รู้ถึงสันดานของแต่ละคนที่มองและคบกันที่ภาพลักษณ์ภายนอก
เมื่อก่อนพี่มลทิพย์คอยแต่จะพูดจาดูถูกเหยียดหยามฉัน
เคยถามแม้กระทั่งว่าฉันขับรถอะไรมาทำงาน พอบอกอีโกคาร์ก็ว่าเป็นรถกระป๋องบ้าง
เล็กจนไม่กล้าขับออกนอกถนน แต่เดี๋ยวนี้กลับพูดว่ารถแบบนี้ก็ดีนะหาที่จอดได้ง่าย
แล้วยังอีกหลายเรื่อง เรียกว่าเปลี่ยนจากหลังเท้าเป็นหน้ามือเลยก็ว่าได้
คงนึกว่าฉันจำไม่ได้มั้ง”
ขวัญชีวาไม่ได้พูดเกินจริงไปนักเพราะนับจากงานเลี้ยงที่ร้านครัวต้นตำรับ
มลทิพย์ที่เคยแสดงท่าทีดูถูกเหยียดหยามขวัญชีวาเสมอยามสบโอกาสก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างที่พูดจริงๆ
แต่ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกปลาบปลื้มหรือดีใจกับท่าทีใหม่ที่ได้รับแต่อย่างใด
ทว่ากลับทำให้หญิงสาวรู้สึกรังเกียจคนชนิดนี้มากยิ่งขึ้นเพราะเท่ากับแสดงตัวตนของตัวเองออกมาให้เห็นว่าเป็นคนเช่นไร
“นี่แหละมนุษย์ขี้เหม็นนังหนูวา นั่นตายยากจริงๆ
พูดถึงก็เดินมาพอดี”
“หนูวา ชอบเค้กที่พี่มลซื้อมาฝากหรือเปล่าเอ่ย”
คนที่กำลังถูกพูดถึงเอ่ยถามน้ำเสียงอ่อนหวานต่างกับเมื่อก่อนราวหน้ามือกับหลังเท้าก็ไม่ปาน
“อ๋อ หนูวาไม่ชอบกินเค้กหรอกค่ะกลัวอ้วน
เลยให้นกไปแล้ว” คนตอบตอบออกไปตามตรง ไม่ได้ถนอมน้ำใจคนให้เลยสักนิด
“อ้าว...เหรอจ๊ะ
ไม่เป็นไรเอาไว้พี่หาขนมแบบคลีนมาฝากดีกว่า เอ้อ...แล้วหนูวาไม่เปลี่ยนใจแน่หรือจ๊ะ”
“เปลี่ยนใจเรื่องอะไรหรือคะ” คนถามถามอย่างสงสัย
“เรื่องลาออกจากงานไงจ๊ะ พี่และคนอื่นๆ
ในแผนกเสียดาย ไม่อยากให้หนูวาลาออกเลยจ้ะ” มลทิพย์พูดเสียงอ่อนหวาน
ลืมคำพูดของตัวเองเมื่อก่อนไปจนหมดสิ้น
“ไม่เปลี่ยนใจหรอกค่ะ”
ขวัญชีวาตอบทั้งที่อยากจะพูดอะไรออกไปแรงๆ
นักเพราะจำได้ว่าตอนเธอยื่นใบลาออกเมื่อเดือนที่แล้ว
มลทิพย์เป็นคนแรกที่พูดจาเยาะเย้ยถากถางเธอทั้งยังแสดงท่าทีสะอกสะใจ
แถมพูดเป็นทำนองว่าหางานได้แล้วเหรอถึงจะลาออก ระวังจะอดตาย
แต่ตอนนี้มาพลิกลิ้นพูดว่าไม่อยากให้ออกซะงั้น
ช่างพูดออกมาได้อย่างไม่ละอายปาก
“พี่ว่าหนูวาลองกลับไปคิดทบทวนใหม่ก็ได้นะจ๊ะ
เอ้อ...พี่เกือบลืม บอสให้หนูวาไปพบที่ห้องแน่ะจ้ะ พี่ขอตัวไปทำงานก่อนนะ”
พูดจบคนพูดก็เดินนวยนาดกลับไปยังโต๊ะทำงานของตัวเองโดยมีกรวรรณมองแล้วพูดตามหลังไปว่า
“คาดว่าพี่มลทิพย์แกคงความจำเสื่อมนะหนูวา”
“นั่นสิ คงไม่ใช่แค่พี่มลทิพย์คนเดียวหรอก
ยังมีอีกหลายคนที่ทำตัวเป็นจิ้งจกเปลี่ยนสี” ขวัญชีวาพูดพลางเหยียดยิ้ม
เพราะไม่ใช่แค่มลทิพย์คนเดียวยังมีอีกหลายคนที่เคยมองข้ามเธอแต่ตอนนี้พากันเปลี่ยนท่าทีเข้ามาพูดจาพินอบพิเทาอย่างโน้นอย่างนี้
“แล้วคุณกรณ์เรียกเธอไปพบทำไม”
“นี่ละคือสิ่งที่ฉันอยากรู้”
พูดจบขวัญชีวาก็ลุกขึ้นแล้วเดินตรงไปยังชั้นลอยซึ่งเป็นห้องทำงานของปกรณ์
ที่เพิ่งมาทำงานเป็นวันแรกหลังกลับจากฮันนีมูนกับภรรยาซึ่งตอนนี้เจ้าตัวเลื่อนตำแหน่งจากผู้จัดการฝ่ายเป็นผู้อำนวยการบริษัท
“เชิญนั่งครับคุณหนูวา”
คนถูกเชิญทรุดตัวลงนั่งตรงเก้าอี้หน้าโต๊ะตัวใหญ่ก่อนจะถามถึงธุระทันที
“ไม่ทราบผู้อำนวยการเรียกพบด้วยเรื่องอะไรหรือคะ”
“เรียกผมว่าคุณกรณ์เหมือนเดิมดีกว่าครับ
เรียกผมอย่างนี้ไม่คุ้นเคยเลย”
ปกรณ์พูดพลางส่งสายตาหวานให้
ยิ่งทำให้ขวัญชีวานึกรังเกียจอีกฝ่ายมากขึ้น เพราะเมื่อก่อนยามต่อหน้ากนกลดาหรือคนอื่นเจ้าตัวมักเรียกชื่อเต็มๆ
ของเธอ แต่พอตอนนี้มาเรียกชื่อเล่น แล้วก็ให้นึกฉงนตัวเองนักว่าทำไมตอนนั้นถึงไปหลงละเมอเพ้อพกผู้ชายแบบนี้ได้
ดีที่หลงแค่คำพูดหวานหู แต่ไม่ถึงขั้น...รัก
แล้วมาส่งสายตาแบบนี้กับเธอเพื่อ...ลืมไปหรือไงว่าตัวเองแต่งงานแล้ว
ไอ้คนเส็งเคร็ง
“เรียกผู้อำนวยการแหละค่ะ
แล้วตกลงมีธุระอะไรหรือเปล่าคะ” หญิงสาวเอ่ยถามตรงๆ ไม่อ้อมค้อมอีกครั้ง
“คือที่เรียกมาวันนี้ผมอยากให้คุณหนูวาลองคิดใคร่ครวญดูใหม่อีกครั้งดีไหมครับ”
ปกรณ์พูดพลางก็มองดวงหน้าสะสวยของหญิงสาวในชุดจั๊มสูทสีเทาที่นั่งอยู่อย่างสุดแสนเสียดาย
ทำไมเขาถึงตาต่ำมองเพชรเป็นพลอยหุงไปได้ นึกแล้วอยากจะย้อนเวลากลับมานัก
ไม่งั้นป่านนี้เขาคงได้กินเนื้อห่านฟ้าอิ่มเอมไปแล้ว
“ลองคิดใคร่ครวญอะไรหรือคะ”
“เรื่องลาออกจากงานไงครับ”
คนพูดพูดด้วยน้ำเสียงหวานไม่ต่างจากสายตา
หญิงสาวฟังแล้วอยากจะอาเจียนออกมานักเพราะจำได้ว่าตอนยื่นใบลาออกเขารีบเซ็นอนุมัติในทันควันราวกับกลัวเธอจะเปลี่ยนใจ
ซึ่งตอนนั้นอาจกลัวกนกลดารู้ว่ามาขายขนมจีบให้เธอ แล้วตอนนี้มาพูดแบบนี้เพื่อ…
“อ๋อ...” หญิงสาวฉีกยิ้มทำให้ปกรณ์ที่เข้าใจว่าตัวเองพูดจาโน้มน้าวให้อีกฝ่ายเปลี่ยนใจได้
รอยยิ้มหวานที่ประดับอยู่บนใบหน้าจึงมากขึ้น
ทว่าประโยคต่อมาทำเอาคนคิดเข้าข้างตัวเองหน้าม้าน “ไม่หรอกค่ะ”
แต่ก็ทำหน้ามึนถามต่อไปว่า
“ใครทำอะไรให้คุณขวัญชีวาคับข้องหมองใจหรือเปล่าครับ เดี๋ยวผมจัดการให้”
คนถูกถามแค่นยิ้มนึกชมตัวเองว่าคราวนั้นนับเป็นการตัดสินใจถูกที่ยื่นใบลาออกจากบริษัทนี้
ซึ่งจริงๆ แล้วสาเหตุส่วนหนึ่งก็มาจากผู้ชายตรงหน้า
ช่างเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องจริงๆ
“ไม่มีหรอกค่ะ
ถ้าผู้อำนวยการไม่มีอะไรแล้วขอตัวก่อนนะคะ”
“เอ้อ...” คนอยากพูดอะไรมากกว่านี้อ้ำอึ้ง
นึกสรรหาคำพูดไม่ออกในทันใด ได้แต่มองตามร่างเพรียวระหงไปจนลับสายตาด้วยความเสียดายที่ทวีคูณขึ้น
ขวัญชีวาออกจากห้องของปกรณ์ได้ก็เดินตรงไปที่โต๊ะทำงานของตัวเองทันทีโดยมีกรวรรณที่ผุดลุกขึ้นจากโต๊ะตรงเข้ามาถามราวกับรออยู่
“คุณกรณ์เรียกแกไปทำไม”
ขวัญชีวาเล่าให้เพื่อนฟังอย่างไม่ปิดบัง
ซึ่งพอฟังจบกรวรรณก็พูดออกมาด้วยความโมโหแทนเพื่อน
“กล้าพูดออกมาได้ไม่อายปากจริงๆ
ทำเป็นมาพูดอย่างนี้เพราะรู้ว่าแกเป็นลูกใครน่ะสิ เชอะ
ผู้ชายแบบนี้ขออย่าได้เจอะได้เจอเลย เจ้าประคู้น”
“มนุษย์ผู้ชายส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นเหมือนกันหมดแหละยายนก”
“เฮ้ย...อย่าเหมารวมสิ คนดีๆ ยังมีอีกเยอะแต่ต้องควานหาหน่อยเท่านั้น
ตาดีได้ ตาร้ายเจอ เหมือนซื้อลอตเตอรี่ไง ใครโชคดีก็เจอรางวัลที่หนึ่ง
โชคน้อยหน่อยก็เจอเลขท้ายสองตัว แต่จะว่าไปแล้วเลขท้ายสองตัวยังถูกยากเลย
เอ้อ...เกือบลืม เดี๋ยวเย็นๆ แกไปเป็นเพื่อนฉันที่สุวรรณภูมิหน่อยสิ”
“แกจะไปทำไมที่สุวรรณภูมิ”
“คุณนายแม่ฉันสิจะไปไหว้พระที่ไต้หวันกับญาติๆ
เพราะตอนนี้เข้าไต้หวันไม่ต้องทำวีซ่าเหมือนเมื่อก่อนแล้วไงหนูวา ญาติๆ
รวมทั้งแม่ฉันก็เลยแห่กันไปเที่ยว ฉันเลยต้องตามไปส่งซะหน่อย”
ขวัญชีวาพยักหน้า “ได้สิ”
“เอาไว้เราไปเที่ยวกันบ้างไหม
แกบอกฉันว่าจะขอลาพักร้อนไม่ใช่เหรอ ไต้หวันมีที่เที่ยวสวยๆ หลายแห่งนะ
ฉันนะอยากไปทะเลสาบสุริยันจันทราที่มีแต่คนบอกว่าสวยอย่างกับภาพวาดมากถึงมากที่สุด”
“แหม...ยายนก ในเมืองไทยทะเลสาบสวยๆ ก็มีถมเถไป
ทำไมต้องถ่อไปเที่ยวถึงไต้หวันด้วย”
เมื่อพูดถึงประเทศนี้ทำให้ขวัญชีวาอดนึกถึงใครบางคนขึ้นมาไม่ได้
ป่านนี้เจ้าตัวคงกลับไต้หวันไปแล้วมั้ง
“แหม เราต้องไปเที่ยวหาประสบการณ์
จะได้รู้ไงว่าที่เขาบอกสวยเหมือนภาพวาดนั้นจริงไหม แกลองเก็บไปคิดเป็นการบ้านดูนะ
แต่ฉันน่ะอยากไป”
“แกนะยายนก
เมื่อกี้แกพูดถึงเรื่องแม่ไม่ใช่เหรอว่าแห่ไปเที่ยว จู่ๆ ก็อยากจะไปเองซะแล้ว”
“ฉันก็อยากไปบ้างนี่นา ไหนๆ ปลอดวีซาแล้ว
เมื่อก่อนไต้หวันเข้ายากจะตาย ตอนนี้ใครต่อใครแห่ไปเที่ยวญี่ปุ่นกัน
เราต้องสวนกระแส แล้วไต้หวันน่ะมีแต่หนุ่มหล่อๆ ทั้งนั้น อย่าง เอ็ดดี้ เผิง
ก็เป็นคนไต้หวัน อ้อ..แกอย่าลืมสิหนูวา คุณฌอนอยู่ที่นั่น ไม่แน่เราอาจจะไปเจอเขาก็ได้ใครจะรู้”
“แกพูดเป็นนิยายไปได้
ประเทศไต้หวันไม่ใช่ห้างสรรพสินค้านะจะได้พบเจอกันได้ง่ายๆ
เดี๋ยวฉันขอเขียนลาพักร้อนก่อนแล้วค่อยว่ากันว่าจะไปเที่ยวไหนกันดี”
อาคารผู้โดยสารขาออกของสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิในยามค่ำคืน
คลาคล่ำและพลุกพล่านวุ่นวายไปด้วยเสียงผู้คนซึ่งมีทั้งคนไทยและต่างชาติ
ทั้งยังเดินลากกระเป๋ากันอย่างขวักไขว่ รวมทั้งเสียงประกาศของสายการบินต่างๆ
ที่ได้ยินเป็นระยะ
“แกรู้ไหมว่าสถานที่ที่ฉันไม่อยากมามากที่สุดคือสนามบินสุวรรณภูมินี่แหละ”
ขวัญชีวาบ่นอุบพลางเดินหลบหลีกกระเป๋าใบใหญ่ที่เจ้าของซึ่งเป็นหญิงชาวจีนเข็นโดยไม่มองใครเพราะปากมัวแต่คุยเสียงล้งเล้ง
“ระวังคำพูดของแกไว้เถอะหนูวา
สิ่งไหนที่ไม่อยากมาหรือไม่อยากเห็นมักจะต้องมาอยู่บ่อยๆ และต้องเห็นอยู่เสมอ
เหมือนสำนวนไทยที่ว่าเกลียดสิ่งไหนมักจะได้สิ่งนั้นไงล่ะ”
กรวรรณบอกเพื่อนเสียงแกมหัวเราะพลางสอดส่ายสายตามองหามารดากับกลุ่มญาติๆ
ที่มาถึงกันแล้ว
“ย่ะแม่คนเจ้าสำนวน
แล้วแม่แกต้องเช็กอินและเดินทางกี่โมง”
“เช็กอินประมาณสามทุ่ม
แม่บอกจะมาก่อนล่วงหน้าแล้วจะเดินดูของต่อ เพราะกว่าจะเดินทางก็ห้าทุ่มโน่น”
คนเป็นเพื่อนบอกก่อนจะก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ “นี่ก็จะสามทุ่มแล้ว
เราเดินไปรอที่เคาน์เตอร์ดีกว่า เพราะยังไงเดี๋ยวก็ต้องเจอกันที่นั่นอยู่ดี”
“ไปสิ”
หญิงสาวทั้งคู่พากันตรงไปยังเคาน์เตอร์เช็กอินของสายการบินเจ้าของสโลแกนว่ารักคุณเท่าฟ้าซึ่งมีเจ้าหน้าที่สาวสวยนั่งประจำอยู่แล้วก็เดินเตร่ๆ
อยู่แถวนั้น
ขวัญชีวากำลังคิดจะเดินไปหาที่นั่งทว่าหูได้ยินเสียงเจ้าหน้าที่ประจำเคาน์เตอร์
พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงติดร้อนรนเป็นภาษาอังกฤษว่า
“มิสเตอร์เผิงอวี้เยี่ยใช่ไหมคะ”
เสียงตอบกลับนั้นเป็นภาษาไทยชัดถ้อยชัดคำแถมยังคุ้นหูว่า
“ใช่ครับ”
“ตอนนี้เป็นการประกาศเรียกขึ้นเครื่องครั้งสุดท้ายแล้ว
รบกวนรอสักครู่นะคะเดี๋ยวจะมีเจ้าหน้าที่มารับตัวคุณไปส่งค่ะ”
“ผมขอโทษด้วยครับที่มาช้า
พอดีเส้นทางที่ผ่านเจออุบัติเหตุรถชนกันครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ โน่น...เจ้าหน้าที่ของเรามาแล้วค่ะ
เชิญคุณตามไปได้เลยค่ะ”
ขวัญชีวายืนตัวแข็งทื่อตั้งแต่ได้ยินเสียงคุ้นหูนั่นแล้ว
ครั้นหันไปมองจึงเห็นร่างสูงของฌอนกับเดฟยืนอยู่
และจังหวะนั้นเองดวงหน้าของอีกฝ่ายก็หันมามองเธอแวบหนึ่ง
ก่อนจะเดินตามเจ้าหน้าที่ที่เดินออกมารับเข้าไปในเกตอย่างเร่งรีบ
“นั่นคุณฌอนนี่นาหนูวา”
กรวรรณพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นพลางชี้มือไปยังร่างสูงที่กำลังเดินหายลับเข้าไปภายใน
“เออ ฉันเห็นแล้ว แกจะพูดเสียงดังไปทำไมกัน”
ขวัญชีวาทำเสียงดุใส่เพื่อนทว่าภายในใจของเธอเวลานี้
เกิดความรู้สึกโหวงเหวงกึ่งใจหายอย่างบอกไม่ถูก
เพราะตอนคุยกับเพื่อนก่อนหน้าเรื่องประเทศไต้หวันเธอดันไพล่คิดไปถึงเขาว่าเจ้าตัวคงกลับประเทศไปแล้ว
แล้วหญิงสาวก็นึกด่าตัวเองขึ้นมาครามครัน
เธอจะไปรู้สึกบ้าๆ นั่นทำไมกัน
ต้องดีใจที่จะไม่ต้องพบเจอเขาอีกอย่างที่พูดลั่นออกไปกับเพื่อนสิถึงจะถูกต้อง
แต่...ทำไมความรู้สึกที่เป็นอยู่ขณะนี้กลับไม่ใช่!
“นั่นแน่นังหนูวา
ฉันเห็นแกมองตามเขาตาละห้อยเชียวนะ”
“ตาละห้อยที่ไหนกันเล่า
แค่มองแล้วนึกว่าคนเราทำไมไม่รู้จักตรงต่อเวลา มาถึงเป็นไฟนอลคอลเชียว”
คนมองตามแก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ ทั้งที่ได้ยินถึงสาเหตุแล้ว
“เขาบอกแล้วว่าเจออุบัติเหตุรถชนกันแกไม่ได้ยินเขาพูดหรือไง...”
ผู้เป็นเพื่อนพูดยังไม่ทันจบขวัญชีวาก็พูดสวนออกไปเสียก่อนเมื่อเห็นมารดาของอีกฝ่ายกำลังเดินมา
“อย่ามัวแต่พูดพร่ำยายนก แม่แกเดินมาโน่นแล้ว”
ขณะเดียวกับคนที่ถูกพูดถึงตอนนี้ซึ่งนั่งเอนกายอยู่โดยมีหนังสือพิมพ์ถือในมือ
แม้ตาจะอ่านอยู่ทว่าภายในใจนั้นเตลิดไปถึงไหนต่อไหนแล้ว
“นายครับ เมื่อกี้คุณหนูวากับยายเตี้ยนี่ครับ”
ฌอนหันไปมองคนสนิทที่นั่งอยู่ข้างๆ
ก่อนเอ่ยถามน้ำเสียงเรียบราวกับไม่สนใจ “แล้วไง!”
“เอ...หรือเมื่อกี้ผมตาฝาด”
น้ำเสียงแฝงเล่ห์กลของคนสนิททำเอาคนเป็นนายอยากลุกขึ้นเตะสักป้าบ
“ฉันบอกแล้วไงว่าผู้หญิงไทยเขาถือ เรื่องสรีระ”
“นายหมายถึงยายเตี้ยนั่นหรือครับ”
“อืม”
เดฟหัวเราะหึ
“นายหมายถึงยายเตี้ยแต่ผมหมายถึงอีกคนครับ
นายไม่นึกแปลกใจหรือประหลาดใจบ้างหรือครับ”
“เรื่องอะไร” ฌอนยังทำไขสือ
“วันแรกที่นายมาเหยียบเมืองไทยก็เจอเธอ
ตอนกลับยังเจออีก ถ้าเราไม่มาเป็นไฟนอลคอลก็คงไม่เจอ
สถานการณ์ช่างรู้เห็นเป็นใจจริงๆ”
คนเคยพูดน้อยดูเหมือนจะยิ่งพูดมากขึ้นทุกวัน
ฌอนจึงมองอย่างหมั่นไส้ “เป็นเหตุบังเอิญ แกไม่ต้องเอามาโยงใยกันเลย”
“เป็นเหตุบังเอิญหรือทางเดินของพรหมลิขิตคงต้องรอดูกันต่อไปนะครับ”
น้ำเสียงที่พูดแฝงเลศนัย
“รู้สึกมาเมืองไทยครั้งนี้แกพูดมากนะเดฟ
ผีเจาะปากมาพูดหรือไง”
คนถูกหาว่าผีเจาะปากมาพูดส่งค้อนให้คนเป็นนาย
“ผมไม่รู้หรอกว่าผีเจาะปากหรืออะไร แต่ผมเห็นนายหันไปมองเธอ
ถ้านายไม่สนใจอย่าว่าแต่หันไปมองเลยครับ เจอกันต่อหน้าก็ยังเมิน”
การหลับตานิ่งๆ คือคำตอบของผู้เป็นนาย
คงมีเจ้าตัวเท่านั้นที่รู้ว่าคำตอบที่แท้จริงคืออะไร
ความคิดเห็น |
---|